รวมเรื่องราวความหลอนสุดพิลึก ที่จะทำให้คุณรู้สึกว่า… ยามค่ำคืนกับเวลากลางวัน ช่างเป็นโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
พารานอมอล,ลึกลับ,ระทึกขวัญ,เรื่องสั้น,พล็อตสร้างกระแส,สยองขวัญ,แปล,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
นอนไม่หลับรวมเรื่องราวความหลอนสุดพิลึก ที่จะทำให้คุณรู้สึกว่า… ยามค่ำคืนกับเวลากลางวัน ช่างเป็นโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
รวมเรื่องราวความหลอนสุดพิลึก ที่จะทำให้คุณรู้สึกว่า… ยามค่ำคืนกับเวลากลางวัน ช่างเป็นโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
"นอนไม่หลับ" คือหนังสือรวมเรื่องสั้นหลอนสั่นประสาท ที่ท้าทายให้คุณลองอ่าน…
เรื่องราวของความเงียบงันที่ไม่น่าไว้วางใจ ความกลัวที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด และเสียงเรียกจากบางสิ่งที่คุณไม่ควรตอบรับ คำเตือน—เรื่องราวเหล่านี้จะค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่ความคิดของคุณ และเมื่อถึงเวลาที่คุณล้มตัวลงนอน…
คุณแน่ใจหรือว่า จะหลับลงได้จริงๆ?
รวมเรื่องเขย่าขวัญที่ถูกแปลเป็นไทย เพื่อแบ่งปันความสยองให้ทุกคนได้อ่านเพื่อความเพลิดเพลิน
📌 หมายเหตุ: ทุกเรื่องเล่าได้รับอนุญาตจากเจ้าของเรื่องก่อนนำมาแปลเรียบร้อยแล้ว
หากถูกใจ ฝากติดตาม กดคอมเมนต์ และส่งกำลังใจด้วยโดเนทได้นะคะ 😎
ทั้งนี้ สำนวนการแปลถือเป็นลิขสิทธิ์ของผู้แปล เพื่อความบันเทิงของผู้อ่านเท่านั้น ห้ามทำซ้ำ คัดลอก หรือนำไปอ่านเผยแพร่ในเว็บใดๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งไม่อนุญาตให้นำไปเล่าเรื่องด้วยเสียงผ่าน YouTube และ/หรือเว็บอื่นใดทั้งสิ้น ถ้าต้องการแบ่งปัน ให้ใช้วิธีแชร์ลิงก์เท่านั้นนะคะ **หากมีใครพบเห็นการกระทำดังกล่าวที่ไหน โปรดแจ้งกับผู้แปลโดยตรงนะคะ**
คุณนึกเห็นภาพอะไรถ้ามีคนพูดถึง “สถานที่ราชการลับ” ?
คุณอาจจะนึกภาพนายทหารยืนเฝ้าโครงการลับ หรือนักวิทยาศาสตร์สวมหน้ากากกำลังผ่ามนุษย์ต่างดาวออกเป็นสองส่วน ผมไม่โทษคุณหรอก เพราะนั่นคือสิ่งที่ภาพยนตร์และเกมสร้างมาให้คุณคิดแบบนั้น
แต่ลองคิดดูว่าจะมีนายทหารหรือนักวิทยาศาสตร์สักกี่คนที่ทำงานกันอย่างหนักมาทั้งวัน เสร็จแล้วต้องมาหยิบไม้ม็อบถูพื้น? นั่นล่ะมันงานของผม ภารโรงค่าจ้างแพงที่สุดในโลก
ผมชื่อโรเบิร์ต เรียกสั้นๆ ว่าร็อบ ผมใช้เวลา 20 ปีของชีวิตผมทำงานที่ฐานทัพประจำ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงจะสังเกตเห็นว่าผมเก็บความลับได้ดี และย้ายผมไปที่... ที่บ้าๆ แห่งนี้ที่เกิดเรื่องราวพวกนี้ขึ้น
ก่อนจะได้รับงานนี้ ผมต้องเซ็นสัญญาไม่เปิดเผยข้อมูลหลายต่อหลายครั้ง มันเป็นกระดาษกองโต ใหญ่มากพอจะฝังตัวเองไว้ ใต้นั้นเลยล่ะ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังพาผมไปทุกที่ด้วยรถตู้ไม่มีหน้าต่าง เพื่อให้แน่ใจว่าผมจะไม่มีวันรู้ว่าไอ้สถานที่บ้าๆ พวกนั้นมันตั้งอยู่ที่ไหน
แต่ช่างความลับนั่นเถอะ นายจ้างของผมทำเสียเรื่องจนได้ และผมเองเกือบต้องซวยไปด้วย คนอื่นๆ ภายนอกควรได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
และนี่คือเรื่องที่เกิดขึ้น
มันควรจะเป็นวันที่เงียบสงบ ผมเองกำลังถูพื้นในห้องคอมพิวเตอร์บนชั้นบนอยู่ตามปกติ ตึกนี้แผ่ขยายลึกลงไปใต้พื้นดิน และยิ่งลงไปต่ำเท่าไรก็ยิ่งมีระเบียบการและความลับมากขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในระดับเสมอพื้นที่ผมทำงานอยู่ ชีวิตที่นี่ก็เกือบจะปกติดี
พวกเราได้รับอนุญาตให้คุยเล่นกันได้นิดหน่อย ผมเลยคุยกับนักคอมพิวเตอร์คนหนึ่งชื่อปีเตอร์ เขายังหนุ่ม อายุสามสิบต้นๆ ผมถามเขาว่ามาทำงานที่นี่ได้ยังไง
“ที่มหาลัย พวกเขาเรียกผมว่านักโปรแกรมอัจฉริยะ” เขาเล่า “มันทำผมหลงตัวเองและเริ่มใช้ทักษะที่มีในทางที่ผิด ผมหมายถึงผิดกฎหมายนั่นละ ในที่สุดก็โดนจับได้ และพวกเขาให้ผมเลือกว่าจะทำงานให้พวกเขาหรือจะเข้าคุก” เขายิ้ม “คุณเดาได้ใช่มั้ยว่าผมเลือกอะไร”
“เคยคิดว่าตัดสินใจผิดบ้างมั้ย?” ผมถามยิ้มๆ
“โอ้ย ทุกวันเลยครับ” เขาหัวเราะ “เพราะที่นี่มันก็ตารางดีๆ นี่เอง เพียงแต่ว่าที่นี่ผมต้องทำงานทั้งวัน” พวกเราพากันหัวเราะ
“ว่าแต่คุณกำลังทำอะไรอยู่เหรอ?” ผมถาม รู้อยู่แก่ใจว่าคงจะไม่ได้คำตอบอะไรที่ชัดเจน นั่นเพราะมีข้อห้ามเคร่งครัดไม่ให้คนที่นี่คุยกันเรื่องงาน และอีกอย่างคือ ไม่มีใครในชั้นนี้รู้ว่าพวกเขาทำอะไรอยู่กันแน่ ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้รู้ถึงจุดมุ่งหมายของงานที่ทำ พวกเขาแค่รับงานมา ทำมันให้เสร็จแล้วส่งมันกลับไปที่ชั้นใต้ดิน
ปีเตอร์ยิ้มหยันๆ “ถ้าผมรู้ก็ดีสิร็อบ ผมเองก็แค่ทำโปรแกรมนู่นนี่แล้วส่งมันลงชั้นใต้ดิน ตอนนี้ผมกำลังทำโปรแกรมจำลองการแพร่กระจายของรังสี แต่มันคงง่ายกว่านี้เยอะถ้าผมรู้จุดประสงค์ของงาน”
เราสองคนพากันหัวเราะอีกครั้ง บางครั้งอารมณ์ขันก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการรับมือกับความเป็นจริงของงานที่เราทำที่นี่
“แล้วคุณล่ะ?” ปีเตอร์ถาม “มีโปรเจคลับสุดยอดอะไรที่คุณ--”
อยู่ๆ ไฟในห้องก็กระพริบแล้วดับพรึ่บลงก่อนจะกระพริบติดอีกครั้ง
ผมมองไปรอบๆ อย่างสับสน ตลอดหลายปีที่ทำงานที่นี่มา ระบบไฟไม่เคยมีปัญหามาก่อนเลย นักโปรแกรมหลายคนในห้องตอนนี้ตะโกนโหวกเหวกด้วยความโมโหเพราะไม่ได้เซฟงานกันไว้ ปีเตอร์มองหน้าผมสีหน้ามีแววกังวล
“เกิดอะไรขึ้นน่ะร็อบ?” เขาถาม
“ผมก็ไม่รู้นะ” ผมตอบ “บางทีพวกเราควร--”
ผมถูกตัดบทด้วยเสียงประกาศจากลำโพงส่วนกลางดังก้องไปทั่วตึก “พนักงานทุกคน” เสียงประกาศฟังดูหนักแน่นแต่แฝงความตระหนกที่แทบปิดไว้ไม่อยู่ “อพยพออกนอกตึกเดี๋ยวนี้เลย นี่ไม่ใช่การซ้อม ย้ำ.. นี่ไม่ใช่การซ้อม ไปที่จุดรวมเพื่ออพยพและ--”
จากนั้นเสียงประกาศเงียบลงไปพักหนึ่ง จากนั้นมีอีกเสียงตะโกนขึ้น “อย่าใช้คอมพิวเตอร์ อย่าใช้เทอร์มินัล อย่า--”
และเสียงเงียบไปเฉยๆ อีกครั้ง ผมมองไปรอบๆ ทั้งสับสนทั้งกลัว ปีเตอร์มองผม
เกิดอะไรขึ้นร็อบ?”
“ผมไม่รู้” ผมตอบ “เราควรไปกันได้แล้ว จุดรวมอพยพของชั้นนี้อยู่ที่ห้องอาหาร”
พวกเรากำลังพากันออกจากห้องพร้อมๆ กันกับนักวิจัยคนอื่น แต่พอเดินไปหาประตูได้แค่ไม่กี่ก้าวก็มีเสียงประกาศดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นเสียงคล้ายหุ่นยนต์ ฟังดูเฉยเมยไร้ซึ่งความกลัวใดๆ
"โปรโตคอลการกักกัน 3-อัลฟ่า-7 เริ่มต้นใน 30 วินาที"
ทุกคนเริ่มตื่นตระหนก นักวิทยาศาสตร์และโปรแกรมเมอร์ต่างวิ่งหน้าตั้ง พยายามจะไปถึงประตูโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แต่ว่าต้องหนีไว้ก่อน
ปีเตอร์ยังดูสงบอยู่บ้าง “เกิดอะไรขึ้นน่ะร็อบ?” เขาถามอีกรอบ เริ่มตื่นตระหนก “โปรโตคอล 3-อัลฟ่า-7 คืออะไร?”
ผมเองไม่แน่ใจนักแต่สงสัยอยู่ เพราะท่ออากาศทุกท่อในชั้นนี้มีท่อโลหะหนา ซึ่งไปหยุดที่จุดกระจายแบบบล็อกเหนือช่องระบายอากาศแต่ละช่อง
3-อัลฟ่า-7 หมายถึงแก๊ส
ผมจับไหล่ปีเตอร์
“วิ่ง! ทางนี้!”
เราวิ่งออกจากห้องลงไปตามทางเดิน ใจผมคิดหาทางรอดออกไปจากที่นี่ เราจะไปหลบที่ไหนกันดี? มีท่อโลหะอยู่ทุกที่ทุกห้องเลย
ทุกห้อง...
"ไปที่ลิฟต์บริการ!" ผมตะโกนใส่ปีเตอร์ "เร็วเข้า!"
เราวิ่งตามทางเดินมุ่งหน้าไปที่ลิฟต์ มีเวลาเท่าไหร่นะ? ยี่สิบวินาที? สิบ? หรือน้อยกว่านั้น?
โชคดีที่ตอนไปถึง มีลิฟต์ตัวหนึ่งรออยู่ เรารีบกระโดดเข้าไปข้างใน หายใจหอบหนักเมื่อประตูสองบานปิดลง ผมถอดเสื้อคลุมและเสื้อเชิ้ตภารโรงออกอย่างเร็วแล้วยัดมันเข้าไปในเส้นเล็กๆ ที่แผ่นโลหะทั้งสองของประตูเชื่อมต่อกัน
“มันเกิดบ้าอะไรกันขึ้นเนี่ย!” ปีเตอร์หอบ
“ผมว่าพวกเขาจะรมควันทุกห้องที่นี่” ผมพูดเสียงสั่น
“ว่าไงนะ พวกเขาจะทำแบบนั้นทำไม”
ผมเงียบ หูได้ยินเสียงปล่อยแก๊สข้างนอก พวกเรารออยู่เงียบๆ แทบไม่กล้าหายใจ มีเสียงกรีดร้องและร้องไห้ดังผ่านประตูเข้ามา แต่เสียงเหล่านั้นเงียบไปภายในเวลาไม่นาน และทั้งตึกเงียบสงัดอีกครั้ง
เราสองคนตัวสั่นอยู่ในลิฟท์ ปีเตอร์เริ่มหายใจขัดด้วยความกลัว “นี่มันบ้าอะไรกัน..”
ผมคว้าจับไหล่เขาขณะพยายามข่มความกลัวของตัวเอง “ฟังนะปีเตอร์ ผมเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเราจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ ประตูลิฟท์กับเสื้อผ้าผมมันกันแก๊สได้ไม่นานนัก
อาการหายใจขัดของปีเตอร์ลดลง ผมเองก็เครียดและตื่นตระหนกไม่ต่างกัน แต่ต้องพยายามสงบสติอารมณ์เอาไว้ถ้าอยากจะรอดออกไปจากที่นี่ให้ได้
“ถ้าโปรโตคอลกักตัวถูกเปิดใช้งาน..” ปีเตอร์พูด “นั่นหมายความว่าประตูทางเข้าทุกบานของอาคารถูกล็อก ยังไงพวกเราก็ออกไปไม่ได้อยู่ดี”
“ให้ตายสิ แล้วพวกเราจะออกไปได้ยังไงล่ะ?”
“ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ชั้น 3” ปีเตอร์พูด “ผมเคยทำงานที่ชั้น 6 ซึ่งอยู่ต่ำลงไปอีกสามชั้น มันมีห้องควบคุมที่นั่นพร้อมคอมพิวเตอร์ที่เข้าถึงแทบทุกอย่างในอาคารนี้ บางทีผมอาจใช้มันปลดล็อกได้”
ผมหยุดคิด ผมเคยทำความสะอาดที่ชั้น 6 คิดขึ้นมาได้ว่าไม่มีท่อโลหะที่นั่น พวกเราน่าจะปลอดภัย “คุณพูดถูกแล้ว ไปกันเถอะ”
ผมกดปุ่มเพื่อลงไปชั้น 6 แต่ลิฟท์ไม่ขยับเขยื้อน
“การล็อกดาวน์คงหยุดการทำงานของลิฟท์น่ะ” ปีเตอร์บอก “ดูเหมือนเราจะติดอยู่ที่นี่” เขาหัวเราะแดกดัน “ตลอดเวลาหลายปีของการโปรแกรมและแฮ็กนู่นนี่มากมาย แต่ผมกลับทำให้ลิฟท์ทำงานไม่ได้”
ผมนึกอะไรขึ้นมาได้ “เราไม่จำเป็นต้องทำให้มันทำงาน" ผมพูดอย่างลังเล “เราแค่ต้องเข้าไปในเพลาแล้วใช้เชือกลิฟต์ปีนลงไปที่ชั้น 6”
ปีเตอร์มองผมงงๆ เป็นคำตอบ ผมเอื้อมมือขึ้นข้างบน เลื่อนแผงเพดานเปิดออกซึ่งมันเผยให้เห็นช่องทางเข้า ปีเตอร์ผิวปากเบาๆ
“ดูเหมือนผมจะเลือกอาชีพผิดแล้วล่ะร็อบ อาชีพภารโรงเท่กว่าเยอะเลย” ปีเตอร์ช่วยยกผมขึ้น ผมเปิดประตูช่องทางเข้าเผยให้เห็นปล่องยาวที่สว่างไสวด้วยแสงสีแดง ผมปีนขึ้นจากลิฟต์แล้วดึงปีเตอร์ตามขึ้นมาด้วย
ช่องด้านบนลิฟท์ค่อนข้างกว้างเพราะต้องรองรับห้องโดยสารสามห้องซึ่งแยกจากกัน เชือกเหล็กหนาพาดผ่านเราหายไปในความมืดเบื้องล่าง
“บอกเลยว่าผมไม่ชอบความสูงเท่าไหร่” ผมว่า
“ดีกว่าติดอยู่ในลิฟท์เยอะเลย” ปีเตอร์พูด
เขาปีนขึ้นไปด้านข้างของเพลาอย่างระมัดระวังและจับเชือกหนาที่ห้อยอยู่ข้างๆ ลิฟต์โดยมีผมตามไปติดๆ พยายามไม่มองลงไปข้างล่างหรือคิดถึงการพลาดตกลงไปสู่ความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุดเบื้องล่าง
พวกเราค่อยๆ ไต่ลงชั้นล่าง กล้ามเนื้อแขนของผมร้อนผ่าวไปหมดด้วยความพยายามดึงน้ำหนักตัวเองไว้บนเชือก พอเหลือบไปมองด้านล่างมันทำเอาใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ แสงสีแดงทอดยาวลงไปไม่มีที่สิ้นสุด ผมรีบเบือนหน้าหนี
หลังจากนั้นไม่นานพวกเราก็ไต่ลงมาถึงชั้น 6 พวกเราค่อยๆ คลานไปตามช่องเพื่อกลับไปยังผนังอาคาร ประตูชั้น 6 ปิดอยู่ ผมใช้มือคลำไปรอบๆ เพื่อพยายามเปิดมันออก
สักพัก ปีเตอร์ที่อยู่ข้างๆ ผมถามขึ้น "ร็อบ.. คุณเห็นอย่างที่ผมเห็นรึเปล่า?"
ผมมองลงไปข้างล่าง มีเพียงแสงไฟสลัวและผมพยายามเพ่งมอง มีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ห่างออกไปข้างใต้
ขนคอผมลุกซู่ รู้สึกเย็นวาบไปทั่วสันหลัง ผมมองไม่เห็นรายละเอียดทั้งหมด บอกได้แค่ว่ามีแสงแวววาวของเหล็ก เสียงคลิกของขาโก่งยาวผิดมนุษย์และ ดวงตาสีแดงเรืองแสง
อยู่ๆ เชือกเส้นใหญ่ที่อยู่ใกล้กับเราเหวี่ยงไปมาอย่างกับว่าอะไรบางอย่างคว้ามันเอาไว้แล้วเริ่มปีนตามขึ้นมา “ตายแน่กู!” ผมพลั้งปากสบถออกไป รีบหันหลังกลับไปที่ประตู
“เร็วเข้าร็อบ!” ปีเตอร์กระซิบน้ำเสียงตื่นตระหนก “มันกำลังมาแล้ว!”
ผมเขย่าประตูเต็มกำลัง ในที่สุดมันก็เลื่อนเปิดออก แสงสว่างลอดผ่านรอยแยกลงมา ผมรีบคลานผ่านช่องเล็กๆ ขึ้นไปโดยมีปีเตอร์ตามมาติดๆ จากนั้นรีบปิดประตูตามหลัง ตามองเห็นมือซีดสีเทาโผล่ขึ้นมาจากความมืดด้านล่าง
เราทั้งคู่ล้มลงกับพื้นทั้งเหนื่อยทั้งตกใจ ผ่านประตูที่เพิ่งปิด เราได้ยินเสียงบางอย่างขูดประตู หลังสองสามวินาทีผ่านไป เสียงนั้นถูกแทนที่ด้วยเสียงคลิกแปลกๆ ที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต มันทำเอาท้องไส้ปั่นป่วน จากนั้นเสียงเงียบไปอีกครั้ง
“นั่นมันตัวบ้าอะไรกัน?” ผมกระซิบหอบๆ ปีเตอร์มองผมด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“ใครจะรู้ล่ะ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเก็บงำอะไรไว้ที่ชั้นใต้ดิน ที่นี่ไม่ได้มีแค่นักโปรแกรม ยังมีหมอ, นักชีววิทยา… ที่นี่มีนักวิทยาศาสตร์ทุกสาขา”
ผมคิดถึงสิ่งที่ปีเตอร์พูดอยู่พักใหญ่ “เราต้องรีบไปกันแล้ว ก่อนที่ ไอ้สิ่งนั้น มันจะกลับมาอีก” ผมพูดพลางลุกขึ้นยืน “ปีเตอร์ คุณนำทางไปที”
พวกเราเริ่มออกเดินเท้าบนทางเดินคดเคี้ยวของชั้น 6...
(โปรดติดตามตอนต่อไป...)
🥰Special thanks to DrunkenSwordsman,