หอพักเก่าแก่ที่เงียบสงบ... ซ่อนบางสิ่งที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง ‘สมิทิลา’ ไม่ใช่แค่หอพัก แต่มันคือ ‘ประตู’ ที่กั้นระหว่างสองโลกไม่มีใครรู้ว่า... ผู้อยู่อาศัยที่นี่ ไม่ใช่แค่ ‘มนุษย์’
ชาย-ชาย,ลึกลับ,แฟนตาซี,ไทย,ระทึกขวัญ,ภูตผี,วิญญาณ,สิ่งลี้ลับ,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
สมิทิลา หอพักสื่อสองโลกหอพักเก่าแก่ที่เงียบสงบ... ซ่อนบางสิ่งที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง ‘สมิทิลา’ ไม่ใช่แค่หอพัก แต่มันคือ ‘ประตู’ ที่กั้นระหว่างสองโลกไม่มีใครรู้ว่า... ผู้อยู่อาศัยที่นี่ ไม่ใช่แค่ ‘มนุษย์’
เมฆ นักศึกษาปี 1 ผู้ไม่เคยเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อเขาย้ายเข้า "สมิทิลา" หอพักเก่าแก่ที่เงียบสงบ... เงียบเสียจนไม่ควรมีเสียงฝีเท้ายามค่ำคืน เสียงเคาะประตูยามดึก แต่ที่น่ากลัวกว่านั้น... คือความลับที่ซ่อนอยู่
‘พี่ตุนท์’ ชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่เหมือนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสมิทิลา แต่กลับพูดจาเป็นปริศนาเสมอ
‘พี่มะลิ’ พี่สาวแท้ ๆ ที่ดูเหมือนจะปิดบังอะไรบางอย่าง และพยายามกันเขาออกจากเรื่องนี้
เมื่อ ความลับของสมิทิลาเริ่มเผยตัว
เมื่อ เขาเริ่มเห็นในสิ่งที่ไม่มีใครควรเห็น
และเมื่อ อดีตที่ถูกฝังลึก... กำลังตื่นขึ้น
ระหว่าง หน้าที่ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง กับ ความรู้สึกที่ห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้ เขาจะปกป้องสมิทิลาได้... หรือสุดท้ายแล้ว จะสูญเสียทุกอย่างไป?
***เรื่องราวความเชื่อ จิตวิญญาณ พิธีกรรม สถานที่ และเหตุการณ์ต่าง ๆ ในนิยายเรื่องนี้
เป็นเรื่องสมมติที่สร้างขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน***
เสียงจักจั่นยามพลบค่ำร้องระงมอยู่นอกหน้าต่าง เมฆนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงจนรู้สึกดวงตาเริ่มล้า ดวงไฟเพดานสีส้มสลัวช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายได้บ้าง แต่เสียงแวดล้อมจากข้างนอกซึ่งเงียบเกินปกติก็ทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย ถึงแม้เขาจะอยู่ที่หอนี้มาประมาณสองสัปดาห์แล้ว ก็ยังไม่คุ้นชินเท่าไหร่ เขายังคงเจอเรื่องแปลก ๆ อยู่บ้าง แต่กิจกรรมช่วงเปิดเทอมใหม่ ดึงความสนใจเข้าไปได้บ้าง ทำให้ไม่ฟุ้งซ่านเท่าไหร่นัก
คืนนี้บรรยากาศเงียบกว่าปกติอย่างน่าขนลุก แสงไฟสลัวจากเสาไฟถนนด้านนอกลอดผ่านกิ่งไม้ใหญ่ ทาบเงาเป็นเส้นสายลึกลับบนผนัง เมฆอดรู้สึกไม่ได้ว่าหอพักแห่งนี้เหมือนกำลังจับตาดูเขาอยู่ในเงามืด
เมฆเหลือบตามองนาฬิกาข้างเตียง ทุ่มครึ่งแล้ว เมื่อบ่ายพี่มะลิส่งข้อความมาบอกว่าจะมาหาเพื่อคุยเรื่องหนึ่ง ทว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นวี่แวว เมฆวางหนังสือลง เหยียดแขนบิดขี้เกียจเพื่อคลายอาการเมื่อย ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างสูดอากาศเย็น ๆ ภายนอกท้องฟ้าสีเข้ม เจือแสงดาวเบาบางที่พอจะมองเห็นได้ลาง ๆ ระหว่างที่เมฆกำลังทอดสายตาชมทิวไม้ด้านหลังหอพัก จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูสามครั้งถี่ ๆ ดังมาจากทางหน้าห้อง
เมฆลุกขึ้นไปเปิดประตู พบกับร่างของพี่สาวกำลังยืนหอบแฟ้มเอกสารปึกใหญ่และกระเป๋าใบหนึ่ง ดูท่าทางเร่งรีบไม่น้อย จึงเอ่ยทัก “มาแล้วเหรอพี่มะลิ”
“โทษที ๆ เมฆ พี่ติดงานที่คณะเล็กน้อย เลยมาช้าไปหน่อย” มะลิว่าแล้วก็เดินเข้ามาในห้อง เธอก็ปล่อยแฟ้มกับกระเป๋าลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง แล้วเดินกลับไปล็อกประตูเพื่อความเป็นส่วนตัว
“มีอะไรเหรอพี่มะลิ?” เมฆถามพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“พี่มีเรื่องอยากขอ...” มะลิยิ้มกว้างพร้อมกับท่าทีที่ดูอ้อนเล็ก ๆ “คืนนี้ขอแลกห้องกันได้ไหม?”
“หา? ทำไมล่ะพี่มะลิ” เมฆถามกลับด้วยความสงสัย
“คือ… เรื่องมันด่วนหน่อยน่ะ พี่กับเพื่อนต้องทำงานกลุ่มเร่งด่วนคืนนี้ มันขอให้อยู่ช่วยกันและค้างที่นั่น นี่พี่ก็แวะมาจัดของที่หอเราเพื่อให้เพื่อนอีกคน เดี๋ยวคงกลับมาดึกมาก ๆ เลย”
“เอ่อ แปลว่าพี่มาแล้วจะไปอีก แล้วเกี่ยวอะไรกับเมฆ?” เมฆทำหน้าสงสัย
“ก็ห้องเพื่อนที่ต้องไปทำงานอยู่นอกเมืองไกลจากที่นี่มาก แต่ว่ามันมีอีกงานหนึ่งที่เพื่อนอีกคนของพี่ที่มันอยู่หอแถว ๆ นี้จะแวะมาเอาของตอนดึกและเอาของอีกอย่างมาให้พี่ มันไม่สะดวกไปเอากับพี่ที่นอกเมืองไง จะให้มันมาเอาที่ห้องพี่ก่อนที่พี่จะไปข้างนอกก็ไม่ได้ เพราะตอนนี้มันติดธุระอยู่อีกที่หนึ่ง พอดีตอนนั้นพี่นึกได้ว่ามีกุญแจสำรองห้องเมฆอยู่ ก็เลย... ให้เพื่อนไปก่อน” เธอก้มหน้าหลบตาด้วยความรู้สึกผิด
“ขอโทษที่ไม่ได้ถามเมฆก่อนนะ เอาเป็นว่า พี่ขอแลกห้องกับเมฆหนึ่งคืนได้มั้ย เมฆย้ายขึ้นไปนอนห้องพี่ แล้วคืนนี้เพื่อนพี่จะได้เข้าห้องได้เลย เพราะมันจะต้องเอาของไปทำงานต่อและพี่ต้องเอาของจากมันไปทำให้เสร็จก่อนพรุ่งนี้เช้า”
เมฆฟังแล้วกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงุนงง “พี่มะลิจะให้เมฆขึ้นไปนอนห้องที่ชั้นสามพี่แทน แล้วพี่มานอนห้องเมฆ?”
“ใช่ ประมาณนั้น” มะลิคลี่ยิ้มยิงฟัน หลังจากพูดจบเธอหลบสายตาเล็กน้อย ราวกับพยายามเลี่ยงบางสิ่ง
“แค่คืนเดียวเองนะ ๆ แถมเดี๋ยวพี่ก็ไม่ได้นอนที่ห้องเมฆหรอกมั้ง เพราะพี่กลับดึกมาก พรุ่งนี้เช้าก็ต้องรีบไปส่งงานแต่เช้าอีก แค่ใช้เป็นที่พักของ…”
“โอเค ๆ เมฆเข้าใจแล้วพี่มะลิ” เมฆรีบยกมือขึ้นห้าม กลัวว่าพี่มะลิจะอธิบายอะไรยืดยาวที่เมฆยิ่งฟังยิ่งงงอีก “เมฆไปนอนห้องพี่มะลิก็ได้”
“ขอบใจมากเลยนะ พี่เกรงใจเหมือนกัน แต่เพื่อนมันจู่ ๆ ก็เรียกไปค้างทำงานแบบกะทันหัน แล้วเพื่อนอีกคนต้องมาเอาของตอนดึกอีก ถ้าไม่สลับห้องเมฆอาจจะต้องมานั่งเฝ้ารอเอาของให้เพื่อนพี่ หรืออาจจะรู้สึกแปลก ๆ ถ้าให้เพื่อนพี่ไขประตูเข้ามาหยิบของตอนเมฆนอนอยู่ ก็เกรงว่าจะรบกวนน้องน่ะ”
เมฆพยักหน้าอย่างว่าง่าย แม้จะงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ไม่อยากซักไซ้มาก พี่สาวมักมีเหตุผลของเธอเสมอ เขาจึงยิ้มรับ
“ก็ได้ เมฆแค่ไปนอนค้างคืนเดียว แล้วพรุ่งนี้เช้าเมฆก็ลงมาที่ห้องตัวเองเหมือนเดิมใช่มั้ย?”
“ใช่ ตอนนี้เมฆก็เอาชุดนอน เสื้อผ้า แปรงสีฟัน ของใช้จำเป็นติดไปนิดหน่อยก็พอ” มะลิว่าพร้อมส่งกุญแจห้องตัวเองให้น้อง
“แล้วพี่มะลิเจออะไรแปลก ๆ ที่ชั้นสามบ้างหรือเปล่า?” เมฆถามด้วยความกังวล เพราะเขามักเจอเรื่องแปลก ๆ ที่ชั้นตัวเองประจำ
“เฮ้ย จะไปเจออะไรล่ะ พี่อยู่มาตั้งหลายปี ไม่เคยมีอะไรเลย!” มะลิชะงักเล็กน้อยก่อนตอบ น้ำเสียงของเธอฟังดูเบี่ยงเบนราวกับไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ และรีบเปลี่ยนหัวข้อไปทันที
“ไปเตรียมตัวสิ จะได้รีบไปกัน พี่ขอออกไปคุยโทรศัพท์กับเพื่อนอีกแป๊บหนึ่ง แล้วเดี๋ยวเราไปกันเลยนะ พี่ต้องรีบไปทำงานต่อ งานมันเร่งมาก”
เมฆเห็นท่าทางรีบร้อนของพี่สาวก็อดอมยิ้มไม่ได้ เขารีบหยิบเป้เล็ก ๆ ใส่ของจำเป็นใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที เขาก็เดินออกไปล็อคห้องเรียบร้อย ก็ส่งกุญแจห้องตัวเองให้พี่มะลิ
“เดี๋ยวพี่ไปก่อนนะ ถ้ามีอะไรโทรหาพี่ได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ” มะลิบอกน้องก่อนจะแยกกันตรงบันได
เมฆขึ้นบันไดมาถึงชั้นสาม เขาสังเกตเห็นผนังตึกสีขาวงาช้างที่ค่อนข้างเก่า แถมมีรอยร้าวเล็ก ๆ หลายจุด แสงไฟสีเหลืองส้มยิ่งขับให้รอยร้าวดูเด่น เหมือนลายเส้นแตกกระจาย บรรยากาศทางเดินชั้นสามดูเงียบสนิทจนเสียงฝีเท้าของเมฆสะท้อนเบา ๆ บนพื้นกระเบื้อง แสงไฟกระพริบถี่ ๆ เพิ่มบรรยากาศวังเวง
“304… 304…” เมฆพึมพำหาหมายเลขห้องตามป้าย เขาเดินผ่านห้องแต่ละห้องเงียบสงัดแทบไม่มีเสียงคน เมฆเดาว่าบางคนอาจกลับบ้านช่วงสุดสัปดาห์ หรือไม่ก็เป็นช่วงที่เจ้าของห้องไม่อยู่พอดี รู้สึกใจคอไม่ดีที่ต้องอยู่คนเดียวกลางดึก เขาเห็นเงาบางอย่างผ่านหางตา พอหันกลับไปดูก็ไม่พบอะไร เขารีบเดินต่อด้วยหัวใจเต้นแรง
ในที่สุดก็มาถึงหน้าประตูห้อง 304 เมฆหยิบกุญแจที่พี่มะลิให้มาไขและเปิดประตู เมื่อเดินเข้ามาในห้องกลิ่นหอมจาง ๆ ของธูปก็ลอยเข้ามากระทบจมูก เขาชะงักเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้าไปสำรวจเขาสะดุดตาทันทีที่มองเห็นหัวเตียงของพี่สาว ซึ่งตั้งหันเข้าหาประตูเต็ม ๆ ผิดไปจากความเชื่อที่ไม่ควรให้หัวเตียงตรงประตู ภายในห้องของพี่มะลิขนาดพอ ๆ กับห้องของเขาที่ชั้นสอง ต่างกันแค่มีระเบียงที่ยื่นออกไปทางฝั่งหน้าหอ ทำให้มีประตูและหน้าต่างอีกสองบาน ผังของห้องและเฟอร์นิเจอร์จึงถูกจัดวางแตกต่าง แต่ถึงแม้จะมีระเบียงแต่บรรยากาศกลับรู้สึกทึบแปลก ๆ
“ทำไมพี่มะลิจัดเตียงแบบนี้ล่ะ” เขาพึมพำ ก่อนค่อย ๆ เดินดูรอบ ๆ
ห้องของพี่สาวดูเรียบร้อยแต่ไม่ค่อยมีของกระจุกกระจิกมากนัก ระหว่างสำรวจห้องสายตาก็เหลือบไปเจอสิ่งน่าสนใจอีกอย่าง คือลวดลายประหลาดตามขอบประตูและหน้าต่าง ลายเส้นที่ดูเหมือนยันต์โบราณถูกเขียนลงบนกรอบไม้ ให้ความรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งถูกปกป้องอยู่
เมฆวางกระเป๋าเป้ลงบนเตียง เดินไปสำรวจใกล้ ๆ
“อะไรเนี่ย?” เขาใช้ปลายนิ้วสัมผัสลายนั้นเบา ๆ ความเย็นเฉียบของกรอบไม้แผ่ซ่านราวกับกำลังแตะถูกโลหะเย็นจัด ลายเส้นของมันดูไม่เป็นอักษรชัดเจน คล้ายเป็นเครื่องหมายของพิธีกรรมบางอย่าง เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ลวดลายเหล่านั้นดูเหมือนมีแสงสะท้อนเล็ก ๆ เวลาที่เขาเอียงมองในมุมต่าง ๆ ความรู้สึกแปลกประหลาดเริ่มก่อตัวขึ้นในใจอีกครั้ง
พี่มะลิชอบงานศิลปะแบบนี้เหรอ? หรือพี่มะลิมีเรื่องที่ปิดบังเราอยู่…
เมฆนึกสงสัย ก่อนที่เขาจะมองสำรวจไปรอบกรอบหน้าต่างอีกฝั่งแล้วก็ต้องชะงัก เพราะมองเห็นกระดาษกาวปิดทับลายบางส่วนเหมือนจงใจซ่อมหรือตั้งใจปกปิดลายกันมันหลุดมากกว่า อาการขนลุกเล็ก ๆ แทรกซึมขึ้นมาตามแขน เมื่อบวกกับความเงียบชวนหวาดระแวงของชั้นสามนี้ บวกกับเรื่องไฟในทางเดินที่กระพริบวูบวาบ จึงยิ่งกระตุ้นให้เมฆรู้สึกกลัว
สัญชาตญาณบอกเขาว่า ที่นี่ต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ ๆ แต่เขายังไม่รู้ว่าจะถามใคร เพราะพี่สาวก็ออกไปแล้ว คงติดงานจนดึก เมฆถอนหายใจ กะว่าคืนนี้คงต้องนอนที่นี่ทั้งที่คาใจแบบนี้ไปก่อน พอรุ่งเช้าค่อยหาทางถามพี่สาวดูอีกที
“เอาวะ แค่คืนเดียวเอง คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง พี่มะลิก็อยู่มาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นบ่นว่าเจอเรื่องน่ากลัวเลย” เมฆพูดปลอบใจตัวเอง
แต่ลึก ๆ เขาก็สงสัย เพราะบรรยากาศในหอพักนี้ก็ดูลึกลับอยู่แล้ว และไหนจะก่อนหน้านี้ที่เพื่อน ๆ ในกรุ๊ปแชทของภาคคุยกันเรื่องข่าวลือเรื่องผี ๆ ของหอแถวนนี้อีก ถึงอย่างนั้นเมฆก็ยังไม่ได้เชื่อสนิทใจ เพราะตัวเขาก็เพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน อาจเป็นแค่ข่าวลือก็ได้
เมฆจัดวางของเรียบร้อยแล้ว จึงเดินไปเปิดหน้าต่างหวังให้ลมเย็นเข้ามา เพื่อบรรเทาบรรยากาศอึดอัดภายในห้องลงบ้าง แต่ก็พบว่าด้านนอกมืดสนิท มีแสงไฟจากเสาไฟถนนต่ำ ๆ ส่องทะลุผ่านต้นไม้สูงบ้างประปราย ทว่ามันก็ถูกบังด้วยเงากิ่งไม้หนาทึบ ราวกับโลกภายนอกและห้องนี้แยกจากกันด้วยความมืดมิด
เมฆเดินกลับมาที่โต๊ะ กวาดสายตาไล่อ่านชื่อหนังสือที่พี่สาววางไว้ เช่น ‘การตลาดยุคใหม่’ ‘จิตวิทยาการจัดการ’ และมีหนังสือเล่มหนึ่งที่ดูคล้ายเป็นสมุดบันทึกสภาพดูเก่ามาก ทั้งหน้าปกและภายในเขียนด้วยภาษาที่เมฆอ่านไม่ออกเลย เขาเกาหัวนิด ๆ พี่มะลิเรียนเก่งก็จริง แต่ไม่คิดว่าจะถึงขนาดอ่านภาษาแปลก ๆ พวกนี้ได้ เมฆพลิกมองดูหนังสือแปลก ๆ เล่มนั้น ในใจเขาอดรู้สึกไม่ได้ว่ามันอาจไม่ใช่หนังสือเรียนปกติ ขนาดลายที่หน้าต่างยังมีรอยกระดาษกาวดูไม่ปกติเลย หนังสือเหล่านี้อาจเป็นอะไรสักอย่างที่พรางปกไว้ก็ได้
“บ้าแล้วเรา คิดไปเองเป็นตุเป็นตะ” เมฆส่ายหัวไล่ความฟุ้งซ่าน แต่ยิ่งสังเกตของในห้องมากขึ้น เขากลับยิ่งพบเห็นสิ่งของบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจ อย่างตุ๊กตาดินเผาเก่า ๆ ที่ตั้งอยู่บนหลังตู้เสื้อผ้า ลักษณะเป็นรูปหญิงสาวสวมชุดไทยโบราณ กระโปรงจีบหน้านางแบบทางเหนือ และสวมเครื่องหัวที่ดูเหมือนมงกุฎเล็ก ๆ ตัวตุ๊กตามีขนาดประมาณฝ่ามือ พื้นผิวซีดจางตามกาลเวลา
ความรู้สึกเย็นเฉียบแล่นขึ้นมาทันทีเมื่อเมฆเอื้อมมือไปหยิบตุ๊กตานั้นขึ้นมาเพื่อสำรวจ มีรอยแตกร้าวเล็ก ๆ ที่แก้มด้านขวา ไม่รู้ทำไม แต่เมฆรู้สึกว่ารอยนี่ไม่ใช่การซึกกร่อนตามปกติ เขาพลิกดูพบตัวเลข ‘304’ สลักไว้ใต้ฐาน
หรือว่าของพวกนี้เกี่ยวข้องกับพิธีอะไรบางอย่าง?
นอกจากนี้ เขายังสังเกตเห็นลวดลายเล็ก ๆ บนตัวตุ๊กตา คล้ายอักษรอะไรสักอย่าง มีลักษณะโค้งมนลายเส้นอ่อนช้อย มีความคล้ายคลึงกับอักษรไทย ที่สีซีดจางจนอ่านไม่ออก เมฆพยายามเพ่งมอง แต่ยิ่งจ้องก็เหมือนจะยิ่งรู้สึกวิงเวียนคล้ายมีแรงกดดันบางอย่างแผ่ออกมาจากตุ๊กตา และขณะที่เขากำลังจะวางตุ๊กตากลับ รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงสะอื้นแผ่วเบาจากตัวตุ๊กตา
"พี่มะลิชอบสะสมของแบบนี้ด้วยเหรอ?" เมฆพึมพำเบา ๆ พลางตั้งตุ๊กตากลับที่เดิม แต่ในใจยังรู้สึกแปลก ๆ กับการที่ห้องนี้มีของเก่าแก่ดูน่าขนลุกแบบนี้
เมฆเดินกลับไปที่เตียง ทิ้งตัวลงนั่งบนความนุ่มของฟูก
Rrrr~Rrrr~
-P’Mali-
พอเห็นว่าเป็นพี่มะลิ เมฆก็รีบรับสายทันที
[“ฮัลโหล เมฆนอนได้มั้ย คืนนี้พี่คงกลับดึกมากจริง ๆ ล่ะ คงจะประมาณเกินตีสอง”] เสียงมะลิดังมาตามสายฟังดูแฝงด้วยความเกรงใจ
“อ๋อ ไม่เป็นไรพี่ สบายมาก แต่พี่มะลิ… ห้องพี่ทำไม…” เมฆตัดสินใจเอ่ยถามออกไปอย่างลังเล “เอ่อ หมายถึงเตียงที่หันเข้าประตู แล้วก็ลายแกะสลักตรงขอบประตูกับหน้าต่างนั่นน่ะ”
ปลายสายเงียบไปสองสามวินาที ก่อนที่จะหัวเราะเบา ๆ
[“อ้อ ไอ้ลาย ๆ นั่นเหรอ ก็… เอาน่า ไม่ต้องคิดมากหรอก มันเป็นของเก่าที่ติดมากับห้อง ตอนพี่มาอยู่ครั้งแรกก็มีอยู่แล้ว ส่วนเตียงพี่เองก็ไม่ได้ไปเปลี่ยนทิศมากอะไรนักหรอก อาจเป็นเพราะขี้เกียจย้ายเฟอร์นิเจอร์ก็ได้”]
เมฆเม้มปาก ไม่แน่ใจว่าพี่สาวตอบแบบบ่ายเบี่ยงหรือเปล่า
“แล้วทำไมพี่ไม่เอาเตียงไปชิดผนังอีกฝั่งล่ะ?”
[“โธ่ น้องเมฆ เตียงมันหนักจะตาย พี่ตัวเล็กแค่นี้ จะย้ายคนเดียวยังไงไหว”] มะลิว่า
[“นอนไปเถอะน่า ไม่ได้มีอะไรหรอก พี่ก็อยู่มาตั้งนานแล้ว ยิ่งตอนนี้พี่ว่ามีเมฆอยู่ยิ่งสบายใจ เมฆไม่ค่อยกลัวผีอยู่แล้วใช่ไหม?”]
“เอ่อ…” เมฆพยายามหัวเราะเบา ๆ “เมฆก็ไม่ได้กลัวอะไรขนาดนั้น แต่ก็นะ…”
[“โอเค แล้วพรุ่งนี้เราค่อยคุยกันนะ”]
พูดจบสายก็ตัดไป เมฆถอนหายใจยาว เขาสะบัดศีรษะสองสามทีเพื่อสลัดความกังวล ก่อนจะอาบน้ำอย่างรวดเร็วแล้วเปลี่ยนเป็นชุดนอน ตอนนี้ปาเข้าไปเกือบจะสี่ทุ่มแล้ว เสียงจิ้งหรีดจักจั่นแทรกผ่านหน้าต่างมาเป็นระยะ
เมฆปิดไฟหลัก ให้เหลือเพียงโคมไฟหัวเตียงสีเหลืองนวล ๆ จากนั้นทิ้งตัวลงนอน หวังเพียงจะรีบนอนให้หลับ เพื่อให้คืนนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ประตูระเบียงตั้งตระหง่านอยู่ตรงปลายเท้า ราวกับใครเปิดเข้ามาจะเห็นเมฆนอนอยู่ทันที เขาพยายามหลับตา ไม่ให้สนใจตำแหน่งที่ดูแปลกนี้
แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก เขาก็พลิกตัวไปมา ไม่อาจข่มตาหลับได้สนิท อาจเพราะยังไม่ดึกมาก ในหัวมีทั้งข้อสงสัยเรื่องลายสลักที่ประตูและหน้าต่าง เรื่องหอพักเก่าแก่ที่มีคนเล่าเรื่องผี ๆ และความรู้สึกว่าคืนนี้รอบข้างเงียบเกินไป ผิดปกติอย่างบอกไม่ถูก
สงสัยเราจะอุปทานไปเอง…
เมฆบอกตัวเอง เขาพยายามหายใจเข้าลึก ๆ ระลึกถึงคำสอนที่แม่เคยบอกว่า ถ้ากลัวก็ให้นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้ในใจ หรือสวดมนต์เบา ๆ เมฆเลยตั้งจิตท่องบทสวดสั้น ๆ ที่เขาเคยเรียนรู้มาตั้งแต่สมัยยังเด็ก เพื่อลดความกังวล เขาสวดบทนั้นวนไปมา ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ก็เริ่มง่วงและกำลังจะหลับ
แกร๊ก…
“!!!” เสียงจากทางประตูดังขึ้นมีจังหวะแปลก ๆ ราวกับมีคนกำลังใช้เล็บขูดกับบานไม้ เมฆดีดตัวลุกขึ้นนั่งแทบจะทันที ใจเต้นระส่ำ
พี่มะลิกลับมาแล้วเหรอ?
เขานึกในใจ แต่พอดูเวลาในโทรศัพท์ มันเพิ่งจะเที่ยงคืนสิบห้านาที ยังไม่ถึงตีสองเลย
“พี่มะลิ?” เมฆลองเอ่ยเรียก แต่ไม่มีเสียงตอบ เขามองเห็นเงาดำเล็กน้อยแว่บผ่านร่องประตูด้านล่าง ก่อนจะเงียบหาย เมฆยืดคอเพ่งมองจากบนเตียงด้วยอาการสะพรึงเล็ก ๆ ขนลุกวูบวาบ
หรือหูฝาด?
เมฆกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น ตั้งใจจะออกไปเปิดประตูดูให้แน่ใจว่าข้างนอกมีใครหรือไม่ แต่พอตั้งท่าจะก้าวลงจากเตียงก็พลันมีเสียง
กึก... กึก... กึก...
เสียงเหมือนรองเท้าเดินผ่านไปตามทางเดินช้า ๆ ห่างจากหน้าห้องไป เมฆจึงชะงัก ไม่รู้ว่าจะเปิดประตูออกไปแล้วเจออะไรกันแน่
สุดท้ายเขาเลือกค่อย ๆ ขยับตัวลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบ ตรงไปแนบหูฟังที่บานประตู เสียงฝีเท้าค่อย ๆ เลือนหายสู่ความเงียบ เหลือเพียงเสียงลมพัดอ่อน ๆ กับกิ่งไม้กระทบกระจกหน้าต่าง เมฆยืนหลับตาตั้งสติ ไม่อยากปลุกปั่นจินตนาการให้หวาดกลัวไปใหญ่
อาจเป็นเพื่อนข้างห้องก็ได้ บางทีเขาเข้ามาห้องผิด หรือเดินผ่านมาเฉย ๆ
เมฆพยายามอธิบายตัวเองเช่นนั้น ก่อนจะผละกลับไปที่เตียง
ความเงียบหวนคืนมาอีกครั้ง เมฆหลับตาได้เพียงครู่ ๆ ก็ผล็อยเคลิ้ม ใกล้จะเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างแท้จริง แต่แล้วในช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่น ภาพในฝันปรากฏเงาดำสูงใหญ่ ร่างนั้นยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ลายสลักบนกรอบไม้สะท้อนแสงแปลกตา เงานั้นยกมือแตะลายสลักก่อนจะหันมามองเมฆ ดวงตาที่เหมือนหลุมดำลึกจับจ้องเขา
‘อย่าเปิด… อย่าให้มันออกมา…’เสียงกระซิบดังใกล้ใบหู
เมฆสะดุ้งตื่น ลมหายใจหอบแรง หนาวเยือกไปทั้งแผ่นหลัง หูแว่วไปเองหรือเปล่า เขาตั้งคำถามภายใน ใจก็เต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ มองดูนาฬิกาข้างหัวเตียง พบว่าเพิ่งจะผ่านไปไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง
แสงโคมไฟเหลืองนวลยังคงสว่างอยู่ เขาพยายามบอกตัวเองว่า นี่เราอาจคิดไปเอง และเริ่มภาวนาในใจ จนกระทั่งความง่วงเหนื่อยล้าค่อย ๆ ชนะ อาการกระสับกระส่ายทุเลาลงในที่สุด เมฆงีบไปแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไร
เขาสะดุ้งอีกครั่ง เพราะมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นกลางดึก ใจยังสั่นรัว
Rrrr~ Rrrr~
-P’Mali-
เมื่อเห็นหน้าจอแสดงชื่อพี่มะลิ เมฆรีบกดรับสายจนมือถือเกือบจะหล่นจากมือด้วยความตระหนก
[“น้องเมฆ! ขอโทษที่โทรดึกนะ พี่กำลังจะกลับแล้วล่ะ เพิ่งเสร็จงาน มีอีกนิดหน่อยต้องจัดการ”] มะลิพูดเร็ว ๆ น้ำเสียงเบลอด้วยความเหนื่อยผสมตื่นตัว
[“เมฆโอเคไหม ได้นอนหรือยัง?”]
“ก็กึ่งหลับกึ่งตื่นน่ะ พี่มะลิ” เมฆตอบอุบอิบ “เมฆได้ยินเสียงแปลก ๆ… เอ่อ แต่ช่างมันเถอะ พี่มะลิจะกลับมากี่โมง”
[“อีกประมาณครึ่งชั่วโมงน่าจะถึงหอแล้ว พี่จะต้องไปเอาแฟ้มที่ห้องเมฆ แต่แป๊บเดียวแหละ เดี๋ยวก็ไปห้องเพื่อนต่ออีก อาจจะนอนค้างเลย”]
“อ๋อ โอเค” เมฆรับคำอย่างเลื่อนลอย ทั้งที่ในหัวอยากถามพี่สาวเรื่องเสียงแปลก ๆ ความฝัน ลายยันต์ และตุ๊กตา
[“เมฆ ห้องของพี่ดูมีของเก่า ๆ เยอะใช่มั้ย?”] จู่ ๆ พี่มะลิก็ถามขึ้นมาเหมือนกับรู้ว่าเขาสงสัยอะไร
“ใช่ แล้วตุ๊กตาในห้องนั่นล่ะ… พี่มะลิได้มันมาจากไหนเหรอ?” เมฆถามกลับทันที
[“ตุ๊กตา? อ๋อ… มันติดมากับห้องตั้งแต่พี่ย้ายเข้ามาแรก ๆ แล้วล่ะ ป้าไหมบอกว่าเป็นของประดับเฉย ๆ”]
คำตอบนั้นไม่ได้ช่วยให้เมฆรู้สึกดีขึ้น เขากลับรู้สึกว่าสิ่งของในห้องนี้อาจมีเบื้องหลังที่ลึกซึ้งกว่าแค่ของตกแต่งธรรมดา เมฆเก็บความสงสัยไว้คิดว่าคงไม่เหมาะจะถามตอนนี้ เพราะพี่สาวเองก็เหนื่อยกับงานมาก
หลังวางสาย เมฆก็นอนเงียบอยู่บนเตียง พยายามตั้งสติว่าพี่มะลิกำลังกลับ สักพักก็คงขึ้นมา ถึงเธอจะไม่เข้ามาห้องนี้ เพราะเธอจะไปห้องของเขาแทน เมฆใจชื้นขึ้นว่ามีพี่มะลิเดินในหออย่างน้อยก็คงไม่เปล่าเปลี่ยวเกินไป
เวลาล่วงเลยถึงตีสองครึ่ง เมฆครึ่งหลับครึ่งตื่นอย่างทรมาน จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะเบา ๆ ที่ประตู
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังชัดเจนในความเงียบ เมฆเด้งตัวลุกขึ้นนั่งทันที ความรู้สึกเย็นเยียบแล่นผ่านสันหลัง เขากลั้นใจ ตั้งท่าจะเดินไปเปิด แต่เท้าเหมือนถูกตรึงกับพื้น
ก่อนจะถึงลูกบิด เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ขัดจังหวะความตั้งใจ มือที่เอื้อมไปที่ลูกบิดชะงัก
Rrrr~ Rrrr~
-P’Mali-
แสงไฟหน้าจอแสดงให้เห็นชื่อ ‘พี่มะลิ’ ที่โทรมา แต่เสียงเคาะยังดังอยู่ที่ประตู เสียงชัดเจน ราวกับต้องการให้เปิด...
เขาเดินกลับไปหยิบมือถือมากดรับสาย
[“เมฆ… พี่เพิ่งถึงห้องที่ชั้นสอง… ”] เสียงหอบเบา ๆ ของมะลิดังมาแทรก
[“ห้องเมฆมีของพี่เยอะมาก สงสัยต้องจัดของอีกยาว เมฆไม่ต้องลงมาหาพี่หรอกนะ ถ้าจะนอนต่อก็เอาเลย”]
“หา?” เมฆขมวดคิ้ว “พี่มะลิหมายความว่า ตอนนี้พี่อยู่ห้องเมฆใช่มั้ย?”
[“ใช่สิ ทำไม?”] มะลิถามอย่างฉงน
“แต่ว่า...”
เมฆเงียบไปสองวินาที เพราะ ณ ขณะนั้นเสียงเคาะ ยังดังอยู่หน้าห้องที่เขาอยู่! หากมะลิอยู่ที่ห้อง 209 แล้วใครมาเคาะประตูห้องนี้กลางดึก?
หัวใจของเมฆเต้นโครมจนแทบหลุดออกจากอก มือที่กุมโทรศัพท์เริ่มเย็นเฉียบ เขารวบรวมความกล้าเดินย่องไปแนบหูฟังที่ประตูอีกครั้ง คราวนี้มีเสียงเดินเบา ๆ มันทำให้เมฆแทบกลั้นหายใจ
[“เมฆ? ได้ยินมั้ย”] มะลิเอ่ยเสียงงุนงงอยู่ในสาย เมื่อเห็นน้องเงียบไป
“อะ...อืม เมฆ… เปล่า ๆ ไม่มีอะไร เดี๋ยวเมฆจะนอนต่อแล้ว แค่นี้นะพี่มะลิ…” เขาตอบตะกุกตะกักก่อนวางสายไป ปล่อยโทรศัพท์ลงบนเตียง รู้สึกว่าอีกฝ่ายก็คงเหนื่อยเกินกว่าจะคุยยืดยาวเรื่องนี้
เสียงเคาะประตูหายไป แต่เสียงเดินเบา ๆ ยังคงก้องอยู่ในหัวของเมฆ แม้หลังจากเขาแนบหูฟังประตูแล้วได้ยินเพียงความเงียบ เขาก็ยังไม่อาจสงบจิตใจได้ เมฆนั่งพิงหัวเตียง พลางนึกถึงลายสลักบนหน้าต่างและเสียงกระซิบในความฝัน
เสียงเคาะประตูหายไป ทว่าก่อนที่เมฆจะหลับตาลง เขาเหมือนรู้สึกถึงแรงกดทับในอากาศ เสียงแผ่วเบาราวกระซิบดังมาจากทิศตุ๊กตาในห้อง เขาจับใจความได้เพียงคำเดียว 'ช่วย…'