หอพักเก่าแก่ที่เงียบสงบ... ซ่อนบางสิ่งที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง ‘สมิทิลา’ ไม่ใช่แค่หอพัก แต่มันคือ ‘ประตู’ ที่กั้นระหว่างสองโลกไม่มีใครรู้ว่า... ผู้อยู่อาศัยที่นี่ ไม่ใช่แค่ ‘มนุษย์’
ชาย-ชาย,ลึกลับ,แฟนตาซี,ไทย,ระทึกขวัญ,ภูตผี,วิญญาณ,สิ่งลี้ลับ,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
สมิทิลา หอพักสื่อสองโลกหอพักเก่าแก่ที่เงียบสงบ... ซ่อนบางสิ่งที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง ‘สมิทิลา’ ไม่ใช่แค่หอพัก แต่มันคือ ‘ประตู’ ที่กั้นระหว่างสองโลกไม่มีใครรู้ว่า... ผู้อยู่อาศัยที่นี่ ไม่ใช่แค่ ‘มนุษย์’
เมฆ นักศึกษาปี 1 ผู้ไม่เคยเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อเขาย้ายเข้า "สมิทิลา" หอพักเก่าแก่ที่เงียบสงบ... เงียบเสียจนไม่ควรมีเสียงฝีเท้ายามค่ำคืน เสียงเคาะประตูยามดึก แต่ที่น่ากลัวกว่านั้น... คือความลับที่ซ่อนอยู่
‘พี่ตุนท์’ ชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่เหมือนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสมิทิลา แต่กลับพูดจาเป็นปริศนาเสมอ
‘พี่มะลิ’ พี่สาวแท้ ๆ ที่ดูเหมือนจะปิดบังอะไรบางอย่าง และพยายามกันเขาออกจากเรื่องนี้
เมื่อ ความลับของสมิทิลาเริ่มเผยตัว
เมื่อ เขาเริ่มเห็นในสิ่งที่ไม่มีใครควรเห็น
และเมื่อ อดีตที่ถูกฝังลึก... กำลังตื่นขึ้น
ระหว่าง หน้าที่ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง กับ ความรู้สึกที่ห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้ เขาจะปกป้องสมิทิลาได้... หรือสุดท้ายแล้ว จะสูญเสียทุกอย่างไป?
***เรื่องราวความเชื่อ จิตวิญญาณ พิธีกรรม สถานที่ และเหตุการณ์ต่าง ๆ ในนิยายเรื่องนี้
เป็นเรื่องสมมติที่สร้างขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน***
เช้าวันใหม่มาถึงพร้อมกับแสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดผ่านผ้าม่านสีขาว เมฆตื่นมาด้วยอาการอ่อนล้าเล็กน้อย เพราะเมื่อคืนแทบไม่ได้หลับสนิทเลย เขาขยี้ตา เหลือบตาไปมองนาฬิกาที่หัวเตียง เกือบแปดโมงเช้าแล้ว ความวุ่นวายใจจากค่ำคืนที่ผ่านมายังคงค้างคาในหัว เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู พบข้อความจากพี่มะลิที่ส่งมาตั้งแต่เช้ามืด
Jasmine's Breeze:
"น้องเมฆ พี่ขอโทษนะ พี่คงไม่ได้กลับห้องวันนี้ งานยังไม่เสร็จ คงต้องอยู่ทำโปรเจกต์ต่อ เดี๋ยวเมฆอยู่ห้องพี่ต่ออีกวันนะ ขอโทษด้วยน้า”
เมฆอ่านจบแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะอย่างหมดอารมณ์ ดีที่วันนี้เป็นวันเสาร์เขาไม่ได้มีธุระอะไรต้องไปทำ
“นี่พี่มะลิทิ้งเราไว้อีกวันเหรอ…” เขาบ่นเบา ๆ แม้จะเข้าใจว่างานของพี่สาวคงสำคัญมาก แต่การต้องอยู่ในห้อง 304 ที่แปลกประหลาดนี้ต่ออีกวัน ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่
บรรยากาศในห้องช่วงเช้าดูเงียบสงบ อากาศเย็นสบาย แต่กลับมีบางสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัด ลวดลายแกะสลักบนกรอบหน้าต่าง และเสียงฝีเท้าปริศนาเมื่อคืนยังคงติดอยู่ในใจ ความคิดว่าห้องนี้อาจจะซ่อนความลับบางอย่างอยู่ ทำให้เขาหยุดสงสัยไม่ได้
หลังจากลุกขึ้นจัดการตัวเองเรียบร้อย เมฆตัดสินใจลงไปชั้นล่างเพื่อหาอะไรทานรองท้อง เมื่อมาถึงร้านกาแฟ เขาพบว่าป้าไหมและป้าเดือนกำลังช่วยกันจัดเตรียมของที่เคาน์เตอร์ ทั้งสองดูอารมณ์ดีตามปกติ
"ตื่นสายเลยนะหนูเมฆ เมื่อคืนคงนอนดึกล่ะสิ" ป้าไหมทักพลางหันมามองเขาด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
เมฆยิ้มแห้ง ๆ ขณะทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะบริเวณใกล้กับเคาน์เตอร์
"ก็… นิดหน่อยครับป้า เอ่อ ป้าไหมครับ ผมว่าห้อง 304 มันดูแปลก ๆ นะครับ ป้าพอจะเล่าอะไรเกี่ยวกับห้องนั้นให้ผมฟังได้ไหม?"
ป้าไหมหยุดมือที่กำลังเช็ดถาดอยู่ เธอชะงักเล็กน้อยก่อนคลี่ยิ้มเหมือนเดิม "แปลกยังไงจ๊ะ ห้องนี้ก็เป็นแค่ห้องปกติ ไม่มีอะไรพิเศษหรอกลูก มะลิก็อยู่มาตั้งนานไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลยนี่นา"
"แต่เมื่อคืน… ผมได้ยินเสียงเคาะประตูครับ เสียงฝีเท้าด้วย" เมฆตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมให้ราบเรียบ ขณะเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
ป้าไหมฟังเงียบ ๆ พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ "หนูอาจจะคิดมากไปเองนะลูก บางทีอาจจะเป็นเสียงลม หรือเพื่อนข้างห้องเดินผ่านก็ได้ ที่นี่เก่าหน่อย แต่แข็งแรงดี ไม่ต้องกังวลไปหรอก" ป้าไหมพูดพลางหัวเราะเบา ๆ
เมฆพยักหน้า แม้จะรู้สึกว่าป้าไหมกำลังพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดบางอย่าง แต่เขาก็ไม่ได้คาดคั้นอะไร
"ถ้าหนูไม่สบายใจ คืนนี้จะลงมานอนข้างล่างที่ห้องโถงร้านกาแฟก็ได้นะ ป้ากับป้าเดือนจะช่วยดูแลเอง"
เมฆยิ้มรับข้อเสนอนั้น แม้ในใจจะเต็มไปด้วยคำถามเกี่ยวกับหอพักแห่งนี้ แต่เขาก็เลือกที่จะเก็บความสงสัยไว้ก่อน
ช่วงสายเมฆกลับขึ้นไปที่ห้อง 304 อีกครั้ง เขานอนลงบนเตียงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนดูข้อความในกรุ๊ปแชทอีกครั้ง คราวนี้มีคนแชร์เรื่องเล่าเกี่ยวกับหอพักที่ใกล้ มหา’ลัยเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่อง ‘เสียงเคาะประตูตอนกลางคืน’ และ ‘เงาที่หน้าต่างชั้นสาม’ ที่ทำให้เขาอดรู้สึกขนลุกไม่ได้
เอกประวัติศาสตร์ รุ่น XX (56)
ตะวันเบิกฟ้า:
"ชั้นสามของหอพักนั้น เคยมีคนเห็นเงาคล้ายพระสงฆ์เดินผ่านหน้าต่างในตอนกลางคืน ทั้งที่ตอนนั้นไม่มีใครอาศัยอยู่ในห้องนั้นเลย"
"เงาพระสงฆ์ที่ชั้นสาม…" เมฆพึมพำเบา ๆ ขณะอ่านข้อความในกรุ๊ปแชท ใจเขาหล่นวูบ เพราะห้องที่เข้าอยู่นี่ก็อยู่ชั้นสามเหมือนที่เพื่อนในกรุ๊ปพูดถึง
เขาลุกจากเตียง เดินไปที่หน้าต่างเพื่อสำรวจลายแกะสลักบนกรอบไม้ ความรู้สึกเย็นวาบยังคงอยู่ทุกครั้งที่มองดูมัน ลวดลายโบราณที่คล้ายยันต์ทำให้เขารู้สึกว่าห้องนี้อาจถูกออกแบบให้มีไว้เพื่อ ‘กักบางสิ่ง’ มากกว่าจะปกป้องผู้อยู่อาศัย
ในช่วงค่ำ ขณะที่เมฆกำลังนั่งอ่านหนังสือเพื่อพยายามเบี่ยงเบนความสนใจ เสียงแจ้งเตือนข้อความในโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ติ๊ง!
เอกประวัติศาสตร์ รุ่น XX (56)
ปลาวาฬพ่นฟอง: "เราเคยได้ยินเรื่องจากรุ่นพี่ว่า มีคนที่เคยอยู่หอพักนั้นได้ยินเสียงแปลก ๆ ทั้งเคาะประตู ทั้งเสียงฝีเท้าตอนดึก จนสุดท้ายต้องย้ายออกเพราะอยู่ต่อไม่ไหว"
เมฆอ่านจบก็รู้สึกเหมือนหัวใจหล่นลงไปที่ตาตุ่ม เขารีบพิมพ์ถามในกรุ๊ป
เอกประวัติศาสตร์ รุ่น XX (56)
Dreamy Cloud: "หอที่พูดถึงนี่อยู่แถวไหนเหรอ?"
ปลาวาฬพ่นฟอง: "ก็หอเก่า ๆ ใกล้มอไง หอที่เดินจากมอไปประมาณสิบห้านาทีน่ะ"
คำตอบนั้นทำให้เมฆรู้สึกแน่นในอก มันตรงกับทำเลของหอสมิทิลาเป๊ะ ๆ เขาหันมองรอบ ๆ ห้องด้วยความรู้สึกอึดอัดที่เริ่มถาโถมเข้ามา
เขานั่งนิ่งอยู่สักพัก ก่อนตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ เดินออกจากห้องเพื่อไปหาป้าไหมที่ชั้นล่าง ทันทีที่ประตูปิดลง เขารู้สึกได้ถึงบรรยากาศเงียบสงัดผิดปกติในทางเดินชั้นสาม แสงไฟจากโคมในทางเดินดูสลัว ๆ และเสียงฝีเท้าของตัวเองก็ดังก้องอย่างประหลาด
เมื่อถึงร้านกาแฟ เมฆพบว่าร้านปิดไฟมืดสนิท เขาเดินไปที่ประตูทางเข้าร้าน พยายามมองหาป้าไหมหรือป้าเดือน แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่แถวนั้น
ระหว่างที่เมฆยืนลังเล เสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ดังมาจากทางด้านหลัง เมฆสะดุ้ง หันขวับไปทันที และพบว่าป้าไหมกำลังเดินมาพร้อมถาดขนมในมือ
"มายืนทำอะไรตรงนี้จ๊ะหนูเมฆ มีอะไรหรือเปล่า?" ป้าไหมถามด้วยน้ำเสียงใจดีเหมือนเคย แต่ใบหน้าของเธอดูแปลกไปเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของเมฆ
เมฆรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นป้าไหม "เอ่อ… ผมอยากลงมาคุยกับป้าเรื่องห้อง 304 ครับ" เขารีบตอบ
ป้าไหมนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะวางถาดขนมลงบนโต๊ะใกล้ ๆ แล้วมองหน้าเมฆอย่างพินิจพิเคราะห์ "เรื่องเมื่อคืนอีกใช่ไหมจ๊ะ?"
เมฆพยักหน้า แล้วตัดสินใจเล่าเรื่องข้อความในกรุ๊ปแชทที่เพื่อน ๆ เล่าเกี่ยวกับชั้นสามที่ตรงกับสิ่งที่เขาเจอมาทุกอย่าง
ป้าไหมฟังเงียบ ๆ ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา สีหน้าของเธอดูครุ่นคิดมากกว่าตอนเช้า "ป้าเคยบอกหนูแล้วใช่ไหมว่าอย่าคิดมาก แต่ถ้าหนูรู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่ความคิดไปเอง…"
"ครับป้า ผมรู้สึกว่ามันแปลกเกินไป" เมฆพูดเสียงจริงจัง "เสียงฝีเท้ากับเสียงเคาะประตูมันชัดเจนมาก ป้ารู้ไหมครับว่าที่นี่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?"
ป้าไหมเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แววตาของเธอมีแววลังเล เหมือนกำลังชั่งใจว่าควรจะพูดแค่ไหน
"หอสมิทิลาเป็นหอที่มีอายุมากแล้วลูก มันผ่านเรื่องราวมามากมาย" ป้าไหมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ "บางครั้งเสียงที่หนูได้ยิน อาจไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวเสมอไปหรอกจ้ะ"
"หมายความว่ายังไงครับ?" เมฆถาม สีหน้าครุ่นคิด
ป้าไหมยิ้มบาง ๆ ดวงตาของเธอเปี่ยมไปด้วยความเมตตา "เสียงพวกนั้น อาจจะไม่ได้มีเจตนาทำให้หนูกลัวหรอกจ้ะ"
เมฆนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ "ป้าหมายถึงว่า… มันไม่ได้เป็นอันตราย?"
ป้าไหมพยักหน้าช้า ๆ เธอย้ำด้วยน้ำเสียงมั่นคง "ใช่จ้ะ เมฆลองคิดดูดี ๆ สิ ตั้งแต่หนูย้ายมา เสียงเหล่านั้นเคยทำอะไรที่เป็นภัยต่อหนูหรือเปล่า?"
เมฆชะงักไป เขาพยายามไล่เรียงเหตุการณ์ที่ผ่านมา… เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นตอนดึก เสียงฝีเท้าที่เดินผ่านหน้าห้อง… ทุกอย่างทำให้เขาหวาดกลัว แต่มันไม่เคยเกิดอะไรที่เป็นอันตรายกับเขาจริง ๆ
"แต่ถึงอย่างนั้น... จะมาทำเสียงให้ผมได้ยินทำไมล่ะครับ?" เมฆถามอย่างไม่เข้าใจ
"เขาอาจจะพยายามปกป้องหนูอยู่ก็ได้นะจ๊ะ" ป้าไหมมองเขานิ่ง ๆ ก่อนจะยิ้มบาง ๆ
เมฆรู้สึกขนลุกวาบไปทั่วตัวกับคำพูดนั้น "แล้วทำไมต้องเป็นผมครับ?"
ป้าไหมหัวเราะเบา ๆ "บางทีหนูอาจจะเป็นคนพิเศษกว่าที่คิดก็ได้นะจ๊ะ"
เมฆนิ่งไปกับคำพูดนั้น หัวใจของเขาเต้นระรัวโดยไม่รู้สาเหตุ "แล้วป้ารู้ใช่ไหมว่าเสียงที่ผมได้ยินคืออะไร?" ป้าไหมไม่ตอบทันที เธอมองเลี่ยงไปทางอื่นแล้วพูดขึ้นมาเบา ๆ
"บางเรื่อง ไม่ใช่สิ่งที่ควรรู้ทั้งหมดในคราวเดียวหรอกจ้ะ"
"หมายความว่ายังไงครับ?" ป้าไหมเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา
"ถ้าถึงเวลาที่เหมาะสม หนูจะรู้เอง แต่ป้าขอเตือนไว้เรื่องหนึ่ง หนูอย่าไปยุ่งกับสิ่งที่ไม่ควรยุ่งนะลูก... การเข้าไปใกล้ก็อาจจะไม่ปลอดภัยสำหรับหนู" ป้าไหมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตาเธอเบี่ยงหลบเหมือนไม่อยากสบตาเมฆตรง ๆ
"หมายถึงอะไรครับ?" เมฆถามพลางขมวดคิ้ว
"เสียงบางเสียงหรือแม้กระทั่งบางสิ่งที่หนูเห็น อาจจะมาจากเรื่องราวในอดีตที่ยังค้างอยู่ แต่ที่นี่เป็นสถานที่ที่ปลอดภัย ไม่มีอะไรต้องกลัวนะลูก" ป้าไหมยิ้มบาง ๆ
คำพูดของป้าไหมไม่ได้ช่วยให้เมฆสบายใจขึ้นมากนัก เขายังรู้สึกว่าสิ่งที่ป้าพูดเหมือนยังปิดบังอะไรบางอย่างไว้
"ป้าไหมครับ ถ้าไม่มีอะไรทำไมถึงมีลวดลายแกะสลักที่ประตูระเบียงและหน้าต่างห้อง 304 ล่ะครับ มันดูเหมือนยันต์หรืออะไรบางอย่างที่ใช้ป้องกันอะไรซักอย่างมากกว่าจะเป็นของตกแต่งธรรมดา"
ป้าไหมนิ่งไปอีกครั้งก่อนจะตอบเบา ๆ "เอาไว้พรุ่งนี้ป้าจะเล่าให้ฟังละเอียดกว่านี้นะ คืนนี้หนูพักผ่อนให้เต็มที่ก่อน ถ้าหนูไม่สบายใจจริง ๆ ลองลงมานอนข้างล่างที่ร้านกาแฟก็ได้นะจ๊ะ"
เมฆพยักหน้ารับ แม้ในใจจะเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่เขาก็เลือกที่จะไม่กดดันป้าไหมมากไปกว่านี้ เขากลับขึ้นไปที่ห้อง 304 พร้อมความรู้สึกที่ค้างคาใจยิ่งกว่าเดิม เมื่อเขากำลังจะปิดประตู สายตาเขาก็สะดุดที่ตุ๊กตาดินเผาซึ่งตอนนี้มันวางอยู่บนโต๊ะหนังสือ ไม่ได้อยู่หลังตู้เสื้อผ้าที่เดิมที่มันเคยอยู่ หัวใจเมฆเต้นระรัวเมื่อเขาจำได้ชัดเจนว่าเมื่อคืนเขาวางมันกลับไปที่เดิมหลังจากขึ้นมาสำรวจ
ในความเงียบสงัดของยามค่ำคืน เมฆพยายามสงบจิตใจหลังจากกลับมาที่ห้อง 304 เขาตั้งใจว่าจะลงไปหาป้าไหมทันทีหากเกิดอะไรแปลก ๆ อีก แต่ระหว่างที่เขากำลังจะเคลิ้มหลับ เสียงเคาะประตูเบา ๆ ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก...
เสียงนั้นดังชัดเจนในความเงียบ แล้วก็หยุดไป เมฆหายจากความง่วงงุ่นทันที เขานอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง แม้เขาจะพยายามหลับตาและข่มจิตใจให้สงบ แต่เสียงเคาะประตูจากก่อนหน้ายังคงก้องในหัว ยิ่งพยายามหลับ เสียงฝีเท้าลึกลับที่อ่านเจอในกรุ๊ปแชทกลับยิ่งชัดเจนในความคิด
เมฆพลิกตัวไปมา พยายามปลอบใจตัวเองว่าอาจเป็นเพียงจินตนาการจากความเหนื่อยล้า แต่ยิ่งเวลาผ่านไป หัวใจก็ยิ่งเต้นแรงด้วยความรู้สึกอธิบายไม่ได้ ความเงียบในห้องทำให้เขารู้สึกอึดอัด จนกระทั่งเสียงแปลก ๆ ดังขึ้นอีกครั้ง
ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก...
เสียงเคาะประตูดังชัดเจนพอจะทำให้เมฆสะดุ้งลุกขึ้นนั่ง เขาจ้องไปที่ประตูห้องด้วยสายตาระแวดระวัง ทุกอย่างเงียบสนิท ไม่มีเสียงฝีเท้าต่อเนื่อง ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ จากอีกฝั่งประตู
เมฆสูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามรวบรวมความกล้า ก่อนจะลุกออกจากเตียง เขาก้าวไปที่ประตูอย่างช้า ๆ หยุดยืนอยู่ตรงหน้า ท่ามกลางหัวใจที่เต้นแรงจนน่ากลัว เขาเอื้อมมือไปจับลูกบิด แต่กลับลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
ถ้าไม่มีใครอยู่ล่ะ... หรือถ้าเจออะไรที่ไม่อยากเจอจะทำยังไง?
เมฆคิดกับตัวเอง เสียงในหัวของเขาตอบกลับอย่างรวดเร็ว
ถ้าอยู่เฉย ๆ ก็คงไม่ได้คำตอบ
สุดท้าย เมฆหมุนลูกบิดประตูอย่างช้า ๆ ประตูเปิดออกพร้อมกับลมเย็นวูบหนึ่งพัดผ่านหน้า ทางเดินยาวด้านหน้าปรากฏในแสงสลัวจากโคมไฟที่กระพริบเป็นระยะ ทุกอย่างดูปกติจนผิดปกติ
เมฆยืนมองอยู่นาน แต่ก็ไม่พบสิ่งใดที่อาจเป็นต้นเหตุของเสียงเคาะ เขาก้าวออกมาจากห้องโดยไม่รู้ตัว เสียงฝีเท้าของตัวเองดังก้องไปตามทางเดิน เขาชะเง้อมองไปทางบันได แล้วตัดสินใจลงไปที่ชั้นล่าง เพื่อหาป้าไหม หรืออย่างน้อยก็ออกจากบรรยากาศที่กดดันในห้องนี้
เมื่อมาถึงล็อบบี้ เขาเดินไปนั่งที่โซฟาไม่ได้เดินไปหาป้าไหมอย่างที่ตั้งใจในตอนแรก เพราะเหลือบไปเห็นนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนแล้ว เขาทรุดตัวลงบนโซฟาเพื่อพยายามสงบใจ สายตาจับจ้องไปที่ประตูหน้าหอพักซึ่งปิดสนิท แสงจากโคมไฟในล็อบบี้ส่องสลัว ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนทุกสิ่งรอบตัวเงียบงัน เมฆหันไปมองตู้จดหมายที่เรียงรายอยู่ไม่ไกล
ในขณะที่เมฆนั่งอยู่ในความเงียบ ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็ดังขึ้นจากชั้นบน เสียงนั้นชัดเจนราวกับใครบางคนกำลังเดินผ่านทางเดินบนชั้นสอง เสียงดังพอที่จะสะท้อนลงมาถึงชั้นล่าง เขามองไปยังฝั่งบันไดด้วยความระแวง เมฆรีบลุกขึ้นยืนเดินไปทางช่องประตูโถงบันได หัวใจเต้นระรัว เขาเงยหน้ามองขึ้นไปที่ทางเดินบันได แต่ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากเงามืดที่ทอดยาวลงมา
ก่อนที่เขาจะตัดสินใจทำอะไร เสียงฝีเท้าก็เงียบไป แต่กลับมีบางสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีใครบางคนอยู่ใกล้ ๆ เขาหันไปทางประตูห้องเก็บของที่อยู่ไม่ไกลนัก และสิ่งที่เขาเห็นทำให้เขาชะงักงัน
ท่ามกลางแสงสลัวของล็อบบี้ พระในจีวรสีเขียวเข้มยืนสงบนิ่งอยู่หน้าประตูห้องเก็บของ ร่างสูงสง่าของเขาเหมือนจะกลืนไปกับเงามืดรอบตัว ดวงตาของเมฆจับจ้องไปที่แผ่นหลังของพระอย่างไม่อาจละสายตาได้ ความรู้สึกเย็นเยือกไหลผ่านลำคอของเขาเมื่อเงานั้นเริ่มขยับ
ร่างสูงสง่าของพระผู้นั้นค่อย ๆ หันกลับมา ช้า ๆ ในท่าทางที่สงบนิ่ง แม้ร่างของเขาจะล้อมรอบด้วยเงาสลัว แต่ใบหน้ากลับดูคมชัด แฝงไว้ด้วยพลังบางอย่างที่ยากจะอธิบายได้ ดวงตาของเขาลุ่มลึกราวกับกำลังมองผ่านทุกสิ่ง ทั้งเย็นชาและอบอุ่นในคราวเดียวกัน
เมฆยืนนิ่งอยู่ชั่วขณะ ก่อนรวบรวมความกล้าเอ่ยปากถาม
"เอ่อ... หลวงพ่อครับ มาทำอะไรที่นี่เหรอครับ?"
“ลูกเอ๋ย... สิ่งที่ถูกกักขัง มันเริ่มส่งสัญญาณแล้ว” เสียงของเขาดังก้องในความเงียบ ขณะที่ลมเย็นวูบหนึ่งพัดผ่านราวกับไม่มีที่มาที่ไป เงาของพระในจีวรเขียวดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นตามแสงสลัวรอบตัว
คำพูดนั้นทำให้เมฆยืนนิ่งงัน สมองของเขาไม่อาจประมวลผลได้ว่าพระผู้นี้คือใคร หรือคำพูดนั้นหมายถึงอะไร ก่อนที่เขาจะทันได้ถามอะไร พระในจีวรเขียวก็หมุนตัวเดินเข้าไปในประตูห้องเก็บของที่ควรจะล็อกไว้ เขาเดินเข้าประตูไปราวกับมันเปิดต้อนรับโดยไม่มีการขยับใด ๆ เมฆมองตามด้วยความตื่นตระหนก
เขารีบเดินไปที่ประตูบานนั้นแล้วลองเปิด แต่พบว่าประตูถูกล็อกแน่นหนาเหมือนเดิม เมฆลองขยับลูกบิด แต่ไม่มีวี่แววว่ามันจะเปิดออกได้ เขาเคาะประตูเบา ๆ แต่ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ ราวกับสิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตา
เมฆถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว สายตาจับจ้องที่ประตูอย่างไม่วางตา ความสงสัยและความหวาดกลัวถาโถมเข้ามาในจิตใจ เขารู้ว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นช่างน่าพิศวงเกินกว่าจะอธิบายได้
“สิ่งที่ถูกกักขัง มันเริ่มส่งสัญญาณแล้ว...” เขาพึมพำทวนคำพูดของชายในจีวรเขียว คำพูดนั้นแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกลับและยากจะเข้าใจ มันหมายถึงอะไรกันแน่? และเหตุใดชายคนนั้นถึงเดินเข้าห้องเก็บของได้ทั้งที่ปกติมันล็อกแน่นหนา?
เมฆพยายามรวบรวมความกล้า เขาลองเคาะประตูอีกครั้ง คราวนี้แรงขึ้น แต่ผลก็เหมือนเดิม ไม่มีเสียงตอบกลับ มีเพียงความเงียบที่ปกคลุมรอบตัวเขา เมฆถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันหลังกลับไปที่ล็อบบี้ด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง
เมื่อกลับมานั่งที่โซฟา เมฆพยายามรวบรวมความคิด สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ทำให้เขาเริ่มตั้งคำถามว่าแท้จริงแล้ว หอสมิทิลาแห่งนี้อาจไม่ใช่แค่หอพักธรรมดา บางสิ่งที่เขาได้ยินจากกรุ๊ปแชท หรือสิ่งที่ป้าไหมพยายามเลี่ยงตอบ อาจเกี่ยวข้องกับความลับบางอย่างที่ใหญ่กว่าที่เขาเคยคิด แต่คำถามสำคัญที่สุดในใจของเขาในตอนนี้คือ พระในจีวรเขียวคือใคร? และ ‘สิ่งที่ถูกกักขัง’ หมายถึงอะไรกันแน่? ทุกอย่างที่เขาเจอเหมือนย้ำเตือนว่าเขาไม่อาจหลีกหนีสิ่งลึกลับที่กำลังเกิดขึ้นในหอพักนี้ได้อีกต่อไป...