หอพักเก่าแก่ที่เงียบสงบ... ซ่อนบางสิ่งที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง ‘สมิทิลา’ ไม่ใช่แค่หอพัก แต่มันคือ ‘ประตู’ ที่กั้นระหว่างสองโลกไม่มีใครรู้ว่า... ผู้อยู่อาศัยที่นี่ ไม่ใช่แค่ ‘มนุษย์’

สมิทิลา หอพักสื่อสองโลก - ตอนที่ 7 สายใยแห่งบุญ โดย สิริสัตตบุษย์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,ลึกลับ,แฟนตาซี,ไทย,ระทึกขวัญ,ภูตผี,วิญญาณ,สิ่งลี้ลับ,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

สมิทิลา หอพักสื่อสองโลก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,ลึกลับ,แฟนตาซี,ไทย,ระทึกขวัญ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ภูตผี,วิญญาณ,สิ่งลี้ลับ,นิยายวาย

รายละเอียด

สมิทิลา หอพักสื่อสองโลก โดย สิริสัตตบุษย์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

หอพักเก่าแก่ที่เงียบสงบ... ซ่อนบางสิ่งที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง ‘สมิทิลา’ ไม่ใช่แค่หอพัก แต่มันคือ ‘ประตู’ ที่กั้นระหว่างสองโลกไม่มีใครรู้ว่า... ผู้อยู่อาศัยที่นี่ ไม่ใช่แค่ ‘มนุษย์’

ผู้แต่ง

สิริสัตตบุษย์

เรื่องย่อ

เมฆ นักศึกษาปี 1 ผู้ไม่เคยเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อเขาย้ายเข้า "สมิทิลา" หอพักเก่าแก่ที่เงียบสงบ... เงียบเสียจนไม่ควรมีเสียงฝีเท้ายามค่ำคืน เสียงเคาะประตูยามดึก แต่ที่น่ากลัวกว่านั้น... คือความลับที่ซ่อนอยู่

‘พี่ตุนท์’ ชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่เหมือนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสมิทิลา แต่กลับพูดจาเป็นปริศนาเสมอ

‘พี่มะลิ’ พี่สาวแท้ ๆ ที่ดูเหมือนจะปิดบังอะไรบางอย่าง และพยายามกันเขาออกจากเรื่องนี้

เมื่อ ความลับของสมิทิลาเริ่มเผยตัว

เมื่อ เขาเริ่มเห็นในสิ่งที่ไม่มีใครควรเห็น

และเมื่อ อดีตที่ถูกฝังลึก... กำลังตื่นขึ้น

ระหว่าง หน้าที่ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง กับ ความรู้สึกที่ห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้ เขาจะปกป้องสมิทิลาได้... หรือสุดท้ายแล้ว จะสูญเสียทุกอย่างไป?

 


 


 




***เรื่องราวความเชื่อ จิตวิญญาณ พิธีกรรม สถานที่ และเหตุการณ์ต่าง ๆ ในนิยายเรื่องนี้

เป็นเรื่องสมมติที่สร้างขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน***

สารบัญ

สมิทิลา หอพักสื่อสองโลก-ตอนที่ 1 หอพักลึกลับ,สมิทิลา หอพักสื่อสองโลก-ตอนที่ 2 คืนสงบที่ไม่สงบ,สมิทิลา หอพักสื่อสองโลก-ตอนที่ 3 สลับห้อง,สมิทิลา หอพักสื่อสองโลก-ตอนที่ 4 สิ่งที่ถูกกักขัง,สมิทิลา หอพักสื่อสองโลก-ตอนที่ 5 กุญแจสู่ความลับ,สมิทิลา หอพักสื่อสองโลก-ตอนที่ 6 สื่อกลางระหว่างภพ,สมิทิลา หอพักสื่อสองโลก-ตอนที่ 7 สายใยแห่งบุญ,สมิทิลา หอพักสื่อสองโลก-ตอนที่ 8 เปิดสัมผัสใหม่,สมิทิลา หอพักสื่อสองโลก-ตอนที่ 9 ผู้พิทักษ์ฝึกหัด,สมิทิลา หอพักสื่อสองโลก-ตอนที่ 10 พลพรรคเหล่าผู้พักพิง

เนื้อหา

ตอนที่ 7 สายใยแห่งบุญ

 เมฆวางโทรศัพท์ลงข้างตัว ถอนหายใจเบา ๆ วันนี้เขาได้เรียนรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับหอสมิทิลา รวมถึงแอป Samithila Connect และระบบโอนบุญ เขาตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะลองใช้งานดู แต่ตอนนี้เขาแค่ต้องการจะนอน…

 เขาปิดไฟห้อง เหลือเพียงแสงไฟสลัวจากด้านนอกที่ลอดผ่านหน้าต่าง เสียงแอร์ทำงานเบา ๆ เขาพลิกตัวไปมาอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ทนไม่ไหว หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู 23.13 น.

 เมฆรู้สึกกระหายน้ำอย่างประหลาด ทั้งที่ปกติไม่ใช่คนชอบตื่นมากลางดึกแบบนี้ เขาหยิบกระบอกน้ำขึ้นมาหวังจะดื่มเพื่อดับกระหาย แต่ปรากฏว่าน้ำหมด

 "แค่ไปกดน้ำแป๊บเดียว… คงไม่เจออะไรหรอกมั้ง" เมฆพึมพำกับตัวเอง พลางลุกขึ้น คว้าแก้วน้ำบนโต๊ะ มือเอื้อมไปเปิดประตูห้อง ก้าวเท้าออกสู่ทางเดินเงียบสงัดของชั้น 2

 ทางเดินของหอพักยามค่ำคืนเงียบสงัดกว่าปกติ แสงไฟสีส้มจากหลอดไฟติดเพดานส่องสว่างเพียงพอให้มองเห็นทางเดิน แต่กลับให้ความรู้สึกแปลก ๆ ที่อธิบายไม่ถูก เขาพยายามไม่สนใจความรู้สึกประหลาดที่แล่นวูบขึ้นมา เขากระชับแก้วน้ำในมือ เดินลงบันไดไปชั้นล่าง

 เมฆยืนรอพลางหาวเล็กน้อย ระหว่างรอน้ำค่อย ๆ ไหลลงมาให้เต็มแก้ว

 "เสร็จแล้ว…" เขาหยิบแก้วขึ้น ดื่มอึกใหญ่ ก่อนจะหันหลังกลับ เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง

 เมฆเดินขึ้นบันไดมา เสียงฝีเท้าของตัวเองสะท้อนก้องในความเงียบ เขากำแก้วน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำเย็นแน่น หวังให้ของเหลวเย็นเฉียบช่วยดับความกระหายในลำคอ

 ฟึ่บ…

 ไฟเพดานกระพริบแวบหนึ่งก่อนกลับมาสว่างตามปกติ อากาศเย็นวูบขึ้นโดยไม่มีเหตุผล เมฆกระชับแก้วน้ำในมือโดยไม่รู้ตัว เขาก้าวขึ้นถึงชั้นสอง พอเลี้ยวออกจากโถงบันได ก็เห็นทางเดินทอดยาวไปจนสุดปลายทาง

 ทุกห้องเงียบสนิท…

 แอ๊ดดดด…

 เสียงบานประตูเปิดดังขึ้นจากทางด้านขวา

 เมฆชะงัก… หัวใจเต้นกระตุก

 เขาค่อย ๆ เหลือบไปมองประตูห้อง 202 ค่อย ๆ เปิดออกเองช้า ๆ…

 "อึก…" เมฆกลืนน้ำลาย ความรู้สึกหนาววูบวิ่งขึ้นตามกระดูกสันหลัง นี่มันดึกขนาดนี้แล้ว ใครยังไม่นอน?

 ร่างของใครบางคนค่อย ๆ ก้าวออกมา

 หญิงสาวร่างสูงโปร่งในชุดนักศึกษา ผมดำยาวเคลียไหล่ เสื้อเชิ้ตสีขาวหลวม ๆ กับกระโปรงพลีทยาวถึงข้อเท้า รองเท้าคัชชูสีดำที่ดูเรียบร้อย ทุกอย่างดูปกติ... ถ้าไม่ติดว่าผิวของเธอซีดขาวผิดมนุษย์ 

 เมฆขนลุกวาบไปทั้งตัว

 หญิงสาวเดินออกมาช้า ๆ ฝีเท้าแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน แต่กลับให้ความรู้สึกหนักหน่วงทุกย่างก้าว เธอเอนตัวเล็กน้อยเหมือนคนหมดแรง ก่อนจะก้าวมาทางบันไดอย่างเชื่องช้า

 เมฆเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ… เธอเหมือนกำลังจะเดินไปที่ไหนสักแห่ง ร่างกายเธอไม่ได้แสดงความสนใจเมฆเลย ราวกับกำลังอยู่ในภวังค์ หรือกำลัง ‘เล่นซ้ำ’ อะไรบางอย่าง

 "...ฉัน... ต้องไป..." เสียงพึมพำเบาหวิว... เย็นยะเยือก ชวนให้ขนลุก

 เมฆรู้สึกว่าอากาศรอบตัวเย็นลงอย่างฉับพลัน

 หญิงสาวไม่ได้หันมามองเขาเลย แต่ทิศทางการเดินของเธอเป็นเส้นตรงไปยังบันได... บันไดที่อยู่ข้างเขาพอดี!

 ในความเงียบ เมฆได้ยินเพียงเสียงลมหายใจตัวเองที่ขาดห้วง

 เธอกำลังเดินไปลงบันได… แต่เพราะเธอเดินเซ ทำให้ดูเหมือนเดินตรงเข้ามาหาเขา!

 “เชี่ย…!”

 เมฆสะดุ้งเฮือก ใจหล่นวูบจนแทบหยุดเต้น ความกลัวแล่นพล่านไปทั่วร่าง นี่มันอะไรกัน!?

 เขาตัดสินใจไม่รอให้เธอเดินมาถึงตัว รีบก้าวถอยหลังพรวด วิ่งลงบันไดไปแทน! เสียงฝีเท้าของเขาดังสะท้อนกับผนัง

 ขณะที่เขากำลังลงบันได เมฆเผลอเหลือบกลับไปมอง

 ร่างซีดขาวของเธอยังคงก้าวเดินลงมาอย่างเชื่องช้า ไม่ได้สนใจเขาเลย

 แต่มันกลับยิ่งทำให้เขาหายใจไม่ทั่วท้องกว่าเดิม!

 เมฆไม่สนใจอะไรอีกแล้ว รีบกระโจนลงไปถึงล็อบบี้ มือควักโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาพี่มะลิทันที เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังไปหลายครั้ง แต่ไม่มีใครรับสาย!

 "รับสิ… รับสิพี่มะลิ!" เขาเดินวนไปมา ใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกจากอก

 ทำไมไม่รับ!?

 เขาไม่กล้ากลับขึ้นไปบนห้องตอนนี้ ต้องหาใครสักคนที่ให้คำตอบเขาได้ก่อน เมฆละสายตาจากโทรศัพท์ แล้วสังเกตเห็นแสงไฟสลัวจากร้านกาแฟ…

 ป้าไหม…? ป้าเดือน…?

 สองป้ายังไม่นอน!

 เมฆลังเลเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะตัดสินใจเดินไปผลักประตูเข้าไปด้านใน

ภายในร้าน เงาของคุณป้าสองคนกำลังจัดของลงถุง

 "หนูเมฆ?" ป้าไหมเงยหน้าขึ้นมองอย่างแปลกใจ "ทำไมหน้าซีดแบบนั้นลูก?"

 เมฆหอบหายใจ สีหน้ายังไม่กลับมาเป็นปกติเต็มที่ "ผม… ผมเพิ่งเจออะไรบางอย่าง…"

 "ใจเย็น ๆ ลูก นั่งก่อนนะ" ป้าไหมดึงเก้าอี้ให้เมฆนั่งลง "หายใจเข้าลึก ๆ ลูก ใจเย็น ๆ ก่อน"

 เมฆยังคงหอบหายใจ เขาใช้หลังมือปาดเหงื่อที่ขมับ มือยังกำโทรศัพท์แน่น "ป้าครับ… ผม… ผมเจออะไรบางอย่าง…" 

 ป้าเดือนเลื่อนน้ำอุ่นมาให้ "ไม่ต้องรีบเล่าจ้ะ ค่อย ๆ ตั้งสติ" 

 เมฆพยายามควบคุมลมหายใจ นั่งเงียบอยู่อึดใจหนึ่ง

 แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง "ใจเย็น ๆ นะคะ"

 เมฆสะดุ้ง หันไปมองอย่างระแวดระวัง ก่อนจะเห็นหญิงสาวในชุดไทยเดินเข้ามา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยเมตตา 

 "หนูเมฆใช่ไหมคะ?"

 เมฆจองเธอตามสัญชาตญาณ หญิงสาวชุดไทยคนนั้นค่อย ๆ ก้าวเข้ามาในร้าน เธออยู่ในชุดสไบสีชมพูอ่อน เรือนผมยาวดำขลับเกือบจะถึงเอว ลักษณะสะโอดสะองเหมือนตัวละครในรูปจิตรกรรมโบราณ สิ่งที่สะดุดตาเมฆที่สุดคือผิวของเธอสีขาวอมเหลืองดูราวกับมีประกายจากแสงไฟสีส้มในร้าน เน้นให้เห็นความนุ่มนวลและอ่อนโยน

 “อ้าว… คุณสไบ มาดึกจังเลยวันนี้” ป้าเดือนเอ่ยทัก หญิงสาวชุดสไบก็ยิ้มตอบ ดูคุ้นเคยกับป้าเดือนไม่ต่างจากแขกประจำคนหนึ่ง เมฆจ้องจนแทบลืมหายใจ หัวใจเต้นแรงด้วยความแปลกใจผสมประหลาดใจ เมื่อภาพตรงหน้าเขาคือ ‘นางไม้’

 “สวัสดีค่าป้าเดือน ป้าไหม” หญิงสาวพนมมือไหว้อย่างนอบน้อม เสียงของเธอหวานราวกับกระแสลมยามเช้า ขณะที่ก้าวเข้ามาใกล้โต๊ะ เมฆสะดุดตากับรอยยิ้มบางของเธอ เหมือนคนมีเมตตา 

 "ฉันได้ยินเสียงวิ่งเลยลงมาดู" คุณสไบพูดขึ้นอย่างนุ่มนวล ก่อนจะย่อตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ข้างเมฆ

  “นี่คุณสไบนะลูก เมฆรู้จักกันไว้ก่อน เดี๋ยวคงได้คุ้นเคยกันมากขึ้น” ป้าไหมแนะนำเธอกับเมฆทันที

 “สวัสดีครับ” เมฆฝืนยิ้ม แม้ในหัวจะเต็มไปด้วยคำถาม

 “สวัสดีจ้ะ” คุณสไบตอบพลางมองเมฆสายตาอ่อนโยน 

 ขณะที่เมฆตั้งตัวไม่ทัน ป้าเดือนก็เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ  “เมฆกำลังตกใจเรื่องบางอย่างน่ะจ้ะ เดี๋ยวอาจให้คุณสไบช่วยดูหน่อยได้ไหม”

 “ได้สิจ๊ะ” คุณสไบพยักหน้า ก่อนจะหันมามองเมฆ “หนูเมฆไม่ต้องกลัวนะคะ ที่นี่ไม่มีใครจะมาทำร้ายหนูหรอก”

 เมฆอ้าปากค้าง เบิกตากว้าง “คุณ… รู้จักผมด้วยเหรอครับ?”

 “พอจะได้ยินมาบ้างน่ะ” เธอพูดพลางหัวเราะเบา ๆ “หลายคืนก่อน เห็นหนูเดินออกมาจากห้องชั้นบนด้วยสีหน้ากังวล ฉันเองก็อยากเข้าไปทัก แต่กลัวว่าจะยิ่งตกใจ”

 “นี่…” เมฆหันไปมองสองป้าสลับกับคุณสไบ แล้วก็ตัดสินใจโพล่งถามตรง ๆ “คุณสไบเป็น… หมายถึง เป็นวิญญาณหรือ… ผี หรืออะไรหรือเปล่าครับ?”

 ได้ยินดังนั้น ป้าไหมถึงกับหลุดยิ้ม “ตายจริง หนูเมฆถามตรงไปละลูก” แต่ดูเธอไม่ได้โกรธเคืองอะไร “เอาเป็นว่าคุณสไบเธอเป็น ‘นางไม้’ ผู้พักพิงอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”

 “พวกป้าก็พูดเหมือนมันง่าย ๆ แต่ผม… ตั้งแต่เกิดไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน…” เมฆถอนหายใจยาว ความไม่เข้าใจยังฉายชัดในดวงตา “ผมแค่งงว่าทำไมทุกคนถึงไม่ดูกลัวเลย พอเห็นกันปุ๊บก็ทักทายเหมือนคนรู้จักกันมานาน”

 “เพราะพวกเราคุ้นเคยน่ะสิ คุณสไบก็มาพักที่นี่นานแล้ว” ป้าเดือนว่า “แต่เธอไม่ค่อยปรากฏตัวให้ใครเห็นเท่าไหร่”

  “บางทีฉันก็ออกไปนั่งเล่นตรงสวนหลังหอ เผื่อใครอยากหาเพื่อนคุย นาน ๆ ทีก็พอมีเด็กหอเจอเหมือนกันนะคะ แต่คงคิดว่าเป็นผีเลยหนีไป ฉันไม่อยากทำใครตกใจ เลยพยายามเลือกเวลา” สไบยิ้มบาง

 เมฆฟังแล้วใจสั่นนิด ๆ “แล้ว… ถ้าคุณเป็นนางไม้ ทำไมถึงมาอยู่ในหอพักได้ล่ะครับ?”

 “เรื่องมันยาวน่ะลูก” ป้าไหมสอดขึ้น “เอาเป็นว่าเรามี ‘ข้อตกลง’ ระหว่างมนุษย์กับอีกโลกหนึ่งมานาน ที่นี่เป็นเหมือนจุดเชื่อมโลก ถ้าเผ่าพันธุ์อื่นอยากมาอาศัย ต้องอยู่ใต้กฎเกณฑ์และร่วมแบ่งปันบุญกัน พวกป้าก็ดูแลให้ทุกอย่างสงบ”

 “คุณสไบเองก็เป็นหนึ่งในแขกจากอีกภพ ที่เลือกมาใช้ชีวิตส่วนหนึ่งที่นี่” ป้าเดือนเติม ขณะหยิบผ้าชุบน้ำมาเช็ดเคาน์เตอร์ “เธอใจดีจะตาย”

 เมฆพยักหน้าช้า ๆ อย่างยังไม่เข้าใจดีนัก แต่ก็โล่งใจขึ้นว่าผู้หญิงคนนี้เป็น ‘ฝ่ายดี’ อีกทั้งรัศมีที่เธอเปล่งออกมาก็ดูอ่อนโยนเหลือเกิน ต่างจากผีหลอน ๆ ที่เขาเคยจินตนาการไว้

 "เธอเจอจันทร์เจ้าใช่ไหม?" สไบหันไปถามเมฆถึงสาเหตุที่เธอได้ยินเสียงวิ่ง

 “อ่า... ถ้าหมายถึงผู้หญิงห้อง 202 ก็ใช่ครับ” เมฆตอบพร้อมพยักหน้าช้า ๆ

 "เธอ… น่าสงสารมากนะ" พี่สไบถอนหายใจเบา ๆ "ฉันเพิ่งเห็นเธอเมื่อกี้ เธอดูอ่อนแรงจนแทบยืนไม่ไหว"

 "เดี๋ยว… เดี๋ยวก่อน เธอเป็นคนที่อยู่หอนี้จริง ๆ หรือเปล่าครับ? คือเธอดู… ไม่เหมือนคนปกติเลย" เมฆยังคงสับสน

 "จันทร์เจ้าเป็นผู้พักพิงของที่นี่จ้ะ" ป้าไหมยิ้มบาง ๆ

 "แต่ทำไม… ทำไมเธอถึงดู…" เมฆถามด้วยเสียงเบา

 "เพราะเธอแทบไม่มีบุญเหลือเลย" ป้าไหมตอบช้า ๆ "ผู้พักพิงที่อยู่ในสมิทิลาบางพวกก็ต้องใช้บุญในการดำรงอยู่ ยิ่งถ้าไม่ใช่มนุษย์ ยิ่งต้องใช้บุญเพื่อรักษาสภาพ"

 "หมายความว่า… ถ้าบุญหมดก็…" เมฆเอ่ยเสียงแผ่ว

 "ร่างจะอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ และสุดท้าย… จะสลายหายไป" เมฆขนลุกเมื่อได้ยิน

 "จันทร์เจ้าไม่ได้ชอบยุ่งกับใคร" สไบพูดเสริม "เธออยู่ของเธอเงียบ ๆ ไม่มีใครรู้เลยว่าเธอกำลังอ่อนแรงลงทุกวัน จนวันนี้… ตุนท์บังเอิญเห็นเธอพอดี"

 "พี่ตุนท์?" เมฆทวนคำ

 "ใช่จ้ะ ตุนท์มาบอกป้าเหมือนกันว่าให้พวกป้าทำบุญแล้วอุทิศให้จันทร์เจ้าหน่อย" ป้าไหมพูด "พรุ่งนี้พวกป้าเลยจะไปถวายสังฆทานกับผ้าไตรจีวร แล้วกรวดน้ำให้เธอ"

 เมฆนิ่งไป ก่อนจะเหลือบมองโทรศัพท์ในมือ เขานึกถึงฟังก์ชันหนึ่งในแอปที่พี่ตุนท์ให้โหลดมา Merit Transfer…

 "ผมโอนบุญให้เธอได้ไหมครับ?" เมฆมองป้าไหม สายตายังเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งตกใจ หวาดหวั่น และแปลกใจที่เขาสามารถช่วยเหลือ 'สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์' ได้จริง ๆ

 ป้าไหมกับป้าเดือนยิ้มอย่างอ่อนโยน "แน่นอนจ้ะ หนูทำได้ ลองใช้แต้มบุญแผ่กุศลไปให้เขาดูนะ" 

 เมฆพยักหน้าหนักแน่น แม้หัวใจยังเต้นเร็วไม่เป็นจังหวะ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าแค่คืนเดียว ชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไปขนาดนี้ จากที่ไม่เคยเห็นอะไรเหนือธรรมชาติ กลายเป็นต้องมานั่งโอนบุญให้วิญญาณที่กำลังจะสลายไป

 “เมฆน่าจะยังไม่มีเจ้าจันทร์ในรายชื่อเพื่อน เดี๋ยวสแกน QR code นี่ เพื่อเพิ่มรายชื่อจันทร์เจ้าเข้าไปก่อนนะจ้ะ” พี่สไบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วพลิกหน้าจอให้เมฆเห็น QR code สำหรับเพิ่มเพื่อนในแอป Samithila Connect

 เมฆกลืนน้ำลาย ขยับมือไปรับโทรศัพท์ของตัวเอง ก่อนจะใช้แอปสแกนโค้ด รอสัญญาณ ‘เพิ่มเพื่อนสำเร็จ’ แล้วชื่อ ‘จันทร์เจ้า’ ก็ปรากฏขึ้นในรายชื่อของเขา

 “แบบนี้หรอครับ… ผมกังวลนิดหน่อย เพิ่งเคยทำครั้งแรกเลยครับ” เมฆบอกด้วยเสียงประหม่า

 “ไม่เป็นไรจ้ะ ค่อย ๆ ทำตามที่ฉันบอกนะ” สไบยิ้มบาง “เมฆกดที่ ‘โอนบุญ’ แล้วเลือกชื่อเจ้าจันทร์นะ เสร็จแล้วตั้งสติ หายใจเข้าออกช้า ๆ ระลึกถึงความเมตตา ที่ตั้งใจจะช่วยเขา ต่อจากนั้นก็กด ‘ยืนยัน’ จ้ะ” พี่สไบค่อย ๆ แนะนำเมฆให้ทำตาม

 เมฆกลืนน้ำลายอีกครั้ง ก่อนจะกดเลือกชื่อ ‘จันทร์เจ้า’ จากนั้นก็พิมพ์จำนวนแต้มบุญลงในช่อง ริมฝีปากเม้มแน่นขณะจ้องหน้าจอ โทรศัพท์ในมือรู้สึกหนักกว่าปกติ เขาหลับตา สูดลมหายใจลึก คิดถึงภาพของจันทร์เจ้าที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ ใบหน้าซีดเผือด สายตาเลื่อนลอย ร่างกายที่แทบยืนไม่ไหว

 เธอไม่ได้ทำอะไรให้เขากลัวเลย… แต่เขากลัวเอง พอคิดแบบนี้ เมฆก็รู้สึกถึงความสงสารบางอย่างแล่นวาบเข้ามาในอก

 "ขอให้บุญนี้ช่วยเธอได้จริง ๆ เถอะ" เมฆกดปุ่ม ‘ยืนยัน’

 ทันใดนั้น… รู้สึกอุ่นวาบในอก คล้ายกับพลังงานไหลผ่านร่างกายไปตามปลายนิ้ว ลมหายใจของเขาอุ่นขึ้น แก้มเริ่มร้อนผ่าว เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนผ่านตัวเขาไป

 เมฆสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงความอุ่นวาบที่แล่นผ่านร่าง ราวกับอะไรบางอย่างถูกถ่ายโอนไปจริง ๆ เขามองมือตัวเองอย่างตื่นตะลึง ไม่ใช่แค่อุ่น… แต่เขารู้สึกเบาสบายขึ้นอย่างน่าประหลาด เป็นไปได้ไหมว่าบุญที่โอนไป ทำให้เขาเองก็รู้สึกสงบขึ้น? หรือว่า… การทำบุญให้วิญญาณก็สามารถส่งผลกับตัวคนให้ได้เหมือนกัน?

 พี่สไบยิ้มบาง "นี่ล่ะ ‘พลังบุญ’ ที่เมฆเพิ่งส่งไป มันเชื่อมโยงกันทั้งสองฝั่ง"

 เมฆมองโทรศัพท์อีกครั้ง บนหน้าจอมีข้อความแจ้งเตือนขึ้นมา ‘โอนบุญสำเร็จ’ พร้อมตัวเลขแต้มบุญที่ลดลงเล็กน้อย

 “ง่ายมากเลยนะครับเนี่ย” เมฆพึมพำเบา ๆ แม้จะรู้สึกตื่นเต้น แต่ลึก ๆ แล้วมันกลับทำให้เขารู้สึก… ผ่อนคลาย ราวกับแบกรับอะไรบางอย่างมานาน และตอนนี้ได้ปล่อยวางมันลงไป

 หลังจากโอนบุญเสร็จ สีหน้าของเมฆดูผ่อนคลายลงกว่าตอนแรก สไบสังเกตเห็นจึงยิ้มบาง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เมฆดูเครียดมากเลยนะ บางทีลองหย่อนใจ ดูแลสติของตัวเองเยอะ ๆ สวดมนต์ภาวนา แล้วก็เปิดใจให้กว้าง เผื่อจะเห็นมุมอื่น ๆ ของโลกนี้ที่ไม่เคยเห็น”

 เมฆกระพริบตา สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหมือนพี่สไบอ่านใจเขาได้ เขาก็แค่… ยังไม่ชิน กับทุกอย่างที่เกิดขึ้นเร็วเกินไป

 ป้าไหมหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะลูบหลังเขาอย่างอ่อนโยน "ไม่ต้องคิดมากหรอกลูก หอพักนี้มีอะไรมากกว่าที่ตาเห็นเยอะ และทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันมีเหตุผลของมัน"

 เมฆลอบมองสีหน้านางไม้สาว เห็นความเมตตาและคำแนะนำที่ไม่ได้เสแสร้ง เขาเม้มปากก่อนถามด้วยเสียงแผ่ว “แล้วก่อนหน้านี้… ผมเห็นอะไรหลายอย่าง ทั้งพระจีวรเขียว ทั้งเสียงแปลก ๆ… คือผมเริ่มสับสนว่านี่มันเรื่องจริงหรือผมจินตนาการไปเอง”

 สไบหัวเราะเบา ๆ “เป็นเรื่องจริงแหละ เมฆไม่ต้องกังวล คนที่จู่ ๆ เปิดสัมผัสได้เร็วแบบนี้ก็ตกใจเป็นธรรมดา ที่นี่จะให้บทเรียนหลากหลาย ถ้าเราพร้อมจะเรียนรู้”

 “ใช่จ้ะ” ป้าเดือนเสริม “การเห็นสิ่งต่าง ๆ ไม่ใช่เรื่องร้ายเสมอไปนะลูก เพราะไม่ใช่ทุกอย่างจะเป็นภัย สิ่งมีชีวิตจากภพอื่นก็เหมือนคนเรานั่นล่ะ บางคนดี บางคนร้าย ต่างกันไป บางตนแค่อยากมีที่อยู่ ไม่ได้อยากทำร้ายใคร เหมือนคุณสไบที่เลือกมาอยู่ที่นี่เพราะอยากสงบ ไม่ได้มายุ่งกับใคร ถ้าเมฆเปิดใจ อาจจะได้เจออีกหลายตัวตนที่เป็นมิตรเหมือนกัน”

 เมฆเริ่มรู้สึกว่า ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่สิ่งที่เขาเห็น… แต่เป็นตัวเขาเอง จากที่ไม่เคยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ ตอนนี้เขากำลังนั่งคุยกับ นางไม้ โอนบุญให้ วิญญาณ และรับรู้ถึงการมีอยู่ของภพอื่น

 บางที… นี่อาจไม่ใช่เรื่องของโชคชะตา แต่เป็นเรื่องที่เขาถูกกำหนดให้เจอ เขายกแก้วน้ำจิบอึกใหญ่เพื่อสงบความตื่นเต้น ใจนึกถึงเรื่องผีสางนางไม้ที่เคยได้ยินคำบอกเล่า แต่กลับกลายเป็นว่าตัวจริงของเธอมีออร่าบวกไม่น่ากลัวเลยสักนิด

 ขณะเดียวกันก็อดคิดไม่ได้ว่า นี่มันแค่ส่วนหนึ่งของหอ… แล้วถ้ามีตัวตนอื่นที่ไม่น่าไว้ใจล่ะ? อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เมฆยังไม่มีพลังท้วงติงมากนัก จึงพยายามปล่อยวางสติให้สบายขึ้น

 “แล้วคุณสไบ… อยู่ห้องไหนคะ หรือ—ครับ?” เมฆเผลอเปลี่ยนสรรพนามเพราะไม่ชินเรียกผู้หญิงอาวุโสกว่า “เอ่อ หมายถึง มีห้องพักเหมือนทุกคนด้วยเหรอครับ?”

 “พี่อยู่ห้อง 303 น่ะจ้ะ” เธอบอกด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ 

 ตอนนั้นเองแสงไฟในร้านสลัวลงจากเดิมอีกเล็กน้อย เนื่องจากป้าไหมปิดสวิตช์บางดวงที่ไม่จำเป็น ทิ้งไว้แค่ไฟเหนือตู้กาแฟกับไฟเพดานที่ส่งแสงอุ่นสีส้ม บรรยากาศจึงเหมือนละครเวทีฉากดึกที่มีเพียงไม่กี่ตัวละครอยู่ร่วมกัน เมฆมองไปรอบ ๆ รู้สึกคล้ายความกลัวเริ่มเลือนหาย แทนที่ด้วยความสงสัยและตื่นเต้น

 “เอาล่ะ ป้าจะต้องจัดของต่อ เมฆกับคุณสไบก็คุยกันไปเถอะ” ป้าไหมกล่าว ป้าเดือนเองก็จัดของพลางร้องเพลงพื้นเมืองเบา ๆ เป็นการฆ่าเวลา เมฆจึงหันไปสบตานางไม้สาวอีกครั้ง

 “คุณสไบครับ คือผมอยากรู้เรื่อง… ที่นี่… มันเป็นอย่างไรกันแน่ครับ?” เมฆถามตรงในสิ่งที่ติดค้าง

 “หอสมิทิลาเป็นเสมือนประตูเชื่อมจุดหนึ่งระหว่างโลกมนุษย์กับโลกอื่น ๆ” เธอตอบเรียบ ๆ “และคนที่จิตเปิดพอจะรับรู้ได้ เขาจะเริ่มเห็น ไม่ใช่ทุกคนจะสัมผัสได้ง่าย ๆ นะ บางคนอยู่มาตั้งนานก็ยังไม่เคยเห็นอะไรเลย แต่เมฆคงมี ‘แต้มบุญ’ เยอะ เลยเข้าถึงได้ไวกว่าคนทั่วไป”

 คำว่า ‘แต้มบุญ’ ทำให้เมฆคิดถึงแอปโอนบุญที่พี่ตุนท์เคยแนะนำ เขารู้สึกว่าความรู้สึกที่ว่า ตัวเองเป็นเพียงนักศึกษาปีหนึ่งธรรมดาเริ่มสั่นคลอน เริ่มมองออกว่ามีบางอย่างในตัวเขาที่ดึงดูดโลกอีกด้านมากเป็นพิเศษ

 “แล้วคุณสไบ… ไม่ใช่ต้องอยู่ในต้นไม้เหรอครับ ทำไมถึงมาอยู่ในหอนี้ได้ล่ะครับ” เมฆถามด้วยความอยากรู้จริง ๆ

 “พี่เคยอยู่ป่าใหญ่ค่ะ สมัยที่ป่ายังอุดมสมบูรณ์ แต่พอเวลาผ่านไป ป่าถูกตัด เหลือเป็นที่แห้งแล้ง พวกเราต้องหาที่พึ่งพลังงานบุญ พอหลวงพ่อพุฒยื่นมือมาช่วย ฉันก็เลยเลือกมาอาศัยที่นี่ ใช้บุญค้ำจุนเพื่อรักษาสภาพและชีวิต” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนุ่ม แต่มีกังวานความเศร้าแทรกอยู่นิด ๆ “พี่ไม่อยากไปไหนไกล เพราะที่นี่มีคนใจดีอยู่เยอะ ได้บุญ ได้พักพิง แลกกับหน้าที่เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ต้องทำ”

 เมฆพยักหน้าเห็นใจ “ฟังดูแล้วเข้าใจเลยว่าทำไมต้องพึ่งบุญ ก็ดีนะครับ อย่างน้อยก็ไม่ต้องอยู่ข้างนอกไกล ๆ คน หรือเจออันตราย”

 “ใช่ค่ะ” เธอยิ้ม ก่อนจะลุกขึ้นยืน “หืม… พวกเราคุยกันนาน เดี๋ยวพี่ต้องขอตัวไปทำธุระเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนนะ ไว้ค่อยเจอกันใหม่เมฆ ไม่คิดมากนะคะ” เธอเอ่ยเรียบ ๆ ทว่าสัมผัสได้ถึงความจริงใจ

 เมฆรีบโบกมือ “ขอบคุณครับคุณสไบ… แล้ว…” เขาชะงัก ไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อ

 เธอจึงตอบด้วยรอยยิ้มแทนคำลา แล้วหมุนตัวเดินออกไปทางประตูร้านอย่างเงียบงัน เสียงผ้าไหมของสไบสีชมพูแผ่วเบาไปกับสายลม เมฆมองตามจนลับตา หัวใจยังเต้นไม่เป็นส่ำ เพราะกำลังย่อยข้อมูลที่ได้ยิน

 “โกโก้ร้อนจ้ะ ดื่มแล้วจะได้อุ่นท้องหลับสบายนะจ๊ะ” ป้าเดือนวางแก้วโกโก้ให้เมฆอย่างใส่ใจ

 เมฆหยิบแก้วขึ้นมายกดื่มจนหมด ป้าไหมกับป้าเดือนต่างช่วยกันจัดของหลังเคาน์เตอร์ ไม่ได้สนใจเมฆมากนัก ดูเหมือนพวกเธอคุ้นชินกับการที่นางไม้ปรากฏกาย ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ อย่างตอนที่คุณสไบเดินเข้ามา พวกป้าก็ไม่ได้ตกใจสักนิด มีเพียงเมฆที่กำลังตะลึงประหนึ่งอยู่ในละครเหนือธรรมชาติ

 “นี่มันโลกอะไรกันนะ” เมฆรำพึงเบา ๆ นึกไปถึงความสนิทสนมของสองป้าที่แสดงออกต่อคุณสไบ คล้ายเพื่อนเก่าที่อาศัยอยู่ด้วยกันมานาน ยิ่งทำให้เมฆเริ่มแน่ใจว่าหอพักนี้มี ‘ผู้พักพิง’ ที่ไม่ใช่มนุษย์จริง ๆ มากกว่าที่ตาเห็นแน่นอน

 ครู่หนึ่ง ป้าไหมเดินกลับมาที่โต๊ะ ฝ่ามือหยาบแต่อบอุ่นวางบนไหล่เมฆ “เป็นไงลูก รู้สึกดีขึ้นมั้ย” 

 เมฆผงกศีรษะ “ค่อยยังชั่วหน่อยครับป้า แต่ก็ยัง… งง ๆ อยู่ดี ผมไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะมีวิญญาณกับนางไม้ตัวเป็น ๆ เดินอยู่ในหอแบบนี้”

 ป้าไหมหัวเราะ “มันก็เป็นเช่นนั้นล่ะลูก บางทีความเชื่อเก่า ๆ เรื่องผีสาง นางไม้ เทพารักษ์ อาจไม่ใช่เรื่องงมงาย หากแต่เราอยู่ร่วมโลกเดียวกัน เพียงแต่ต่างมิติ จนกระทั่งได้โคจรมารวมที่นี่”

 “แล้วทำไมป้าถึงให้พวกเขามาพักที่นี่เหรอครับ?” เมฆถามด้วยความอยากรู้

 “อยากให้ทุกชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสงบไงล่ะ เรามีกฎเกณฑ์ มีการแบ่งปันบุญ ช่วยกันรักษาสมดุล ไม่ให้ฝ่ายไหนถูกรังแก อันนี้เดี๋ยวเมฆจะค่อย ๆ เข้าใจเองนะลูก” ป้าไหมตอบด้วยดวงตาอ่อนโยน

 “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดี ๆ นะครับป้า” เมฆพูดพลางลุกขึ้นยืน “ถ้างั้นผมขอตัวขึ้นห้องก่อนนะครับ วันนี้เจออะไรเยอะจนหัวหมุนไปหมด”

 ป้าไหมพยักหน้า “จ้ะ ขึ้นไปนอนพักเถอะ ถ้ายังไม่สบายใจหรือมีอะไรเกิดขึ้นกลางดึก ก็ลงมาเรียกป้าได้ตลอดนะ”

 เมฆยิ้มบาง รับคำแนะนำแบบดี ๆ แล้วก้าวออกจากร้านกาแฟ เขารู้สึกได้ว่าความกลัวในใจตัวเองลดลงไปมาก ประกายไฟแห่งความสนใจในเรื่องเหนือธรรมชาติก่อตัวแทนที่ แม้จะไม่ใช่คนบ้าผีหรือเชื่อเรื่องลี้ลับมาก่อน แต่โลกใบนี้ดูยิ่งใหญ่กว่าที่เคยคิดจริง ๆ

 เมื่อเมฆก้าวขึ้นบันไดกลับไปที่ชั้นสอง ระหว่างที่เดินไปตามโถงทางเดินในชั้น เขาอดเหลียวมองไปยังห้อง 202 ไม่ได้ ในหัวมีภาพของร่างซีดขาวในชุดนักศึกษาติดตา จนกระทั่งเมฆเดินถึงหน้าประตูห้องของตัวเอง เขาจึงหยุดยืนใคร่ครวญ

 “เรานี่โชคดีหรือโชคร้ายกันนะ ถึงได้มาเห็นโลกอีกด้านแบบนี้… แต่ถ้ามีตัวดี ก็อาจมีตัวร้ายด้วยล่ะสิ” เมฆคิดในใจด้วยความกังวล เขาเปิดประตูห้องเบา ๆ ทุกอย่างยังคงสภาพเดิม เขาทรุดตัวนั่งลงที่เตียง พยายามเรียบเรียงเรื่องราวที่ผ่านมาตั้งแต่ย้ายเข้ามาเจอเสียงประหลาด พบพระจีวรเขียว เจอวิญญาณหญิงสาว เห็นนางไม้เป็น ๆ และหลายสิ่งที่ยืนยันว่าโลกนี้ไม่ได้มีแค่มนุษย์เพียงพวกเดียว

 ทว่าความสงสัยของเมฆกลับยิ่งเพิ่มพูน เขาอยากรู้ว่าพี่มะลิรู้มากแค่ไหน รวมถึง ‘พี่ตุนท์’ และใครอีกหลายคนที่มีลักษณะลี้ลับก็อาจจะเป็นตัวตนพิเศษ แค่ยังไม่แสดงออก เมฆถอนหายใจเบา ๆ แค่นี้ก็ปวดหัวแล้ว

 “เอาน่า… อย่างน้อยก็ได้รู้จักคุณสไบ ได้รู้ว่าพวก ‘ผี’ หรือ ‘อมนุษย์’ ในหอไม่ได้มุ่งร้ายเสมอไป” เมฆบอกตัวเองพลางนอนแผ่บนเตียง ใช้หลังมือปิดตา พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที ถ้ามีโอกาสจะลองถามป้าไหมเรื่องอื่น ๆ หรือถามคุณสไบตรง ๆ

 ค่ำคืนนี้ถึงจะยังมีเสียงสายลมหวีดหวิว แสงไฟทางเดินกระพริบวูบวาบ แต่น่าแปลกที่เมฆรู้สึกสงบกว่าทุกคืนที่ผ่านมา บางทีการได้เห็นและคุยกับคุณสไบคงช่วยให้เขาเข้าใจว่าการปรากฏตัวของ ‘ผี’ ไม่จำเป็นต้องน่ากลัวเสมอไป ทว่าอาจเป็นเพียงตัวตนอีกภพหนึ่งที่เราไม่เคยเปิดตารับรู้

 หวังว่าคืนนี้จะได้นอนหลับสบายสักที เมฆผ่อนลมหายใจ มองเพดานห้องอยู่ครู่ใหญ่ ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ผล็อยหลับไปในที่สุด