หอพักเก่าแก่ที่เงียบสงบ... ซ่อนบางสิ่งที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง ‘สมิทิลา’ ไม่ใช่แค่หอพัก แต่มันคือ ‘ประตู’ ที่กั้นระหว่างสองโลกไม่มีใครรู้ว่า... ผู้อยู่อาศัยที่นี่ ไม่ใช่แค่ ‘มนุษย์’
ชาย-ชาย,ลึกลับ,แฟนตาซี,ไทย,ระทึกขวัญ,ภูตผี,วิญญาณ,สิ่งลี้ลับ,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
สมิทิลา หอพักสื่อสองโลกหอพักเก่าแก่ที่เงียบสงบ... ซ่อนบางสิ่งที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง ‘สมิทิลา’ ไม่ใช่แค่หอพัก แต่มันคือ ‘ประตู’ ที่กั้นระหว่างสองโลกไม่มีใครรู้ว่า... ผู้อยู่อาศัยที่นี่ ไม่ใช่แค่ ‘มนุษย์’
เมฆ นักศึกษาปี 1 ผู้ไม่เคยเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อเขาย้ายเข้า "สมิทิลา" หอพักเก่าแก่ที่เงียบสงบ... เงียบเสียจนไม่ควรมีเสียงฝีเท้ายามค่ำคืน เสียงเคาะประตูยามดึก แต่ที่น่ากลัวกว่านั้น... คือความลับที่ซ่อนอยู่
‘พี่ตุนท์’ ชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่เหมือนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสมิทิลา แต่กลับพูดจาเป็นปริศนาเสมอ
‘พี่มะลิ’ พี่สาวแท้ ๆ ที่ดูเหมือนจะปิดบังอะไรบางอย่าง และพยายามกันเขาออกจากเรื่องนี้
เมื่อ ความลับของสมิทิลาเริ่มเผยตัว
เมื่อ เขาเริ่มเห็นในสิ่งที่ไม่มีใครควรเห็น
และเมื่อ อดีตที่ถูกฝังลึก... กำลังตื่นขึ้น
ระหว่าง หน้าที่ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง กับ ความรู้สึกที่ห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้ เขาจะปกป้องสมิทิลาได้... หรือสุดท้ายแล้ว จะสูญเสียทุกอย่างไป?
***เรื่องราวความเชื่อ จิตวิญญาณ พิธีกรรม สถานที่ และเหตุการณ์ต่าง ๆ ในนิยายเรื่องนี้
เป็นเรื่องสมมติที่สร้างขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน***
หลังจากนั่งเล่นกินขนมจนรู้สึกสบายใจขึ้น เมฆและตุนท์ก็ตัดสินใจกลับหอสมิทิลา ทั้งสองเดินออกจากมหา’ลัยแล้วตรงไปที่หอพัก แสงอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำ ฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อน ลมพัดเอื่อย ๆ ทำให้บรรยากาศของสมิทิลาเงียบสงบ
เมื่อเดินผ่านสวนหน้าหอ เมฆสังเกตเห็นชายคนหนึ่งกำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ใกล้พุ่มไม้ มือข้างหนึ่งถือกรรไกรเล็ก ๆ อีกข้างหนึ่งแตะแผ่นดินเบา ๆ ราวกับกำลังสื่อสารกับต้นไม้
"อ้าว ขจร" ตุนท์เป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน "ทำอะไรอยู่?" ตุนท์เอ่ยถาม
"ตัดแต่งกิ่งกับรักษารากต้นนีออนน่ะ โดนเพลี้ยแป้งลง" ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาตอบ เขายิ้มให้เมฆเล็กน้อยก่อนจะกลับไปสนใจต้นไม้ของตัวเอง
เมฆหันไปมองพี่ตุนท์อย่างสงสัย "ใครเหรอครับ?"
"ขจร" ตุนท์ตอบ "ผู้ดูแลสวนของที่นี่มานานแล้ว"
"ผมไม่เคยเห็นเขามาก่อนเลย" เมฆพูดเบา ๆ
ขจรยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพูดขึ้น "คุณเมฆรู้สึกไหม ว่าเวลาคุณอยู่ที่นี่ ทุกอย่างค่อย ๆ เปลี่ยนไปตามสิ่งที่คุณรับรู้?"
เมฆขมวดคิ้ว "เปลี่ยนไปยังไงครับ?"
"แรกเริ่ม คุณอาจคิดว่าสมิทิลาเป็นแค่หอพักธรรมดา" ขจรพูด "แต่พอคุณเริ่มเปิดใจ คุณก็เริ่มเห็นอะไรที่คนอื่นไม่เห็น... และมันจะเป็นแบบนั้นต่อไปเรื่อย ๆ"
เมฆขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าคำพูดนั้นมีความหมายลึกซึ้งกว่าที่คิด "...หมายความว่าไงครับ?"
ขจรยิ้มให้เมฆ ก่อนจะตอบ "คุณเมฆเพิ่งจะเริ่มเห็น ‘โลกอีกฝั่ง’ ยังมีอะไรอีกมาก ที่คุณยังไม่เคยเจอครับ"
"เธอจะค่อย ๆ เห็นอะไรอีกเยอะ" ตุนท์พูดเสริม ยิ้มกว้างพลางขี้หัวเมฆเบา ๆ "แต่ตอนนี้ กลับไปพักก่อนเถอะ เดี๋ยวหัวเธอจะระเบิดซะก่อน"
เมฆเหลือบมองคุณขจรที่ยังคงสนใจต้นไม้มากกว่าการสนทนา และดูเหมือนไม่คิดจะอธิบายอะไรให้มากกว่านี้
"อ่า... โอเคครับ" เมฆพยักหน้าเบา ๆ "ไว้เจอกันนะครับ"
ขจรยิ้มให้เมฆ ก่อนจะหันกลับไปสนใจต้นไม้ในสวนสมิทิลาเหมือนเดิม
เมฆเดินตามตุนท์กลับไปยังทางเดินเข้าหอพัก หลังจากได้พบคุณขจร เขายังรู้สึกไม่ชินกับการเจอ ‘ผู้พักพิง’ คนอื่น ๆ ในสมิทิลา เพราะก่อนหน้านี้เขาแทบไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขาเลย
เมื่อเดินผ่านร้านกาแฟที่อยู่ทางปีกขวาของอาคาร เมฆก็หยุดฝีเท้า พลางเหลือบมองผ่านกระจก
"เดี๋ยวผมแวะร้านกาแฟก่อน" เขาหันไปบอกตุนท์ "จะไปดูว่าป้าเดือนมีเมนูพิเศษอะไรเผื่อซื้อไปกินเย็นนี้ ขี้เกียจลงมาอีกรอบ"
ตุนท์หัวเราะเบา ๆ "ขี้เกียจแต่ก็ยังขยันกินสินะ"
เมฆกลอกตา "เรียกว่าเตรียมการล่วงหน้าต่างหาก"
ทั้งคู่เปิดประตูเข้าไปในร้าน กลิ่นกาแฟคั่วสดอบอวลทันที บรรยากาศเงียบสงบ โต๊ะไม้ถูกจัดไว้อย่างเรียบร้อย ที่มุมในสุดของร้าน พี่สไบกับจันทร์เจ้า นั่งคุยกันอยู่เงียบ ๆ
เมฆกวาดตามองแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์บาร์เพื่อสั่งอาหาร และที่นั่น...
เขาสังเกตเห็น ชายหนุ่มผมบลอนด์แซมแดง นั่งอยู่ตรงเก้าอี้สูงที่หน้าเคาน์เตอร์ ฝั่งใกล้กับเครื่องคิดเงิน
ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำพับแขน นั่งเอนพิงเคาน์เตอร์เล็กน้อย มือหนึ่งยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ อีกมือหมุนจานรองแก้วไปมาเบา ๆ
แม้จะดูเหมือนกำลังพักผ่อนสบาย ๆ แต่ สายตาของเขาดูลึกซึ้งและนิ่งสงบ ราวกับกำลังเฝ้าสังเกตบางอย่างอยู่
เมฆยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่สัมผัสได้ว่า คนคนนี้... ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ๆ
"อ้าว วายุ?" ตุนท์ที่เดินตามเข้ามาเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน "กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?"
วายุละสายตาจากจานรองแก้ว ก่อนจะหันมามองตุนท์อย่างไม่รีบร้อน "เพิ่งมาถึงเมื่อกลางวัน"
เสียงของเขาเรียบนิ่ง ฟังแล้วเหมือนสายลมเย็นที่พัดผ่านไป
เมฆที่ยังยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ยังไม่ได้สั่งอาหาร หันไปมองวายุอย่างสนใจ แต่ก่อนที่เขาจะได้ถามอะไร ป้าเดือนก็หันมาถามเขาก่อน "จะทานอะไรมั้ยจ้ะหนูเมฆ?"
"อ้อ..." เมฆละสายตาจากวายุ หันไปตอบ "วันนี้มีเมนูพิเศษอะไรไหมครับ?"
ป้าเดือนที่กำลังเช็ดแก้วเงยหน้าขึ้นมามองและพยักหน้า "วันนี้ป้าทำแกงฮังเล กับข้าวกั้นจิ้นน่ะ หนูเมฆจะลองมั้ยจ๊ะ?"
"หืม ข้าวกั้นจิ้นเหรอ" เมฆพึมพำ มองไปที่เมนูที่เขียนด้วยลายมือบนกระดานดำข้าง ๆ เคาน์เตอร์ "งั้นเอาข้าวกั้นจิ้นหนึ่งที่ครับ แล้วก็แกงฮังเลด้วย"
"จะทานที่นี่เลยมั้ยลูก หรือจะขึ้นไปทานข้างบน ป้าจะได้แยกไปให้" ป้าเดือนถามอย่างใส่ใจ
"รบกวนแยกให้หน่อยครับ ผมจะเอาขึ้นไปกินข้างบน ตอนนี้ยังอิ่มอยู่เลยครับ แต่กลัวหิวตอนกลางคืนขี้เกียจลงมาอีกรอบน่ะครับ"
"ได้ ๆ เดี๋ยวป้าจัดการให้"
“ขอบคุณครับป้า” เมฆตอบรับพร้อมส่งเงินให้ป้าเดือน ก่อนจะเหลือบไปเห็น สายตาของวายุที่มองเขาอยู่
"นี่เด็กหอคนใหม่เหรอ?" วายุหันไปถามตุนท์
"อ้อ นี่เมฆ" ตุนท์แนะนำ "เด็กหอคนใหม่ของสมิทิลา เมฆ นี่วายุ"
เมฆรีบพนมมือไหว้ "สวัสดีครับพี่วายุ"
วายุรับไหว้ด้วยการพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะจ้องเมฆนิ่ง ๆ สายตาของเขาดูลึกซึ้งราวกับกำลังอ่านบางอย่าง
"นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเจอฉันสินะ?"
"ครับ..." เมฆพยักหน้าช้า ๆ
"แต่ฉันเคยเห็นเธอมาก่อนแล้ว" คำพูดของวายุทำให้เมฆรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทันที
"หมายความว่ายังไงครับ?"
วายุยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ก่อนจะหรี่ตาลงเล็กน้อย "ฉันเฝ้าดูเธอมาสักพักแล้ว”
เมฆรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที เฝ้าดู...? ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!?
"เอาไว้เธออยู่ที่นี่นานกว่านี้ จะเข้าใจเอง" วายุพูดเรียบ ๆ
เมฆกำหมัดแน่น เขาไม่ชอบความรู้สึกเหมือนถูกจับตาดู แต่ก็ไม่กล้าถามอะไรต่อ อีกแล้ว... คำตอบกำกวมแบบนี้อีกแล้ว!
เมฆถอนหายใจเงียบ ๆ พลางรับเงินทอนจากป้าเดือน ขณะที่ตุนท์เดินไปพิงเคาน์เตอร์ใกล้วายุ
"กลับมาดูอะไร?" ตุนท์ถามขึ้น
วายุจิบกาแฟเงียบ ๆ ก่อนตอบเสียงเนิบ "ก็มาดูว่าทุกอย่างยังเรียบร้อยดี"
เมฆที่ฟังอยู่ขมวดคิ้ว "กลับมาตรวจสอบเหรอครับ?"
วายุปรายตามองเขา "เธอคิดว่าสมิทิลาเป็นแค่ที่พักพิงของวิญญาณดี ๆ เท่านั้นเหรอ?"
เมฆเงียบไปทันที ขนลุกวาบขึ้นมาตามแนวสันหลัง
ตุนท์หัวเราะเบา ๆ "วายุเป็นคนคอยจัดการ ‘สิ่งที่ไม่ควรหลุดออกไปจากที่นี่’ "
"สิ่งที่ไม่ควรหลุดออกไป?" เมฆทวนคำ
วายุวางแก้วกาแฟลงบนเคาน์เตอร์ เสียงกระทบของเซรามิกเบา ๆ กลับดังก้องอยู่ในความรู้สึกของเมฆ
"ถ้ามีบางอย่างเล็ดลอดออกไป มันอาจจะเป็นปัญหาได้"
เมฆกลืนน้ำลาย ความสงสัยเกี่ยวกับสมิทิลายิ่งเพิ่มขึ้น แต่ไม่กล้าเอ่ยปากถามอะไรออกไป
ดูเหมือนว่า ‘ผู้พักพิง’ ของที่นี่ จะไม่ได้เป็นแค่ดวงวิญญาณธรรมดาจริง ๆ...
เมื่อได้ของกินเรียบร้อย เมฆก็ขอตัวขึ้นห้องของตัวเอง เขาเดินขึ้นบันไดโดยที่ใจยังวุ่นวายอยู่
"สมิทิลา... มันเป็นที่แบบไหนกันแน่" เขาพึมพำกับตัวเอง
เขาเพิ่งได้รู้จักขจร และวายุ ทั้งคู่ต่างก็เป็น ‘ผู้พักพิง’ ของที่นี่ แต่ทำไมพวกเขาถึงมีบทบาทที่แตกต่างกันมาก?
"หรือว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่... มีหน้าที่อะไรบางอย่าง?" คำถามนั้นยังคงอยู่ในใจ จนกระทั่งสายตาของเขาสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างที่หน้าห้อง 204
หญิงสาวในชุดขาวซีด กำลังยืนจ้องประตูอยู่ตรงนั้น เมฆหยุดเดินแทบจะทันที เธอดูแตกต่างจากผู้พักพิงที่เขาเคยพบ ผิวของเธอซีดจางจนแทบโปร่งแสง ผมยาวดำขลับตกลงมาปกคลุมไหล่ ใบหน้ามีร่องรอยของความสับสนและหวาดกลัว
“เมฆ? เป็นอะไรไป” ตุนท์ที่เดินตามหลังมา ถามขึ้นเมื่อเห็นเมฆหยุดเดินกลางทาง
เมฆไม่ตอบ เขาแค่จ้องหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกประหลาด เธอเหมือนไม่มั่นคง ราวกับเป็นภาพเงาสะท้อนในน้ำที่พร้อมจะจางหายไปทุกเมื่อ เธอเหลือบตาหันมามองเขาช้า ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความเว้าวอน
“ช่วย... ฉันด้วย… ”
เสียงของเธอแผ่วเบาแต่ก้องอยู่ในหัวเมฆ
“ผู้พักพิงชั่วคราว” ตุนท์พูดขึ้นเสียงเรียบ
เมฆหันมามองเขาด้วยความสงสัย “หมายความว่ายังไงเหรอครับ?”
ตุนท์กอดอกพิงกำแพง “พวกที่เพิ่งตาย ยังสับสน ไม่รู้ว่าควรไปไหน หรือพวกที่บุญจะหมดแล้วมาขอความช่วยเหลือ… พวกเขามักมาอยู่ที่นี่ชั่วคราว สมิทิลาทำหน้าที่เป็นเหมือน 'จุดแวะพัก' ก่อนที่พวกเขาจะไปสู่ภพภูมิของตัวเอง”
เมฆค่อย ๆ ทำความเข้าใจ ก่อนจะถามหญิงสาว “งั้น… คุณเป็นใครเหรอ?”
เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาสั่นระริกเหมือนกำลังพยายามนึก
“…ฉันชื่อวราลี”
“คุณมาทำอะไรที่นี่?” เมฆถามต่อ
เธอเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองประตูห้อง 204 “ฉันมาที่นี่เพราะ… ฉันไม่รู้ว่าต้องไปไหน… ฉันเห็น… แสงจากห้องนี้…”
เมฆมองตามสายตาของเธอ 204 คือห้องของหลวงพ่อพุฒ
“พลังบุญจากห้องนี้ดึงดูดเธอมา” ตุนท์พึมพำเบา ๆ “ดูเหมือนเธอกำลังต้องการความช่วยเหลือ”
เมฆขมวดคิ้วก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแอป Samithila Connect เขาพยายามค้นหาชื่อ วราลี ในฟังก์ชัน Merit Transfer แต่ไม่พบ
“เธอไม่มีบัญชีในระบบ?” เมฆพึมพำ
ตุนท์พยักหน้า “ผู้พักพิงชั่วคราวไม่ได้อยู่ในระบบสมิทิลาโดยตรง เพราะพวกเขายังไม่ได้รับการลงทะเบียนอย่างถาวร พวกเขาอยู่ที่นี่เพียงชั่วคราวจนกว่าจะไปสู่ภพภูมิของตัวเอง”
“งั้น… ผมจะช่วยเธอได้ยังไง?”
ตุนท์ยิ้มมุมปาก ก่อนจะบอก “ต้องเพิ่มเธอเข้าเป็น ‘ผู้พักพิงชั่วคราว’ ก่อน ระบบของสมิทิลาจะต้องรับรองว่าเธอได้รับการอนุญาตให้อยู่ที่นี่”
เมฆขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง?”
"ปกติแล้ว ผู้พักพิงถาวรจะมีชื่ออยู่ในระบบของสมิทิลาอยู่แล้ว" ตุนท์อธิบาย "แต่สำหรับผู้ที่เพิ่งมาถึง หรือยังไม่รู้ว่าตัวเองจะไปไหน มันเหมือนพวกเขายังไม่มี 'ตัวตน' ในระบบของที่นี่"
เมฆขมวดคิ้ว "แล้วผมจะช่วยเธอได้ยังไง?"
"เธอต้องยินยอมให้วราลีได้รับบุญจากเธอก่อน" ตุนท์พูด "เหมือนกับการขอความช่วยเหลือ ถ้าเธอไม่เปิดใจรับ เธอก็จะไม่ได้รับพลังนั้น ผู้พักพิงชั่วคราวสามารถ ‘เชื่อมโยง’ กับมนุษย์ได้ ถ้ามนุษย์ตั้งใจจะช่วยพวกเขา"
เมฆพยักหน้าแล้วหันไปถามหญิงสาว "คุณ... อยากได้รับบุญไหม?"
วราลีพยักหน้าเบา ๆ
เมฆถอนหายใจ ก่อนจะเปิดแอปไปที่ฟังก์ชัน Add Guest ซึ่งเป็นระบบที่เขายังไม่เคยใช้มาก่อน
‘กรุณาทำการยืนยันพลังงาน’
ตุนท์อธิบาย “เธอจะต้องยินยอมรับการเชื่อมโยง และสมิทิลาจะต้องยอมรับเธอ”
“แค่สัมผัสโทรศัพท์เหรอครับ?” เมฆถาม
“ไม่ใช่แค่สัมผัส แต่เธอต้องตั้งใจ ‘ยินยอมรับบุญ’ ด้วย” ตุนท์ตอบ
วราลีลังเลเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ ยื่นมือไปแตะที่หน้าจอ
ทันใดนั้น แสงสีขาวอ่อน ๆ ลอยขึ้นจากพื้น ราวกับสมิทิลากำลังรับรู้ตัวตนของเธอ
ข้อความใหม่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอของเมฆ ‘วราลี’
ขณะที่เมฆกำลังจะกดเพิ่มชื่อของวราลีในระบบ หน้าจอก็ปรากฏข้อความใหม่
✧ [กำลังตรวจสอบพลังงาน...] ✧
“สมิทิลากำลังรับรองเธอ” ตุนท์อธิบาย “ถ้าเธอถูกปฏิเสธ เธอจะไม่มีสิทธิ์ได้รับบุญ”
ไม่กี่วินาทีต่อมา ตัวอักษรสีขาวสว่างปรากฏขึ้น
✧ [สมิทิลาอนุมัติสถานะ: ผู้พักพิงชั่วคราว] ✧
วราลีมีสีหน้าผ่อนคลายลง เมื่อชื่อของเธอถูกบันทึกลงไปในระบบ
“โอเค ตอนนี้เธออยู่ในระบบแล้ว” เมฆพึมพำ ก่อนจะกดโอนบุญให้วราลี
ทันใดนั้น ร่างของวราลีสั่นไหว เหมือนมีแรงบางอย่างพยายามดึงเธอไปคนละทาง
"อึก...!" เมฆรู้สึกถึงแรงดูดมหาศาลจากภายใน ตัวเขาเย็นเฉียบอย่างกะทันหัน
"เมฆ! หยุดก่อน!" ตุนท์จับข้อมือเขาแน่น เสียงของเขาดูจริงจังมากขึ้น
เมฆรีบกดหยุดการโอนบุญ หายใจหอบ ตุนท์จ้องเขานิ่ง ๆ
"มีอะไรบางอย่าง... พยายามแทรกแซง" ตุนท์พูดช้า ๆ
วราลีเงยหน้าขึ้น ร่างของเธอมั่นคงขึ้น แต่สายตาของเธอยังคงมีอะไรบางอย่างที่เมฆอ่านไม่ออก
วราลียิ้มบาง ๆ ดวงตาที่เคยหวาดหวั่นฉายแววโล่งใจ ก่อนที่ร่างของเธอจะค่อย ๆ จางหายไปเป็นแสงสีขาวอ่อน ลอยขึ้นไปสู่ที่ใดที่หนึ่ง
เมฆถอนหายใจหนัก ๆ รู้สึกโล่งใจที่สามารถช่วยเธอได้สำเร็จ แต่ร่างกายกลับยังคงรู้สึกเย็นเฉียบและเหนื่อยล้าเกินกว่าปกติ
เขายกมือขึ้นมากุมหน้าอก พลางมองไปทางตุนท์ที่ยืนกอดอกอยู่ข้าง ๆ “พี่ตุนท์...” เมฆพูดเสียงแหบแห้ง “ทำไม... รู้สึกเหมือนพลังบุญถูกดูดไปเยอะกว่าปกติครับ?”
ตุนท์เลิกคิ้ว ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้ “เธอรู้สึกได้สินะ?”
“ครับ!” เมฆตอบทันที ยังรู้สึกไม่หายตกใจ “ตอนโอนบุญให้จันทร์เจ้า มันไม่ได้เป็นแบบนี้เลย! แต่คราวนี้... มันแรงมาก เหมือนพลังในตัวผมกำลังจะถูกดูดออกไปหมด”
ตุนท์พยักหน้า “อืม มันไม่เหมือนกัน” ตุนท์เอ่ยเสียงเรียบ ก่อนจะอธิบาย “จันทร์เจ้าเป็นผู้พักพิงที่มีตัวตนอยู่ในสมิทิลาอยู่แล้ว เธอรับบุญจากเธอไปเป็นส่วนหนึ่งของพลังหล่อเลี้ยงเธอเพื่อให้เธออยู่ที่นี่ได้ แต่... วราลีเป็นคนละกรณี”
เมฆมุ่นคิ้ว “ทำไมครับ?”
“เพราะวราลียังไม่มี ‘ที่ทาง’ ที่แน่นอน” ตุนท์ตอบ “เธอเป็นผู้พักพิงชั่วคราว วิญญาณแบบนี้เปรียบเหมือนคนที่กำลังลอยเคว้งอยู่ในมหาสมุทร ไม่มีจุดยึด ไม่มีเส้นทางให้ไปต่อ การโอนบุญให้เธอเหมือนเป็นการ ‘สร้างสะพาน’ ให้พวกเขาไปต่อ”
เมฆฟังแล้วเริ่มเข้าใจ แต่ยังมีข้อสงสัย “แล้วทำไม... รู้สึกเหมือนพลังบุญถูกดูดไปเยอะกว่าปกติครับ?"
ตุนท์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดเสียงต่ำ "เพราะบางที... อาจไม่ได้มีแค่เธอที่รับบุญ"
เมฆขมวดคิ้ว “หมายความว่าไงครับ?”
“บางครั้ง สมิทิลาไม่ได้เป็นแค่ที่พักพิง... มันเป็นสถานที่ที่พลังงานไหลเวียนอยู่ตลอด” ตุนท์อธิบาย “ถ้ามีบางอย่างคอยแทรกแซง มันก็อาจจะพยายาม ‘ฉวยโอกาส’ ใช้พลังบุญนั้น”
เมฆรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “พี่หมายความว่า... มีบางอย่างพยายามใช้โอกาสนี้ เพื่อดูดพลังบุญออกไปงั้นหรอ?”
ตุนท์ไม่ตอบตรง ๆ แต่สีหน้าของเขาจริงจังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ลมเย็นวูบหนึ่งพัดผ่านโถงทางเดิน เงาสลัวของทางเดินชั้นสองดูมืดลงไปชั่วขณะ
เมฆรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่มองไม่เห็น “พี่ตุนท์...” เขาเอ่ยเสียงเบา
ตุนท์ถอนหายใจแล้วผลักไหล่เขาเบา ๆ “พอแล้วสำหรับวันนี้ ห้ามถามอะไรอีกยัยเด็กขี้สงสัย วันนี้เธอเก่งมาก เธอเจอเรื่องหนักไปสองรอบแล้ว ทั้งเรื่องที่มหา’ลัย แล้วก็มาวราลี”
“แต่...”
“ไม่ต้องแต่ กลับไปพัก” ตุนท์กดไหล่เขาเบา ๆ แต่แฝงไปด้วยแรงกดที่ทำให้เมฆรู้ว่า นี่ไม่ใช่คำขอ แต่เป็นคำสั่ง
เมฆเม้มปากแน่น รู้ดีว่าเถียงไปก็คงไม่ชนะ เขายังคงมีคำถามมากมาย แต่ร่างกายของเขาก็เหนื่อยล้าจริง ๆ
“…โอเคครับ”
“ดี” ตุนท์พยักหน้ารับ “สำหรับเรื่องนี้ พี่จะตรวจสอบต่อเอง”
เมฆลังเล ก่อนจะพูดออกมาเบา ๆ “...พี่ตุนท์ต้องระวังนะครับ”
“หึ...” ตุนท์ยิ้มบาง ๆ “พี่ดูแลตัวเองได้สบายมาก เชื่อมือหน่อยสิ”
แม้จะไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ แต่เมฆก็พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง
ขณะที่กำลังไขกุญแจเข้าห้อง เมฆอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองกลับไปที่ตุนท์ ชายหนุ่มร่างสูงยืนอยู่กลางโถง มองไปยังจุดที่วราลีหายไป สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นกว่าปกติ
ก่อนที่เมฆจะปิดประตู เขาเห็นพี่ตุนท์ก้าวไปทางห้อง 204...
เมฆทิ้งตัวลงบนเตียงหลังจากปิดประตูห้อง ร่างกายเขาเหนื่อยล้ากว่าปกติ ไม่ใช่เพราะการเดินทาง แต่เป็นพลังงานที่ถูกดึงออกไปเมื่อตอนช่วยวราลี
เขาเหลือบมองเพดาน รู้สึกถึงความเงียบที่ปกคลุมทั่วห้อง คำพูดของตุนท์ยังคงดังก้องอยู่ในหัว ถึงจะอยากรู้ว่าพี่ตุนท์พบอะไรเพิ่ม แต่เขาก็รู้ดีว่าเจ้าตัวคงไม่บอกอะไรเขาตอนนี้แน่ ๆ
“เฮ้อ...” เมฆถอนหายใจพลางยกมือขึ้นกุมขมับ
เขาไม่อยากคิดมากไปกว่านี้ ตัดสินใจหาอะไรทำฆ่าเวลาให้ตัวเองสงบลง จึงหยิบแท็บเล็ตขึ้นมา เปิดหนังดูสักเรื่องเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ หนังที่เลือกดูเริ่มดำเนินมาจนถึงกลางเรื่อง แต่เมฆก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้จดจ่อกับมันจริง ๆ เลยสักนิด
ในที่สุดเมื่อความง่วงเริ่มมาเยือน เขาก็ปิดแท็บเล็ต ลุกขึ้นไปอุ่นข้าวกั้นจิ้นและแกงฮังเลที่ซื้อจากร้านป้าเดือนมากินเป็นมื้อค่ำ กินเสร็จก็ล้างมือ ล้างจาน และเข้าไปอาบน้ำให้สดชื่น
เมฆออกจากห้องน้ำมาพร้อมกับผ้าเช็ดผมที่คลุมหัว เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงพลางคว้าโทรศัพท์มาเช็คแอป Samithila Connect ตามนิสัยก่อนนอน
แต่ทันทีที่เปิดแอป... หน้าจอดูแปลกไป บางฟังก์ชันโหลดช้ากว่าปกติ รายชื่อผู้พักพิงแสดงขึ้นมาสลับกันเหมือนข้อมูลขัดข้อง และมีการแจ้งเตือนเปล่า ๆ เด้งขึ้นมาโดยไม่มีข้อความใด ๆ
“เอ๊ะ...” เมฆขมวดคิ้ว กดรีเฟรชหลายครั้งแต่สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น
นี่มันเป็นผลจากเรื่องวราลีหรือเปล่า? หรือว่าเป็นที่ระบบกันแน่? เขาคิดจะไปถามตุนท์ แต่ก็นึกได้ว่าตุนท์น่าจะยังตรวจสอบเรื่องก่อนหน้านี้อยู่
เมื่อเหลือบมองนาฬิกาข้างเตียง เห็นว่าเพิ่งห้าทุ่ม พี่มะลิอาจจะยังไม่นอน เมฆลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเปิดแอปแชทแล้วพิมพ์ไปหาพี่มะลิ
Dreamy Cloud: พี่มะลิ นอนยังอ่า
Jasmine's Breeze: ยังเลย ทำไมเหรอ? มีอะไรรึเปล่า?
Dreamy Cloud: เมฆมีเรื่องอยากปรึกษาเกี่ยวกับแอปของสมิทิลาน่ะ พี่สะดวกมั้ย?
Jasmine's Breeze: อืม ขึ้นมาหาพี่ที่ห้องเลยก็ได้
เมฆไม่รอช้า รีบลุกขึ้น หยิบโทรศัพท์และเดินออกจากห้องไปยังห้อง 304 ของพี่มะลิ
เมื่อมาถึงห้องพี่มะลิ เมฆเคาะประตูสองสามครั้งก่อนที่ พี่มะลิจะเปิดประตูให้เมฆเข้าไปข้างใน เขาเดินเข้าไปพลางเหลือบตาไปมองที่โต๊ะเขียนหนังสือ มีโน๊ตบุ๊คเปิดค้างไว้ พร้อมกองหนังสือมากมาย สงสัยพี่มะลิคงกำลังนั่งทำงานอยู่
“มีอะไรเหรอเมฆ?” มะลิถามทันที
“พี่มะลิ แอปพี่ปกติมั้ย ของเมฆมันรวน ๆ อะ โหลดข้อมูลผิด ๆ ถูก ๆ แล้วก็มีแจ้งเตือนเปล่า ๆ เด้งขึ้นมาด้วย” เมฆบอกพลางยื่นโทรศัพท์ให้พี่มะลิดู
มะลิขมวดคิ้ว รับโทรศัพท์มาลองเช็คดู ก่อนจะเปิดแอปในเครื่องตัวเองเพื่อเปรียบเทียบ และทันทีที่กดเข้าไปใน Samithila Connect
“...ของพี่ก็เป็นแฮะ” มะลิพึมพำ
เมฆชักเริ่มไม่สบายใจ “งั้นมันเป็นที่ระบบจริง ๆ เหรอครับ?”
มะลิเลิกคิ้ว “หืม ถ้าไม่เป็นที่ระบบแล้วจะเป็นที่อะไรได้ล่ะ ถามอะไรแปลก ๆ” มะลิมองน้องด้วยความสงสัย
“ก็... เมฆเจอเรื่องแปลก ๆ ก่อนหน้านี้ เลยคิดว่ามันอาจเป็นผลกระทบจากเหตุการณ์นั้น”
มะลินิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมาถาม “หมายความว่ายังไง? ก่อนหน้านี้เมฆเจอเรื่องอะไรมา?”
เมฆเม้มปาก ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องวราลีให้พี่มะลิฟัง
“ตอนเมฆกลับมาถึงหอ เจอผู้พักพิงชั่วคราวคนนึงชื่อวราลี เธอยืนอยู่หน้าห้องของหลวงพ่อพุฒ ดูเหมือนเธอไม่รู้ว่าตัวเองควรจะไปไหน แล้วก็เห็นแสงจากห้อง 204... เมฆโอนบุญให้เธอ แต่มันเหมือน... พลังงานของผมถูกดูดไปมากกว่าครั้งก่อน”
มะลิฟังเงียบ ๆ แต่สีหน้าดูจริงจังขึ้น “แล้วตอนนี้ เธออยู่ที่ไหน?”
“เธอไปแล้ว หลังจากเมฆโอนบุญให้ เธอก็สลายไปเป็นแสง”
มะลิขมวดคิ้วเล็กน้อย “แปลกแฮะ ปกติแล้ว ผู้พักพิงที่รับบุญแล้วจากไปควรจะทำให้พลังงานสมดุลขึ้น ไม่ใช่ทำให้มันรวน”
เมฆพยักหน้า “ผมก็สงสัยเหมือนกัน”
มะลิถอนหายใจ “งั้นเราลองไปถามเดียร์ดูมั้ย?”
“เดียร์?” เมฆทวนชื่อ
“อืม เดียร์ช่วยป้าไหมดูแลระบบของสมิทิลา เขาน่าจะรู้ว่าปัญหานี้เกิดจากอะไร” พี่มะลิพูด “เดี๋ยวพี่พาไปหาเขา”
เมฆเดินตามพี่มะลิไปยังห้อง 201 ของพี่เดียร์ ระหว่างทางพี่มะลิเล่าให้ฟังว่า พี่เดียร์เป็นนักศึกษาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ที่ป้าไหมไว้ใจให้ช่วยดูแลระบบของสมิทิลา แม้จะเป็นมนุษย์ปกติ แต่เขามีความสามารถด้านเทคโนโลยีที่สามารถดูแลแอปของสมิทิลาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
พี่มะลิเคาะประตูเบา ๆ ไม่นานเสียงตอบรับจากข้างในก็ดังขึ้น “ใครครับ?”
“พี่เองมะลิ”
ประตูถูกเปิดออก เผยให้เห็น เดียร์ ชายหนุ่มแว่นตาที่ดูท่าทางง่วง ๆ อยู่ในชุดเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น
“หืม? มีอะไรเหรอพี่มะลิ?”
“แอปของสมิทิลารวน” พี่มะลิพูดตรง ๆ “ทั้งของพี่และของเมฆ อ่า... นี่เมฆ น้องชายพี่เอง เรียนปี 1 เพิ่งมาอยู่ที่นี่”
“สวัสดีครับพี่เดียร์” เมฆทักทายพร้อมยื่นโทรศัพท์ให้
“อืม ไหนดูซิ...” เดียร์ตอบรับและรับโทรศัพท์ไปดู พร้อมกับเปิดแล็ปท็อปที่วางอยู่ใกล้ ๆ
เขาเริ่มตรวจสอบระบบหลังบ้านของแอป ใช้เวลาไม่นานก่อนจะพึมพำกับตัวเอง "อืม..." เดียร์จ้องหน้าจอแล็ปท็อป พลางขมวดคิ้ว “แปลกแฮะ... ดูเหมือนเซิร์ฟเวอร์ของสมิทิลามีข้อมูลที่ซ้อนกันอยู่เป็นช่วง ๆ เหมือนมีบางอย่างรบกวนการเชื่อมต่อ”
"ข้อมูลซ้อน?" มะลิถาม "มันเกิดจากอะไรได้บ้าง?"
เดียร์ไล่นิ้วไปตามแป้นพิมพ์ “ปกติแล้ว ถ้าเป็นแอปทั่วไป ข้อมูลซ้อนกันอาจเกิดจากการโหลดผิดพลาด หรือสัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่เสถียร... แต่สมิทิลาไม่ได้ใช้แค่เซิร์ฟเวอร์ธรรมดานี่สิ ระบบของมันมีอะไรที่ต่างจากทั่วไป”
เมฆเลิกคิ้วขึ้น “ต่างยังไงเหรอครับ?”
“อืม...” เดียร์พึมพำ “ฉันก็ไม่รู้รายละเอียดทั้งหมดนะ แต่ป้าไหมบอกว่าระบบของแอปนี้มันต้องซิงก์กับ ‘อะไรบางอย่าง’ ของสมิทิลาโดยตรง มันเลยต้องใช้การตั้งค่าที่ไม่เหมือนแอปทั่วไป”
เมฆกับมะลิสบตากันแวบหนึ่ง แน่นอนว่า ‘อะไรบางอย่าง’ ที่เดียร์พูดถึง ต้องเป็นพลังงานของสมิทิลา แต่เดียร์ไม่รู้รายละเอียด จึงไม่สามารถอธิบายเป็นเชิงพลังงานได้
“แล้วแบบนี้ต้องแก้ยังไง?” มะลิถาม
“ก็รีเซ็ตระบบหลังบ้านของแอปเพื่อเคลียร์ข้อมูลที่ค้างอยู่ก่อน” เดียร์ตอบ เขาพิมพ์คำสั่งลงไปในแล็ปท็อปอีกสองสามคำสั่ง ก่อนจะพยักหน้า “โอเค ลองเปิดใหม่สิ”
เมฆกดเข้าไปในแอปอีกครั้ง คราวนี้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ รายชื่อผู้พักพิงและข้อมูลใน Merit Transfer โหลดขึ้นตามปกติ
"โอเค... กลับมาแล้ว" เมฆพึมพำ
“ขอบใจนะเดียร์” มะลิพยักหน้าให้
“ไม่เป็นไร ถ้ามีปัญหาอีกก็มาบอกได้” เดียร์โบกมือเบา ๆ ก่อนจะหาววอด ๆ เหมือนคนที่ทำงานจนดึกมากไปแล้ว
“โอเค งั้นไม่กวนแล้ว” มะลิพูดก่อนจะพยักหน้าให้เมฆ “ไปกันเถอะ”
เมฆกล่าวลาพร้อมกับเดินออกจากห้องของเดียร์ไปกับมะลิ ระหว่างที่เดินกลับห้อง เมฆยังคงคิดถึงสิ่งที่เดียร์พูด
ระบบของสมิทิลามันต้องซิงก์กับ ‘อะไรบางอย่าง’ โดยตรง
อะไรบางอย่างที่เดียร์พูดถึง... ต้องเป็นพลังของสมิทิลาแน่ ๆ เมฆกลับเข้าห้องและล้มตัวลงบนเตียง คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันเดียว สมิทิลายังมีความลับอีกมาก... และเขากำลังจะเป็นส่วนหนึ่งของมันเข้าไปทุกทีแล้ว