ก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,เล่าประสบการณ์,ยุคปัจจุบัน,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แปะจะเป็นอินฟลูฯก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
โลกยุคนี้ มันเป็นยุคของ อินฟลูเอ็นเซอร์ นั่นก็คือบุคคลที่มีผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
อินฟลูเอ็นเซอร์ จะมีผู้ติดตามมากมายซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีส่วนร่วมในเนื้อหาที่พวกเขาพูดเป็นประจำ อินฟลูฯ มีมากมายหลายหมวด ไม่ว่าจะเป็นหมวดการท่องเที่ยว สายทำอาหาร สายวิชาการ สายบันเทิง สายสุขภาพ
แต่ผมจะเป็นอินฟลูฯ สายไหนกันดีนะในเมื่อตัวผมเองก็ไม่เก่งอะไรสักอย่าง....เห้อ
โดย Chavaroj
รถยนต์โตโยต้าสีขาวกลางเก่ากลางใหม่ แล่นไปตามถนนบางนาตราด ซึ่งมีการจราจรอันคับคั่ง จุดหมายปลายทางของเส้นทางคือ ชลบุรี อันเป็นจังหวัดบ้านเกิดของบรรพบุรุษ
ในรถยนต์คันที่ว่า มีผู้โดยสารมาด้วยกันห้าชีวิต เริ่มจากป๊าซึ่งรับหน้าที่เป็นพลขับ ป๊านั้นเป็นทหารเรือ อยู่กรมพลาธิการ โดนย้ายมาประจำการที่กรุงเทพฯ หลายปีดีดักจนปักหลักซื้อทาวเฮ้าส์หลังเล็ก ๆ อยู่ในตัวเมืองแถว ๆ ซอยปรีดี พระโขนง ที่มาอยู่ตรงนี้ก็เพราะคนรู้จักแนะนำมา และขายให้ในราคาไม่แพง
ถัดมาก็คือสตรีผู้ทรงคุณค่า ที่นั่งกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ข้าง ๆ นั่นก็คือเมียของป๊า ม๊าของผม ม๊านั้นตัดผมสั้นมาตั้งแต่ผมจำความได้ ห้าวนิด ๆ และออกจะซ่า ๆ เหมือนทอมบอย แต่ถึงอย่างนั้นก็มีลูกด้วยกันตั้งสามคน
ม๊าเป็นคนรักสะอาด อันเราจะเห็นได้จากเสื้อผ้าที่สวมใส่ อันเป็นสีขาวจุดน้ำเงิน แต่อย่าไปนึกว่าม๊าจะแต่งตัวเหมือนคุณหญิงกีรติ ในวันที่เจอกับนพพรเลย ที่อยากให้โฟกัสก็คือเสื้อของม๊าแม้มันจะเก่านิด ๆ เชยหน่อย ๆ แต่ก็ยังสะอาดสะอ้านเป็นอันมาก
ข้อที่เป็นคนรักความสะอาดเช่นนี้ ม๊าก็เลยเหมาะอย่างยิ่งแก่งานแม่บ้าน ประจำบริษัทจัดหาแม่บ้าน ส่งไปประจำการตามสำนักงานต่าง ๆ ซึ่งตั้งแต่ผมจำความได้ ก็เห็นม๊าแต่งตัวทะมัดทะแมงด้วยชุดแม่บ้านอย่างนี้จนเป็นภาพจำเช่นกัน
ส่วนไอ้ตัวที่นั่งอยู่เบาะหลังคนขับ ก็คือน้องชายของผมเอง ชื่อไอ้ธรรม หมอเป็นคนหุ่นล่ำบึ๊ก ติดจะสำอางนิด ๆ และปากหมาอย่างที่สุด
ตรงกลางเหลือที่ค่อนข้างกว้างเพราะร่างเล็ก ๆ ที่เหยียดยาว โดยมีตีนเล็ก ๆ พาดอยู่บนหน้าขาของไอ้ธรรม ส่วนหัวก็เกยกับหน้าตักของผม ก็คือนังหนูดี หลานของผมนั่นเอง
แต่ไอ้หนูดีไม่ใช่ลูกของไอ้ธรรมนะ แต่เป็นลูกของนังธาร น้องสาวคนเล็กของผมตะหาก
ส่วนผมชื่อ ธง ชื่อจริงคือ ธวัช ส่วนใครจะเรียก ไอ้ธง เจ๊ธง อีธง หรือพี่ธงธง อันนี้ก็สุดแต่กับความสนิทสนม แต่ถ้าเรียกอี เรียกไอ้ตอนอารมณ์ไม่ค่อยดี ก็มีสิทธิจะโดนตบได้เหมือนกันอย่าหาว่าเจ๊ไม่เตือน
เราเข้าเขตชลบุรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้ว่าจะออกมาแต่เช้ามืด เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรอันคับคั่ง แต่ถึงอย่างนั้น พอใกล้จะถึงจุดหมาย รถราก็เริ่มแน่นขนัด ผู้คนก็ยิ่งเบียดเสียด
กว่าจะหาที่จอดรถได้ ก็เล่นเอาอ่อนอกอ่อนใจ กระเป๋าสัมภาระ ใบโต ๆ ถูกผมกับอีธรรมช่วยกันหอบหิ้ว ส่วนม๊าเดินจูงมือนังหนูดีหลานสาวที่ดูจะตื่นเต้นกับอะไรรอบตัว
เสียงประทัด ดังกราวปวดหูจนน่าด่า ไหนจะควันธูปที่พัดมาโดยบังเอิญเข้าตาจนตาแสบไปหมด แล้วยังกลิ่นเผาไหม้ของกระดาษเงินกระดาษทองซึ่งเหม็นจนแสบจมูกเข้าไปอีก
แน่ล่ะสิ ก็เรามาไหว้บรรพบุรุษ เนื่องในเทศกาลเช็งเม้ง ฮวงซุ้ยของอาเหล่ากง อาเหล่าม่า เดินจากลานจอดรถไปอีกพักใหญ่ ๆ แน่นอนว่าเมื่อถึงจุดหมาย ก็เจอญาติ ๆ ของป๊าอยู่ก่อนหน้านี้แล้วจำนวนหนึ่ง
ผมล่ะเบื่อแสนเบื่อ ก็คนแก่ ๆ เจอกันก็ชอบถามคำถามที่แสนน่ารำคาญ และในความเป็นลูกเป็นหลาน เราก็ต้องยิ้มแห้ง ๆ ตอบคำถามที่แสนน่ากระอักกระอ่วน ตอบมั่งไม่ตอบมั่ง ขอให้มาถามวันอีธงอารมณ์บ่จอยเถอะ เดี๋ยวแม่จะย้อนกลับให้แสบไปถึงกึ๋น จะแหกให้ไม่กล้ามาเจอมาเจอกันอีกเลยทีเดียว
แต่นั่นมันแค่ความคิดชั่ววูบเท่านั้น ผมก็ได้แต่ยิ้ม ๆ และตอบอ้อม ๆ แอ้ม ๆ ยามเมื่อเหล่าญาติ ๆ ชวนกันพูดคุยซักถามสารทุกข์สุกดิบ
"เมื่อไรลื้อจะแต่งงานวะอาธง ?"
"ทำงานอะไรอยู่ แล้วตอนนี้ได้เงินเดือนเท่าไหร่ ?"
"ไม่ทำงานรับราชการเหมือนป๊าลื้อล่ะวะ มันจะได้มั่นคง" สารพัดความหวังดีที่แสนน่าเบื่อ
แล้วยังไม่นับอากาศร้อน ๆ ที่ทำเอานังหนูดี หน้าแดงแจ๋ เหงื่อผุดที่หน้าผาก ครั้นมองดูพวกเรามองไปมองมาก็มีสภาพไม่ค่อยจะต่างกันกี่มากน้อย
ในที่สุดก็หมดเวรหมดกรรมสักที มิไยว่าม๊าจะบ่นว่าไม่เอาอีกแล้ว เป็นตายร้ายดีอย่างไร ก็จะไม่มาไหว้เช็งเม้งอีกแล้ว แต่พอต้นเดือนเมษาทีไร ม๊าก็อดสงสารป๊ามาเป็นเพื่อนป๊าด้วยทุกที แล้วพวกผมก็ซวยต้องมาเป็นเพื่อนม๊าอีกต่อหนึ่ง
ส่วนนังธาร ชิงแต่งงานไปแล้ว ดังนั้นหล่อนก็ถือว่าเป็นนอกตระกูลไปแล้ว ตามแนวความคิดแบบคนจีน ๆ อย่างพวกคนแก่ ๆ หัวหงอกพวกนี้คิด
มันก็ดีอยู่หน่อยที่ป๊าได้เจอพี่ ๆ และญาติ ๆ คนดีก็มีคนปากหมาก็เยอะ แต่คิดเสียว่า ปีหนึ่งมีสามร้อยกว่าวัน เราเจอคนพวกนี้แค่ครึ่งวันเอง ก็ถือเสียว่า เดี๋ยวก็จากกันแล้ว และอีกไม่นาน อาซิ้ม อาอึ้มพวกนี้ก็จะไปนอนในฮวงซุ้ยไม่ต่างจากอาเหล่ากง อาเหล่ามาเหมือนกันแหละน่า
"ม๊า ธงบอกตรง ๆ นะ ถ้าป๊ากับม๊าตาย ธงจะเผาแล้วใส่กำแพงวัดนะ ไม่มาแล้วอ่ะ เช็งม๊งเช็งเม๊ง ธงเหนื่อย" ผมบ่นอย่างระอาใจ
"อีผี แช่งกูเหรอ" ม๊าหันมาด่า อย่างไม่จริงจังนักแล้วพวกเราก็หัวเราะกัน
"ไปแวะหาดนางรำสักแป๊บนึงดีกว่า ให้หนูดีเล่นน้ำดีไหมลูก ?" ป๊าหันมาถามหลานสาว ซึ่งแน่ล่ะ เด็กหญิงผมเปียแก้มลมพยักหน้าหงึกหงัก ยื่นหน้าไปหอมแก้มอากงอย่างประจบประแจง ใครกันหนอสอนให้นังเด็กเป็นคนอย่างนี้...ผมไงเล่า
"แปะเล่นน้ำกับหนูดีด้วยนะ" นังตัวเล็กหันมาอ้อน
"ว๊ายไม่เอ๊าไม่เอา ร้อน...เดี๋ยวแปะผิวเสีย" ผมปฏิเสธหันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง เหลือบตามามองว่านังหน้าม้าจะทำอย่างไร
"โธ่...ถ้าแปะไม่เล่นน้ำกับหนูดี แล้วใครจะเล่นน้ำด้วยเล่าคะ แปะธรรมน่ะ ถ้าเล่นน้ำก็คงว่ายน้ำไปที่ไกล ๆ ที่ลึก ๆ หนูดีเล่นน้ำกับแปะธงดีกว่า น๊าาานะค๊าาาา ม๊าอุตส่าห์เตรียมชุดว่ายน้ำสวย ๆ ให้หนูดีมาถ่ายรูปกับแปะด้วย" นั่นไง อีตัวดีผมหน้าม๊าเต่ออ้อนกูเข้าแล้ว
พูดก็ไม่พูดเปล่า ขยับมากอด หอมแก้มซ้ำ ๆ จนผมรำคาญ
"ก็ได้ ก็ได้ย่ะ" ผมรับคำอย่างสะบัดสะบิ้งที่สุด ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้นเพราะเราซ้อมกันมาแล้ว ที่นังตัวดีมาด้วยในวันนี้ที่แท้ก็เพราะผมชวนเจ้าหล่อนมา โดยติดสินบนว่าจะพาเจ้าหล่อนไปเล่นน้ำทะเลใส ๆ ที่หาดนางรำด้วยต่างหาก ซึ่งแน่ล่ะ เด็ก ๆ กับน้ำทะเลนั้นมันของคู่กัน
ที่สำคัญ ชุดว่ายน้ำประมาณสี่ชุด ก็ถูกเตรียมมาแล้ว พร๊อพแน่น ตั้งแต่ หมวก แว่นตา กระเป๋า ผ้าพันคอ เจ๊ธงเตรียมมาแล้วทั้งนั้น ขืนไม่เล่นน้ำ ก็เสียโอกาสทำคอนเท้นต์แย่น่ะสิ
"อีธรรม ถ่ายรูปให้กูด้วยนา" ผมหันไปบอกน้องชาย
"กูอีกแล้ว" ไอ้ธรรมบ่นทำหน้าเบื่อ ๆ
"ไม่ใช่มึงแล้วจะใครเล่า มีกันแค่นี้ ป๊าก็ตาไม่ค่อยดี ม๊าก็...กลัวแดด" ผมบุ้ยใบ้ เกือบแล้วไหมเล่า ขืนบ่นว่าม๊าถ่ายรูปเชย แบบยุคเบบี้บูม เดี๋ยวแม่ด่าเช็ด ก็มันเป็นความต่างของคนละเจนเนอเรชั่นอ่ะเนอะ
"อีผี อย่าบ่น มึงถ่ายกู แล้วกูก็ถ่ายให้มึง โอเค๊" ผมหันไปเสนอข้อตกลง ซึ่งมันก็ต้องลงท้ายด้วยผลประโยชน์ต่างตอบแทน
รถมาถึงหาดนางรำราว ๆ บ่ายโมงเศษ ๆ เนื่องจากวันนี้โชคดี เรามากันในวันธรรมดา ถ้าเป็นวันเสาร์อาทิตย์ล่ะก็ คนแน่นหายห่วงไปเลย
ตรงโค้งของหาดทางเข้า มีสโมสรทหารเรือ หรือจะเรียกง่าย ๆ ก็ร้านอาหารนั่นแหละ เพียงแต่เป็นของทหารเรือเขาจัดการ แน่นอนว่าเราต้องไปฝากท้องที่นั่น เพราะอาหารอร่อย ราคาไม่แพง ที่สำคัญ ป๊ารู้จักกับหัวหน้าที่ดูแลที่นั่นด้วย
แต่อย่านึกว่าเราจะได้สิทธิพิเศษอะไร เพราะคนทำกับข้าวกับปลาก็คือพ่อครัวแม่ครัว และหัวหน้าก็ไม่แน่ว่าจะอยู่ดูแลทั้งวี่ทั้งวัน
เราเลือกจอดรถตรงที่จอดรถ ใต้ต้นควินินซึ่งปลูกเป็นแพ ป๊าเดินยิ้ม ๆ ไปทักถามแคชเชียร์ ถามไถ่ถึงหัวหน้าก็ได้ความว่ายังไม่เข้ามาสโมสร
เราสั่งอาหารที่กันหลายอย่าง แต่ไหน ๆ มาถึงชลบุรีก็ขอสั่งอาหารทะเลสั่งนิดสักหน่อย ได้อาหารตามที่ต้องการ แน่เหลือเกินว่าผมก็ต้องให้โทรศัพท์มือถือของผมได้กินมันก่อน
"ถ่ายเร็ว ๆ สิโว้ยหิวข้าวแล้ว" ไอ้ธรรมบ่นขณะที่ผม จัดจานอาหารให้ได้องศา ปรับเลนส์ ปรับโหมด ปรับสีให้รูปถ่ายอาหารธรรมด๊าธรรมดา มันดูน่ากินเหมือนมาจากร้านมิชลินสตาร์
"เอ๊ากินได้" ผมบอกแล้วพวกเราก็โซ๊ยอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย สงสารนังม้าเต่อที่ต้องกินอาหารกับผู้ใหญ่ มีอาหารเผ็ด ๆ หลายอย่าง แต่นังหนูดีก็สู้กินไปสูดปากไป กินน้ำไป นี่แหละ ชีวิตมันต้องสู้แบบนี้หลานแปะ
หลังจากกินเสร็จ เราก็เคลื่อนขบวนห่างไปจากตรงนี้นิดหน่อย เสื่อผืนที่ม๊าเอามาปูตอนไหว้บรรพบุรุษ ถูกนำมาปูใต้ร่มของต้นสน ลมพัดเอื่อย ๆ น่าสบาย หมอนสองใบถูกเอามาวางแปะ ป๊ากับม๊าสมัครใจที่จะนอนเอาแรง
ส่วนผมก็เปลี่ยนเสื้อผ้ามันในรถนี่ล่ะ โทรศัพท์มือถือ ถูกส่งให้น้องชาย ส่วนยายหนูดี เปลี่ยนชุดเสร็จก่อนหน้าผมไปแล้ว
"อย่าเพิ่งเล่นน้ำลูกทาครีมกันแดดก๊อนนนน" ผมตะโกนเรียกหลานสาว ซึ่งคงเบื่อที่จะรอ เจ้าหล่อนเดินเตะคลื่นที่กระทบชายหาด กระโดดแล้วก็นั่งลงเก็บเปลือกหอยอะไรไปตามประสา
ไอ้ธรรมถอดเสื้อจนเห็นกล้ามล่ำบึ๊ก ใส่กางเกงขาสั้นตัวหลวม ๆ ส่วนผม หมวกพร้อม แว่นพร้อม กระเป๋าพร้อม กางเกงว่ายน้ำสีขาวสุดเซ็กซี่พร้อม...พร้อมมากเด้อค่ะ
ถ่ายรูปโดยมีตากล้องด่าให้ทำท่าโน้นท่านี้ ถ่ายเดี่ยวบ้าง ถ่ายกับหลานสาวบ้าง ช่วงพักก็วิ่งกลับมาที่รถ เปลี่ยนกางเกงว่ายน้ำ ซึ่งเตรียมมาสำหรับการนี้ เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน
"ถึงตามึงถ่ายรูปให้กูบ้างแล้วอีหอย" ไอ้ธรรมพูดแบบเบื่อ ๆ พร้อมกับยื่นโทรศัพท์มาสองเครื่อง คือเครื่องของผมกับเครื่องของมัน
ใช้เวลาปรับแสงเพียงอึดใจ เพราะความชำนิชำนาญ ไอ้ธรรมก็ได้ภาพเซ็กซี่นิด ๆ วาบหวิวหน่อย ๆ ชนิดเอาไปลงไอจีแล้วคนต้องกดไลค์เป็นพัน ๆ ได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที
เอาล่ะ ในที่สุดภารกิจถ่ายรูปในธีมทะเลก็เสร็จลงอย่างสมบูรณ์ ทุกคนพออกพอใจ แม้แต่ยายหนูดีที่ม๊าตามมาถ่ายรูปหลานสุดที่รักเพื่อส่งไปยังไลน์กลุ่ม ถ่ายไปให้แม่มันดู แล้วก็อวดแก๊งเพื่อนแม่บ้าน กับก๊วนออฟฟิศของม๊านั่นแหละ
ขากลับไอ้ธรรมรับหน้าที่เป็นพลขับ ป๊านั่งเคี้ยวขนมตุ้ย ๆ พร้อมคุยกับม๊า เผลอแป๊บเดียวม๊าก็ล้มตัวลงนอนบนตักป๊า ส่วนผมนั่งที่เบาะหน้าข้างคนขับ โดยมีนังหนูดีหลับอยู่ในอ้อมอก เปิดเพลงกันเบา ๆ และผมกับไอ้ธรรมก็คุยกันหงุงหงิง ด่ากันมั่ง ปรึกษากันมั่งตามประสาพี่น้อง แต่ที่เด็ดที่สุดก็คือนินทาญาติ ๆ กลับเพราะแต่ละคนประวัติก็ไม่ธรรมดาทั้งนั้น
ถึงบ้านเอาตอนเย็นย่ำ แต่ยังไม่ค่ำมืดเพราะเรามาทางด่วน ยังไม่ทันจะปิดประตูหน้าบ้าน นังธารน้องสาวคนเล็กของผมก็เดินหน้าเริดตามมาทีเดียว
"เป็นยังไงสนุกมั๊ยลูก ?" หล่อนถามลูกสาวเป็นคนแรก
"สนุกค่ะม๊า แหมอาหารก็อร่อย เล่นน้ำทะเลก็สนุ๊กสนุก ไว้เราไปเที่ยวทะเลกันนะคะ ไปกับพ่อแม่ลูก" นังตัวแสบฉอเลาะแม่ของมัน
"ให้แปะไปด้วยไม่ได้เรอะ ?" ผมอดจะแซวไม่ได้
"เอ่อ ไปได้สิคะ แหม ต้องได้อยู่แล้ว แปะไม่ไปก็ไม่สนุกสิ" นังตัวเล็กตอบตาเลิกลัก ท่าทางอีนี่โตไปจะกะล่อนไม่น้อย เพราะท่าทางคงอยากไปกันเองพ่อแม่ลูกมากกว่า
เอาสัมภาระคือเสื้อผ้าเปียก ๆ ของนังตัวดีส่งให้แม่มัน สองแม่ลูกโบกมือบ๊ายบายหลังจากเดินไล่หอมแก้มตั้งแต่อากงอาม่า อาแปะสองคน แล้วก็เดินกลับบ้าน
บ้านของเจ้าหล่อนไม่ได้ไกลอะไรหรอก ก็ทาวน์เฮ้าส์ถัดไปแค่สองหลัง ก็ใครใช้ให้พ่อนังหนูดี เป็นเพื่อนเล่นกับแม่มันมาตั้งแต่เด็ก ๆ โดนโขกโดนสับ เป็นลูกกะโล่ สุดท้ายเสือกมาได้เป็นผัวเมียกัน แล้วนังธารนี่แหละที่เข้าหาผัวมัน เห้อ...อ่อนใจ ครั้นด่าให้ มันก็เถียงว่า ผัวของมันออกจะดี ขืนไม่รีบรวบหัวรวบหาง หมาคาบไปแดกก็ซวยกันเท่านั้น ซึ่งก็จริงของมัน
อันที่จริง ใคร ๆ ที่รู้จักพวกผมสามพี่น้องแบบห่าง ๆ ก็คงนึกแปลกใจเพราะพวกเราสามคนอายุเท่ากัน
คือผมน่ะมันลูกหัวปี เกิดตอนเดือนมกราคม ส่วนอีธรรมกับนังธาร อีสองตัวนี่มันฝาแฝดกันแต่เป็นแฝดคนละฝา พวกมันเกิดเดือนธันวาคม ส่วนกรรมวิธีการผลิตนั้นก็เป็นเรื่องของป๊ากับม๊า พวกเราไม่เกี่ยวเพราะเป็นผลผลิต
"ทีแรกน่ะอยากจะมีลูกแค่สองคน แต่ใครมันจะไปคิดเล่าว่าท้องที่สองมันจะเป็นฝาแฝด แต่ในเมื่อเจ้าแม่กวนอิมให้ลูกมาอย่างนี้ก็ต้องรับไว้ แถมยังเป็นเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงเสียด้วย" ม๊าชอบเม้ากับใคร ๆ ยามเมื่อมีคนถามถึงลูก ๆ
"ไฮ้ อะไร ได้จากเจ้าแม่กวนอิมเชียวเรอะ ?" คู่สนทนาถามอย่างประหลาดใจ
"จริง ๆ ให้ดิ้นตาย ก็ตอนท้องไอ้แฝดนี่ ฉันฝันว่าไปไหว้เจ้าแม่กวนอิม แล้วก็มีคนยกรูปเจ้าแม่กวนอิมให้ เป็นรูปเจ้าแม่กวนอิมนั่งอยู่บนดอกบัวแล้วข้าง ๆ ก็มีเด็กสองคนด้วย" ม๊าเล่าราวกับปาฏิหาริย์
ส่วนตัวผมเอง จากการวิเคราะห์ม๊าที่รู้จักกันมาสามสิบกว่าปี ม๊าน่ะชอบเล่นหวย และก่อนหวยออก คณะผู้ลุ้นตัวเลขก็ชอบชวนม๊าไปไหว้ ไปมูตามที่ต่าง ๆ เดาว่าคงไปไว้ศาลเจ้าจีนมาแล้วฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก ก็เดือนละสองหน เห็นม๊ากระตือรือร้นอยู่แค่สองวัน จนลูกโตจนจะแก่แล้วม๊าก็ยังเล่นหวยอยู่ไม่รู้เลิก
ในเมื่อมาถึงบ้านในช่วงเย็น ๆ ม๊าซึ่งขี้เกียจทำกับข้าวอยู่แล้ว ก็เลยเสนอไอเดียว่าจะออกไปซื้อกับข้าวถุงที่หน้าปากซอย
"เดี๋ยวธงไปด้วยม๊า" ผมบอกและตะโกนสั่งไอ้ธรรมให้หุงข้าวด้วย เราสองแม่ลูกก็เลยเดินหน้าแป้นโดยมีผมเกี่ยวแขนม๊าเดินเทิ่ง ๆ จุดหมายก็คือปากซอยซึ่งมีร้านขายอาหารสารพัด
ไม่ใช่ว่าผมจะอยากมาหรอกนะ แต่ถ้าปล่อยให้ม๊าออกมาคนเดียว รับรองว่าอีกชั่วโมงก็ยังไม่ถึงบ้าน เพราะม๊าน่ะเป็นคนของสังคม รู้จักเขาไปหมด แล้วคนก็ชอบจริงจริ๊งที่จะคุยกับแม่ของกูเนี่ย
"เจ๊ไปไหนมาแต่งตัวซะสวยเชียว" นั่นไง เหยื่อรายแรกเรียกแม่กูแล้ว
"ไปเช็งเม้งมาที่ชลบุรี.." ม๊าเปิดหัวข้อ เอาล่ะผมถอนหายใจยาว ๆ เหลือกตามองสี่สิบห้าองศา
"เดี๋ยวกลับมาคุยก็ได้ม๊า" ผมกระซิบกระซาบกึ่ง ๆ จะลากแขนม๊า
"แห๊ม...มึงนี่ คนเขาทักไม่คุยกับเขาเดี๋ยวเขาหาว่าเย่อหยิ่ง" ม๊าหันมาตำหนิ พร้อมกับกวักมือกวักไม้กับคนที่ทัก พร้อมกับพูดว่าเดี๋ยวค่อยมาคุยกัน
แล้วคิดดูสิว่า ระยะทางจากบ้านผมไปปากซอย ถึงไม่ไกล แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะใกล้ ต้องผ่านบ้านคนรู้จักม๊าตั้งกี่คน ไหนจะร้านกับข้าวที่เราต้องไปซื้อ ซึ่งก็จะต้องชวนคุยโน่นนี่นั่นอีกเล่า
กว่าจะได้ของคาว กว่าจะได้ของหวาน กว่าจะได้ผลไม้ แล้วยังต้องเตรียมซื้อของทำกับข้าวสำหรับวันพรุ่งนี้ แล้วม๊ายังต้องทำข้าวกล่องให้ตัวเองแล้วก็ลูกกับผัวอีก เลยต้องตุนของสดหลายอย่าง เราก็เลยต้องแวะร้านขายผัก ร้านขายหมู ร้านขายไก่อีก
ทำกับข้าวบ่อย ๆ เข้าก็เบื่อ ถึงแม้ว่าปกติม๊าจะไม่ค่อยชอบซื้อกับข้าวสำเร็จเพราะทำเองสบายใจกว่า ม๊าทำกับข้าวอร่อย และแน่นอนพอเราทำอร่อย กินของคนอื่นมันก็เลยรู้สึกว่าจะไม่ค่อยเป็นสับปะรดเป็นธรรมดา
อย่างเย็นนี้ จานเอกของเราก็คือน้ำพริกกะปิ ปลาทูทอด ไข่ชะอม มะเขือยาวชุบไข่ทอด ถั่วฝักยาวชุบไข่ทอด และผักต้มอีกจำนวนมาก กินกับแกงส้มมะรุมกุ้งสด และผัดคะน้าหมูกรอบ
ได้อย่างนี้แล้ว ก็เถอะ ผมกับไอ้ธรรมแกะกับข้าวใส่จาน จัดเรียงให้สวย ๆ ไม่สวยเดี๋ยวม๊าด่าอีก ไอ้พวกผักต้มผักทอดน่ะแค่แกะเรียง ๆ ก็เป็นอันใช้ได้
แต่น้ำพริกน่ะม๊าต้องปรุงรสใหม่ เติมมะนาวให้เปรี้ยวแหลมและหอม เติมน้ำตาลปี๊บอีกนิดให้รสกลม เพราะเค็มจนเกือบไตวาย ส่วนปลาทูม๊าก็ใช้เทคนิคพิเศษ เอาสันมีดคู่มือเคาะ ๆ ไปตามกระดูกสันหลังของมัน แล้วก็แงะจนได้แต่เนื้อแน่น ๆ โดยไม่แตกเลย อยู่ครบครึ่งตัวโดยสมบูรณ์
แกงส้มมะรุมก็เหมือนกัน ม๊าก็ต้องเพิ่มเปรี้ยวเพิ่มหวานให้ถูกปากป๊า ส่วนคะน้าหมูกรอบ ก็เหยาะพริกไทยดำเพิ่มเข้าไปให้หอมยิ่งขึ้น
กินข้าวจนเสร็จ ล้างจานล้างชาม คราวนี้ก็อาบน้ำแยกย้าย แต่ท้ายที่สุด เราสี่คนพ่อแม่ลูก ก็มาขลุกตรงโซฟาตรงหน้าทีวี
ทีวีนั้นก็เปิดมันไปเรื่อยเปื่อย เรียกว่าเปิดไม่ให้มันเงียบหู แต่ทุกคนก็มีโทรศัพท์ในมือคนละเครื่อง ป๊านั้นก็ฟังเพลงอัศนีวสันต์อะไรของแกไปตามเรื่อง โดยเสียบหูฟังจะได้ไม่รบกวนคนอื่น
ม๊าก็เสพยูทูบ เสพเฟสบุค และส่งรูปไปยังกลุ่มไลน์ ของอย่างนี้มันต้องอวดให้เพื่อน ๆ ที่ทำงานได้เห็นกัน เสียงไลน์ของม๊าดังระรัวเป็นข้าวตอกแตก
ส่วนผมก็อัพรูป พร้อมคิดแคปชั่น ตัดต่อคลิป ลงทุกโซเชียลมีเดีย ไอ้ธรรมก็ไม่ได้ต่างกัน เพียงแต่ผมนอนเขลงบนตักม๊า อัพรูปไปด้วย ส่วนไอ้ธรรมมันเดินชันอยู่บนลู่ไปอัพรูปลงโซเชียลอะไรของมันไป
จนราว ๆ สามทุ่มนั่นแหละถึงจะแยกย้ายกันเข้านอนป๊าน่ะเข้านอนก่อนเพื่อนคงเพราะเพลียจากการขับรถ ส่วนม๊าชอบนอนไวอยู่แล้ว ผมกับไอ้ธรรมก็แยกย้ายเข้าห้องนอนของตัวเอง
จนเมื่อตื่นเช้าต่างคนต่างก็อาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะไปทำงาน วันนี้เป็นหน้าที่ของไอ้ธรรมที่มันจะต้องเป็นลูกมือช่วยม๊าทำครัว เราแบ่งหน้าที่กันคนละวัน ป๊า ผมแล้วก็ไอ้ธรรม เวียนครบสองรอบในหนึ่งสัปดาห์ และวันอาทิตย์คือวันดีเดย์ คือม๊าจะไม่ทำกับข้าว ใครใคร่จะซื้ออะไรกินก็ไปหากินกันเอาเอง แต่จะฝากกันซื้อก็อีกเรื่องหนึ่ง
เราอยู่กันสี่คน แต่ไปรถกันสามคัน ป๊าทำงานไกลที่สุด ก็ขับอีแก่ไป ผมกับม๊าไปทำงานทางเดียวกัน ม๊าก็ซ้อนรถท้ายผมไป ส่วนไอ้ธรรม ก็ขี่มอเตอร์ไซค์ของมันไปแต่ต้องเอานังหนูดีไปหย่อนที่โรงเรียนด้วย นาน ๆ พ่อของมันจะหนีบลูกมันไปสักที ไหน ๆ ทางผ่านก็เอาไปด้วยกันสะดวกดี
และแน่นอนว่าขากลับ ผมก็ต้องรับม๊ากลับด้วย ม๊าจะนั่งกระดิกตีนอยู่ใต้ออฟฟิศ และเมื่อผมเอาราชรถไปเกย ม๊าก็จะกระโดดขึ้นซ้อนท้ายอย่างทะมัดทะแมง แต่วันนี้ท่าจะต้องรออยู่อีกพักใหญ่ เพราะม๊ายืนคุยกับกลุ่มพนักงานออฟฟิศที่ม๊าทำงานอยู่ด้วย ท่าทางเคร่งเครียด
จริงสินะ วันพรุ่งนี้หวยออก เพราะฉะนั้นผมห้ามทัก ห้ามหน้างอ ห้ามชักสีหน้า ห้ามบ่น ใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะการอันเป็นอัปมงคลเหล่านี้ ม๊าถือนัก เพราะมันจะทำให้เลขเคลื่อน
เสียงเหล่าคุณป้าคุณน้า พูดคุยกันเหมือนบรรดาแม่ไก่บ่น ๆๆ ผมก็ปล่อยให้ม๊าคุยอะไรของแกกันไปตามเรื่อง ซึ่งจะมีตัวหลักอีกคนคอยจดอะไรยุก ๆ ยิก ๆ ไปด้วยไม่หยุด
เอาล่ะ ในที่สุดวงสนทนาก็หยุดลงม๊าเดินยิ้ม ๆ และขึ้นมานั่งซ้อนท้าย พร้อมกับสวมหมวกกันน๊อก
"งวดนี้ตัวไหนเจ๋งล่ะม๊า ?" ผมแซว
"บอกไม่ได้โว้ย เดี๋ยวเลขเคลื่อน" ม๊าตอบพร้อมกันหันหน้าเสไปมองข้างทาง คงขี้เกียจคุยเรื่องตัวเลขกับผม เพราะเลขมันจะเคลื่อนเอาได้ ผมเดาว่าม๊าน่าจะได้เลขจากการไปเช็งเม้งเมื่อต้นเดือน เพราะเห็นจ้องแผ่นป้ายของอาเหล่ากงอยู่เป็นนานสองนาน
เมื่อถึงบ้าน ป๊ายังไม่กลับ ส่วนไอ้ธรรม ก็ตามหลังมาติด ๆ แน่นอนว่าวันนี้ยังอยู่ในเวรของไอ้ธรรม มันรีบกุลีกุจอเข้าครัวไปหุงข้าว ส่วนผมขอขึ้นไปอาบน้ำนอนเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเพราะเหนียวตัวเต็มทน
จนป๊ากลับมานั่นแหละ กับข้าวง่าย ๆ สามสี่จานก็เสร็จส่งกลิ่นหอมฉุย ไอ้ธรรมเดินหน้าตึง ๆ เอากับข้าวมาวางบนโต๊ะกินข้าว
"เป็นอะไร?" ผมถามเพราะเห็นสีหน้าของมัน
"โดนม๊าด่า" ไอ้ธรรมตอบพร้อมกับเบ้ปากเป็นสระอิ
"ไอ้เวรพรุ่งนี้หวยออก" ผมกระซิบกระซาบกับไอ้ธรรม พร้อมกับส่ายหน้าดิกเป็นเชิงบอกว่า ไม่น่าเลยมึง
"กูลืม" ไอ้ธรรมตอบและเดินไปเรียกป๊ามากินข้าวด้วยกัน
ท้ายที่สุดม๊าก็ถูกหวยจริง ๆ นั่นแหละ ถูกสองตัวทั้งรัฐบาลและเอกชน หักลบกลบหนี้ก็คงจะได้กำไรอยู่พอสมควร แต่จะเป็นจำนวนเท่าไร ม๊าไม่ยอมบอกเพราะถือว่าเป็นความลับของทางราชการ และเข้าข่ายลับมากเสียด้วย
เหตุจากการถูกหวยในครั้งนี้ สาย ๆ วันอาทิตย์ม๊าก็มีอันต้องทำแกงเขียวหวานหม้อโต ๆ แล้วก็ให้ผมกับไอ้ธรรมเดินตักแกงใส่ชามแล้วก็เอาไปแจกตามบ้านโน้นบ้านนี้ โดยผมเป็นคนถือ ม๊าเป็นคนคุย คุยมันทุกบ้าน ยิ่งอีบ้านไหนช่างซัก ม๊าก็ยิ่งตอบและตอบอย่างละเอียดเสียด้วย
เล่นเอาหมดเวลาไปครึ่งค่อนวัน ผมเดินตามยังละเหี่ยใจ ม๊าเดินเริด ๆ เข้าบ้าน ส่วนผมเดินอย่างห่อเหี่ยวตามหลัง ม๊านี่ถ้าสมัครสก. หรือเป็นหัวคะแนนให้ผู้ว่าคนไหน ก็เห็นทีจะได้เปรียบ เพราะในพระโขนงนี้ม๊ากว้างขวางที่สุด
"ไอ้อย่างนี้มันท่านฑูตชัด ๆ" ผมบ่นเพ้อกับตัวเอง
"บ่นอะไรมึง ?" ไอ้ธรรมที่เดินตามหลังถามอย่างสงสัย
"ก็ม๊าสิ เข้าบ้านโน้นออกบ้านนี้อย่างกะเป็นท่านฑูต สงสัยจะต้องย้ายไปทำงานกระทรวงต่างประเทศ" ผมตอบ
"ถ้าม๊าเป็นท่านฑูต มึงก็ลูกสาวท่านฑูตแล้วแหละ" ไอ้ธรรมพูดแล้วเราสองคนพี่น้องก็หัวเราะกันแทบตาย เพราะนึกถึงหนังเรื่อง ปล้นนะยะ