ก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน

แปะจะเป็นอินฟลูฯ - 2 Good Day โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,เล่าประสบการณ์,ยุคปัจจุบัน,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

แปะจะเป็นอินฟลูฯ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,เล่าประสบการณ์,ยุคปัจจุบัน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

แปะจะเป็นอินฟลูฯ โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ



โลกยุคนี้ มันเป็นยุคของ อินฟลูเอ็นเซอร์ นั่นก็คือบุคคลที่มีผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย


อินฟลูเอ็นเซอร์ จะมีผู้ติดตามมากมายซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีส่วนร่วมในเนื้อหาที่พวกเขาพูดเป็นประจำ อินฟลูฯ มีมากมายหลายหมวด ไม่ว่าจะเป็นหมวดการท่องเที่ยว สายทำอาหาร สายวิชาการ สายบันเทิง สายสุขภาพ 


แต่ผมจะเป็นอินฟลูฯ สายไหนกันดีนะในเมื่อตัวผมเองก็ไม่เก่งอะไรสักอย่าง....เห้อ

สารบัญ

แปะจะเป็นอินฟลูฯ-1 ลูกสาวท่านฑูต,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-2 Good Day

เนื้อหา

2 Good Day

โดย Chavaroj




ชีวิตปกติของผม หลังจากเข้าห้องนอน ไอ้ครั้นจะนอนตั้งแต่สามทุ่มเหมือนม๊า มันก็คงจะไม่ใช่เรื่อง แม้ว่างานการอะไรจะไม่ต้องแบกมาทำต่อ เพราะหน้าที่การงานของผมมันกระจอกเกินกว่าจะต้องรับผิดชอบอะไรหนัก ๆ จบงานแล้วก็ถือเป็นอันว่าแล้วกัน ถ้าผมเป็นคนทะเยอทะยานกว่านี้สักนิด รักความก้าวหน้ากว่านี้สักหน่อย ผมก็คงจะพัฒนาตัวเองให้เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เช่นไปเรียนต่อให้จบปริญญาตรี หรือหางานที่มันเป็นหน้าเป็นตาแก่วงตระกูล...ในฐานะตั่วเฮีย


แต่อีทีนี้ผมไม่ได้มุ่งมั่น อะไรเลยแม้แต่กระผีกริ้น เรียกว่าขอมีชีวิตชิว ๆ สบาย ๆ อย่างที่เป็นอยู่อย่างนี้ทุก ๆ วันก็พอใจแล้ว ไอ้เรื่องคิดว่าห้าปีสิบปีข้างหน้าจะทำอะไรนั้นผมไม่เคยคิดไม่เคยหวัง เพราะไม่รู้ว่าจะหวังอะไร แล้วที่สำคัญ หวังแล้วจะได้สมใจหวังหรือเปล่า ภาษาพระเขาว่าอยู่กับปัจจุบัน


ผมมีบ้านคุ้มกะลาหัวที่อบอุ่น พ่อแม่ที่ยังแข็งแรงดี มีงานที่ถือว่ามั่นคง แม้เงินดาวเงินเดือนจะไม่ได้สูงชนิดซื้อของแพง ๆ มาใช้ได้แบบไม่ต้องยั้งคิด แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองขาดอะไร หรือจะต้องเท่าเทียมกับใคร


ก่อนนอน แน่ล่ะ คนยุคนี้ ไอ้จะมานอนดูทีวีต่อจนดึกดื่นเหมือนยุคป๊ากับม๊า ที่แกเล่าว่า ตอนกลางคืนสี่ทุ่มกว่า ๆ ก็ต้องรอดูสี่ทุ่มสแควร์ของวิทวัส หรือคืนวันเสาร์ ก็ต้องรอดูช่องเจ็ด บิ๊กซีนีม่า หนังฮอลลีวู้ดที่จะเอามาฉายให้ได้ดูกัน


ผมเหมือนจะโตทัน แต่ในวันที่มีโทรศัพท์มือถือ มีอินเทอร์เน็ต อะไรพวกนี้ก็ไม่ได้เป็นที่สนใจของคนรุ่นผมอีกแล้ว จำได้เลา ๆ ว่าเมื่อไม่กี่นานนี้ มีข่าวว่า วิทวัส พิธีกรชื่อดังได้ประกาศปิดรายการของแกไปแล้วอย่างถาวร อนิจจา ผมไม่เคยดูรายการอะไรของแกเลยสักนิด จำได้ว่าแก่ใส่แว่นและทรงผมเดิม ๆ ชั่วนาตาปี ม๊าเล่าว่าสมัยก่อนรายการของแกฮิตสุด ๆ ยิ่งถ้ามีดาราดัง ๆ อย่างพี่เบิร์ดธงชัยมาล่ะก็เรทติ้งกระฉูด 


ก็ในเมื่อยุคนี้มันมีอะไรในยูทูป มีอะไรในสตรีมมิ่งเยอะแยะตาแป๊ะไก๋ หรืออยากจะฟังอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน ฟังไปทำงานไป ก็ฟังพอดแคสต์ได้ด้วย ไม่เสียงานเสียการ เรียกว่าฟังไปทำอะไรไปเพลิน ๆ


บนเตียงนอนแสนสบาย ซึ่งเดิมเคยเป็นห้องนอนยังยัยธารน้องสาวคนเดียวของผม เมื่อเจ้าหล่อนออกเรือนชิงมีผัวก่อนใครเพื่อน ผมก็ระเห็จมายึดห้องของมันแทนเสียเลย ถึงห้องจะเล็กกว่าห้องชั้นบนสุด ผมก็ยอมเพราะขี้เกียจเดินขึ้นบันได


ผมเป็นคนไม่นอนดิ้น หรือถึงจะดิ้นก็ไม่รู้ตัว แต่สรุปว่านอนไม่ดิ้นก็แล้วกัน เพราะตื่นมา ทั้งผ้าห่ม ทั้งหมอน ก็ยังอยู่ในสภาพเก่า เสื้อยืดเก่า ๆ ตัวย้วย ๆ แสนนุ่มมีกลิ่นเหงื่อนิด ๆ เพราะซักสองวันครั้ง กับกางเกงบ๊อกเซอร์สภาพเก่า ๆ สั้นจุ๊ด คือเครื่องแบบสำหรับการนอนของน้องธง


เปิดโคมไฟสีส้ม ๆ ที่หัวนอน แล้วผมก็ไถฟีดดูมันไปเรื่อย ๆ ไล่ตั้งแต่เฟสบุค ไอจี ทวิตเตอร์ (ซึ่งถึงจะเปลี่ยนชื่อเป็นเอ็กซ์แล้วแต่ก็จะขอมันเรียกมันว่าอย่างเก่า...เอาไว้ส่องรูปโป๊คลิปโป๊) ไปจนถึงติ๊กต๊อก 


เรียกว่าดูมันทุกแพลตฟอร์ม ไถไปไถมาก็หมดเวลาไปเป็นชั่วโมง ๆ โดยไม่รู้ตัวเลยสักนิด ไอ้อะไรพวกนี้เป็นสิ่งที่ขาดเสียไม่ได้เพราะเราก็ต้องอัปเดตเหมือนกันว่าในโซเชียลมีเดียเขาไปกันถึงไหน ใครทำอะไร ใครมีดราม่าอะไร สนใจฟังก็เปิดนานหน่อย อะไรน่าเบื่อก็เลื่อนผ่าน


และไม่ลืมที่จะเปิดดูคลิปสอนทำอาหารหลาย ๆ ช่องทาง อันไหนดีน่าสนใจ และคิดว่าทำได้ไม่ยากมาก นอกจากจะดูจนจบผมก็ต้องมีหน้าที่ส่งให้ม๊าดูด้วย เพราะม๊าเป็นตัวหลักในการทำกับข้าวให้พวกเรากิน 


การได้ไอเดียใหม่ ๆ ม๊าก็จะได้ไม่เบื่อ และสนุกในการลองทำสิ่งแปลก ๆ หรือบางที ใครจะไปรู้ อนาคตม๊าก็อาจจะนึกสนุกทำอาหารลงคลิปกับเขาก็ได้ แต่ตอนนี้ให้ม๊าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการส่งไลน์ไปก่อนก็พอ 


เจอคลิปทำอาหารน่าสนใจสามสี่อย่างก็ส่ง ๆ ให้ม๊าไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ผมหาวกว้าง ๆ จนน้ำตาปริบ บิดคอสักนิดสักหน่อยเพราะรู้สึกว่ามันตึงชะมัด ก็เล่นนอนจ้องหน้าจออยู่ชั่วโมงกว่า ๆ เข้าไปแล้ว 


หันไปมองนาฬิกา ห้าทุ่มเศษ ๆ ผมก็คิดได้ว่าพรุ่งนี้ผมมีภาระที่จะต้องตื่นแต่เช้านี่หว่า ดังนั้น น้องธงคนดี ก็รีบดับไฟที่หัวนอน แต่ไม่ลืมที่จะเปิดสปอตติไฟล์ เลือกเพลลิสต์ที่กดหัวใจไว้แล้ว เป็นคลื่นเสียงบำบัด ซึ่งทำให้เรานอนหลับสบาย และคลื่นเสียงที่ว่าจะช่วยบำบัดเซลล์ของเราได้ลึกถึงดีเอ็นเอเลยด้วย 


อันนี้เท็จจริงอยู่กับผู้เล่า แต่ผมฟังแล้ว ไอ้เสียงอื้อ ๆ อู้ ๆ พอฟังนาน ๆ มันก็ง่วงนอนดีเหมือนกัน และแล้วผมก็นอนหลับไปในทันใด


รู้สึกตัวตื่นเมื่อนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ส่งเสียงแจ้งเตือน จะมามัวข้ามไม่ได้หรอกนะ เพราะถ้าม๊ามีน้ำโห จะซวยกันหมดทั้งบ้าน นาฬิกาปลุกนั้นผมตั้งชื่อมันว่า "Good Day" ซึ่งจะตั้งปลุกทุกวันอังคารกับวันเสาร์เวลาตีห้าเป๋ง 


จัดแจงสวมกางเกงขาสั้นเข้าอีกชั้นนึง ไม่ล้างหน้าล้างตากันละ เพราะเสียเวลา เดินลงมาข้างล่างก็เจอไอ้ธรรมที่ตื่นแล้วและเตรียมตัวจะไปออกกำลังกาย


"ไปกันจ๊ะม๊า" ผมบอกม๊า แต่ตัวผมเองเดินไปเปิดตู้เย็น รินน้ำเย็นเจี๊ยบใส่แก้วแล้วกระดกทีหนึ่ง ค่อยสดชื่นหน่อย


เราสองแม่ลูก เดินมาในซอยที่ปกติจะคับคั่งวุ่นวาย แต่นี่ยังเช้ามืด มันก็เลยเงียบกริบ จนได้กลิ่นคุ้นจมูก เป็นกลิ่นเหม็น ๆ คล้าย ๆ ของบูด ก็เป็นสัญญาณว่าเราได้เข้ามาถึงบริเวณตลาดสดพระโขนงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


คนงานและบรรดาพ่อค้าแม่ค้า เริ่มเปิดร้านอย่างคึกคัก ผมมีหน้าที่ถือตะกร้า เพื่อจะได้บรรจุวัตถุดิบที่ม๊าจะซื้อมาทำกับข้าวให้พวกเรากิน วันนี้ได้ผักสด ๆ คือบล็อกโคลี่หัวโต ๆ เห็ดออริจิ เห็ดเข็มทอง เห็ดหูหนู ซึ่งวางขายใส่จาน จานละยี่สิบบาทเท่านั้น ถูกแสนถูกแต่ได้มากมายก่ายกอง


เดินไปอีกหน่อยมีถั่วลันเตาอ่อน ๆ ม๊าก็ซื้อติดมือมาด้วย แต่ม๊าว่าจะไม่ทำวันนี้นะอาจจะเอาไปทำเป็นมื้อเย็นก็เป็นได้ เดินซื้อกุ้งขาวอีกหน่อย ผักกะเพราอีกหนึ่งกำ เนื้อไก่ม๊าซื้อน่องไก่กับอกไก่ เพราะเมื่อวานมีฟักเขียวอ่อน ๆ ส่วนหมูบด ยังมีเหลือในตู้เย็น 


เท่านี้ก็เห็นจะพอ แต่ไม่ลืมที่จะซื้อน้ำเต้าหู้แบบไม่ใส่น้ำตาล แต่ใส่งาดำ อีกสี่ถุง เราก็เดินทางกลับบ้านอย่างว่องไว พอถึงปากซอยก็เจอนังธารที่เพิ่งเดินหน้ายุ่ง ๆ มาซื้อกับข้าวเหมือนกัน


"เอ๊าม๊า ซื้อเสร็จแล้วเหรอ?" นังน้องสาวผมทักม๊า ทำหน้ายุ่ง ๆ ผมเผ้ายังไม่หวีให้ดีด้วยซ้ำ


"เออสิ เดี๋ยวม๊าผัดกะเพราเห็ดสามอย่าง แล้วก็บล็อกโคลี่ผัดกุ้ง อย่าลืมมาเอาไปให้หนูดีด้วยนะ" ม๊าผมไม่วายจะเตรียมของกินเผื่อหลานสุดที่รัก เพราะอีหมวยน้องสาวของผมคนนี้ทำกับข้าวไม่ค่อยเก่ง ม๊าด่าเป็นประจำ เพราะมันชอบซื้อกับข้าวถุง ๆ ไปเลี้ยงลูกเลี้ยงผัวกับแม่ผัว


เมื่อถึงบ้านสิ่งที่ม๊าทำเป็นอันดับแรกก็คือ ผ่าบล๊อกโคลี่เป็นท่อน ๆ ถ้ากินกันเองก็หั่นท่อนใหญ่ ๆ หน่อย แต่ว่าตั้งแต่มีหลาน ก็หั่นเล็กลงตั้งครึ่งหนึ่ง ส่วนผมโดนใช้ให้แกะเปลือกกุ้ง


บล็อกโคลี่นี่ถ้าจะกินให้เกิดประโยชน์สูงสุด เวลาที่เราหั่นมันแล้ว ม๊าจะเอาแช่ในน้ำโรยเบกกิ้งโซดา แล้วทิ้งไว้ประมาณสี่สิบห้านาที เพราะมันจะมีสารอะไรไม่รู้ที่หมอเขาบอกว่ามีประโยชน์ ม๊าก็สายโซเชียลเหมือนกันแต่เป็นพวกคุณหมอมาทำคลิปนะ 


ไอ้พวกหมอเก๊ให้แดกเยี่ยว แดกน้ำโซดามะกรูดอะไรนั่น ม๊าก็เคยเป็นมาก่อน แต่การเรียนรู้สอนให้ม๊าเลือกฟังคุณหมอจริง ๆ ดีกว่า ที่สำคัญต้องเป็นคุณหมอหล่อ ๆ ล่ำ ๆ หรือออกตี๋ ๆ นิด ๆ 


"มันจะได้มีกำลังใจดูไงวะ หรือมึงไม่ชอบ" ม๊าเคยย้อนตอนที่ผมแซว


ด้านหนึ่งที่บนเตาแก๊ส มีไข่ซึ่งกำลังถูกต้ม และนาฬิกาเล็ก ๆ ก็จะเป็นตัวจับเวลาเพราะเราจะทำไข่ลวกกินกัน แน่นอนว่าเป็นความคิดจากคุณหมอเหมือนกัน ม๊าว่าเวลาที่เรากินไข่ลวก มันทำให้การดูดซึมสารอาหารดีกว่ากินไข่ต้มแบบแข็ง ๆ ที่สำคัญคือช่วยป้องกันอัลไซเมอร์ได้ด้วย


"อย่างม๊าน่ะไอ้โรคความจำเสื่อมท่าจะยาก" ผมเปรย และม๊าก็ยิ้มมุมปากใส่ผมเสียด้วย ก็จะไม่ให้สรรเสริญม๊าอย่างนี้ได้ยังไง เพราะม๊าน่ะจำแม่นที่สุดในโลก ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างเช่นว่าใครทำอะไรแล้วไปลืมไว้ตรงไหนม๊าก็จำได้หมด 


ถ้าเราหาของอะไรแล้วหาไม่เจอ แค่ถามม๊า แล้วรอการประมวลผลเพียงไม่เกินสามวินาที ม๊าก็จะบอกได้ว่ามันน่าจะอยู่ตรงโน้นตรงนี้ แล้วเราก็หาเจอจริง ๆ ด้วย เรียกว่าแชทจีพีทียังชิดซ้าย


มีข้อดีมันก็มีข้อเสีย อะไรที่เราทำผิดทำพลาด ม๊าก็จำได้อย่างแม่นที่สุดเหมือนกัน และมักจะยกเอามาพูดให้เจ็บใจอยู่เสมอ โดยเฉพาะเรื่องของป๊า ก็แหมรู้จักกันมาค่อนชีวิต เรื่องดีก็เยอะ เรื่อยร้ายก็แยะ ถ้างอนกันล่ะก็ม๊าก็จะยกเรื่องของป๊าตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม ๆ เอามาพูดให้ป๊าสะเทือนซางได้ตลอด 


กลับมาอยู่ในครัว เห็ดสามอย่างถูกล้างและหั่นเป็นชิ้นพอดีค่ำ เห็ดออริจิอวบอ้วนที่ผมจำได้ว่าตอนมันมีวางขายแรก ๆ ราคาแพงราวกับเห็ดทองคำ ไอ้เห็ดเข็มทองก็เหมือนกัน แต่ก่อนกระจุ๊ดนึงยี่สิบบาทเดี๋ยวนี้เรอะ ยี่สิบบาทได้กอเห็ดเท่ากำปั้น


ส่วนเห็ดหูหนูนี่ ผมล่ะชอบกินนักมันกรุบ ๆ หยุ่น ๆ ดีทำอะไรก็อร่อย แต่ม๊าเคยบอกว่าเห็ดหูหนูนี่มันดูดเลือด คนโบราณเขาก็เลยมักจะไม่ให้กินเห็ดหูหนูในตอนเย็น ๆ เท็จจริงอยู่กับผู้เล่า ส่วนม๊าบอกว่าลืมไปแล้วว่าเคยบอกกับผมอย่างนี้ ...เอ๊า


หม้อขนาดกำลังดี อีกหม้อต้มไก่จนเดือดม๊าเลือกน่องเล็ก หรือจริง ๆ มันคือตอนบนของปีก ที่ตอนนี้มันสุกจนส่งกลิ่นหอม ม๊าช้อนฟองเหยาะเกลือ แล้วก็ค่อย ๆ หย่อนฟักเขียวที่หั่นเป็นชิ้น ๆ ลงไป แล้วก็แอบใส่กระเทียมไทยอีกกำมือใส่มันแบบสด ๆ นี่แหละไม่ทุบไม่ปอกอะไรทั้งนั้น


เสร็จแล้วก็หันมายกหม้อไข่ลวกเพราะเสียงนาฬิกาจับเวลาทำงานพอดี เพื่อให้หยุดความร้อน ม๊าก็จะเทไข่ลวกลงน็อกน้ำเย็น ทิ้งไว้ครู่หนึ่งผมก็ค่อย ๆ หยิบไข่ลวกมาวางในชามจะได้หยิบง่าย ๆ 


เหลือกับข้าวอีกสอง บรรดาเห็ดทั้งหลายถูกสะเด็ดน้ำในตะกร้าม๊าตั้งกระทะให้ร้อน ตีกระเทียมจนความร้อนทำให้กระเทียมสุกจนส่งกลิ่นเกือบไหม้ หลังจากนี้ก็ถวายเห็ดทั้งหลายลงไปในกระทะ ส่วนผมต้องรีบเร่งมือเด็ดใบกะเพรา 


เห็ดนั้นเป็นอาหารที่สุกยาก ถ้ามันยังไม่สุกดี เห็ดบางอย่างเช่นเห็ดนางฟ้า นี่ล่ะตัวดีเลยสุกยก พวกเห็ดที่ไม่สุกรสมันจะขม ๆ ดังนั้นพอใส่เห็ดลงในกระทะ ม๊าก็จัดการเอาตะหลิวคลุกเคล้าให้ทั่ว แล้วก็เทน้ำลงไปอีกหน่อยพอท่วมจากนั้นก็ปิดฝาเพื่อให้มันสุกทั่วกัน


เห็นว่าเห็ดสุกดี อันนี้มันก็ต้องใช้ความชำนาญ เดาเอาว่าม๊าคงดูจากความนุ่มของเห็ดออริจิกระมัง ทีนี้ก็ถึงขั้นตอนการปรุงรส ม๊าเหยาะน้ำตาลนิดหน่อย ซีอิ๊วอีกนิดหน่อย และน้ำมันหอยนิดหน่อยเหมือนกัน แต่น้ำมันหอยของม๊านั้น ต้องเป็นสูตรพิเศษ ซึ่งหอมอร่อย ไม่ได้มีขายตามซูเปอร์มาเก็ตทั่วไป


เวลาจะซื้อต้องข้ามฝั่งไปถึงตลาดอ่อนนุช ร้านแม่เฮียตี๋ ซึ่งขายของชำโบร่ำโบราณ อยู่ตรงข้ามตลาดอ่อนนุชนั่นเอง เรียกว่าซื้อกันมาเนิ่นนานจนสนิทกันแล้วที่บังเอิญไปกว่านั้น พอผมทำงานก็เจอเฮียตี๋ด้วย แต่เราก็สนิทกันประมาณหนึ่งเพราะเฮียตี๋เป็นแมสเซนเจอร์ของบริษัท ส่วนผมอยู่ฝ่ายการตลาดซึ่งวัน ๆ อยู่แต่ข้างบน 


แต่ถึงอย่างนั้นเจอกันตอนเช้า ๆ ก็พูดคุยทักทายกันดี เพราะเห็นหน้าเห็นตากันตั้งแต่เด็ก ก็บ้านเราอยู่ห่างกันแค่คลองกั้นนี่นะ แถมเรียนโรงเรียนเดียวกันด้วยตอนชั้นประถม


เป็นอันว่าผัดกะเพราเห็ดรวมของม๊าหอมฉุยสมบูรณ์แบบ ม๊าตักมันใส่จานแล้วยื่นมาให้ผม โดยผมต้องมีหน้าที่โรยพริกไทยอีกที แล้วเอาไปวางบนโต๊ะกินข้าว


ไม่ต้องเสียเวล่ำเวลาล้างกระทะ ผัดมันต่อนี่ล่ะ ม๊าเทน้ำมัน แล้วก็เอากระเทียมสับลงไปผัด กุ้งที่ผมแกะเสร็จแล้วลงไปนอนเล่นในกระทะน้ำมันร้อน ๆ พอกุ้งเจอความร้อน เนื้อของมันก็เปลี่ยนเป็นสีแดงแจ๋น่ากิน ยังไม่ทันจะสุกดี ม๊าก็เทผักบล็อกโคลี่ลงไปคลุก เทน้ำลงไปขลุกขลิกอีกนิดหน่อยรอท่าให้ผักสุก ปรุงรสด้วยวัตถุดิบเดิม ๆ ให้มีเค็มนำ หวานตามจากกุ้งและบล็อกโคลี่ และหอมด้วยน้ำมันหอยสูตรพิเศษ ตักใส่จาน ให้ผมโรยพริกไทยเป็นอันว่าอาหารมื้อเช้าของเราก็เสร็จสมบูรณ์


ไอ้ธรรมกลับจากออกกำลังกายพอดี มันเดินเข้ามาในครัว สูดจมูกฟุตฟิต ขโมยกุ้งไปแดกตัวนึง จนผมต้องตบกบาลมันหนึ่งที มันฟ้องม๊า และม๊าก็หยิกมันเข้าอีกหนึ่งหมับ เล่นกับใครไม่เล่น


"รีบไปอาบน้ำไป๊" ม๊าไล่ทั้งผมและไอ้ธรรม 


งานครัวเสร็จแล้วผมก็ขึ้นไปอาบน้ำเหมือนกันส่วนไอ้ธรรมมันแค่ล้างหน้า เพราะมันว่ามันอาบน้ำมาหลังจากออกกำลังกายแล้ว 


เสื้อโปโลของบริษัทซึ่งมีแม่งเกือบทุกสี ออกโปรดักซ์ใหม่ทีนึงก็ทำเสื้อทีนึง ดีเหมือนกัน ประหยัดค่าเสื้อผ้าไปได้เยอะ แถมไม่ต้องรีดด้วย ผมล่ะเกลียดการรีดผ้าเป็นที่สุด


ช่วงนี้ผมใส่เสื้อโปโลสีส้มตัวใหม่ ที่บริษัทจัดมาให้พนักงานซะคนละสามตัว กับกางเกงยีนตัวเก่งสีเทา สวมถุงเท้าให้เรียบร้อย แล้วผมก็เดินลงมาข้างล่าง ระหว่างนี้ก็ตักแกงจืดใส่ชาม เพราะม๊าขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมตัวไปทำงานเหมือนกัน 


เดชะบุญที่ออฟฟิศของพวกเราไม่ไกลจากที่ทำงานมากนัก เลยไม่มีใครต้องลนลาน มีป๊านี่แหละอยู่ไกลสุด แต่ถึงอย่างนั้น ก็ขับรถไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่ทำงานของป๊าแล้วล่ะ


ม๊าลงมาจากห้องแล้ว พวกเราก็ประจำสถานีรบเพราะป๊าล่ะถือนักว่าเวลากินข้าวต้องกินให้พร้อมหน้าพร้อมตากัน 


"วันนึงมีเวลาอยู่ด้วยกันแค่ไม่กี่นาที กินข้าวให้พร้อม ๆ กัน" ป๊าเคยบ่น และเวลากินข้าวก็ห้ามเล่นโทรศัพท์มือถือด้วยนะ ไม่อย่างนั้นป๊าก็ด่าอีกเหมือนกัน ปกติป๊าใจดี ถ้าป๊าน่าจะน่ากลัวพวกเราก็เลยไม่มีใครเล่นโทรศัพท์ตอนกินข้าวกันเลยสักคน


อันดับแรกพวกเราต้องเปิดเวทีด้วยไข่ลวก ถ้าไปตามร้านขายชากาแฟแบบเก่า ๆ เขาก็ตอกไข่ใส่แก้ว มาพร้อมซอสแม็กกี้กับพริกไทย แต่นี่เรากินกันเองที่บ้าน ตอกแล้วก็ราดแม่มไปบนข้าวนี่ล่ะ คนละสองฟอง ยกเว้นไอ้ธรรมที่แดกทีละสี่ฟอง ด้วยเหตุผลที่ว่ามันเป็นคนออกกำลังกายเยอะต้องการโปรตีนมาก ๆ 


ตอกไข่จนไข่แดงฉ่ำ ๆ กับไข่ขาวเยิ้ม ๆ เด้งตัวไปบนที่ขอบจาน เราก็เหยาะแม็กกี้นิดหน่อย และเหยาะพริกไทยมาก ๆ จะคลุกข้าวหรือตักขึ้นมากินเลยก็สุดแต่ใจจะไขว่คว้า มื้อเช้าบ้านเรากินกันหนัก 


ก็เพราะม๊าฟังคุณหมอมาอีกเหมือนกันว่ามื้อเช้าให้กินเหมือนราชา ส่วนมื้อเย็นก็ให้กินเหมือนยาจก


กินข้าวกินปลาเสร็จก็ต้องล้างจานชาม เนื่องจากวันนี้เป็นเวรผมช่วยม๊าทำครัว ผมก็เลยมีหน้าที่ล้างจานล้างชามด้วย อันนี้ไม่บ่นเพราะชินเสียแล้ว เราสามคนพ่อลูกต้องสลับกันทำ คนเดียวที่ไม่ต้องล้างจานคือม๊า เพราะถือว่าม๊าทำกับข้าวให้พวกเรากินแล้ว มีอภิสิทธิ์พิเศษที่ไม่ต้องล้างจานก็ได้


แต่ใช่ว่าม๊าไม่ต้องล้างจานก็จะไม่ต้องทำอะไร กล่องอาหารประจำตัวของแต่ละคน จะถูกเอาอาหารสิ่งละอันพันละน้อย บรรจุเพื่อให้ได้กินเป็นมื้อเที่ยง ดังนั้นมื้อเช้าของเราจึงต้องทำทีละเยอะ ๆ จริง ๆ เสียเวลาหน่อยแต่มันก็คุ้มค่า 


เอาล่ะ เมื่อเป็นอันเรียบร้อย คราวนี้ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันออกไปทำงานทำการกันสักที ผมต้องขับรถไปส่งม๊าที่ออฟฟิศเสียก่อน ม๊ามาทำความสะอาดที่นี่ได้ราว ๆ หกเดือนแล้ว เพราะได้ย้ายจากที่เก่า


แรก ๆ ม๊าก็บ่นนิดหน่อย เพราะออฟฟิศที่เก่าน่ะ ม๊าผูกพันเพราะทำงานที่นั่นตั้งสามปี แต่มือชั้นม๊าแล้วน่ะเรอะ แค่ครึ่งวันก็รู้จักทุกแผนก รู้จักเกือบทุกคนแล้ว เพราะแค่วันที่สอง ส่งม๊าหน้าออฟฟิศ ก็มีคนพูดทักทายสวัสดีกับม๊าอย่างร่าเริง ยิ้มแย้ม


ม๊าเป็นคนน่ารัก มีน้ำใจ ขยันและสะอาด ใครได้ม๊าไปทำงานด้วย ก็เห็นจะโชคดี เหมือนที่ออฟฟิศเก่าบ่นเสียดายม๊ากันใหญ่ ถึงขนาดต้องจัดงานเลี้ยงอำลาให้ม๊าทีเดียวนะ 


ม๊าก็ซึ้งจนน้ำตาไหล เพราะอันที่จริงม๊าไม่ได้เป็นคนของบริษัทนั้นโดยตรง แต่เป็นซัพพลายเออร์ที่ส่งม๊าไปประจำการที่นั่นที่นี่ 


พูดแล้วก็นึกถึงแม่บ้านที่ออฟฟิศของผม เจ้าหล่อนอ่อนกว่าม๊าหลายปี แต่ก็ยังจัดอยู่ในวัยที่เรียกว่าคุณป้า แต่ดูทีท่าแล้ว ก็เห็นว่าน่าจะเป็นมือใหม่ในวงการ เพราะออกจะดูหยิบหย่ง และสำรวย แถมขี้บ่นแล้วก็ทำงานเอาหน้าซะด้วย


เจ๊อังหัวหน้าของผมล่ะเกลียดนัก แต่ตำแหน่งอย่างเจ๊อังจะมาออกอาการ "วีน" กับแม่บ้านก็ดูกระไรได้ พวกผมซึ่งเป็นเหล่านางบางไพร่ ก็เลยต้องรับหน้าที่คอยจับผิดยายแม่บ้านคนนั้น


ออฟฟิศของผมมีตั้งเจ็ดชั้น จ้างแม่บ้านมาทำงานสองคน คนนึงเป็นเด็กสาวน่าจะยี่สิบต้น ๆ ชื่อยายหนูยิ้ม แม่นี่ก็ยิ้มเก่งสมชื่อ ซื่อ ๆ ติดจะเซ่อ ๆ แต่ก็ขยันขันแข็งน่าเอ็นดู และมักจะตามพวกเราไม่ค่อยทันเลยโดนแกล้งแหย่ให้ได้หัวเราะเป็นประจำ 


ผิดกับยายป้าที่ยามเมื่อหล่อนไปตรงไหนก็วงแตก โดยเฉพาะยามเที่ยง ออฟฟิศเราอยู่ในซอยเล็ก ๆ ซึ่งในซอยก็มีร้านอาหารหลายร้าน เริ่มตั้งแต่ร้านส้มตำ ร้านก๋วยเตี๋ยวและร้านอาหารตามสั่ง


แต่คนส่วนหนึ่งก็จะเลือกที่จะไม่ไปกินมันข้างนอกละเพราะอุปสรรคประการแรกคือความร้อนของแสงแดด เนื่องจากเราไม่ได้กินในห้องแอร์ กินไปเหงื่อแตกไป ร้ายหน่อยก็คือแม่พวกสาว ๆ แผนกบัญชีที่แต่งหน้าแต่งตามอย่างฉ่ำ ถ้าไม่ใช้เครื่องสำอางกันน้ำก็เห็นจะหน้าซีดเป็นไก่ต้ม


อุปสรรคประการที่สองก็คือ ดีมานส์และซัพพลาย ถึงร้านค้าจะเยอะแต่คนกินเยอะกว่า ยิ่งเป็นร้านอาหารตามสั่งด้วยล่ะก็ กว่าจะผัดกว่าจะทำแต่ละจาน เสียเวลามากมาย แม้ว่าบางคนจะหัวหมอ สิบเอ็ดโมงครึ่งก็ส่งไลน์ไปหาเฮียเจ้าของร้าน แจงเมนูสารพัด แต่ถึงอย่างนั้นถ้าลูกค้าเยอะ ๆ บางทีพ่อไม่ได้เปิดไลน์อ่าน ก็มี


และคนอีกจำนวนมากก็เลือกจะห่อข้าวมากินตอนเที่ยงอย่างเช่นผมนี่ไง กับข้าวน่ะมีแล้ว แต่ข้าวน่ะไม่ต้องหุงเพราะเอามาแบ่งกันกินกับพี่ในแผนกซึ่งแกจะเอากับข้าวมาแค่อย่างเดียวและเอาข้าวมามากหน่อยเพื่อจะเผื่อผม


วันดีคืนร้ายมาถึงอีป้า เฮียตี๋ซึ่งปกติจะเร่ร่อนไปโน่นมานี่ ไม่ค่อยได้อยู่ออฟฟิศกับเขาหรอก เรียกว่าเข้ามาตอนเช้า เพื่อรับงานกว่าจะกลับมาถึงออฟฟิศอีกทีก็บ่ายคล้อยจนเย็นย่ำเกือบเลิกงานนั่นแหละ 


วันนี้พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก ยายป้าแม่บ้านซึ่งพวกเรารู้ดีกว่ามีเฮียตี๋เป็นคู่ปรับ มีอันให้ทั้งสองได้มาโคจรมาเจ๊อะกัน ณ ห้องสำหรับกินอาหารที่ชั้นบนสุดของออฟฟิศ


"เอ๊าวันนี้ขอกินข้าวด้วยคนนะ" เฮียตี๋พูดอย่างยิ้มแย้ม พร้อมกับชูเกาเหลาถุงใหญ่ กับข้าวสวย 


"เจ้าอร่อยตรงสถานีแอร์พอตลิ้งค์ราชปรารภ" เฮียตี๋อธิบาย แล้วก็เทเกาเหลาที่ว่าใส่ชาม เป็นเกาเหลาเนื้อที่มีเครื่องนงเครื่องใน กลิ่นหอมฉุย 


"อิ๊ เหม็น" ยายป้าบ่นเบา ๆ แต่พวกเราได้ยินเฮียตี๋หันไปมองเจ้าหล่อนด้วยหางตา เบ้ปากใส่ แล้วก็ทำเหมือนอีป้าเป็นอากาศธาตุ 


"ไหนธงเอาอะไรมากินน่ะเยอะแยะ" เฮียตี๋ถามยื่นหน้ามาดู ผัดบล็อกโครี่ แล้วก็กะเพราเห็ดรวมที่เมื่อเทใส่จานก็เอาไปอุ่นในเตาไมโครเวฟจนมีควันฉุยหอมฟุ้ง


จนพวกเรากินเสร็จ เม้ากันอย่างสนุกนาน ยิ่งมียัยอุ๋มกับยัยเจี๊ยบสองสาวจากแผนกบุคคลที่สนิทกับเฮียตี๋มากเป็นพิเศษมานั่งกินด้วยเพราะฝากซื้อก๋วยเตี๋ยวเนื้อจากร้านดัง วันนี้ที่ห้องอาหารก็เลยครึกครื้นเป็นพิเศษ


แน่นอนว่าบนนี้มีแต่พวกสะเก็ด พวกเฮีย ๆ หัวหน้าแกไปกินข้างนอกโน่นพวกเราก็นินทาคนโน้นคนนี้ ใช้ภาษาลูบ้าง ใช้อุปมาเปรียบเทียบแบบตีวัวกระทบึราดเพื่อด่ายายป้าบ้าง จนได้เวลาเข้างานต่างคนต่างก็แยกย้ายอีกครั้ง


เผอิญตอนก่อนจะเลิกงาน พอดีให้เจ๊อังให้ผมเอาเอกสารมาให้ฝ่ายบุคคลเพื่อทำเบิกโอทีและค่าเดินทาง ผมเดินเหย่า ๆ มาตามบันไดข้างลิฟต์เพราะจากแผนกการตลาดชั้นสามลงมาแผนกบุคคลที่ชั้นหนึ่งห่างกันนิดหน่อย 


"น้องอุ๋มฝากเอกสารให้พี่นุ้ยเซ็นต์ด้วยจ้า" ผมพูดอย่างร่าเริง และยื่นแฟ้มเอกสารที่ว่าให้


"พี่ธง พี่ธงอย่าเพิ่งไป หนูมีอะไรจะเล่าให้ฟัง" นังอุ๋มกระซิบกระซาบ


"อาราย?" ผมกระซิบกระซาบถาม ก็กระซิบมาก็ต้องกระซิบกลับ


"นังป้าแม่บ้านจะย้ายแล้วล่ะ" นังอุ๋มกระซิบพร้อมกับหัวเราะกิ๊ก


"เอ๊า???" ผมได้แต่ร้อง อ้าปากค้าง


"ทำไมล่ะ" ผมถามต่อ


"ก็เล่นก๊ะใครไม่เล่น เสือกมาเล่นกับพี่ตี๋น่ะสิ โดนเขาด่า หมอไม่รับเย็บ แถมด่าต่อหน้าพี่นุ้ยด้วย เป็นหนูหนูก็เปิดค่ะ พี่ตี๋น่ะปากร้ายจะตายไป" นังอุ๋มกระซิบกระซาบ


"เหลาเด้อค่ะ" ผมเค้นต่อ


"ต้องรอนังเจี๊ยบ อีนั่นอยู่ในเหตุการณ์" นังอุ๋มกระซิบกระซาบบอก มิน่ายายเจี๊ยบนั่งอยู่ในห้องกับพี่นุ้ยท่าทางจะคุยกันเรื่องนี้ว่าแต่มันเรื่องอะไรกันวุ๊ย อีธงอกจะแตกแล้วคุณขา วันนี้มัน Good Day แท้ ๆ สะใจอีธงนัก ....อ๊าาาา ธง ธง สุขจายยยยย