ก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน

แปะจะเป็นอินฟลูฯ - 3 เพื่อนร่วมงาน โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,เล่าประสบการณ์,ยุคปัจจุบัน,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

แปะจะเป็นอินฟลูฯ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,เล่าประสบการณ์,ยุคปัจจุบัน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

แปะจะเป็นอินฟลูฯ โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ



โลกยุคนี้ มันเป็นยุคของ อินฟลูเอ็นเซอร์ นั่นก็คือบุคคลที่มีผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย


อินฟลูเอ็นเซอร์ จะมีผู้ติดตามมากมายซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีส่วนร่วมในเนื้อหาที่พวกเขาพูดเป็นประจำ อินฟลูฯ มีมากมายหลายหมวด ไม่ว่าจะเป็นหมวดการท่องเที่ยว สายทำอาหาร สายวิชาการ สายบันเทิง สายสุขภาพ 


แต่ผมจะเป็นอินฟลูฯ สายไหนกันดีนะในเมื่อตัวผมเองก็ไม่เก่งอะไรสักอย่าง....เห้อ

สารบัญ

แปะจะเป็นอินฟลูฯ-1 ลูกสาวท่านฑูต,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-2 Good Day,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-3 เพื่อนร่วมงาน,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-4 เพื่อนร่วมงาน 2,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-5 เพื่อนร่วมงาน 3,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-6 หวานเป็นลม,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-7 ขมเป็นยา,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-8 ไม่เที่ยง,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-9 รสชาติของการเติบโต,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-10 มูฟออน

เนื้อหา

3 เพื่อนร่วมงาน

โดย Chavaroj




กว่าจะรู้ความจริง ก็ปาเข้าไปวันรุ่งขึ้น เรื่องยายป้าแม่บ้านที่มีอันต้องระเห็จเพราะไปปากหมาใส่เฮียตี๋ เฮียตี๋น่ะเขาลูกรักพี่โบ่ย หัวหน้าแผนกบัญชีเชียวนะยะ อันที่จริงเฮียตี๋แกก็เป็นที่รักของใคร ๆ ทั้งนั้นแหละเพราะแกเป็นคนตลก และทำงานอย่างขยันขันแข็ง หัวหน้าก็รัก เพื่อน ๆ ร่วมงานก็ชอบ ทั้ง ๆ ที่ผมว่าเฮียตี๋แกก็เป็นคนไม่ค่อยจะอะไรกับใคร


สุดท้ายผมไม่ได้ไปฟังจากปากคำของเฮียตี๋นะว่าไปพูดจาอีท่าไหน ยายแม่บ้านนั่นถึงได้ขอย้ายออก มาได้ความจากนังเจี๊ยบ คู่แฝดอภินิหารแผนกบุคคลกับนังอุ๋ม ที่เจอะโดยบังเอิญในเช้าวันถัดมา


"คุณน้องเจี๊ยบขา เล่าให้คุณพี่ฟังถี ว่ามันเกิดอะไรขึ้น?" ผมรีบเดินไปเกี่ยวแขนนังเจี๊ยบที่เจอตอนเจ้าหล่อนซื้อผลไม้หน้าเซเว่นปากซอยบริษัท


"เรื่องยายป้าแม่บ้านน่ะเหรอพี่ธง?" ยายเจี๊ยบทำไก๋


"แหมะ ก็มีอยู่เรื่องเดียวมันเกิดอะไรขึ้น ข่าวลือเล่ามาว่าออกงิ้วเลยเหรอ มีการปาข้าวของด้วย" ผมใส่ไฟ แต่ยายเจี๊ยบหัวเราะกิ๊ก


"เกินเรื่อง ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ" ยายเจี๊ยบพูดแล้วก็ค้อน รับถุงมะกอกดองจากคุณลุงรถขายผลไม้ แล้วเจ้าหล่อนยักท่า เอาไม้จิ้มมะกอกดองมาเคี้ยวหยับ ๆ ก่อนจะขยายเรื่อง


"เรื่องมันเป็นอย่างนี้" ยายเจี๊ยบเกริ่น พร้อมกับควงแขนผมให้มันแน่นขึ้นเพื่อเดินกลับบริษัท


"เรื่องน่ะมันเกิดอีตอนเย็นนั่นแหละ คือพี่โบ่ยน่ะเขาใช้พี่ตี๋ให้ไปเอาเอกสารอะไรก็ไม่รู้ เป็นเอกสารด่วนสุด ๆ แล้วฝนน่ะมันตกนิดหน่อย พี่ตี๋ก็รีบไปรีบกลับแต่บังเอิญ รีบไปหน่อย รองเท้าของแกก็เลยเปื้อนโคลน อีนี้พี่ตี๋ก็มาเข้าห้องน้ำที่ตรงหน้าแผนกหนูนี่แหละ เพราะมันเป็นเอกสารที่ต้องเอามาส่งให้พี่นุ้ย" นังเจี๊ยบหมายถึงพี่นุ้ยหัวหน้าแผนกบุคคลเจ้านายตรงของหล่อน


"ด้วยความรีบอะไรนี่แหละ ห้องน้ำมันก็เลยเปื้อน แล้วไอ้รอยรองเท้าน่ะมันก็บอกชัดว่าเป็นรองเท้าผู้ชายเพราะตรงแผนกหนูน่ะก็มีแต่ชะนีใช่ไหมเล่า คราวนี้ยายป้าก็บ่น ไม่ใช่บ่นธรรมดาบ่นเยอะมาก ยิ่งบ่นก็คงยิ่งโมโห เลยบ่นยืนยาวแล้วก็ไปฟ้องพี่นุ้ย" ยายเจี๊ยบเริ่มเล่าไอ้ผมก็ชักติดพัน แม่ก็ยังอุตส่าห์ขยักเพื่อจิ้มมะกอกดองเข้าปากอีกลูก รำคาญจริงผมเลยถือวิสาสะแดกของหล่อนด้วยเลยหนึ่งเม็ด


"อีทีนี้ต่อนะ อีป้านางก็บ่นโดยไม่ทันเห็นว่าพี่ตี๋น่ะนั่งอยู่ในห้องพี่นุ้ย พอดีแกไม่ได้ปิดประตู ยายป้าก็บ่นเหมือนจะฟ้องนั่นแหละ ประมาณว่า ใช้ห้องน้ำกันสกปรก พวกผู้ชงผู้ชาย" ยายเจี๊ยบจีบปากจีบคำ น่าตบทั้งนังเจี๊ยบและอีป้าแม่บ้านตัวต้นเรื่องที่ชอบจีบปากจีบคออย่างนี้เปี๊ยบเลย


ต้องอธิบายนิดหน่อยว่า ห้องน้ำที่บริษัทผมน่ะ มันไม่ได้แบ่งแยกอย่างจริงจังว่าห้องน้ำหญิงหรือชาย เพราะมีห้องน้ำให้ใช้ด้วยกันสองห้อง ห้องไหนว่างก็เข้าห้องนั้น สุดแต่ความสะดวกความประสงค์ ใครใครเข้าห้องไหนก็เข้าไปขอแค่อย่าทำเลอะก็พอ


"แล้วทีนี้อีพี่ตี๋ก็ได้ยินเข้าน่ะสิ มันก็เลยย้อนเข้าให้ว่า ดีแล้วไงป้า ที่มีคนทำให้เปื้อน ถ้าบริษัทนี้ไม่มีอะไรให้เปื้อนให้สกปรกเลย เขาก็คงไม่ต้องจ้างแม่บ้านมาทำงานหรอกจริงไหม?" ยายเจี๊ยบเล่าแล้วผมก็นึกถึงสีหน้าสีตาอีเฮียตี๋ที่เวลาพูดแม่งชอบทำท่าทำทางไปด้วย


"ยายป้าก็อยากจะเถียงแหละ แต่คนมันถึงฆาตน่ะ พอดีในห้องน่ะไม่ได้มีแค่พี่นุ้ยกับพี่ตี๋น่ะสิ พี่โบ่ยเขาอยู่ด้วย พี่โบ่ยน่ะก็ไม่ค่อยจะชอบหน้าอีป้านี่อยู่แล้ว" นังเจี๊ยบพูดแล้วก็ทำหน้าทำตาน่าตบ ปากย่นจมูกย่น คงเพราะเล่าไปแล้วออกรส


"แหมจริง ๆ ก็ไม่มีใครชอบอีป้านี่ทั้งนั้นแหละ ทำงานเอาหน้าอย่างกับอะไรดี ดัดจริต" ผมอดจะแทรกไม่ได้ และหลังจากนั้นพี่โบ่ยก็เข้าข้างพี่ตี๋แบบสุด ๆ แล้วยังพูดกระทบกระเทียบอีป้านั่นอีก อีป้าก็เหวอแดก หลบไปร้องห่มร้องไห้ โทรไปฟ้องบริษัทว่าจะไม่ทำงานที่นี่แล้ว เรื่องมันก็ประมาณนี้แหละ" ยายเจี๊ยบเล่าจบพอดี แล้วเราสองสาวก็ให้ถึงหน้าออฟฟิศพอดีเหมือนกัน มะกอกในถุงก็หมดเกลี้ยง เป็นอันว่าแยกย้าย


ผมรีบปรี่ไปที่ชั้นสามเพื่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งสนุกราวกับดูหนังชีวิต ถึงจะไม่แอคชั่นระเบิดภูเขา เผากระท่อม แต่ก็ดราม่าพอสมควร หมู่เฮาในแผนกฟังไปหัวเราะไป พร้อมกับแสดงความเห็นต่าง ๆ นานา ซึ่งล้วนเป็นไปในแนวทางเดียวกันว่า "ดี"


"เป็นกูหน่อยไม่ได้ กูจะตบแม่งล้างน้ำ ถ้ามาปากหมากับกูอย่างนี้นะ" หม่อมพี่เจี๊ยบพูดพร้อมกับเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน มือตบไปที่หน้าขาอวบ ๆ ของเจ้าหล่อนดังป้าบ ๆ เสียบดังสนั่นชนิดถ้าอีป้าโดนตบคงหน้าสั่น


"จริงหม่อมพี่ ถ้ามากวนตีนหนูอย่างนี้นะ หนูจะแหกอี๋ แม่งเลย สาระแนนัก วัน ๆ ไม่เห็นทำงานทำการอะไร เสนอหน้าล่ะเก่ง เวลาเฮีย ๆ มานี่ชอบเอาน้ำเอากาแฟไปเสิร์ฟ แล้วก็เช็ด ๆ ถู ๆ อีตรงที่เฮียนั่ง กูเห็นมึงเช็ดทุกวันไม่เห็นสะอาดเลย อีหอยหลอด" นังจอยเพิ่มเลเวล ยืนเท้ากะเอวเวลาพูด ปากเบี้ยวไปเบี้ยวมาซะด้วย


"แหม มันก็ไม่ขนาดนั้นหรอก" อีพี่ชีพ ชายแทร่คนเดียวในแผนกพูดบ้าง แต่มือของมันแชทคุยกับสาว ไม่ทันมองว่าพวกเราสามคนมองมันตาเขียว เพราะเสือกเข้าข้าศัตรู


"อีชีพ/อีพี่ชีพ/อีชีพ" ผมนังจอย และหม่อมพี่เจี๊ยบตวาดใส่อีพี่ชีพพร้อมกัน มึงจะมาแตกความเห็นอย่างนี้ไม่ได้ อีพี่ชีพคงเริ่มกลับมารู้ตัวเลยต้องแก้เก้อ


"แต่อีป้านี่มันร้ายจริง ๆ เวลาเจอพวกคนรถนะ ชอบไปคุยเสียงอ่อนเสียงหวาน" อีชีพใส่ไฟ 


"ดอกทอง" หม่อมเจี๊ยบให้คำนิยาม


"ตอแหล" ผมด่าต่อ


"น่าตบแม่งล้างน้ำ" นังจอยต่อท้าย ส่วนอีพี่ชีพ หุบปากหันไปสนใจกับแชทกับสาว ๆ ของมันต่อพูดอะไรไปถ้าไม่เข้าหู อีพี่ชีพนี่แหละจะโดนตบก่อนอีป้า


ในแผนกของผมมีกันสี่หน่อนี้เป็นหลัก หมายถึงระดับปฏิบัติการ ระดับเบ๊น่ะนะ คือปฏิบัติจริง ๆ ยกโน่นขนนี่ ไม่ใช่พวกชี้นิ้วสั่ง ผมกับหม่อมพี่เจี๊ยบนี่สนิทกันมาแต่ดั้งแต่เดิม ต้องย้อนไปไกลแสนไกล คือจากตอนที่ผมเพิ่งเรียนจบมาใหม่ ๆ นั่นเลยเชียวล่ะ


ผมน่ะเรียนจบแค่ปวช. จะเรียนต่อก็ขี้เกียจ เพราะโง่ด้วย ไม่อยากให้ป๊าส่งเพราะคิดว่าทำงานน่าจะดีกว่า ตอนแรกเลยคิดอะไรไม่ออก และเห็นว่าถ้าจะทำงานก็อยากจะได้งานที่แอร์เย็น ๆ เพราะผมไม่ชอบแดด 


งานห้างจึงเป็นงานที่น่าสนใจ เพราะด้วยวุฒิปวช. แผนกการขาย ก็น่าจะไม่สูงไม่ต่ำจนเกินไป ผมเลือกจะสมัครทำงานห้างไม่ไกลจากบ้าน ซึ่งทำงานได้อยู่ราว ๆ เกือบปี ผมก็ลาออก เพราะได้ข่าวรับสมัครพีซี หรือพนักงานขาย ของบริษัทผมนี่แหละ


ตอนนั้นจำได้เลยว่าออฟฟิศยังอยู่ที่เก่าเล็กกว่านี้ไกลกว่านี้ แต่ก็เอาเพราะเลือกห้างใกล้บ้านได้  ตอนนั้นเฮียหงวนยังดูทั้งฝ่ายการตลาดและฝ่ายขาย ผมได้ทำงานเป็นพีซีสมใจ บริษัทของผมเป็นบริษัทเกี่ยวกับความงามเช่นพวกสีผมแล้วก็จัดแต่งและบำรุง ซึ่งงานขายสนุกดีอยู่ไม่หยอก


ตอนนั้นด้วยความที่ยังเป็นบริษัทเล็ก ๆ ทำงานอย่างครอบครัว ก็ขนาดซีอีโอ เรายังเรียกแกว่าเฮียเลย ทั้ง ๆ ที่อายุอานามแกเราควรเรียกอย่างนับถือว่าอากงแล้วก็เถอะ


ทำงานได้ราว ๆ สองปีผมก็อ่อนใจ เพราะเหตุผลหลาย ๆ อย่าง ลาออกแม่ง และได้งานในบริษัทเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สีผมอีกเหมือนกัน แต่เป็นอีกยี่ห้อ ซึ่งก็เป็นคู่แข่งกับบริษัทเก่านั่นแหละ


แต่ถ้าในระดับปฏิบัติงาน ไม่เอามานับหรอกนะ เพราะย้ายออกมา ผมไปทำงานอยู่ร้านขายส่งแถวเยาวราชโน่น งานหนักอย่างกะกุลี เพราะต้องแบกของเป็นโหล ๆ งานหนัก แต่สนุก และโคตรเหนื่อย ทำอยู่อีกสองปีก็ให้บังเอิญคนมีวาสนาเก่าโชคชะตาให้มาป๊ะกับคนคุ้นเคย


"อร้ายหม่อมพี่" ผมแหกปากร้องดีใจ และวิ่งเข้าไปเขย่ามือพี่เจี๊ยบ


"อีธง โอ๊ยดีใจ คิดถึงมึงอีผี" พี่เจี๊ยบดีใจร้องกรี๊ดกร๊าดที่ได้เจอกัน 


ถ้าจะนึกภาพหญิงวัยกลางคนที่หุ่นอ้วนตุ๊บ ตาดวงตาเป็นประกาย และยิ้มพร้อมกับหัวเราะอยู่เสมอ แม้จะหัวเราะไปด่าไป แถมด่าอย่างหยาบ ๆ คาย ๆ เสียด้วยไม่ใช่ด่าแบบธรรมดา 


"คนท่าวุ้งก็ปากอย่างนี้ทุกคนแหละมึง อีเหี้ย" หม่อมพี่เจี๊ยบเคยออกตัว เมื่อมีคนทักเรื่องความด่าเก่ง


และถ้าถามว่าทำไมต้องเรียกว่าหม่อมพี่ ก็มีเหตุอีกเหมือนกัน ซึ่งทุก ๆ ปลายปีมีงานเลี้ยงบริษัท แน่นอนเสียเหลือเกินว่าจะต้องมีเหล้ายาปาปิ้ง ทั้ง ๆ ที่เขาห้ามแล้วเชียวนะ แต่ของมันก็ต้องลักลอบเอาเข้ามาจนได้ 


หม่อมเจี๊ยบนั้นต้องออนเดอะร๊อกเท่านั้น และเมื่อถึงแก้วที่สาม วิญญาณของเจ้าหญิงอะไรสักองค์ก็จะต้องเข้าสิง ร้องลิเกบ้างรำบ้าง เวลาใครเรียกอะไร ก็จะแทนตัวเองว่าหม่อมฉันอย่างนั้น หม่อมฉันอย่างนี้ ก็เลยถูกล้อว่าเป็นหม่อมจนถึงทุกวันนี้


แต่ผมเคยเห็นตอนพี่เจี๊ยบเมาจริง ๆ เจ้าหล่อนก็ไม่ได้อาละวาดอะไร แต่จะไปยืนหลับตาเต้นอยู่หน้าลำโพง หลับตาเซไปเซมา ไม่เข้ากับจังหวะเพลงเลยสักนิด ไม่ระรานใครแต่ใครก็อย่ามายุ่งก๊ะกู กูขอฟังเพลงดัง ๆ อยู่ติดกับลำโพง ยอมใจคุณแม่


เจอกันคราวนั้นหม่อมเจี๊ยบก็จีบผมให้กลับไปทำงานที่บริษัทเดิม เพิ่มเติมคืออยู่แผนกใหม่ จากเดิมที่ควบคุมแผนกการตลาดกับแผนกขายอยู่ด้วยกัน มาบัดนี้มีพี่อังเป็นหัวหน้าแยกมาอีกแผนกคือแผนกอีเว้นท์ ซึ่งซัปพอร์ตแผนกการตลาดอีกที 


ผมไม่เสียเวลาคิดสิ้นเดือนนั้นก็ลาออกและย้ายกลับไปอยู่รังเดิมทันที ซึ่งก็ทำให้อยู่มาถึงปัจจุบัน


จากเดิมที่ต้องขายของด๊อก ๆ แด๊ก ๆ ต้องเซ็งอยู่กับที่เดิม ๆ แถมงานก็โคตรหนัก งานใหม่นี้ก็ยังต้องขายของเพียงแต่ไปมันทั่วทิศทั่วไทย ได้เดินทางสนุก ๆ เรียกว่าไปเหนือจรดใต้ ไปจัดงานตามร้านยี่ปั๊วะ หรือตามร้านตามห้างที่ผลิตภัณฑ์ของผมวางขาย


งานนี้ก็ทำให้ผมได้เจออีจอย ซึ่งจริง ๆ ก็รู้จักกันมาตั้งแต่ดั้งแต่เดิมตอนผมทำงานใหม่ ๆ นังจอยนี่เคยมาทำพาร์ทไทม์ให้กับพี่อังสมัยเก่าแก่ ไป ๆ มา ๆ ก็เลยถูกดึงตัวมาช่วยงานอีกคน


ถ้าพี่เจี๊ยบเป็นสาวพลัสไซซ์ฉันใด อีจอยก็คือตรงกันข้าม หน้าของมันจะขาว ๆ กรามเป็นสี่เหลี่ยมผมฟู ๆ ชอบกรีดอายไลน์เนอร์สีเข้มและทาปากแดงแจ๊ดอยู่เสมอ ด้วยหุ่นที่ผอมและแขนยาวขายาว มองไกล ๆ ก็เห็นว่าเพื่อนเหมือนชะนีมงกุฎอยู่ไม่น้อย ผมก็ตัวไม่สูง แต่เวลายืนด้วยกันอีจอยสูงแค่ไหล่ผมเท่านั้น


อีจอยนี้ก็คือสก๊อยคนหนึ่ง มันอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม ปากร้ายใจดี คุยสนุก ทำงานคล่องและแต่งตัวเก่ง แต่มีข้อเสียเหมือนกันคือเรื่องวินัย ขาด ลา มาสาย คือเรื่องปกติของอีจอย 


ต้นเหตุก็มักจะเดิม ๆ คือป่วย แต่สาเหตุที่แท้จริงก็มักจะวน ๆ อยู่กับเรื่องผัว ทะเลาะกับผัว ถูกตีจนลูกกะตาปูด ในขณะที่อีจอยตัวเท่าชะนี แต่ผัวมันตัวอ้วน ๆ ดำ ๆ อย่างกะคิงคอง ไม่เห็นจะหล่อเหลาที่ตรงไหน แต่อีจอยก็รักของมันนักหนา


วันดีคืนร้าย ผัวของอีจอยก็ถูกอัญเชิญเข้าไปประจำการอยู่ในคุกลาดยาว อีจอยก็เศร้าไป แดกข้าวกับน้ำตา ที่ซวยกว่านั้นตอนผัวเข้าคุก อีผีนี่ก็ได้มารู้ตัวว่าเจ้าหล่อนมีพยานรักจากผัวที่อยู่ในท้องได้สองเดือน


"หนูท้องว่ะหม่อมพี่" อีจอยไปกระซิบกระซาบปรึกษาพี่เจี๊ยบ แต่อีจอยคงลืมไปเสียแล้วว่า ถ้าเจี๊ยบรู้โลกต้องรู้ เพียงไม่กี่ชั่วโมง ข่าวเรื่องอีจอยท้องก็รู้เข้าไปถึงหูของพี่อังจนได้ 


หม่อมแม่อังคณา หัวหน้าของพวกเราก็ดีใจหาย ให้กำลังจิตกำลังใจอีจอยเป็นอย่างดี พอโดนแม่อังสปอยล์ขนาดนี้ ถึงจะไม่มีผัว แต่อีจอยก็ยัง ขาด ลา มาสาย เหมือนก่อน และดูจะหนักข้อกว่าเดิม โดยมีเหตุผลคือ "แพ้ท้อง" 


จนมันคลอดลูกแล้วก็ฝากแม่มันเลี้ยงนั่นแหละ ถึงกลับมาทำงานเหมือนเดิมได้ ซึ่งก็ยังสนุกและเม้ามอยกันอย่างถึงพริกถึงขิงได้เช่นเคยต่อติดราวกับอีจอยไม่ได้ลาไปไหนเสียหลายเดือน รู้ข่าวสารของบริษัททุกเรื่อง แน่นอนว่าเพราะโทรเม้ากับหม่อมเจี๊ยบเกือบทุกวัน


และอีพี่ชีพ ชายแทร่คนเดียวในแผนกของพวกเรา อีพี่ชีพนี้ถ้าจะว่าหล่อ ก็พูดได้ไม่เต็มปาก พ่อหน้าตาคล้าย ๆ สังข์ทอง สีใส นักร้องหน้าผีผู้โด่งดังสมัยเก่าโบร่ำโบราณ จริง ๆ มันก็ไม่ขนาดนั้นหรอก เพราะอีพี่ชีพมีผม ถึงจะเถิกมากสักหน่อยแต่ปากแบะนิด ๆ ตาตี่ปิด ๆ จมูกแด่นและสันจมูกไม่สูงมาก เรียกว่าสันจมูกเตี้ยกว่าโหนกแก้ม ใครจะว่าหล่อก็ตามใจแต่ผมว่าไม่เลยสักนิด


เหตุผลที่อีพี่ชีพได้มาอยู่แผนกนี้ก็เนื่องจากความเป็นคนเก่าคนแก่ สมัยก่อตั้งบริษัทโน่นเชียว เรียกว่าไต่เต้ามาตั้งแต่เป็นเด็กรถ ครั้นทำงานนาน ๆ ไปก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นพนักงานขับรถ


ทั้งความคล่อง ใช้งานง่าย จะดึกจะดื่น มีงานนอกอะไร เรียกใช้อีพี่ชีพ เป็นไม่มีกระเง้ากระงอด พี่อังถูกใจก็เลยเรียกตัวมาเข้าเฝ้าเพื่อถวายงาน เอ่อ...เพื่อถวายตัวเป็นคุณข้าหลวงประจำสำนักอีเว้นท์


อีพี่ชีพนี่นอกจากจะไม่หล่อ แต่พ่อก็มีเมียไปแล้วสอง มีลูกอีกหนึ่ง สองเมียได้เลิกร้างห่างกันไปเพราะอีพี่ชีพเจ้าชู้เหลือเกิน อย่าเห็นว่าหน้าเหมือนสังข์ทองอย่างนี้นา พ่อปากหวานและจีบเขาไปทั่ว แต่ไอ้พวกเบี้ยใบ้รายทางเราไม่นับหรอกนะ


"จีบ ๆ มันส่งไป เราไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว ได้ก็เอาไม่ได้ก็หาคนใหม่" นี่คือคำจากปากชายชั่ว ซึ่งก็มีนังสาว ๆ ติดแร้วเสน่ห์ของอีพี่ชีพจนได้ จะน้อยจะมากก็ถือว่ามีแหละ ไม่ได้สวยไม่ได้สด แต่อีพี่ชีพก็ไม่ได้ถือเรื่องหน้าตาอยู่แล้ว เรียกว่าขอให้หัวใจตรงกันพ่อก็ฟาดเรียบ


ลูกของอีพี่ชีพถูกส่งตัวไปอยู่กับปู่ย่าที่ศรีสะเกษ เคยเห็นหน้าในเฟสบุคก็คืออีพี่ชีพขนาดย่อส่วนนี่แหละ ไม่ได้หล่อเหลาหรือมีวี่แววว่าจะผิดไปจากพ่อ อันนี้ก็สุดแต่เวรแต่กรรม


ถ้าออกต่างจังหวัด ผมก็มักจะต้องนอนห้องเดียวกันกับพี่ชีพ ซึ่งแกก็ดีไม่ได้รังเกียจรังงอนเก้งกวาง ผมซะอีกออกจะเกรง ๆ แก แต่พออยู่ด้วยกันนาน ๆ ทำงานจนรู้จักสันดานกันแล้วก็ไม่ค่อยจะเกรงกัน แต่เรียกว่าต่างคนต่างอยู่


มื้อเที่ยงของเราถ้าประจำการอยู่ออฟฟิศ ก็มักจะเป็นร้านส้มตำ เพราะมันเหมาะเหม็งดีนัก แต่ส่วนใหญ่จะถูกแยกออกเป็นสองทีม ผมก็เลยมักจะอยู่ออฟฟิศกับอีพี่ชีพบ้าง กับหม่อมเจี๊ยบบ้าง หรือนังจอยบ้าง เรียกว่าผลัดเปลี่ยนกันไป ซึ่งถ้าอยู่กันไม่ครบผมก็จะห่อข้าวมากินตอนเที่ยง เพราะขี้เกียจเดินตากแดดหัวแดง


แต่ถ้าอยู่กันครบ ๆ ก็ไปกินข้าวหรือกินส้มตำด้วยกันอย่างที่ว่า ส่วนอีพี่ชีพ พ่อไม่ค่อยมากินกับพวกเรา ยกเว้นโดนเจ๊อังบังคับให้มากิน ซึ่งต้องมีคำลงท้ายว่า "กูเลี้ยง" นั่นล่ะอีพี่ชีพถึงจะมานั่งกินด้วย


พูดถึงนิสัยการกิน พวกเราสี่คนก็แตกต่างกันไป ผมน่ะกินได้หมด ส่วนหม่อมพี่เจี๊ยบนั้น ถึงจะอ้วนพี แต่เจ้าหล่อนชอบกินผัก และดูเหมือนจะกินแต่อาหารสุขภาพ ถ้ากินอาหารตามสั่งก็กิน สุกี้แห้งสุกี้น้ำ เพิ่มผักเยอะ ๆ ขนมนมเนยนั้นพี่เจี๊ยบไม่ค่อยจะกิน แถมถ้าเอาขนมมาพี่เจี๊ยบก็ไม่กินซะด้วย


"อ้วนว่ะ" เจ้าหล่อนตอบและเมินใส่ แต่ก็น่าแปลกใจที่เธอก็อ้วนได้อ้วนดี เรียกว่ารู้จักกันมาหลายปีก่อนอ้วนยังไงตอนนี้ก็ยังอ้วนอยู่อย่างนั้นไม่มีวี่แววว่าจะลดหรือเพิ่ม


"เขากลับไปกินกับตาพันตอนค่ำย่ะ" นังจอยเฉลยว่าเหตุใดพี่เจี๊ยบที่ตอนเที่ยงกินข้าวอย่างกะแมวดม แต่ไฉนถึงยังอ้วน ที่แท้ก็เพราะตอนเย็นต้องกลับไปกินข้าวกับผัวนั่นก็คือตาพันนั่นเอง


ตาพันนั้นเป็นพ่อหม้าย ซึ่งก็ได้มาตกล่องปล่องชิ้นกับพี่เจี๊ยบซึ่งเป็นแม่หม้ายเหมือนกัน ต่างคนต่างก็มีเรือพ่วงเพียงแต่ตาพันมีลูกสาวซึ่งยังอยู่กับปู่ย่าที่ลพบุรีโน่น


ส่วนพี่เจี๊ยบก็มีลูกสาวสองคน ฝากไว้ที่บ้านตัวเองที่ท่าวุ้งเช่นกัน บ้านเก่าพี่เจี๊ยบนี้มีแต่พี่ ๆ กับน้องสาวของแก แกเล่าว่าชีวิตแกน่ะอาภัพ แม่แกพอคลอดน้องสาวคนสุดท้อง อยู่ได้ไม่นานก็ตาย แล้วพ่อก็มาตรอมใจห้าปีต่อมาก็เลยตามแม่แกไป แกก็อยู่กับป้า ๆ แล้วก็พี่ ๆ ของแกไปตามเรื่อง


"ตอนสาว ๆ นี่อย่าให้กูเซด เอวกูนี่ยี่สิบห้านะคะมึง" หม่อมพี่คุยอวด แต่ถ้าเอวปัจจุบันเห็นจะต้องคูณสองเพราะกลมจนโอบไม่มิด


ตอนนั้นจะด้วยความสวยจะด้วยความสาว พี่เจี๊ยบก็เลยได้ผัวเป็นคนแรก ผิดกับพี่สาวแกที่อยู่จนเป็นสาวเทื้อรับอาชีพคุณครู อยู่กันดี ๆ นี่แหละ เกิดอีท่าไหนเสียก็ไม่รู้จับได้ว่าผัวมีกิ๊ก 


"กูเก็บกระเป๋าเลย ลูกสองคนกูเลี้ยงได้ กูเตือนแล้วว่ากูไม่ชอบคนเจ้าชู้ จับได้กูเลิก" หม่อมพี่ก็แน่เหมือนกัน เก็บข้าวเก็บของ หอบลูกสองคน อีนังคนเล็กยังไม่หย่านมด้วยซ้ำ ผัวตามมาง้อก็ไม่ออกไปเจอะเจอหน้า เรียกว่าผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ 


ทำการหย่าเป็นที่เรียบร้อย โดยให้พี่สาวของแกเป็นคนดำเนินการ นั่นเป็นการพบหน้ากันครั้งสุดท้ายที่อำเภอ แล้วก็มาเจอกันอีกทีก็อีตอนผัวเก่าเป็นมะเร็งตาย


"จะว่าไปเขาก็ดี ตอนเลิกกับกู จริง ๆ กูก็รู้แหละว่าผัวกูโดนอีเหี้ยนั่นยั่ว ผัวกูน่ะมันซื่อ ๆ อ่อนต่อโลก พอโดนไก่แก่แม่ปลาช่อนคราวนี้มันหลงเลย พอมาง้อกูมันก็เลิกกับอีแก่นั่นแล้วนะ แต่กูไม่เอากูเข็ดเลิกแล้วเลิกเลย" พี่เจี๊ยบเคยเล่าเมื่อถามถึงอดีตสามี


ต่อมาผัวเก่าพี่เจี๊ยบก็มีเมียใหม่ แต่ไม่มีลูกด้วยกัน ผัวเก่าพี่เจี๊ยบก็แสนดีส่งเสียลูกทุกอย่าง เงินทองที่พี่เจี๊ยบทำงานก็เอาไปเล่นหวยสบายใจเฉิบ เมียใหม่ของผัวก็ดีเป็นพยาบาล ถ้าวันเสาร์อาทิตย์ พ่อของเด็ก ๆ ก็จะมารับเด็ก ๆ ไปอยู่ที่บ้านด้วย และลูกสาวของพี่เจี๊ยบก็เข้ากับแม่เลี้ยงได้ดี 


ผมเคยแอบคิดตรงกันข้ามเลยเชียวคนของเราสิร้าย ถ้าตาพันเอาลูกมาอยู่ด้วย ไม่แคล้วยายหม่อมพี่ของผมนี่แหละ อาจจะเป็นแม่เลี้ยงใจร้าย เหมือนซินเดอเรล่า วางยาพิษลูกเลี้ยง แล้วก็ใช้โขกสับลูกติดผัวอย่างวายร้ายก็เป็นได้


ตัดมาที่เรื่องผัวเก่าหม่อมพี่เจี๊ยบตาย คราวนี้ภาระทางการเงินของลูก ๆ ก็ตกเป็นของพี่เจี๊ยบเต็มที่ จากที่เคยซื้อหวยได้อย่างสบายใจ ก็ต้องมาลดอย่างฮวบฮาบ แต่ไอ้จะให้เลิกนั้นเป็นอย่าหวังเพราะติดเสียแล้ว


นอกจากหวยก็ลามไปถึงเรื่องไพ่ หม่อมพี่เจี๊ยบนี้ติดไพ่ขนาดหนักชนิดไม่หลับไม่นอนก็ได้ ยิ่งถ้ามีงานใหญ่ ๆ ซึ่งชาวออฟฟิศจะต้องมารวมตัวกันล่ะก็ หม่อมพี่ของผมนั่งประจำการตั้งแต่เริ่มงานยันจบงาน จะป๊อกเด้ง ผสมสิบ อะไรก็เถอะแม่เล่นสู้ตายถวายชีวิต 


เงินเดือนพนักงาน ถึงจะไม่มากแต่ก็ไม่น้อย ครั้นต้องมารับภาระลูกสองคนที่โตเอาโตเอา พี่เจี๊ยบซึ่งเป็นคนเก่าคนแก่ก็ต้องคลานเข่าเข้าไปหาเฮียหงวนเพื่อทำการกู้ยืมเงิน เฮียหงวนก็ดีใจหาย ให้ยืมเงินซึ่งจริง ๆ มันก็เป็นเงินที่ถูกหักสะสมยามเมื่อเราลาออกนี่แหละ 


โดยจะทำการหักทุกเดือน ๆ ไม่คิดดอกเบี้ย ประกอบกับตาพันที่ทำงานได้เงินก็ทูนหัวทูลเกล้าให้เมียเกือบหมดหลังจากหักเงินที่จะต้องส่งให้พ่อแม่ที่บ้านนอกซึ่งตนเอาลูกไปฝากเลี้ยง


"แม่ตาพันน่ะร้ายจะตาย กูนะไม่จำเป็นไม่อยากจะไปเหยียบบ้านตาพันร๊อก อีแก่นั่นด่าเก่งชิบหาย กูนี่ว่าด่าเก่งแล้วนะ เจอแม่ตาพันก็ยังชิดซ้าย" พี่เจี๊ยบนินทาแม่ผัว


"ไฮ้อะไรจะขนาดนั้น" ผมอุทานเพราะรู้ฝีปากของหม่อมพี่ของผมดี


"แล้วพ่อตาพันทำไมยังทนเมียแกได้ล่ะ?" อีจอยสงสัย


"พ่อตาพันหูหนวก" พี่เจี๊ยบเฉลยพวกเราก็เลยหัวเราะกันแทบแย่


ทำงานกันไปเม้ากันไป ผมที่จบปวช. พิมพ์ดีดได้ ก็มักจะต้องทำงานเอกสารอยู่หน้าคอม ทำ ๆ เล่น ๆ เพราะถือว่างานหนักคือการออกไปข้างนอก


พอเที่ยงตรงเป๋ง หม่อมพี่ก็เดินไปปิดไฟ เพื่อเป็นสัญญาณให้สาวออฟฟิศต้องหยุดมือ 


"ไปร้านส้มตำกัน กูโทรสั่งเรียบร้อยแล้ว" หม่อมพี่เจี๊ยบพูดเสียงดังและเราก็เดินตามแกไปเงียบ ๆ ไม่กระโตกกระตาก เพราะแผนกอื่น ๆ ยังทำงานกันอยู่


"ธงเอาไข่เจียวแหนมมาจ๊ะ" ผมพูดพร้อมกับแกะไข่เจียวแหนมที่ห่อมาจากบ้านออกมาวางบนโต๊ะ นังจอยตักน้ำกับน้ำแข็ง ส่วนพี่เจี๊ยบยืนเท้ากะเอวสั่งโน่นสั่งนี่เพิ่มเติม ผมก็จัดจานจัดช้อนสำหรับพวกเรากินข้าวกันสามคน


"ไข่เจียวอร่อย" อีจอยชม แน่สิ ไข่เจียวของม๊า นอกจากจะใส่แหนมเยอะแยะ แล้วม๊ายังใส่กระเทียมดองเข้าไปด้วย มื้อเที่ยงนี้ทั้งตำไทยตำปูปลาร้า ลาบปลาดุก น้ำตกคอหมู ยังไม่ทันจะมา แต่ไข่เจียวแหนมของผมก็หมดเป็นที่เรียบร้อยเหมือนกับว่ามันเป็นออเดิร์ฟอย่างนั้นแหละ