ก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,เล่าประสบการณ์,ยุคปัจจุบัน,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แปะจะเป็นอินฟลูฯก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
โลกยุคนี้ มันเป็นยุคของ อินฟลูเอ็นเซอร์ นั่นก็คือบุคคลที่มีผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
อินฟลูเอ็นเซอร์ จะมีผู้ติดตามมากมายซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีส่วนร่วมในเนื้อหาที่พวกเขาพูดเป็นประจำ อินฟลูฯ มีมากมายหลายหมวด ไม่ว่าจะเป็นหมวดการท่องเที่ยว สายทำอาหาร สายวิชาการ สายบันเทิง สายสุขภาพ
แต่ผมจะเป็นอินฟลูฯ สายไหนกันดีนะในเมื่อตัวผมเองก็ไม่เก่งอะไรสักอย่าง....เห้อ
โดย Chavaroj
ถึงแม้ว่าม๊าจะเป็นแม่ค้าขายขนมในกองทหารเก่า แต่เอาเข้าจริง ๆ ม๊าก็ชอบกินของแซ่บ ๆ ชนิดเผ็ดจนลมออกหู ครั้นแต่งงานกับป๊าที่ตัวเองบอกกับลูก ๆ ว่าป๊าน่ะเป็นลูกคุณหนู ป๊าซึ่งถูกเลี้ยงมาอย่างบ้านคนจีนกินของออกจืด ๆ เค็ม ๆ จนเมื่อรักและแต่งงานกัน พอมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ก็ต้องมีการปรับตัว
ไหนจะนิสัยใจคอ ความเป็นระเบียบที่ต่างกันแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเรื่องการถูกหล่อหลอมเรื่องการกินอย่างที่ว่า
ม๊ากินของรสจัดจ้านลดลง ส่วนป๊าก็พยายามที่จะกินอาหารรสจัดให้ได้มากขึ้น ประกอบกับป๊าถึงจะเป็นลูกคุณหนูอย่างที่ว่าแต่ก็เป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย อย่างตอนเป็นพลทหารใครเขาโทรมบักโกรก แต่ม๊าเล่าว่าป๊ามาหุ่นล่ำขึ้นก็อีตอนนั่นแหละ
"สมัยก่อนป๊าน่ะผอมอย่างกับกล้วยตาก แบน ๆ ชอบก๊ล" ม๊าเคยนินทาป๊า พร้อมกับอวดรูปสมัยป๊าหนุ่ม ๆ ให้พวกเราดู
แต่ก็ดีเหมือนกัน พอป๊าเริ่มมีอายุมากขึ้น ก็เลยไม่อ้วนผิดกับเพื่อน ๆ ที่ทำงานรุ่นเดียวกันที่ชักจะมีพุงโรนิด ๆ
"ก็ป๊าไม่กินเหล้าเมายา ยิ่งเป็นทหารก็ต้องออกกำลังกาย จะเอาที่ไหนมาอ้วน" ป๊าแอบคุยโวลับหลัง
รสชาติอาหารที่กินต่างกัน แต่มีอาหารหลายอย่างที่ป๊าและม๊าชอบกินเหมือนกันอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นคืออาหารรสขม...
"กินของขม ชมเด็กสาว เล่าความหลัง" ป๊าเคยพูดแล้วก็หัวเราะในลำคอหึ หึ เมื่อปลงว่าตัวเองแก่ลง
"ป๊ายังไม่แก่เลย อายุห้าสิบนิด ๆ ของป๊าใครดูก็ยังบอกว่าป๊าหนุ่มกว่าคนรุ่นเดียวกัน ยังสมาร์ท และดูดี" ผมเคยชมป๊า ซึ่งแกก็ส่ายหน้าไปมาแล้วอมยิ้ม
อาหารรสขม ๆ ที่ว่าอันพาให้ลูก ๆ ชอบกินไปด้วยแม้แต่ยายหนูดี ก็พลอยชอบกินของขมไปกับเขาเหมือนกัน
ที่เห็นจะง่ายและใกล้ตัวสักหน่อยก็คือมะระ จะเอามาผัดไข่ หรือจะเอามาทำแกงจืดยัดไส้ ก็เป็นเมนูโปรดประจำครอบครัวของเราทั้งนั้น
ถ้าจะทำมะระผัดไข่ ม๊าก็จะใช้พวกเราคนใดคนหนึ่งให้หั่นชิ้นบาง ๆ โดยอันดับแรกต้องผ่าครึ่ง เพื่อจะใช้ช้อนสั้นขูดเยื่อด้านในสีส้ม ๆ ทิ้งเสียก่อน ถ้าลูกใหญ่ก็หั่นอีกครึ่งแต่ถ้าลูกขนาดไม่โตมาก ก็ซอยมะระได้เลย
ผมเคยไปเดินตรงตลาดพม่า ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเรา เขาก็กินผัดมะระเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้ใช้มะระจีนเหมือนบ้านเรา แต่ใช้มะระขี้นก ผมเคยเห็นแปลก ๆ ดี ก็เลยลองซื้อมากิน ก็รู้สึกว่าอร่อยพอใช้ได้ แต่แน่ละไม่ถูกปากเหมือนที่เคยกินมาตั้งแต่เด็ก
ผัดมะระของพม่า จะค่อนข้างแห้ง ใส่กุ้งแห้ง และผงเครื่องเทศ ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นมาซาล่า เวลากัดโดนเนื้อกุ้งแห้งก็จะได้รสอร่อยแปลก ๆ ขมติดลิ้นนิด ๆ หอมเครื่องเทศหน่อย ๆ มีรสขม ๆ เค็ม ๆ กินกับข้าวสวยหรือข้าวต้มดีนักแล
แต่ถ้าเป็นมะระผัดไข่ของบ้านเรา หลังจากที่โดนใช้ให้ซอยมะระจนได้ขนาดแล้ว ม๊าก็จะโรยเกลือแล้วให้เราคลุกมันเบา ๆ แล้วขยำเพื่อจะได้ล้างความขื่นนั้นให้จางลง จากนั้นก็เอาไปล้างน้ำอีกสักหนึ่งที แล้วก็เอามาผัดกับไข่
ปกติทำกับข้าวเราก็มักจะใช้ไข่ไก่ ซึ่งจะเหมาซื้อมาทีละเป็นแผง ๆ เพราะบ้านเรากินไข่กันเป็นหลัก แต่ถ้าผัดมะระนี้ ม๊าจะใช้ไข่เป็ด จะถามเหตุผลว่าอะไรก็ลืมเสียทุกที แต่เอาเป็นว่ามันดูเข้ากันดีไม่มีปัญหา
ตั้งน้ำมันจนร้อน ใส่กระเทียมเสียหน่อยเพื่อให้ได้กลิ่น จากนั้นก็เทมะระลงไป แล้วก็ตกไข่เป็ดลงไปได้เลย คลุกเคล้าจนเนื้อไข่เคลือบกับเนื้อมะระจนร่วน จากนั้นม๊าก็ปรุงรส เหยาะโน่นนิด เหยาะนี่หน่อย แต่ไม่ลืมที่จะเหยาะน้ำตาลทรายนิดนึง ผมเดาเอาว่าคงจะทำให้รสไม่ปร่า ตบท้ายเมื่อตักใส่จานก็โรยพริกไทยตามธรรมเนียมของบ้านเรา
เคยเดินตลาด เจอมะระรูปพรรณสัณฐานคล้าย ๆ มะระขี้นกแต่ใหญ่กว่าสักห้าหกเท่า ม๊าก็เคยเอามาผัดเหมือนกัน แถมลองใส่กุ้งแห้งแบบพม่า และเปลี่ยนจากใช้กระเทียมเป็นใช้หัวหอม ดูอาหารพม่าจะหนักหัวหอมมากกว่ากระเทียมอันนี้ผมสังเกตเอาเองนะ แต่ม๊าไม่ใส่ผงมาซาล่าเพราะบ้านเราไม่มี ก็กินกันหมดจานอีกเช่นเคย
จะมะระแบบไหนก็อร่อยทั้งนั้น แต่ท้ายที่สุด เราก็ชินกับการกินมะระจีนผัดไข่มากกว่า ส่วนมะระขี้นก เอามาต้มแล้วจิ้มกินกับน้ำพริกเสียเป็นส่วนมาก
มาถึงเมนูแกงจืดมะระยัดไส้ อันนี้ม๊าล่ะถือนักว่าจะไม่กินนอกบ้านเด็ดขาด ม๊าดูจะไม่ค่อยชอบใจที่เขาทำขายแล้วลดต้นทุน ใช้หมูสับที่แทบจะมีแต่มันหมู แล้วยังจะมีหน้าคลุกกับวุ้นเส้นเข้าไปอีก จะประหยัดต้นทุนกันเกินไป ม๊าว่าของม๊าอย่างนั้น
เมนูมะระยัดไส้ออกจะสนุกเพราะเวลากิน ต้องค่อย ๆ ตะล่อมตักมะระให้ติดเนื้อหมูออกมาด้วย พวกเราพี่น้องจะแข่งกันว่าต้องตักให้ดี ใครตักแล้วมะระแตก หรือหมูที่ยัดไส้หลุดออกมาก็ถือว่าแพ้
มะระยัดไส้นี้ เวลาหั่นเราจะหั่นเป็นท่อน ๆ กะขนาดเอาตามชอบใจ แน่นอนว่าต้องควักไส้สีส้มและเมล็ดทิ้ง จากนั้นก็เอาหมูสามชั้นมาสับให้ละเอียด ผมมักจะรับหน้าที่นี้ แต่จะให้เอร็ดอร่อยระหว่างสับหมูก็ไม่ลืมจะเหยาะน้ำปลา พริกไทย และกระเทียมจำนวนมาก เวลากระเทียมมันสุก กินแล้วอร่อยจะตาย
แต่กระเทียมนั้นเราจะใส่เป็นอันดับสุดท้ายและสับให้มันหยาบ ๆ หน่อย ม๊าว่าเคี้ยวโดนกระเทียมแล้วมันสะใจดี
พอได้หมูสับที่ว่าเราก็ใช้ช้อนตักใส่เข้าไปในมะระ ตะล่อมให้ดี อย่าให้ขาดอย่าให้เกิน อันนี้สนุก
หม้อต้มน้ำร้อนคลัก ม๊าใส่สามเกลอ คือรากผักชี กระเทียม พริกไทยลงไปจำนวนหนึ่ง ค่อนข้างจะมากทีเดียวเพราะบ้านเราชอบอย่างนี้ จากนั้นก็ค่อย ๆ หย่อนมะระลงไป แล้วก็ปิดไฟ เคี่ยวไฟอ่อน ๆ และไม่ลืมจะช้อนฟองทิ้ง เวลาจะกิน ตักใส่ชาม ไม่ลืมจะเหยาะพริกไทยโรยหน้าอีกรอบ บ้านเราขาดพริกไทยคงขาดใจ มันไม่ได้จริง ๆ
พวกมะระพวกนี้มีเรื่อย ๆ แทบจะไม่ขาดจากตลาด แต่เมนูถัดไป จะมีแค่ปีละหน นั่นคือสะเดา ชาวบ้านส่วนใหญ่เขาก็มักจะกินกับน้ำปลาหวาน และปลาดุกย่าง เป็นเมนูประจำหน้าหนาว มีกินช่วงอากาศเย็น ๆ เท่านั้น
แต่ม๊าซึ่งรักลูกรักผัว และเคยเข็ดขนาดที่ตอนเด็ก ๆ ผมกินปลาดุกแล้วก้างตำคอ ม๊าก็เลยตัดรำคาญ ทำยำสะเดาเสียเลย
เริ่มจากซื้อสะเดาซึ่งมีดอกตูม ๆ ก้านยาว ๆ มาเป็นจำนวนมาก กระบวนการก็ต้องเอาสะเดาที่ว่ามาลวกเสียก่อน แน่นอนว่าเวลาเราลวกผักเพื่อจะกินกับน้ำพริก ต้องเหยาะเกลือลงไปด้วย น้ำเดือดจัดปุ๊บก็รีบโยนสะเดาลงไปปั๊บ ดูว่าสุกดีแล้วก็รีบตักออกมาแช่น้ำเย็น ไม่อย่างนั้นสะเดาของเราจากที่เป็นสีเขียวสดใส ก็จะกลายเป็นสีเขียวเหี่ยว ๆ ไม่น่ากิน
บางคนก็ถือเป็นเสร็จสรรพกินได้เลย แต่ม๊าจะนั่งรูดดอกสะเดาเอง จนตอนผมโตแล้ว ก็จะมาช่วยม๊ารูดสะเดา สะเดากำโต ๆ ลวกเสร็จแล้วรูดดอกของมัน เหลือแค่ชามเดียวเท่านั้น แต่แค่นี้ก็พอถมเท
ของที่เตรียมอีกอย่างคือปลาดุกย่าง ซึ่งไม่ใช่ว่าปลาดุกย่างเจ้าไหนก็ได้นะ ปลาดุกย่างที่กินกับสะเดาน้ำปลาหวานน่ะ ต้องดูเจ้าประจำซึ่งจะย่างไม่เหมือนที่อื่น ๆ กล่าวคือ ปลาดุกย่างร้านส้มตำ จะเสียบตัวมันตรง ๆ ทื่อ ๆ ไอ้ที่จะไปเอาปลาดุกสด ๆ จากตลาดม๊าไม่อยากทำขนาดนั้น กลัวบาปกลัวกรรม แต่ไม่กลัวที่จะกิน
แต่ปลาดุกย่างเจ้านี้เขาจะเสียบแบบคดไปเคี้ยวมาเป็นตัวเอส ให้ดีก็ต้องรมควันเสียด้วย เวลากินจะได้กลิ่นหอมควันเป็นพิเศษ ปลาดุกตัวโตย่างควันจนหอมฉุยน่ากินเป็นที่สุด ขนาดแกะเอามาคลุกข้าวเปล่า แล้วเหยาะซีอิ๊ว แค่นี้ก็กินข้าวได้จนหมดจาน
แต่ม๊าย่อมไม่ทำอย่างนั้นให้เสียฝีมือ ม๊าจะเอามันไปทอดอีกที ถึงมันจะสุกแล้วสุกอีกก็เถอะ ครั้นถามว่าทำไมม๊าก็พูดแบบรำคาญ ๆ ว่ากันกลิ่นคาวหรืออะไรประมาณนั้นผมก็ไม่อยากจะเถียง เพราะเถียงก็เถียงไม่ขึ้น
เข็ดเหมือนกันที่กินปลาดุกย่างพอแกะมาตรงช่วงท้องที่มีมันหนา ๆ ปรากฏว่ามันยังไม่สุกมีเลือดแดง ๆ ซึมอยู่ก็ทำให้เสียอารมณ์ไปเหมือนกัน และเมื่อปลาดุกทอดอีกที มันก็อร่อยขึ้นจริง ๆ เสียด้วย
ครั้นทอดปลาดุกเสร็จก็จะแกะเป็นชิ้นประมาณปลายนิ้ว หนังปลาดุกจะถูกแยกออกไปส่วนหนึ่งซึ่งมีแต่คนแย่งกันกินเพราะเมื่อมันถูกทอดอีกทีจะกรอบ ๆ กรุบ ๆ อร่อยชะมัด
น้ำมันจากการทอดปลาดุกจะยังไม่ทิ้งไปไหน ม๊าเติมน้ำมันเข้าไปอีกหน่อย ด้านข้างมีหอมแขก ซึ่งถูกหั่นไว้เป็นกองพะเรอเกวียนเตรียมอยู่ พอน้ำมันร้อนฉ่าม๊าก็ประเดหอมซอยที่ว่าลงไปจนกลิ่นหอมเจียวฟุ้งไปทั้งบ้าน อันนี้ต้องใจเย็นและมือไว เพราะหอมแดงมันสุกไว ฉวยว่าช้าไปนิดเดียวก็ไหม้อดกินกัน
ม๊าใช้กระชอนตักหอมแดงจำนวนมากที่เมื่อสุกจนแห้งจะเหลือแค่หนึ่งในสามเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นกองโต ๆ จนพูนจาน
ลำดับต่อไปก็คือกระเทียมจีนหัวโต ๆ ที่เอามาแกะและซอยจนเป็นแผ่นบาง ๆ เอามาทอดต่อ ตบท้ายด้วยพริกแห้งเอาไปทอดจนหอม
น้ำปลาหวานนั้นอย่าหวังว่าม๊าจะไปซื้อสำเร็จ อีเรื่องแค่นี้มันขี้ผง ม๊าทำเองง่ายเหมือนปอกกล้วย เพียงแต่น้ำมะขามเปียกนั้นม๊าซื้อแบบสำเร็จรูปเพราะมันสะอาดสะอ้านและประหยัดเวลา
เคี่ยวน้ำตาลมะพร้าวน้ำตาลทราย น้ำมะขามเปียก น้ำปลา และใส่เกลืออีกหยิบมือ เติมน้ำเปล่า แล้วเปิดไฟเคี่ยวน้ำปลาหวานไปเรื่อย ๆ จนข้นที่สำคัญน้ำตาลต้องละลายหมด ม๊าชิมเป็นระยะ เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ
เวลาจะกิน ม๊าก็เอาทั้งหมดใส่ชาม แล้วก็เคล้าทุกอย่างจนเข้ากัน ปลาดุกนั้นต้องใช้ถึงสองตัว ไม่อย่างนั้นไม่สาแก่ใจ นาน ๆ ม๊าจะทำเมนูนี้ เพราะขี้เกียจรูดดอกสะเดา แต่ถ้าป๊าอ้อนทีไรม๊าก็ใจอ่อนทำให้ทุกที
อีกอย่างที่รสขมนัก แต่บ้านเราชอบกินมาก ๆ ก็คือขี้เหล็ก ถ้าโชคดีก็ได้ดอกขี้เหล็กซึ่งต้มแล้วจะขม ๆ มัน ๆ แต่ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็ขอยอดอ่อน ๆ ก็พอทำเนา แต่แกงขี้เหล็กบ้านเราจะกินแบบแกงกะทิ ม๊าไม่ทำแบบแกงลาว โดยอ้างว่าทำไม่เป็น
กะทิจะถูกตั้งไฟจนแตกมัน จากนั้นก็ใส่พริกแกงเจ้าอร่อย ม๊าขี้เกียจตำเองเพราะมันยุ่งยาก เราไม่ได้จะทำกินบ่อยขนาดนั้น และเจ้าประจำของเราก็อร่อย สะอาดไว้ใจได้
พอพริกแกงสุกก็ใส่กะทิเพิ่ม ใส่น้ำตาลมะพร้าวเพื่อไม่ให้รสปร่า เติมเกลือ น้ำปลาตอนร้อนจะได้ไม่เหม็นคาว จากนั้นก็ใส่ขี้เหล็กที่ต้มแล้วล้างทิ้งสองรอบเพื่อไม่ให้ขมเกินไป ใส่หมูสามชั้นหั่นเป็นชิ้น ๆ ซึ่งมักจะเป็นพื้น แต่ถ้าม๊านึกครึ้มร่ำรวยขึ้นมาก็จะทำแกงขี้เหล็กใส่เนื้อแดดเดียว อร่อยแทบลืมตาย แต่แพงมาก ต้องวาระพิเศษเช่นม๊าถูกหวย ถึงจะได้ทำให้กินกันอย่าหวังไปเลย
อันว่าแกงขี้เหล็กนี้จะกินกับข้าวก็อร่อย แต่จะให้เข้ากันก็มักจะกินกับขนมจีน กินกันหมดหม้อหมดไห
อีกอันที่ผมพอจะนึกได้ก็คือฝักเพกา หรือลิ้นฟ้า อันนี้คงไม่ลำบากทำเองเพราะมันยุ่งยาก แต่ถ้าเจอร้านที่เขาเอามาขาย โดยการย่างจนสุกและขูดผิวที่ไหม้เกรียมแล้ว ม๊าก็มักจะทีละสองสามฝัก เอามาหั่นเป็นท่อน ๆ จิ้มน้ำพริกกิน ก็อร่อยเหมือนกัน เคยเห็นเขาเอามาดองแต่ยังไม่บุญได้เอามากินว่ามันจะรสชาติเป็นแบบไหนกันนะ
เมนูพวกนี้ผมแทบจะไม่เคยตักไปกินที่ออฟฟิศนอกจากแกงมะระยัดไส้ เพราะมักจะไม่ค่อยเหลือ แต่วันนี้ตักมาสองชิ้นใหญ่ ๆ เพราะม๊าต้มไว้หม้อโต ๆ ใช้มะระตั้งสี่ลูก พอเอาไปเวฟ จนได้น้ำซุปร้อน ๆ นั่งกินข้าวกับหม่อมพี่เจี๊ยบ เราสองคนก็ซดน้ำแกงกันให้ชุ่มคอ อีพี่ชีพเดินมาเห็นทำหน้าเบ้ แต่ไม่กล้าพูดอะไร นังจอยไปต่างจังหวัด ส่วนผมกับพี่เจี๊ยบเตรียมจัดของ เพื่อจะเดินทางไปพรุ่งนี้
ช่วงนี้เราแบ่งการทำงานเป็นสองทีม ทีมของผมจะค่อนข้างใหญ่เพราะจังหวัดที่เราไปคือ อุบลราชธานี เป็นจังหวัดใหญ่ในภาคอีสาน จึงต้องใช้กำลังคนมากกว่า
กินข้าวเสร็จก็ลงมาจัดเตรียมของต่อ หันไปที่ห้องซาลอน เจอพี่มนัส กับนังอั๋นก็เตรียมของวุ่นอยู่เหมือนกัน ส่วนใหญ่จะเป็นอุปกรณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการทำผม ส่วนพวกน้ำยาที่จะใช้ ก็จะไปหยิบเอาหน้างานแล้วทำบัญชีกับเซลล์ให้หักกันเอาเอง
แต่งานนี้ไม่ใช่งานสอนเหมือนปกติ แต่เป็นงานกึ่ง ๆ งานขายกึ่ง ๆ ให้ลูกค้าได้ทดลองใช้สินค้า คือซื้อสินค้าครบตามเรทราคา ก็จะมีบริการทำผมให้ฟรี เริ่มตั้งแต่ตัดซอย ทำสีผม ไปจนถึงยืดผม ซึ่งส่วนใหญ่ลูกค้าก็มักจะใช้บริการทำสีผม เพราะดูน่าตื่นเต้นกว่าอันอื่น ส่วนการยืดผม ต้องซื้อสินค้าราคาค่อนข้างสูง ต้องคนที่สนใจจริง ๆ
นอกจากจะมีพี่มนัสกับนังอั๋น เราจ้างช่างฟรีแลนซ์อีกสองคน และนังจอยกับต้องจะตามไปสมทบในวันมะรืน
คืนนั้นผมต้องรีบนอนให้ไว เพราะต้องตื่นแต่เช้า กลับกันที่ผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งม๊า กลายเป็นว่าคราวนี้ม๊าต้องขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งผม เพราะผมจะไปทำงานอุบลตั้งอาทิตย์นึง
อุปกรณ์ต่าง ๆ ชิ้นใหญ่ ๆ เช่นพวกเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะชั้นกระจก เก้าอี้ เรื่อยไปจนถึงพวกอุปกรณ์ทำบูท ถูกขนไปด้วยรถหกล้อ ส่วนพวกเราทีมงานก็จะขึ้นรถตู้ซึ่งพี่อังว่าจ้างมาเพื่ออำนวยความสะดวก
ช่างฟรีแลนซ์เป็นสองพี่น้องชายหญิง ชื่อช่างอ๊อฟกับช่างแอน ทั้งคู่ยังเด็กกว่าผมเสียอีก แต่ว่ากันไม่ได้ฝีมือไม่ธรรมดาทั้งคู่ นิสัยดีน่ารัก พูดน้อย เอาแต่หัวเราะแต่เม้าเก่ง ถูกจริตทีมงาน
พอรถตู้เคลื่อนขบวน สายนอนก็งีบพักผ่อน สายปล่อยใจก็นั่งฟังเพลง หม่อมเจี๊ยบ พี่มนัส ช่างแอน และพี่อัง เปิดมินิเอ็นเตอร์เทนเม้นต์คอมเพล็กซ์ ป๊อกเก้า ส่วนผมก็เม้ามอยไปตามเรื่อง
มากับหัวหน้าอย่างนี้สนุก เจ๊อังที่ปกติจะค่อนข้างเครียด การออกงานต่างจังหวัดมันคล้าย ๆ กับได้ไปเที่ยวกลาย ๆ ก็เลยเอาแต่พูดแซวและหัวเราะกับพวกเรา ไม่ดุทำหน้ายักษ์
คนขับรถตู้ก็คือพี่ชาติ ซึ่งสนิทกับพวกเราอีกเหมือนกันเพราะใช้บริการของแกมานานหลายปีดีดัก จนไว้ใจและสนิทสนมจนถึงขั้นกลางดึกพี่ชาติจะมาร่วมวงเล่นไพ่ด้วยก็แล้วกัน
แวะพักกินข้าวที่โคราช พี่มนัสนึกสนุกให้พวกเราแวะไปไหว้พระที่วัดสรพงษ์ กราบหลวงพ่อโต และกินราดหน้าที่เขาทำโรงทาน อร่อยที่สุด ส่วนจะทำบุญเท่าไรก็แล้วแต่ศรัทธา บางคนก็จ่ายบางคนก็ไม่จ่าย อันนี้กรรมใครกรรมมัน
ถึงปลายทางเอาช่วงเย็น ๆ แต่เราจะเซ็ทบูทเตรียมงานได้ก็คือช่วงหัวค่ำ ความที่ทำจนบ่อย ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงก็เสร็จ พวกเรามักจะเช่าโรงแรมไม่ไกลจากที่ทำงานเพื่อความสะดวก ที่จัดงานก็มักจะเป็นกลางเมือง
เมื่อเสร็จแล้วคราวนี้ก็แยกย้ายใครใคร่จะหาอะไรกินก็ตามอัธยาศัย บ้างก็รีบกลับไปนอน แต่หม่อมพี่เจี๊ยบที่เมื่อเช้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ยังทนพิษบาดแผลไม่ไหว คืนนี้หม่อมพี่ของผมจึงขอไม่ไปเข้าเรียนวิชาคำนวณ อันเป็นหลักสูตรภาคค่ำ
"อีธง ไปหาอะไรแดกกัน" หม่อมเจี๊ยบว่าและคล้องแขนของผมเพื่อไปเดินตลาดไนท์
ถ้ากินมื้อเย็นอย่างนี้ก็มักจะกินอาหารตามสั่งง่าย ๆ รีบกลับโรงแรมเพื่อพักผ่อน ครั้นมาถึงโรงแรม ห้องติด ๆ กันคือห้องของพี่อังก็เสียงดังเฮ ๆ ออกมาจนหม่อมพี่เจี๊ยบต้องขอยื่นหน้าไปดูเสียหน่อย เพราะขาท่าจะเยอะ
"พี่เจี๊ยบมา ๆ" เสียงทุ้ม ๆ หล่อ ๆ ทักทาย และหม่อมพี่ของผมก็ยิ้มแห้ง ๆ แล้วรีบปิดประตูลากผมเข้าห้องนอน
"ใครวะคุณพี่?" ผมถามเพราะไม่ได้ยื่นหน้าไปดูกับเขาด้วย
"เฮียโจ แหมตามมาเป็นเจ้ามือให้หม่อมแม่มึงเลย พวกนี้เล่นกันหนักกูไม่เอาหรอก ตาละยี่สิบกูยังหมดไปสองพัน นี่พวกเซลล์น่ะเขาเป็นกันเป็นร้อย กูขอลาค่ะ" หม่อมเจี๊ยบบ่นกระปอดกระแปด ส่วนผมก็อมยิ้ม เข้านอนดีกว่า
พูดถึงเฮียโจ แกเป็นเซลล์ใหม่มาแรง แค่แปดเดือนก็ทำยอดทะลุเป้า การที่จะมาจัดงานแบบนี้ ลูกค้าต้องสั่งสินค้าเป็นล้าน ๆ ทีมอีเว้นท์ของผมถึงจะตามมาซัพพอร์ทจัดอีเว้นท์ให้
เฮียโจนอกจากจะขายเก่ง หล่อเหลา แต่แกก็ไม่กร่างหรือขี้งกอย่างเฮียเซลล์แก่ ๆ หลาย ๆ คน เย็น ๆ หลังเลิกงาน แกก็มักจะมาชวนพวกเราไปกินข้าวด้วยกัน แล้วก็มักจะเลี้ยงสักหนหนึ่งเพื่อเป็นกำลังใจ
จะไม่ให้แกเลี้ยงแกก็จะงอนเอา ส่วนใหญ่ก็จะกินพวกจิ้มจุ่ม ส้มตำอะไรพวกนี้เพราะแกดูพื้นที่อีสานตอนบน ซึ่งลามไปจนถึงสะหวันเขต ประเทศลาว แกก็เอาของเข้าไปขายได้แล้ว ขายดิบขายดีเสียด้วย
ได้ยินแกเล่าว่า คนลาวนั้นชอบใช้ของไทย ถึงจะราคาค่อนข้างสูง แต่คุณภาพดี ค่าเงินของลาวนั้นค่อนข้างเฟ้อ การซื้อของเทียบตามอัตราค่าเงิน แพงกว่าไทยเป็นอันมาก แต่ก็ยังขายดิบขายดีนักหนา
บางครั้งซาปั๊วคนลาวก็ข้ามฝั่งมาไทย เพื่อมาซื้อจากยี่ปั๊วะที่นี่ ก็มีเยอะเหมือนกัน น่าภูมิใจที่ของบริษัทผมก็ค่อย ๆ ไต่อันดับของขายดีกับเขาด้วย ก็ต้องชมเฮียโจว่าขายเก่ง และชมทีมแบรนด์ว่าผลิตสินค้าออกมาได้ดีนั่นแหละ ผมล่ะแสนภูมิใจในบริษัทของตัวเอง ที่นับวันจะมียอดขายแซงหน้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศเข้าไปทุกที
งานนี้ถ้าจะถามว่าผมทำหน้าที่อะไรบ้าง หลัก ๆ ก็คือขายของนั่นแหละ งานรองก็คือช่วยพวกช่างทั้งหลาย ที่โดนใช้เยอะหน่อยก็คือให้ช่วยสระผม จากที่ทำไม่เป็นก็ต้องหัด จนชักจะเป็นมือโปรด้านการสระผมกับเขาเหมือนกัน
คนสอนให้ผมก็คือหม่อมพี่เจี๊ยบ ครั้นผมทำจนคล่องพี่เจี๊ยบก็ยกหน้าที่นี้ให้ผมเสียเลย แกให้เหตุผลว่า แกทำไม่ค่อยไหวเพราะก้มมาก ๆ แล้วปวดหลัง
ยิ่งถึงวันที่ทีมงานมาครบ คุณยูและพี่น้ำรวมถึงนังจอยตามมาสมทบกับพวกเรา ยิ่งครึกครื้นเป็นที่สุด เลิกงานก็ไปเดินตลาด หาอะไรกิน ซื้อของจุกจิก จนเวลาเจ็ดวันผ่านไปเหมือนเล่นกล
แต่ก่อนเราจะเดินทางกลับกันตอนดึก ๆ ถึงออฟฟิศเอาราว ๆ ตีหนึ่งตีสอง แต่กาลต่อมา นายแม่อังคณาผู้กลัวว่า ลูกน้องจะโดนเอาไปเทเสียกลางดึก เป็นสัมภเวสีไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ เลยให้พวกเราเปลี่ยนเป็นกลับตอนเช้าของอีกวัน พวกเราก็ได้แต่โมทนา
เมื่อถึงออฟฟิศ พวกเราก็ช่วยกันขนของกลับเข้าออฟฟิศ ยังไม่เรียงให้สวยงามพรุ่งนี้ค่อยทำ เอาไปกอง ๆ ตรงแผนกก่อน เพราะอยากจะกลับบ้านเต็มทน ผมโทรศัพท์ไปบอกม๊า ทั้ง ๆ ที่ผมก็บอกในไลน์กลุ่มครอบครัวแล้ว แต่คงเพราะคิดถึงอยากได้ยินเสียงม๊าด้วยแหละ
"เออถึงแล้วเรอะ" ม๊ารับสายและพูดเสียงอู้อี้ ท่าทางยุ่งอยู่ในครัว
"ถึงแล้วแต่เดี๋ยวธงนั่งแท็กซี่กลับเองนะ ไอ้ธรรมมันยังไม่ว่าง" ผมบอกม๊าเพราะไลน์ไปหาไอ้ธรรมแล้วมันบ่นใหญ่ว่างานเข้ามารับผมไม่ได้ทั้ง ๆ ที่นัดกันดิบดีแล้วเชียว
"เออ ๆ ม๊าทำมะระยัดไส้ไว้แน่ะ กับผัดผักกาดดอง รีบกลับมากิน" ม๊าพูดแล้วเราก็วางสายกันไป
ระหว่างกลับ ผมก็นั่งมองสองข้างทาง คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อย คิดถึงม๊าบ้าง คิดถึงหลานบ้าง จนมือเลื่อนไปดูรูปในโทรศัพท์มือถือ เห็นแล้วก็อมยิ้ม คลิปสั้น ๆ ที่ผมถ่ายในงาน และสีผมของผมที่ตอนนี้โดนพี่มนัสเปลี่ยนจนกลายเป็นสีแดงก่ำอมม่วง ถ้าม๊าเห็นจะว่ายังไงบ้างหนอ
คิดแล้วก็อมยิ้ม อยากกลับไปกินแกงจืดมะระยัดไส้เร็ว ๆ ถึงมะระจะขม แต่ช่วงชีวิตการทำงานของผมช่วงนี้มันช่างสนุก และหอมหวานเสียเหลือเกิน ผมคิดว่าผมแสนโชคดีที่ได้ทำงานที่เป็นเหมือนบ้านหลังที่สอง
หัวหน้าดี เพื่อนร่วมงานดี เงินเดือนดีในระดับที่ผมไม่ลำบาก ครอบครัวผมก็ดีจนผมรู้สึกไม่มีภาระอะไรเลย ตัวผมเองก็ไม่ได้เป็นคนทะเยอทะยานอะไรอยู่แล้ว แค่นี้ผมก็คิดว่าผมโชคดีกว่าที่แล้ว ๆ มาตั้งเยอะ
จะดีกว่านี้ถ้าสิ่งที่มันดีจะอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ มะระกินแล้วขมแต่พอกลืนลงคอมันถึงจะมีรสหวานชุ่มคอ แต่ความหอมหวานในชีวิต อาจจะขมในตอนหลังก็เป็นไปได้ชีวิตของเรามันไม่มีอะไรแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ผมขออิ่มหนำกับความสุขในช่วงนี้ของชีวิตไปก่อนก็แล้วกัน