ก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,เล่าประสบการณ์,ยุคปัจจุบัน,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แปะจะเป็นอินฟลูฯก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
โลกยุคนี้ มันเป็นยุคของ อินฟลูเอ็นเซอร์ นั่นก็คือบุคคลที่มีผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
อินฟลูเอ็นเซอร์ จะมีผู้ติดตามมากมายซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีส่วนร่วมในเนื้อหาที่พวกเขาพูดเป็นประจำ อินฟลูฯ มีมากมายหลายหมวด ไม่ว่าจะเป็นหมวดการท่องเที่ยว สายทำอาหาร สายวิชาการ สายบันเทิง สายสุขภาพ
แต่ผมจะเป็นอินฟลูฯ สายไหนกันดีนะในเมื่อตัวผมเองก็ไม่เก่งอะไรสักอย่าง....เห้อ
โดย Chavaroj
โดยปกติ ม๊าจะเป็นคนทำกับข้าวเป็นหลัก ตั้งแต่ผมจำความได้จนถึงป่านนี้ แต่คนเรามันไม่ใช่เหล็กไหล มันก็ต้องมีป่วย มีเจ็บกันบ้าง เมื่อนั้นแหละ ป๊าก็จะได้แสดงฝีมือ
คนเขาลือกันมาเนิ่นนานว่าทหารเรือนั้นเก่งด้านการทำอาหาร และป๊าก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น เพียงแต่ว่าเมนูเด็ดของป๊านั้น เป็นของแปลกที่ผมคิดว่า ชาวบ้านร้านตลาดไม่ค่อยจะได้กิน หรือผมคิดไปเองก็ไม่รู้ว่าทำกินกันเฉพาะบ้านของผม
อย่างเมนูหนึ่งที่ป๊ามักจะทำรับขวัญเวลาใครในบ้านของเราป่วยไม่สบาย จะเรียกชื่อว่าเมนูอะไรก็ไม่รู้แหละ เพราะถามป๊า เจ้าตัวก็ไม่รู้ชื่อเหมือนกัน
"อาม่าทำให้ป๊ากินตอนป่วยน่ะ กินแล้วมีแรงดีจัง แล้วก็หายป่วยไวด้วย" ป๊าตอบไปแบบนั้น แต่ตอนผมป่วยได้กินเมนูพิเศษของป๊าก็หายไวจริง ๆ ด้วย
เริ่มจากการเอาข้าวหมากซึ่งซื้อได้จากตลาดนั่นเอง ใส่ห่อที่ทำจากใบบอน กลิ่นหอมฟุ้ง เอาข้าวหมากที่ว่าใส่ชาม จากนั้นก็ตอกไข่ใส่ลงไป ใส่น้ำตาลทรายแดง ใส่เก๋ากี้ ซึ่งคือเมล็ดอะไรสีแดง ๆ อมส้ม ๆ มาจากเมืองจีนซึ่งส่วนใหญ่จะเห็นตอนเขาต้มซุปไก่แบบจีน ตามร้านขายเครื่องยาจีน หรือร้านขายของชำมีขายเยอะแยะ
จากนั้นก็ใส่พุทราจีนแห้งซึ่งหั่นเป็นชิ้น ๆ เวลากินจะได้ไม่มีเมล็ดของมันให้ระคายใจคนป่วย เติมน้ำใส่นิดหน่อย แล้วก็ปิดฝาลังถึง หรือซึ้ง รสจะคล้าย ๆ ไข่หวาน แต่หอม ๆ แล้วก็ได้กลิ่นรสยาจีน คิดแล้วก็อยากกิน แต่ขี้เกียจป่วยเพราะเมนูนี้ป๊าจะทำให้ตอนมีคนป่วยเท่านั้น แต่ไอ้ยาจีนหม้อแสนขมนั่น ถ้าหลีกเลี่ยงไม่กินได้ก็จะเป็นดีที่สุด เพราะขมจนขนลุกขนพอง ไม่ใช่ผมกินเองหรอกนะ ป๊าต้มกิน แล้วผมอยากลองน่ะ ทีเดียวเท่านั้นเข็ดจนตาย
ป๊าของผมน่ะ จะว่าไปก็เป็นลูกคุณหนูอยู่เหมือนกัน ฟังจากที่ป๊าเคยเล่านะ คืออากงน่ะตามประสาคนจีนสมัยก่อนโน้น ก็สมัยโล้สำเภามาจากเมืองจีนกันเลยทีเดียว
และเหมือนละครสมัยก่อน มาทำมาหากินในเมืองไทย ถึงมาตัวเปล่า แต่เมียน่ะ มีแล้ว เป็นเมียที่พ่อแม่ตบแต่งให้ ซึ่งยังอยู่ที่เมืองจีนโน่น ไม่ได้ตามมาด้วย
ครั้นมาอยู่เมืองไทย ทำงานทำการขยันขันแข็ง จะให้ดีก็ต้องมีเมียเป็นคนไทยอีกสักคน โชคดีของอากงก็อีตรงที่ว่า เมียคนไทยที่ว่า เป็นลูกเศรษฐีนี่แหละ เรื่องมันก็เลยพลิกผัน เหมือนละครน้ำเน่าชัด ๆ
วันดีคืนร้าย เมียที่ตบแต่งจากเมืองจีน ก็ถูกเรียกให้ได้มาอยู่กับผัวที่เมืองไทย เพราะจากกันมาตั้งสิบกว่าปีอาม่ามีลูกมาแล้วหนึ่งคนเป็นผู้หญิง พอมาอยู่เมืองไทย ก็ได้ปลูกบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่งซึ่งอยู่ในบริเวณบ้านเดียวกัน ไม่นานก็เกิดมีป๊าขึ้นมา ซึ่งเป็นลูกหลง
อาม่าคนไทย หรือที่ผมเรียกลับหลังแกว่าอาม่าเล็ก เกิดเอ็นดู ก็เลยเมตตาป๊าค่อนข้างมาก ถึงจะมีหึงหวงกันนิดหน่อยตามประสาผู้หญิง แต่อากงก็สอนอาม่าใหญ่ให้รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง ไม่นานลูกสาวของอาม่าใหญ่ก็แต่งงานกับพ่อค้าที่อากงสนิทกัน อาม่าก็เลยไปอยู่กับลูกสาวด้วย เรื่องก็เลยค่อยสงบลง
แต่ป๊าที่เป็นลูกหลง อากงก็ขอให้อยู่กับครอบครัวนี้ ไม่ได้ให้ตามอาม่าใหญ่ไปที่อำเภออื่น ป๊าก็เลยกลายเป็นไอ้ตี๋เล็กของบ้าน ไม่มีคนเดียดฉันท์แต่ประการใดเพราะเด็กคนเดียวไม่มีพิษมีภัยอะไรกับเขาแน่ ๆ
ป๊าถูกส่งให้เรียนโรงเรียนเดียวกันกับพี่ ๆ ซึ่งเกิดจากอาม่าเล็ก และค่อนข้างจะโดนสปอยล์หน่อย ๆ เพราะเป็นลูกชายคนสุดท้อง แถมป๊ายังหน้าตาน่ารัก ช่างเจรจา แถมยังเรียนเก่ง จนเริ่มโตขึ้นชั้นมัธยม พี่ ๆ ของป๊าเรียนจบทำงานกันหมดแล้ว ส่วนป๊ายังเรียนอยู่มีคนขับรถมารับมาส่งเหมือนคุณชาย มาอีตอนนี้แหละ ป๊าก็เลยค่อนข้างจะโดนพี่ ๆ หมั่นไส้ พอชักจะรู้ความ ฉายแววฉลาด พวกพี่ ๆ ของป๊าจากที่เคยเอ็นดูก็ชักจะไม่ชอบหน้าป๊าเสียแล้วเพราะกลัวว่าจะมาแย่งกิจการที่สืบทอดมาจากอาม่าเล็ก
พอป๊าติดทหาร และคิดว่าตัวเองไม่อยากจะค้าข้ายร่วมกับพี่ ๆ เพราะแต่ละคนก็เขี้ยวลากดินทั้งนั้น แถมยังมาตกหลุมรักม๊า เรื่องก็เลยล่วงมาจนมีพวกเรา
ป๊าในวัยเด็กจึงได้รับการดูแล ทั้งเรื่องข้าวของเครื่องใช้ และของกินดี ๆ ไม่มีขาด จนบางทีผมก็แอบคิดว่า ป๊าเป็นคนไม่ค่อยทะเยอทะยาน ชอบอยู่เรียบ ๆ สบาย ๆ งานราชการเช้าชามเย็นชามก็เลยเป็นเซฟโซนของป๊าล่ะมั้ง
แต่วันหนึ่งที่ผมนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ ผมก็รู้สึกเข้าอกเข้าใจหัวอกของป๊าเพราะผมเองก็ไม่ได้ต่างกัน ถึงตอนนี้บ้านของเราจะไม่ได้ร่ำรวยมากมาย แต่พวกเราลูก ๆ ก็ไม่เคยรู้จักคำว่ายากลำบากมาก่อน อยู่กันแบบพอมีพอกิน
ยิ่งม๊าปรามพวกเราตั้งแต่เล็กว่าอย่าเห่อเหิม อย่าอยากได้ของที่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ทำตัวให้ติดดิน ทำชีวิตให้ง่าย ๆ พร้อมกับยกตัวอย่าง อาม่าคนหนึ่งซึ่งอยู่ในซอยบ้านเรา บ้านของแกเป็นบ้านเก่า ๆ ไม่ถึงกับโทรมแต่ก็ไม่ได้สวยสง่า แต่มองดูก็พอจะรู้ว่าอดีตน่าจะเคยเฟื่องฟูมากทีเดียว
แต่ในวันหนึ่งที่แกเสียชีวิต ปรากฏว่าชาวบ้านเม้ากันจะตายว่าแกมีมรดกให้ลูกหลานแย่งกันมูลค่าเป็นร้อย ๆ ล้านบาทเชียวนะ ผมอดจะทึ่งไม่ได้ เพราะเห็นแกก็ใส่เสื้อผ้าแสนธรรมดา สร้อยทองคำเส้นเล็ก ๆ ที่เก่าคร่ำ ดูเหมือนจะใส่เพื่อเป็นที่ระลึก ผมเผ้าก็ปล่อยให้มันขาวไปตัดผมก็ไปร้านตัดผมเล็ก ๆ ในซอยมันนี่ล่ะ อย่างนี้สินะที่เขาเรียกว่า ผ้าขี้ริ้วห่อทอง
เอ๊ากลับมาที่ เมนูไข่หวานข้าวหมาก ที่พวกเราแอบตั้งชื่อมัน ซึ่งจะได้กินตอนมีคนป่วย แต่อีกเมนูที่จะได้กิน ถ้าป๊าครึ้มใจและผมไปลองถามใคร ๆ ต่างก็ส่ายหน้าแถมทำหน้างง ๆ ว่ามันมีเมนูนี้ในโลกด้วยหรือ นั่นก็คือ ต้มยำ
แต่อย่าเพิ่งทำหน้าสงสัยกับอีแค่ต้มยำใคร ๆ เขาก็ทำกัน แต่ผมรับรองได้ว่าต้มยำของป๊าไม่เหมือนใคร ๆ แน่ ๆ ถามป๊าดูป๊าเล่าว่ามันเป็นต้มยำแบบโบราณ ต้มยำไอ้แบบที่ทำกินกันปัจจุบัน เป็นแบบสมัยใหม่คนเก่าคนแก่ไม่กินเด็ดขาด เพราะใส่นมเข้าไปด้วย ป๊าว่าคนสมัยก่อน กินนมกันไม่เป็น เพราะเหม็นนมเหม็นเนย แต่ป๊าเด็กสมัยใหม่เลยกินเป็น ป๊าเล่าอย่างขำ ๆ ว่าบรรดาคนสมัยก่อนอย่าหวังว่าจะยอมกินนมเลยยิ่งเป็นคนจีนด้วยล่ะ เหมือนเป็นของแสลง
ต้มยำของป๊า แน่นอนว่าต้องเป็นต้มยำทะเล เพราะความที่เป็นลูกน้ำเค็มนั่นเอง
เริ่มด้วยนำน้ำซุปตั้งหม้อไฟให้เดือด ใส่ตะไคร้ทุบเป็นท่อน ๆ แล้วใส่ข้าวสารลงไปสักหยิบมือ คราวนี้ก็ต้มจนข้าวสุก ถึงจะตักตะไคร้ออก น้ำที่เดือดจัดนั้น เราก็ยังคงทิ้งให้มันเดือดพล่าน เนื้อสัตว์ประดามีอะไรที่หามาได้ก็ประเดใส่มันเข้าไป
เนื้อปลาซึ่งป๊ามักจะใช้ปลาเก๋า ปลาหมึกที่บั้งแล้วอย่างสวยงาม เราใช้ปลาหมึกกล้วยตัวโต ๆ หรือไม่ก็ใช้ปลาหมึกตัวเล็ก ๆ ไปเลยสุดแต่จะได้จากท้องตลาด กุ้งอีกจำนวนมากซึ่งแกะเปลือกให้เรียบร้อย พอเนื้อสัตว์ที่ใส่ไปสุกดีก็พักไว้
คราวนี้ก็ผสมน้ำกระเทียมดอง น้ำปลา น้ำตาลโตนดอีกนิดหน่อย น้ำมะนาวและน้ำพริกเผา เอามาคนให้เข้ากัน แล้วก็ใส่ลงไปในน้ำซุป ชิมรสให้จัดจ้านและกลมกล่อม
จากนั้นก็เตรียมมะม่วงดิบเปรี้ยว ๆ ที่สับเป็นเส้น ๆ สมัยก่อนป๊าจะหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วเอามาซอยจนเป็นฝอย แต่สมัยนี้ขี้เกียจ ใช้ที่ขูดเส้นมะละกอซะเลยแต่เลือกรูเล็ก ๆ ถี่ ๆ สักหน่อยเท่านั้น ของอย่างนี้มันก็ต้องมีประยุกต์กันบ้าง
เอากระเทียมดองมาหั่นขวาง ตักเนื้อปลา กุ้ง และปลาหมึก ราดด้วยน้ำต้มยำให้พอดี โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวจำนวนมาก มีข้าวก็หมดหม้อหมดไห ตอนเด็ก ๆ กินกันไปปาดเหงื่อกันไป เพราะต้องกินทั้งตอนร้อน ๆ ต้มยำของป๊าจะมีน้ำข้นนิด ๆ เพราะใส่ข้าวสารลงไปต้มด้วยนั่นเอง
นังธารเคยตักไปให้ผัวกับแม่ผัวของมันกิน เขาบอกว่ารสคล้าย ๆ ต้มส้ม แต่บ้านเราเรียกว่าต้มยำกันจนติดปาก เข้าทำนองกุหลาบถึงชื่ออื่น แต่ก็หอมระรื่นอยู่เหมือนกัน
ที่เล่าเรื่องต้มยำของป๊านี่ก็เพราะผมกำลังนั่งโซ้ยมันอยู่นี่เอง ป๊าทำไว้ให้ตั้งแต่เย็น แต่ผมมานั่งกินเอาตอนสองทุ่มเพราะเพิ่งเดินทางกลับมาจากไปออกงานที่โคราช ทั้ง ๆ ที่อาทิตย์ก่อน ผมยังไปสูดอากาศอยู่ที่เชียงใหม่แท้ ๆ
ชีวิตของผมตอนนี้เหมือนนกขมิ้น ค่ำไหนนอนนั่น ดูเหมือนชีวิตจะมีแต่การทำงานและการเดินทาง ย่างเข้าปีที่สอง งานที่เคยคิดว่าสนุก พอเจออะไรซ้ำ ๆ เดิม ๆ ไม่มีอะไรให้รู้สึกแปลกใหม่หรือท้าทาย ผมก็รู้สึกเหมือนชีวิตของผมมันคล้าย ๆ ตุ๊กตาไขลาน
ที่เคยคิดว่าผมสนุกกับงานมาตอนนี้มันชักจะไม่ค่อยสนุกเสียแล้ว เหมือนใช้ชีวิตไปวัน ๆ และแอบรู้สึกว่ายิ่งวันจะยิ่งแย่ลงทีละเล็กทีละน้อยเสียด้วย
เรื่องน่ะมันเริ่มจากการกลับมาของคุณต้น ลูกชายเจ้าของบริษัทที่มารับตำแหน่งซีอีโออย่างสมบูรณ์ ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น บรรดาเซลล์เก่าแก่ ก็ค่อย ๆ ถูกบีบ หรือจะเรียกว่าถูกเออรี่รีไทด์กันเป็นว่าเล่น
คนเก่าถูกผลักออกไป พร้อมกับคนใหม่ที่เข้ามาคือเฮียโก ผู้มารับตำแหน่ง ผู้จัดการแผนกขาย และพี่อังก็ต้องไปอยู่อันเดอร์เฮียโกซะด้วย ดูเหมือนบทบาทความสำคัญของพี่อังจะลดลง เป็นแค่ซับพอร์ทแผนกขายเท่านั้น ลูกกระจ๊อกสะเก็ดอย่างพวกผมก็ดูเหมือนจะกลายเป็นส่วนเกินอย่างไรก็ไม่รู้
นังจอยก็ก่อเรื่อง ก็เหตุเพราะไอ้การชอบเบี้ยวงานอยู่ทุกบ่อย ในที่สุดพี่อังก็ขาดความอดทน นังจอยก็เลยมีอันต้องถูกเชิญให้ออก ระเห็ดไปทำงานที่บริษัทอื่น หมดเคราะห์หมดโศกไป แต่น่าจะเป็นหมดเคราะห์ของบริษัทเสียละมากกว่า
ส่วนอีพี่ชีพ ก็เหมือนกัน ทำคดีความร้ายแรง คล้าย ๆ กับจะทุจริต แต่ไม่ใช่ทุจริตเรื่องเงินทอง แต่เป็นทุจริตโดยการแอบเอารถบริษัทไปรับส่งกิ๊ก เจ้ากรรมที่เจ้าตัวไม่รู้ว่ารถของบริษัทน่ะ มันติดจีพีเอส วันดีคืนร้ายก็โดนจับได้ แถมคาหนังคาเขาเสียด้วย
ดีเท่าไรที่เขาไม่ลากไปเข้าตะราง แต่ถึงอย่างนั้นอีพี่ชีพก็เสียเครดิตไปแล้ว ทนตากหน้าจนได้โบนัส (โดนหักเหลือไม่กี่สตางค์) อีพี่ชีพก็ลาออกไปขับแท็กซี่ สบายใจเฉิบ เหลือผมกับหม่อมพี่เจี๊ยบสองคน และมีเด็กใหม่เข้ามาแทนอีกสองคนซึ่งมันเด็กกว่าผมมาก ๆ ก็นั่นเด็กจบใหม่ ส่วนผมจบมาหลายปีดีดัก มีความต่างทางเจนเนอเรชั่นบาง ๆ ที่ทำให้คุยกันแล้วไม่ค่อยเข้าใจ
ฝ่ายแผนกอื่นก็คือแผนกช่างผม พี่มนัสก็ลาออกไป จริง ๆ ก็มีเรื่องงอนกับพี่อังนั่นแหละ แต่แกก็ไปเปิดร้านทำผมของแกสบายใจเฉิบอีกเหมือนกัน ผมเลยคิดว่าที่ผมไม่ค่อยสนุกกับงานในช่วงหลัง ๆ ก็เพราะเพื่อนร่วมงานเก่า ๆ เริ่มพลัดพลายหายสูญทีละคนสองคน
แต่คนหนึ่งที่ไม่มีวันจะลาออกง่าย ๆ ก็คือหม่อมพี่เจี๊ยบ
"กูติดหนี้เฮียโหงวตั้งหลายหมื่น ออกไม่ได้ร๊อกมึง แล้วกูก็แก่จนหัวหงอกแล้ว บริษัทไหนเขาจะรับทำงานอีกวะ" พี่เจี๊ยบว่าพร้อมกับถอนหายใจเฮือก
พี่เจี๊ยบแกยืมเงินบริษัท เอาไปส่งลูกเรียนจนลูกสาวคนโตเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ส่วนลูกสาวคนเล็ก ก็กำลังเข้ามัธยมปลาย ความที่เป็นคนเก่าคนแก่ เฮียโหงวก็เลยให้ยืมเงิน โดยหักจากเงินเดือนทุกเดือน ๆ โดยไม่คิดดอกเบี้ยซะด้วย ตาพันก็ขับรถส่งของปุเลง ๆ มีเงินแค่พอเลี้ยงตัว ไหนจะต้องส่งเงินให้พ่อกับแม่แล้วก็ลูกของแกอีก หม่อมเจี๊ยบก็เลยต้องรับหน้าที่ส่งเสียลูกโดยลำพัง คิดแล้วก็เหนื่อยแทน
ผมรู้สึกว่าช่วงนี้ผมนิ่งขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นเพราะความเบื่อจนวันหนึ่งพี่อังก็เรียกผมเข้าไปคุย
"อีธง มึงอยากลองไปทำงานกับพี่หยองมั๊ย?" พี่อังถามซึ่งผมก็ตอบตกลงโดยแทบไม่ต้องคิด
พี่หยองนั้นเป็นคุณป้าที่ทำงานมานานแสนนาน หน้าที่ของแกคือดูแล พนักงานขายของบริษัทเรา ทั้งประเทศไทย และตำแหน่งที่พี่อังเสนอ ผมก็จะมีหน้าที่ดูแลพนักงานขายในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลทั้งหมด
มันต้องปรับตัวหน่อย แต่ผมซึ่งตอนนี้ทั้งคุณวุฒิ และวัยวุฒิ น่าจะรับตำแหน่งนี้โดยไม่ยาก ผมเคยนึกถึงตัวเองตอนที่ทำงานบริษัทเก่า ๆ ตอนนั้นไฟแรง ทำงานสนุกลืมตัวลืมตาย และคิดว่าเราทำงานดีมีแววจะได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ไหง พอโปรโมตตำแหน่ง คนอื่นกลับได้ไปเสียฉิบ
จริง ๆ หัวหน้าเขาก็ถามผมแล้วล่ะว่าผมอยากจะลองรับตำแหน่งนี้ไหม แต่ผมดันปากดีบอกว่าไม่เอา ทั้ง ๆ ที่ในใจของผมน่ะอยากลองและคิดว่าผมทำได้และต้องดีเสียด้วย ผมแค่อยากให้เขาตื๊ออีกสักนิด แต่ในเมื่อคำตอบของผมคือไม่ เขาก็เลยยกให้คนอื่นไปเลย
ลองปรึกษากับพี่เจี๊ยบและคิดหวั่นใจหน่อย ๆ แต่หม่อมพี่ก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง
"มึงลองดูก่อนอีผี ถ้าเจ๊อังเขาถามมึง ก็แสดงว่าเขาเห็นว่ามึงน่าจะมีศักยภาพที่จะทำได้ ก็ลองดูสักตั้งสิวะ" พี่เจี๊ยบพูดขณะที่เรานั่งกินข้าวกันสองคน
การเริ่มงานใหม่ของผมจะว่าสนุกก็สนุก จะว่าเหนื่อยก็เหนื่อย การเป็นหัวหน้าคนไม่ใช่เรื่องยาก แต่ผมที่เคยอยู่ในตำแหน่งเดียวกับเขามาก่อน ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา แล้วก็พูดกับลูกน้องให้มองในมุมของผมบ้างเช่นการจะขอลาหยุด
ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นปัญหาเล็ก ๆ แต่ลองได้เริ่มมีการเมืองเข้ามาแล้ว ปัญหาเล็ก ๆ ก็มักจะลุกลามใหญ่โต ผมก็ได้แต่พยายามตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด
ความน่าเบื่ออีกอย่างคือ จากที่เคยเดินทางไปทั่วไทย ตอนนี้เป็นพนักงานออฟฟิศ ทำงานตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ วันเสาร์อาทิตย์ก็หยุดไม่มีอะไรจะทำ จะไปเที่ยวก็ร้อนแล้วก็ไม่รู้จะไปไหน ผมไม่ใช่คนเพื่อนเยอะ พออยู่บ้านนาน ๆ ก็เซ็งซะอีกเพราะถ้าใครอยู่บ้านก็เลือกจะงุดอยู่แต่ในห้องของตัวเอง หรือไม่ก็ออกไปข้างนอกกัน
จนมีเที่ยงวันหนึ่งขณะที่กำลังจะกินข้าวคนเดียว โชคดีที่เจอคุณอ้วนแผนกรีเสิร์ช ซึ่งเธอซื้อกับข้าวมานั่งกินที่ออฟฟิศด้วย ก็เลยได้คุยกันสนุกใหญ่เลย
เธอเล่าว่า เพราะความอยากได้ข้อมูลเชิงลึก เธอจึงต้องรับบทสายสืบกรีนแมมบ้า
"ยังไงคะคุณ?" ผมถามด้วยความสงสัย เพราะถ้าเธอจะเป็นสายสืบ จากหุ่นของเธอน่าจะเป็นงูเหลือมมากกว่า
"อ้วนไปสมัครเรียนทำผม ที่กทม." เธอเกริ่น แล้วก็อธิบายว่าเธอไปสมัครเรียน เพื่อจะได้ใช้คอนเน็กชั่นไปทำรีเสริ์ชกับช่างผมมือใหม่ และมือเก่า
"น่าสนุก" ผมพูดพร้อมกับยิ้ม ๆ ฟังเธอเล่าก็คิดอยากจะลองเรียนบ้างเหมือนกัน แต่ผมซึ่งคลุกคลีอยู่กับวงการซาลอนมานาน ชักจะเบื่อ ๆ กับอะไรที่มันเทคนิควุ่นวายเสียแล้ว ผมก็เลยอยากจะลองเรียนตัดผมชายซึ่งใช้แค่ปัตตาเลี่ยนเป็นหลัก คิดซะว่าได้ฆ่าเวลา เรียนก็แค่ครึ่งวันเท่านั้น
เรียนสายอาชีพนี่ก็ดี เรียนแค่เวลาว่างเสาร์กับอาทิตย์ ยิ่งบริษัทของผม เป็นบริษัทขายพวกผลิตภัณฑ์เสริมสวยอยู่แล้ว ผมก็ซื้อมันที่หน้าร้านนี่แหละ ได้สิทธิพนักงานลดตั้ง 20% เป็นอย่างน้อย
เริ่มแรกของการเรียนตัดผมชาย หรือที่เขาเรียกว่าช่างบาร์เบอร์ ก็ต้องหัดไถขวด ซึ่งผมก็อดจะถามตัวเองไม่ได้ว่าทำไปทำไมวะ แต่เขาให้ทำก็ทำ ๆ เล่น ๆ ไปตามเรื่อง ครูแกบอกว่าฝึกให้มือนิ่งคือไถขวดจนชิดแต่ชวดจะไม่ขยับไปมาเลย
จากนั้นก็เริ่มลงมือจริงกันล่ะ ครูพาพวกเราไปออกหน่วยตัดผมฟรี ซึ่งง่ายที่สุดก็คือที่โรงเรียน หรือตามชุมชนต่าง ๆ ตัดขาวสามด้าน ดูไม่ใช่เรื่องยาก แต่อีตรงทำอีส่วนต่อระหว่างขาวกับผมตรงกลางหัวนี่สิ ต้องใช้ฝีมือสักหน่อย
"อย่าเพิ่งใช้ทางลัดจ้า ฝึกมือให้ชำนาญ" ครูสอนตัดผมติงพวกเรา เพราะเดี๋ยวนี้ปัตตาเลี่ยนมักจะแถมฟันรองมาด้วย แต่พวกเราต้องตัดโดยใช้แค่ปัตตาเลี่ยน และหวีเท่านั้น หวีใหญ่กับหวีเล็ก ซึ่งบางจ๋อย เก็บเนียนที่ขอบผม ยากจนผมเกือบท้อ แต่ของอย่างนี้มันคือการใช้ทักษะ ทำบ่อย ๆ ถึงจะชำนาญ
ต้องขอบคุณโลกวิทยาการ ที่มีคลิปสอนทำผมให้เราได้ศึกษา ดูเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็ว่ากันไป และป๊ากับไอ้ธรรม ก็มักจะเป็นหนูลองยาของผมเสมอ ๆ
"ไม่ใช่ตัดป๊าแหว่งนาไอ้ธง" ป๊าพูดพร้อมทำหน้าเกรง ๆ
"โธ่ไม่แหว่งหรอกป๊า ธงใช้ฟันรองน่า" ผมตอบพร้อมกับทำหน้าเอือมระอา ไม่ไว้ใจกันเลย
"กูยังใช้หูนะ อย่าเสือกทำหูกูแหว่งเหมือนหกเขยนะโว้ย" ไอ้ธรรมโวยวายบ้าง
แต่สุดท้ายทั้งสองคนก็ดูจะพึงพอใจ รวมถึงผมเองด้วยก็รู้สึกว่าเราก็มีฝีมือเหมือนกันแฮะ
วันดีคืนร้ายนังธาร ยายหนูดีและผัวมันมาเยี่ยมอากงอาม่า ผมก็จัดการเอาพวกมันเป็นหัวหุ่นเสียเลย
"เฮียกูไม่ตัด กูจะไว้ผมยาว" นังธารโวยวาย ผมละอยากจะแหมให้ยาวถึงดาวอังคาร นังธารมันเป็นทอมบอยที่มีผัว ไว้ผมสั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พอผมจะตัดผมให้มันสักหน่อย ดัดจริตจะไว้ผมยาวขึ้นมาเชียว
ส่วนผัวนังธารก็นั่งหน้าจ๋อย ๆ เพราะขัดเมียมันไม่ได้ มอง ๆ ไป ผมว่าทรงผมใหม่ของผัวนังธารทำให้มันหล่อขึ้นเป็นกองปัดโธ่
ส่วนยายหนูดีก็ไม่ยากเย็นอะไร หน้าม้าเต่อเป็นเอกลักษณ์เหมือนมารูโกะ และผมที่เคยไว้เกือบยาวก็โดนตัดจนสั้นเลยติ่งหูแบบเดียวกับเด็กประถมทั่วไป ยายหนูดีหน้าแป้นฟันโตเป็นฟันกระต่าย ถูกอกถูกใจ แถมบอกว่าแปะตัดผมให้แล้วสนุกดี
ก็เพราะผมใช้ปัตตาเลี่ยนช่วยในการตัดผมด้วย มันมีเทคนิคอยู่เหมือนกัน คือให้เด็กหญิงก้มหน้า กะเอาให้เหมาะ ๆ จรดฟันปัตตาเลี่ยนลงไปเพื่อทำฐาน พอเงยหน้าขึ้นมา ก็จะได้ฐานของทรงผม คราวนี้ก็ค่อย ๆ ใช้ปัตตาเลี่ยนตัดไปเรื่อย ๆ จนรอบหัว ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย แต่สุดท้ายก็ออกมาเป็นทรงนักเรียนหญิงสมจิตสมใจ
ผัวนังธารขอกลับบ้านไปอาบน้ำ ส่วนยายหนูดี ก็โดนล้างเนื้อล้างตัวที่บ้านนี้แหละ เพราะมีเสื้อผ้าให้ผลัดเปลี่ยนอยู่แล้ว จนตอนเย็นอยู่กันครบครัน ป๊าซึ่งนึกครึ้มอะไรสักอย่าง วุ่นวายอยู่ในครัวกับนังธาร ส่วนม๊านั่งดูทีวีโดยมีไอ้ธรรมนั่งตัดเล็บตีนให้อย่างบรรจง ตัดเสร็จก็ใช้ตะไบค่อย ๆ ขัดจนไม่มีคม สองแม่ลูกเขารักสวยรักงามกันอย่างนี้แหละ ผมแอบค่อนขอดในใจ
ปกติ มื้อเย็นที่บ้านของผมจะไม่ค่อยกินอะไรกันอย่างที่เคยเล่า แต่ในเมื่อป๊านึกครึ้มทำต้มยำสูตรโบราณ เราก็ต้องฉลองกันสักหน่อย ยายหนูดีออกจะชอบใจเพราะชอบกินของทะเล พวกเราตักใส่ถ้วยขนาดย่อม ๆ ซดไปดูทีวีไป พูดคุยกันไป จนชักจะเย็นย่ำ
รู้สึกว่าได้เวลาต้องลาจาก สองผัวเมียกับหลานตัวน้อยก็พากันเดินกลับไปยังบ้านที่ปากซอย ส่วนพวกผมก็ยังนั่งกันอยู่ที่เดิม ม๊านอนหนุนตักป๊า ตามองมือถือดูคลิปทำอาหารที่ผมส่งไปให้ดู และกระดิกตีนไปมาอย่างเพลิดเพลิน ป๊านั่งดูข่าวช่วงเย็น
ไอ้ธรรมจะเล่นอะไรในมือถือผมก็ไม่รู้เพราะมันนั่งอยู่อีกฟาก แต่ผมนั่งดูคลิปสอนตัดผมไปเรื่อย ๆ ดูไปก็คิดไปว่าถ้าตัดเองจะตัดทรงแบบไหน ผมนายแบบในคลิป เขาเลือกคนหล่อ ๆ โครงกะโหลกสวย ๆ เส้นผมเล็กละเอียด มันก็ดูง่ายไปหมด
แต่ชีวิตจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น หัวเบี้ยวบ้างละ ผมแข็งอย่างกับแปรงทองเหลืองบ้างละ หรือบางคนก็ผมบ๊างบางจนหวั่นใจ คิดแล้วก็ท้อใจนิด ๆ จนเลิกดูไปก่อน ผมคงไม่ได้จะเอาดีทางช่างตัดผมหรอกนะ แค่อยากลองเรียนให้มันสนุก ๆ ไปอย่างนั้นเอง
กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ม๊าก็หันมาถามเรื่องเฮียตี๋ ผมก็เล่าให้ม๊าฟังว่า ตอนนี้เฮียตี๋ไม่ได้ขับรถส่งเอกสารอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว แกคล้าย ๆ ผมนี่แหละที่ได้เลื่อนตำแหน่ง ผมได้เลื่อนมาเป็นหัวหน้าพนักงานขายเขตกรุงเทพฯ และเฮียตี๋ก็ได้เลื่อนตำแหน่งจากพนักงานส่งเอกสาร กลายเป็นคนขับรถส่งของ
"เออดี ๆ เมื่อเช้าม๊าไปเจออาอึ้มร้านโจ๊ก แกบ่นใหญ่ว่าเดี๋ยวนี้ลูกชายทำงานหนักขึ้น"
"ตำแหน่งสูงขึ้นภาระมันก็มากขึ้นเป็นปกติแหละม๊า" ผมพูดแล้วก็นึกถึงตัวเอง งานของผมตอนนี้มันสนุก แต่ผมชักจะตงิด ๆ ในว่าในอีกไม่ช้า ความสนุกมันชักจะเริ่มลดลง เพราะอำนาจการเมืองในบริษัท เริ่มเข้มข้นขึ้นทุกที อย่ากระนั้นเลย ผมเดินออกมาหน้าบ้าน แล้วก็โทรศัพท์ไปคุยกับหม่อมพี่เจี๊ยบดีกว่า เพราะอะไร ๆ มันไม่เที่ยงแท้แน่นอน ผมที่เคยต๊อกต๋อยในวันก่อนยังมาเป็นหัวหน้าคนได้เลย