ก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน

แปะจะเป็นอินฟลูฯ - 9 รสชาติของการเติบโต โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,เล่าประสบการณ์,ยุคปัจจุบัน,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

แปะจะเป็นอินฟลูฯ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,เล่าประสบการณ์,ยุคปัจจุบัน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

แปะจะเป็นอินฟลูฯ โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ



โลกยุคนี้ มันเป็นยุคของ อินฟลูเอ็นเซอร์ นั่นก็คือบุคคลที่มีผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย


อินฟลูเอ็นเซอร์ จะมีผู้ติดตามมากมายซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีส่วนร่วมในเนื้อหาที่พวกเขาพูดเป็นประจำ อินฟลูฯ มีมากมายหลายหมวด ไม่ว่าจะเป็นหมวดการท่องเที่ยว สายทำอาหาร สายวิชาการ สายบันเทิง สายสุขภาพ 


แต่ผมจะเป็นอินฟลูฯ สายไหนกันดีนะในเมื่อตัวผมเองก็ไม่เก่งอะไรสักอย่าง....เห้อ

สารบัญ

แปะจะเป็นอินฟลูฯ-1 ลูกสาวท่านฑูต,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-2 Good Day,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-3 เพื่อนร่วมงาน,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-4 เพื่อนร่วมงาน 2,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-5 เพื่อนร่วมงาน 3,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-6 หวานเป็นลม,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-7 ขมเป็นยา,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-8 ไม่เที่ยง,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-9 รสชาติของการเติบโต,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-10 มูฟออน

เนื้อหา

9 รสชาติของการเติบโต

โดย Chavaroj




บ้านของผมแม้ว่าจะมีเชื้อจีน ก็ดูจากการเรียกพ่อแม่ก็ยังเรียกว่าป๊ากับม๊าเลย แต่เข้ามาในบ้านจริง ๆ ก็คือคนไทยธรรมดา ๆ เหมือนคนทั่วไปนั่นแหละ แถมป๊าเองยังพูดภาษาจีนไม่ได้สักคำด้วยซ้ำ


"ตอนเด็ก ๆ น่ะป๊าฟังรู้เรื่องนะ แต่ตอนนี้ลืมหมดแล้ว" ป๊าเคยเล่าตอนพวกเราเด็ก ๆ และยังเป็นพวกเจ้าปัญหาช่างซักช่างถาม นึกแล้วก็สงสารป๊า เพราะยายหนูดีที่ตอนนี้เข้าเรียนแค่อนุบาล ก็ยังถามคำถามอะไรร้อยแปดพันอย่าง ซึ่งบางคำถามก็ไม่รู้ไปสรรหามาจากไหน 


แล้วป๊าซึ่งต้องเลี้ยงลูกเล็ก ๆ วัยใกล้ ๆ กันตั้งสามคนแล้วแต่ละคนก็แย่งชิงความรักกันด้วยการถามป๊าและม๊าโน่นนี่ เรียกว่าถามคนนึงพอป๊าตอบยังไม่ทันจะเสร็จ อีกคนก็แย่งถามคำถามกันเสียแล้ว น่าปวดหัวไม่น้อย


แต่ป๊าก็สนุก และตอบคำถามพวกเราเสมอ ตอบได้บ้างไม่ได้บ้าง ถ้ารำคาญหนัก ๆ เข้าป๊าก็ไล่ให้ไปถามม๊าเอา ซึ่งพวกเราไม่ค่อยถามม๊าหรอก เพราะม๊าดุและชอบตีเจ็บ ๆ ต้นมะยมหลังบ้าน ซึ่งไม่ใช่ของบ้านเราซะด้วย มันยื่นกิ่งมาทางบ้านเรา ถูกม๊าเด็ดก้านมะยมเอามาริดใบออก แล้วก็ตีน่องตีมือเอาเจ็บ ๆ คัน ๆ ตอนพวกเรายังเด็กและซุกซน น่าใจหายไอ้มะยมต้นนั้นวันดีคืนดีก็โดนตัดทิ้งไปซะแล้ว


ถึงพวกเราสามพี่น้องจะเถียงกันบ่อย ๆ แต่พอเอาเข้าจริง ๆ พวกเราสามคนก็รักกันมาก ๆ เนื่องจากตอนเด็ก ๆ ซอยบ้านเราไม่ค่อยมีเด็กสักกี่คน และเด็กที่มีก็ดูไม่ค่อยน่าเป็นเพื่อนเล่นสักเท่าไร ถ้าจะพอมีก็นับได้สองสามคนเท่านั้นที่พอจะเล่นหัวกันได้โดยมีพวกผมสามพี่น้องเป็นหัวโจก


ผัวนังธารนั้นหนึ่งคนล่ะ มันชื่อไอ้เซ้ง สมัยเด็ก ๆ ตัวอ้วน ๆ ผิวขาวจัด เวลาวิ่งเล่นไอ้เซ้งจะเหนื่อยจนหน้าแดงแจ๋ ความอ้วนงุ่มง่ามก็เลยทำให้ไอ้เซ้งค่อนข้างจะเป็นลูกไล่ของเราโดยเฉพาะไอ้ธาร ซึ่งเจ้ากี้เจ้าการ ชอบใช้ให้ไอ้เซ้งทำโน่นทำนี่โดยเฉพาะเรื่องความสะอาด


"ก็บ้านเรามันค้าขายอุปกรณ์ก่อสร้าง" ไอ้เซ้งตอบทำหน้าม่อย เมื่อไอ้ธารน้องสาวของผมซักไซ้ว่าทำไมเสื้อที่ไอ้เซ้งใส่มันถึงมีรอยเปื้อนสารพัด รอยเปื้อนตั้งแต่ปื้นสีเทา ๆ ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากแป๊บเหล็ก หรือรอยสีน้ำตาล ๆ จากสนิม และเดาเอาว่า ป๊ากับม๊าไอ้เซ้งก็ไม่ค่อยใส่ใจความสะอาดของเสื้อผ้าลูกชายคนเดียวเสียด้วย ผมเคยเห็นป๊ามันใส่เสื้อเชิ้ตลายตา ๆ กระดุมไม่ใส่ กับกางเกงขาสั้นอย่างที่คนจีนชอบใส่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่หน้าบ้าน


ส่วนคนทำหน้าที่ขายของก็คือแม่ของมันที่เดินเร็ว ๆ ปรู๊ดปร๊าด เสียงดัง หยิบของให้ลูกค้า หรือสั่งให้คนงานแบกของออกมาเสียงดังอึงคะนึง ผิดกับลูกชายที่เซื่อง ๆ และดูช้า ๆ ไม่ค่อยทันคน


เพื่อนวัยเด็กอีกคนที่ผมจำได้คือไอ้อาบีน มันเป็นมุสลิม จึงไม่กินหมู แต่ไอ้เรื่องศาสนาไม่สามารถทำให้เราเป็นเพื่อนกันไม่ได้ เพียงแต่วันดีคืนดี ไอ้อาบีนหายไปหลายวัน จนได้เจอกันอีกที มันก็ยิ้มแหย ๆ และกระซิบบอกว่ามันเพิ่งไปทำพิธีสุหนัตมา


"ขอดูหน่อย" ไอ้ธรรมซึ่งเป็นคนทะลึ่ง พูด และไออาบีนก็ยอมเปิดกระจู๋อันน้อย ๆ ที่ยังมีรอยแผลให้พวกเราดูจริง ๆ ซะด้วยยกเว้นนังธารที่เราห้ามไม่ให้มันดูเพราะมันเป็นผู้หญิง


"ไอ้บีนอย่างกขอดูด้วย" ไอ้ธารที่แสนทโมน พูดดัง ๆ และพยายามยื่นหน้ามาดู 


"ไอ้ธารไม่ได้ มึงเป็นผู้หญิง มึงจะมาดูไอ้จู๋ผู้ชายอย่างนี้ไม่ได้" ผมโวยวาย


"ใช่ ๆ" ไอ้เซ้งเสริมและอายจนหน้าแดง


"แหม เดี๋ยวโตไปมีผัว กูก็ได้เห็นละวะ ใหญ่กว่าของพวกมึงด้วยแหละ" นังน้องสาวของผมมันพูด และถ้าแม่อยู่แถว ๆ นั้นและเกิดได้ยินว่าลูกสาวสุดสวาทพูดจาแบบนี้ ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะได้รับประทานไม้มะยมเป็นแน่นอน


จนโตมาไอ้อาบีนก็ย้ายไปไหนก็สุดจะรู้ เหลือแค่ไอ้เซ้งที่ถูกไอ้ธารล่อลวงจนได้มาเป็นผัว พร้อมกับการโตขึ้นของพวกเราที่ไปเจอสังคมใหม่ ๆ คนใหม่ ๆ โดยเฉพาะที่โรงเรียน


ผมก็คิดอะไรไปเพ้อเจ้อ เพราะคืนนี้ ยายหนูดีหลานสาวตัวแสบสุดที่รัก ขอมานอนค้างกับอาแปะทั้งสองคน ผมก็เลยได้มีอันต้องย้ายห้องนอนมานอนที่ชั้นบนที่ห้องนอนของไอ้ธรรม เตียงนอนเดี่ยวถูกยกให้หลานสาว ซึ่งนอนเค้เก้ โดยมีอาแปะหุ่นล่ำอย่างกะหมี ถักผมเปียยุ่ง ๆ ให้อย่างไม่ค่อยเต็มใจ


"แปะธง เล่านิทานให้หนูฟังหน่อย" นังหนูดีอ้อน และผมก็เล่าเรื่องนางพญางูขาวให้หลานสาวตัวน้อยฟัง สาเหตุที่เล่านิทานเรื่องนี้ก็เพราะที่ศาลเจ้าในตลาด จะปิดซอยเล็ก ๆ แล้วก็จะเล่นงิ้วถวายเจ้าแม่ ได้ยินเขาเล่ามาว่าปีนี้จะเล่นเรื่องนางพญางูขาวพอดี ก็เลยมีอันต้องเล่าเรื่องเก่าแก่ให้หลานสาวคนดีฟัง


"สมัยแปะเด็ก ๆ แปะสองคน ม๊าแล้วก็ป๊าของหนูก็ไปดูงิ้วนะ สมัยเด็ก ๆ มันไม่ค่อยมีอะไรดูน่ะ" ผมระลึกถึงความหลัง และนึกถึงหัวใจที่เต้นโครมคราม ตามจังหวะกลอง และเสียงฉาบเสียงซอ ที่เขาร้องคลอกับนักแสดงที่แสดงไปด้วย สมัยเด็ก ๆ น่ะก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไรหรอก รู้แค่ว่ามันสนุกดี คนเยอะแยะ และมีของกินมากมายก็แค่นั้น


จนสามทุ่มนิด ๆ ยายหนูดีหลับไปแล้วแต่ผมกับไอ้ธรรมยังตาสว่างโพลงกันอยู่เลย เราก็เลยคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้กันไปเพลิน ๆ โดยผมบ่นเรื่องงานให้มันฟังเพราะไม่รู้จะไประบายให้ใครฟัง


"หางานใหม่สิวะ" ไอ้ธรรมพูดพร้อมกับเผอิญเห็นเล็บเท้าของผมที่คงจะยาวจนมันอดรนทนไม่ไหว ก็เลยหยิบกรรไกรตัดเล็บแล้วก็กระชากขาของผมให้เลยที่นอนออกมา แล้วมันก็ตัดเล็บเท้าให้ผมเสียเลย พร้อมตะไบเล็บซะด้วย


"มากูตัดให้มึงบ้าง" ผมบอกและทำท่าจะหยิบกรรไกรตัดเล็บจากมือของมันมาทำให้มันบ้างแต่มันก็ปฏิเสธ พร้อมกับดึงมือของผมเพื่อไปตัดเล็บมือเพิ่มด้วย


"นี่มึงยุ่งจนไม่มีเวลาตัดเล็บเลยเหรอ?" ไอ้ธรรมบ่นส่วนผมก็นั่งมองมือของตัวเองที่กำลังถูกกรรไกรตัดจนเกิดเสียงดังแปร๊ะ ๆ 


"ที่มึงไปเรียนทำผมนี่ คิดจะเอามาทำมาหากินไหม?" 


"ไม่รู้สิ" ผมตอบอย่างไม่ลังเล เพราะผมเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าตอนตัดผมมันสนุกดี ผมเคยลองเรียนเสริมสวยแล้ว แต่ไม่ชอบและไม่ถนัดเอาเสียเลย เริ่มมาวันแรกแค่เรียนม้วนแกน ผมก็ทำไม่ทันคนอื่นเสียแล้ว เรียนได้แค่สองวันผมก็บอกศาลากับอาจารย์ 


แต่เรียนตัดผมชายผมก็ไม่ได้ทำได้ดีมากหรอก เรียกว่าทำได้ ไม่ขี้ริ้วแต่ก็ไม่ได้มีพรสวรรค์ ผมมันคนกลาง ๆ ไม่มีอะไรดีเด่นเป็นพิเศษ อย่างเรื่องเรียน ไอ้ธารเสียอีกหัวดี จำแม่น ได้คะแนนเยอะกว่าใคร ส่วนไอ้ธรรมมันชัดเจนตั้งแต่เด็กว่ามันจะเกิดมาเพื่อมาซ่อมทุกอย่างในโลกส่วนผม ก็ไปตามยถากรรมอย่างทุกวันนี้


เฮียโกเริ่มเอาลูกน้องเก่า ๆ จากบริษัทเก่าของแกเข้ามาแทนเซลล์ในบริษัทผมจนแทบไม่เหลือเซลล์ใหม่แล้ว เริ่มจากการบีบทางอ้อม ให้เขตพื้นที่ลดลง ให้ร้านยาก ๆ และบีบเซลล์เก่า ๆ ออกตรง ๆ จนเหลือเซลล์เก่า ๆ แค่สองคนคือเฮียโจ กับเฮียสุชาติ นี่ร่ำ ๆ ว่าเฮียสุชาติก็ทำท่าจะลาออกอีกคนแล้ว


ผมรู้เรื่องจากวันหนึ่งที่เจอเฮียตี๋โดยบังเอิญที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ตอนนี้ผมที่วัน ๆ ก็โผล่หัวเข้ามาออฟฟิศแค่ครึ่งวัน และช่วงบ่ายก็ออกไปตระเวนเยี่ยมลูกน้องและร้านค้าจึงไม่ค่อยรู้ข่าวคราวในบริษัทเท่าไร 


ยิ่งกับหม่อมพี่เจี๊ยบที่ออกทำงานต่างจังหวัดมากขึ้น เรียกว่านาน ๆ ผมจะได้เจอพี่เจี๊ยบสักที 


ข่าวร้ายล่าสุดคือ ท่าทางเฮียโกคงอยากจะบีบพี่หยองหัวหน้าสายตรงของผมอีกคน แต่บังเอิญว่าตำแหน่งของพี่หยอง ยังหาคนมาทำแทนค่อนข้างยาก แต่คนซวยคือผมซึ่งเป็นลูกน้องของพี่หยองน่ะสิ ทำลายเจ้านายไม่ได้ ก็ทำลายลูกน้อง ผมเพิ่งโดนเข้ากับตัว


มันเป็นเรื่องปัญญาอ่อนและโคตรไร้สาระ เรื่องมันมีอยู่ว่า ตอนนี้แผนกของผมและของพี่อังมีอันได้ย้ายทั้งกะบิไปอยู่ชั้นสี่ เพราะเขาจะเอาชั้นสามทั้งชั้นเปลี่ยนเป็นห้องประชุม วันดีคืนร้าย พวกลูกน้องเฮียโกเขาฉลองอะไรกันสักอย่างนี่แหละ เลยสั่งพิซซ่ามากิน ไอ้ผมก็เสือกไปเจอเข้าพอดี เขาก็ชวนกินตามมารยาท แต่ไอ้พิซซ่าน่ะมันมีจำนวนชิ้นซึ่งเขาคำนวนมาแล้วว่ากินกันกี่คน ผมเสือกไปกินของเขาเสีย ก็เลยมีคนหนึ่งที่อดกิน แล้วเขาก็ไปโวยวายหาว่าผมไปแย่งของเขาซะนี่


แผนกผมน่ะ ถ้าชวนก็กินเพราะพี่อังชอบเลี้ยงลูกน้องอยู่แล้ว ผมก็คว้าไอ้พิซซ่าชิ้นนั้นมากินโดยไม่ทันได้คิดอะไร แต่กลายเป็นว่าสองวันต่อมา พี่หยองเรียกผมไปคุยว่าทีหลังของที่เขาซื้อมาอย่าไปกินเลยเชียว ผมถูกมองว่าเป็นไอ้ตะกละ และเรื่องก็ถูกใส่ไคล้ไปจนถึงผมทำสีหน้าอยากกินอย่างออกหน้าออกตา และพี่หยองก็ถูกตำหนิว่าไม่อบรมลูกน้อง เรื่องมันชักจะเลยเถิด


"ทนแม่งไปอีกนิด" ผมบอกกับไอ้ธรรม และบอกกับตัวเองด้วย อย่างน้อย ผมก็ยังโชคดีที่จะโผล่หน้าไปเจอคนที่จ้องแต่จะให้ร้ายผมแค่วันละไม่กี่นาทีเท่านั้น พี่หยองหัวหน้าของผมสิน่าสงสารเพราะต้องทนตากหน้ากับคนหน้าไหว้หลังหลอกทั้งวันเป็นผมคงอกแตกตาย


"ป๊ากับม๊าเลี้ยงดูเรามาอย่างดี ถึงบ้านเราไม่ได้ร่ำรวยอย่างใครเขา แต่พวกเราก็ไม่เคยขาดอะไรนะเว้ย ม๊าคงไม่สบายใจถ้ารู้ว่ามึงทำงานแล้วไม่มีความสุข กูเห็นพักหลัง ๆ มึงนอนเกินเที่ยงคืนทุกวันเลย" ไอ้ธรรมพูดเบา ๆ ขณะตะไบขอบเล็บของผมไม่ให้มีคม


"กูดูเน็ตฟลิกซ์ กูติดเรื่องใหม่ของพัคโบกอมน่ะ" ผมบอก และนึกถึงซีรีส์ที่กำลังดูอย่างติดพัน เรื่องที่พ่อแม่คู่หนึ่งซึ่งยอมทำทุก ๆ อย่างเพื่อลูก ดูกี่ตอนผมร้องไห้ทุกตอนสิน่า และมันก็จริงอย่างที่ไอ้ธรรมบอกผม ป๊าม๊าเลี้ยงผมมาไม่เคยทำให้ผมทุกข์ใจเลย แล้วถ้าผมทุกข์ใจ ป๊ากับม๊าก็จะไม่สบายใจแน่ ๆ ผมเป็นคนเก็บสีหน้าไม่เก่ง และท่าทางคืนนี้จะเป็นแผนของป๊ากับม๊าที่จะใช้นังหนูดีเป็นนกต่อ ให้ผมมานอนกับหลานสาวเพื่อให้ไอ้ธรรมล้วงความลับสินะ


"มึงก็อย่าไปกลัวอะไรมาก ไม่ใช่ไม่มีบ้านไม่มีข้าวกินที่ไหน ค่อย ๆ หางานใหม่ไป ถ้าอยู่แล้วมันเหี้ยนักล่ะก็ออกเถอะ" ไอ้ธรรมพูดและเมื่อมันหันหน้ามามองผม ผมก็ยิ้มแห้ง ๆ ให้มันเป็นคำตอบ


จนเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อตื่นขึ้นมา ผมก็ชวนนังหนูดีและม๊าไปตลาดด้วยกัน เพราะวันนี้เป็นเวรของผมพอดี ยายหนูดีที่ดูดีใจโอเว่อร์ เพราะมีคนคอยตามใจตั้งสองคน ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ อยากกินอะไรนังตัวแสบก็อ้อนขอให้ผมซื้อให้บ้าง ให้อาม่าซื้อให้บ้าง เห็นหลานสาวตัวเองยิ้มอย่างมีความสุขอย่างนี้ ผมก็อดคิดถึงความสุขของตัวเองที่มันเลือนหายไปจากตัวเองได้จนผมเกือบลืมมันไปแล้วว่าผมมีความสุขครั้งสุดท้ายตอนไหน


"อาม่าขา หนูดีอยากกินยำวุ้นเส้น" นังตัวดีอ้อน ก็เอาเป็นว่าวันนี้ม๊าต้องทำยำวุ้นเส้นให้หลานรักและคนในบ้านได้กินกันละ


เช้าวันนี้วันหยุด ม๊าก็จะไม่ทำกับข้าวละนอกจากยำวุ้นเส้นนี่น่ะ แถมนังคนอยากกินก็เข้ามาวุ่นวายในครัว อีกคน


"อาม่าทำกับข้าวเก่ง ม๊าบอกให้หนูดีมาเรียนทำกับข้าวกับอาม่าบ่อย ๆ จะได้เก่ง ๆ ม๊าว่าม๊าทำกับข้าวสู้อาม่าไม่ได้ อ้อ แล้วม๊าก็ยังว่า เสน่ห์ปลายจวักผัวรักจนตายด้วยค่ะ" นังตัวดีเจื้อยแจ้วพูดจาแก่แดดแก่ลม


"ไฮ้ พูดอะไรก็ไม่รู้" ม๊าบ่น อมยิ้ม และส่ายหน้าไปมา ไม่รู้จะว่าแม่หรือด่าลูกมัน นังลูกก็แก่แดด นังแม่ก็สอนอะไรไม่เข้าท่า เด็กแค่นี้จะสอนให้มีลูกมีผัว ม๊าบ่นจนผมกลั้นหัวเราะ


"หนูดีเอาวุ้นเส้นแช่น้ำเลยลูก แช่ให้หมดเลย" ผมค่อย ๆ บอกหลานสาว เจ้าหล่อนแกะวุ้นเส้นออกมาจากซอง แล้วก็ค่อย ๆ หย่อนลงในชามอ่าง จากวุ้นเส้นแข็ง ๆ ก็ค่อย ๆ นิ่มตัวจนเป็นเส้นใส หม้อต้มน้ำจนเดือดรออยู่แล้ว ผมจับมือหลานสาวค่อย ๆ เอาวุ้นเส้นหย่อนลงไปในหม้อ แล้วจึงใช้กระชอนตักออกมาผึ่งจนสะเด็ดน้ำ 


ม๊าเดินมาเด็ดวุ้นเส้นที่ลวกแล้ว พร้อมกับเคี้ยวเพื่อประเมินความสุกที่กำลังพอดี


จากนั้นยายหนูดีก็มีหน้าที่ปอกหอมแดง ส่วนผมก็มีหน้าที่ซอยบาง ๆ แยกเป็นสองส่วนเพื่อเจียว อีกส่วนใช้สด ๆ น้ำมันที่เหลือจากการเจียวหอมและกระเทียมม๊าก็จะใช้มันทอดกุ้งแห้งต่อให้กรอบหอม


ส่วนเนื้อสัตว์วันนี้ม๊าซื้อหมูสามชั้นกับอกไก่มา เรานำมันไปต้มจนสุก ใส่เกลือนิดหน่อย ทิ้งไว้ผึ่งลมให้เริ่มเย็น ซอยหมูสามชั้นออกเป็นเส้น ส่วนอกไก่ฉีกเป็นเส้นเล็ก ๆ ซึ่งดีสำหรับคนกิน แต่น่าเบื่อสำหรับคนฉีก ป๊าชอบกินของทะเล ม๊าก็ต้องเพิ่มเนื้อกุ้งลวก เนื้อปลาหมึกลวกเข้าไปด้วยให้ครบครัน


อีทีนี้ก็ถึงการทำน้ำยำ ใช้พริกเหลืองโขกให้ละเอียด ใส่น้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาล ตามชอบชิมรสให้เสมอกัน ไอ้การชิมนี่ต้องใช้ลิ้นของม๊าเท่านั้น แต่ที่เคยได้ยินมา ม๊าสอนพวกเราว่า น้ำมะนาวสามส่วน น้ำปลาสองส่วน น้ำตาลหนึ่งส่วน ให้หอมและนวลขึ้นก็ใส่น้ำมะนาวดองอีกเล็กน้อย เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรื่องของน้ำยำ


เวลาจะกิน ก็เอามาคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่หอมเจียว กระเทียมเจียว ถั่วลิสงคั่ว กระเทียมดอง คึ่นฉ่าย ผักชี ถ้าของยายหนูดีก็เลี่ยงพริกเสีย แต่ถ้าของพวกเราคนโต ๆ ก็ต้องมีพริกแห้งที่ทอดจนหอมกรอบ เพื่อเพิ่มรสชาติด้วย ตักใส่จานใบโต ๆ วางขนาบด้วยผักสดสารพัดชนิด ผักชีใบเลื่อย ถั่วฝักยาว และผักกะหล่ำเป็นพื้น แต่จะเพิ่มความหอมขึ้นมาอีกก็อย่าลืมสะระแหน่ใบโต ๆ 


แต่ม๊าจะยำใส่ถาดใบโต ๆ และมีจานเล็ก ๆ ให้เราตักไปกินแยก ป๊าใช้ตะเกียบ ม๊านั้นใช้ช้อนกับส้อม ส่วนผมกับไอ้ธรรมใช้ตะเกียบเหมือนป๊าเพราะมันสะดวกดี


"เดี๋ยวเอาไปฝากป๊ากับม๊าของหนูด้วย" ม๊าไม่วายจะกำชับหลาน เพราะเดี๋ยวสาย ๆ ต้องพาหลานไปส่งให้ป๊ามัน และตอนบ่าย ๆ หนูดีก็ต้องไปเรียนพิเศษตามแต่ที่แม่ของมันจะหามาประเคนใส่หัวลูก สมัยผมเด็ก ๆ ไม่เห็นต้องเรียนพิเศษอะไรเลย 


"มองอะไรยะ จะลองกินพริกหรือไง?" ผมถามเมื่อเห็นยายหน้าม้าเต่อ มองพริกแดง ๆ ในถาด


"หนูดีกำลังจะหัดกินเผ็ด" 


"ได้เรอะ ไม่ใช่ร้องจ้าจะกินน้ำให้วุ่นไป" ป๊าไม่วายจะแซวหลานสาว


"ก็ค่อย ๆ ใส่ไงคะ เดี๋ยวหนูดีจะลองผสมแบบมีพริกกับแบบไม่มีพริก" ยายตัวดีว่า แล้วก็ลองตักยำวุ้นเส้นจากถาดมาใส่ชามลายหมีสีเหลืองของเจ้าหล่อน มองหลานที่ทำทีท่ากล้า ๆ กลัว ๆ ผมก็ขำจนนึกเอ็นดู


จนเธอใช้ช้อนส้อมตักวุ้นเส้นที่มีติดพริกแดง ๆ เข้าปากเล็กน้อย เสียงสูดปากซี้ดซ้าด และมือที่หยิบแก้วน้ำมาดื่มอย่างว่องไว ก็ทำเอาพวกเราหัวเราะขำ


"พอทนได้ค่ะ" ยายตัวแสบพูดแก้เก้อ และทำท่าจะตักอีกคำ ผมก็เลยเอ็นดูจนต้องตักเนื้อกุ้งเนื้อปลาหมึกตรงส่วนที่ไม่โดนพริกให้หลานกินเพื่อเพิ่มรสชาติและโปรตีน


สรุปมื้อนี้ ยายหนูดีได้รับคำชมว่าเก่ง ชักจะกินเผ็ดได้มากขึ้น เสร็จมื้อเช้าผมก็เดินจูงมือหลานสาวตัวน้อย โดยอีกมือถือกล่องอาหารกล่องโต ๆ ที่มียำวุ้นเส้นและเครื่องแน่น ๆ ไปฝากแม่ของนังหลานสาวด้วย


ไอ้ธารดีใจทำท่ากุลีกุจอเทยำวุ้นเส้นใส่จาน แม่ผัวกับไอ้เซ้งผัวของมันกินมื้อเช้าพอดี ผมยกมือไหว้แม่ของไอ้เซ้ง และคุยอะไรกับไอ้ธารนิดหน่อย


"โชคดีม๊าเอามาฝาก ไม่งั้นนะไอ้ธงเอ๊ย กูกินข้าวต้มจนกูเบื่อจะตายห่าอยู่แล้ว" นังน้องสาวของผมแอบกระซิบบ่น จนผมยิ้มขำ


"เออกินเยอะ ๆ นี่กูเทพริกแห้งให้มึงเยอะแยะเลย" 


"ขอบใจนะ" นังน้องสาวของผมว่าและเราก็ค่อยล่ำลากัน


ก่อนลาจาก ผมโบกบือบ๊ายบายกับหลานสาว มองร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างที่อัดแน่นเต็มไปด้วยของสารพัดจนวุ่นไม่น่าจะรู้ว่าอะไรอยู่ที่ตรงไหน 


มองไฟที่เปิดสว่างก็จริง แต่มันก็ยังมืด ๆ ทึม ๆ เพราะผนักทั้งสองด้านเปื้อนจนเป็นสีดำเปรอะไปหมด ไหนจะชั้นเล็กที่สอดไปด้วยท่อเหล็ก ท่อเอสล่อน และอีกด้านของผนักที่ต่อเป็นชั้น เรียงรายไปด้วยของสารพัดชนิดที่ผมทึ่งถ้าลูกค้าจะถามแล้วจะหาให้เจอได้อย่างไร


คงจะเหมือนร้านขายไม้เท้ากายสิทธิ์ ในเรื่องแฮรี่ พ้อตเตอร์ ที่ตอนเย็นเมื่อวานผมเปิดให้ยายหนูดี เพราะมันอัดแน่นไปด้วยกล่องใส่ของเต็มไปหมดทุกด้าน ผมย้อนกลับไปดูหนังซึ่งสร้างมาตั้งแต่ยายหนูดียังไม่เกิด จนตอนนี้ ดาราที่เล่นเป็นรอน เป็นเฮอร์ไมโอนี่ เป็นแฮรี่ ก็โตจนจะมีลูกมีผัวกันไปหมดแล้ว


ผมกลับไปนึกถึงรสชาติของการเป็นเด็ก นึกเปรียบเทียบตัวผมกับหลานสาว ที่การเล่นสนุกมันช่างต่างกัน เด็ก ๆ ผมกับน้อง ๆ ยังมีโอกาสได้ป่ายปีต้นไม้ ได้วิ่งเล่น ได้ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดเสียงดังอย่างไม่ต้องเกรงใจใคร


แต่มาตอนนี้ ที่เล่นสนุกของหลานสาวกลับเป็นไปอีกแบบ ไม่มีเสียหรอกจะได้ปีนต้นไม้จริง ๆ หรือไปขี่จักรยานตระเวนไปไหนต่อไหน แม่มันรู้คงอกแตกตาย


ชีวิตตอนเด็กที่แสนสนุก ไม่ต้องคิดอะไรกังวลไปล่วงหน้า อยู่แต่วันนี้เวลานี้ อยู่แต่กับความสนุก และเรื่องที่กลัวที่สุดก็คือแค่กลัวว่าป๊าจะบ่นหรือม๊าจะตีด้วยก้านมะยมเพราะเราซุกซนเกินไป


คนเราเติบโตขึ้น ความสนุกในวัยเด็กแบบนั้นจึงเป็นเรื่องที่คอยจะทำให้เรายิ้มเมื่อนึกถึงเท่านั้น 


แต่เพราะการเติบโตย่อมมีความเจ็บปวด มีความทุกข์ผสมเจือกันมา สิ่งที่เราไม่ปรารถนา เป็นบทเรียนให้เราเข้มแข็งกับทุกข์ที่ใหญ่กว่านั้นได้สินะ ผมนึกถึงพริกเม็ดแรกที่ลองกิน ตอนนั้นมันทั้งทรมาน และตลก ก็สามพี่น้องกระโดดเร่า ๆ เพราะไปแอบขโมยกินกับข้าวที่ม๊าทำไว้ พากันแย่งกันดื่มน้ำ จนป๊าหัวเราะเสียแทบแย่


แต่พอมาดูตอนนี้ ผมกินพริกได้หน้าตาเฉย แถมอาหารที่จืด ๆ ชืด ๆ กลับรู้สึกว่ากินแล้วมันน่าเบื่อ เหมือนอย่างที่นังธารเบื่อกับข้าวจืดชืดอย่างที่บ้านของผัวมันกินเป็นประจำนั่นไง


ความทุกข์ของผมตอนนี้ คือเรื่องงาน ไม่รู้สินะ ตอนนี้มันอาจจะกลายเป็นยาขม แต่อนาคต ผมอาจจะขอบคุณที่มันทำให้ผมเปลี่ยนไปทำงานอื่นก็ได้ ปัญหามีอยู่อย่างเดียวคือ ผมจะไปทำอะไรดีก็แค่นั้น


"ทนแม่งไปก่อน อีกสองเดือนโบนัสก็ออกแล้วโว้ย" ผมบอกกับตัวเองเหมือนให้กำลังใจ สาวเท้าเดินกลับบ้านให้ไว เพราะยังมีอะไรให้ทำในวันหยุดอีกมาก