ก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,เล่าประสบการณ์,ยุคปัจจุบัน,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แปะจะเป็นอินฟลูฯก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
โลกยุคนี้ มันเป็นยุคของ อินฟลูเอ็นเซอร์ นั่นก็คือบุคคลที่มีผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
อินฟลูเอ็นเซอร์ จะมีผู้ติดตามมากมายซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีส่วนร่วมในเนื้อหาที่พวกเขาพูดเป็นประจำ อินฟลูฯ มีมากมายหลายหมวด ไม่ว่าจะเป็นหมวดการท่องเที่ยว สายทำอาหาร สายวิชาการ สายบันเทิง สายสุขภาพ
แต่ผมจะเป็นอินฟลูฯ สายไหนกันดีนะในเมื่อตัวผมเองก็ไม่เก่งอะไรสักอย่าง....เห้อ
โดย Chavaroj
ปลากระป๋องเป็นอาหารโปรดของบ้านเราอย่างหนึ่ง จะเป็นปลาแมคเคอเรล หรือปลาซาดีน ปลาในน้ำแร่ ปลาในน้ำมันรำข้าว หรืออะไรก็เถอะที่เขาสรรหาทำขึ้นมา มันง่ายดี และจะว่าดีต่อสุขภาพในแง่ที่ได้อาหารทะเลราคาถูก แถมอร่อยซะด้วย ตอนเด็ก ๆ หน่อย ผมชอบกินปลากระป๋องในซอสมะเขือเทศ แต่มาตอนนี้สิ ปลากระป๋องมีมากมายหลายแบบ จนชั้นน้ำพริกกะปิ น้ำพริกตาแดงแต่มีส่วนผสมคือปลาก็มีให้เลือกกิน
ยายหนูดีก็ชอบกินปลากระป๋อง ไต่ถามดูเธอว่าไอ้ที่ชอบนั้นก็คือก้างปลา!!!
"หนูดีชอบเคี้ยวก้างปลาค่ะมันกรุบ ๆ ดี" หลานสาวแก้มกลมผมหน้าม้าเต่อตอบพร้อมกับจ้วงข้าวสวยร้อน ๆ ควันฉุยเข้าปากง่ำแล้วเคี้ยวหยับ ๆ
ถ้าจะเอาง่ายเอาไว ก็เทมันใส่ชามแล้วก็กินมันทั้งอย่างนั้นแหละ แต่มีเรอะบ้านผมจะได้กินอะไรง่าย ๆ อย่างน้อยก็ต้องมีการยงการยำกับเขาสักหน่อย มะนาวนั้นล่ะหนึ่งบีบให้เยอะ ๆ เปรี้ยวนำไปเลยเพราะซอสมะเขือเทศน่ะมันอมหวานอยู่แล้ว
ถ้ายายหนูดีกินด้วยก็เบาพริกขี้หนูลงหน่อย แต่ถ้ากินกันเองแต่ผู้ใหญ่ก็ใส่มันเยอะ ๆ มีเด็กอยู่ด้วยก็ต้องแบบนี้ หอมซอยก็ใส่พอสมควร แต่ถ้าจะติดปีกติดหางก็ใส่ผักชีฝรั่งกับใบโหระพาเข้าไป เวลากินเคี้ยวติดผักเข้าไปด้วยหอมฟุ้งไปทั้งปาก กินข้าวยิ่งอร่อยข
หรือจะเอาไปทำต้มยำ ก็ใส่เครื่องมันเข้าไป ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด จะเดาะใส่หัวหอมเข้าไปด้วย เวลาซดน้ำชื่นใจดีนักแล หรือบางทีม๊าอยากจะกินน้ำพริกกับขนมจีนอย่างง่าย ๆ ก็ใช้ปลากระป๋องนี่ล่ะเป็นเนื้อหลัก
แต่ไอ้ธรรมมันชอบกินแบบที่เขาคัดมาแต่เนื้อ จะเอามาทำยำ ทำสลัด ก็อร่อยทั้งนั้น ป๊ากับม๊าเล่าว่าสมัยก่อนปลากระป๋องไม่ได้มีหลากหลายขนาดนี้ ยี่ห้อดัง ๆ ก็สามแม่ครัว หรือไม่ก็โรซ่า แต่เดี๋ยวนี้มีมากมายลานตาเลือกไม่หวาดไม่ไหว
เที่ยงของวันทำงานวันหนึ่งผมนั่งกินข้าวเกือบจะลำพัง รู้สึกว่าสถานการณ์ในออฟฟิศมันน่าเบื่อเสียเหลือเกิน คงถึงเวลาแห่งการนับถอยหลังแล้วสินะ
งานที่มีเงินเดือน มันคือเซฟโซน มันคือความรู้สึกปลอดภัย การตกงานมันไม่สนุกเลย ถึงผมจะมีบ้านอยู่ มีข้าวให้กิน แต่ช่วงเวลาที่ไม่ได้ทำงานผมว่าชีวิตมันดูไร้ค่าอย่างไรชอบกล
"พี่ธง โอ๊ย ไม่ค่อยเจอเลย" เสียงนังอุ๋มแผนกบุคคลดังทำหน้าอย่างตื่นเต้น ก็ปกติงานของผมครึ่งวันเช้าคือทำงานเอกสารในออฟฟิศ กินข้าวเที่ยงผมก็ไปกินข้างนอก แล้วก็ออกไปเยี่ยมลูกค้าและลูกน้องแต่ละที่ไกล ๆ ทั้งนั้นจึงไม่ได้ห่อข้าวมานั่งละเลียดที่ออฟฟิศเลย แต่พอดีวันนี้มีประชุมทั้งวัน ก็เลยไม่ต้องออกไปไหน
"งานยุ่งน่ะ" ผมตอบและยิ้มน้อย ๆ ไม่นานนังเจี๊ยบเพื่อนซี้ลิงขาวลิงดำประจำแผนกบุคคลก็ตามมาสมทบ ลองได้นั่งกินข้าวกับพนักงานแผนกบุคคล มันก็ต้องเม้าเรื่องคนสิจริงไหม
ผลก็เป็นไปอย่างที่กำลังเกิดขึ้นอย่างทุกวันนี้ การเมืองในออฟฟิศมันเข้มข้นมากขึ้นเหลือเกิน ไม่ใครก็ใครต่างก็โดนผลกระทบกันหมดทั้งนั้น รับไม่ได้ก็ลาออกไป รับได้ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันต่อ
"พี่ตี๋ก็ลาออกไปแล้ว คิดถึงแก เคยเม้ากันทุกวัน" นังเจี๊ยบพูดแล้วก็ถอนหายใจออกมา
"เสียดายเนอะ แกทำงานมานาน งานศพป๊าแก พี่ยังไปร่วมงานศพด้วยเลย" ผมพูดบ้าง ยังใส่ซองไปให้แกตั้งหลายร้อย คนเคยเห็นหน้ากัน พอวันนึงต้องจากไปก็ใจหาย
"อย่าเอ็ดไป พี่ก็คงอีกไม่นานนี้แหละ" ผมกระซิบกระซาบ
"ทนไปอีกหน่อยพี่ธง รอโบนัสออกก่อน" เสียงนังอุ๋ม กระซิบกลับ เราสามคนได้แต่นั่งยิ้มแห้ง ๆ ใส่กัน พยายามหาหัวข้อที่จะพูดคุยเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องที่ออฟฟิศเพราะคนจากแผนกอื่น ๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้าเห็นตาเริ่มทยอยมากินข้าวเพิ่มมากขึ้นทุกที
คิดไปก็น่าใจหาย บริษัทที่ผมคิดว่ามันเป็นบ้านหลังที่สอง ตอนนี้ผมกลับเป็นเหมือนแขก เป็นเหมือนคนแปลกหน้าสำหรับที่นี่เสียแล้ว ความสนุกตั้งแต่ยังเป็นพนักงานตัวกะเปี๊ยกไต่เต้า จนขึ้นมาเป็นหัวหน้าคนเขา ผมก็แทบจะไม่เคยคิดว่าจะมาถึงวันนี้ด้วยซ้ำ
ตอนนั้นผมคิดแค่ว่า มันสนุกและมีความสุขที่ได้มาทำงาน มีความสุขที่ได้มาเจอคนที่รักกัน ปรารถนาดีต่อกัน สนุกที่ได้พูดคุยหยอกล้อ หรือนินทากาเลกันเป็นที่สนุกสนาน
"เหมือนบ้านแตกสาแหรกขาด" ผมคิดคำนี้ในใจทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของที่บ้าน
น่ายินดีอยู่ไม่น้อยที่โบนัสของผม ได้ตั้งสองเดือน ผมไม่คิดเลยว่าจะได้เยอะขนาดนี้ ก็คิดถึงตอนเป็นพนักงานขายตัวกระจ้อย ผมได้โบนัสแค่สองพันผมก็ดีใจจนเนื้อเต้น นี่มันมากกว่าตอนนั้นเป็นสิบเท่า แต่เงินจำนวนนี้มันก็ไม่ได้ทำให้ความทุกข์ในใจของผมจางลงได้เลยสักนิด
ทอดเวลาหลังจากรับโบนัสซึ่งแจกในช่วงตรุษจีน ราว ๆ สองอาทิตย์ผมก็เดินไปหาพี่อังช่วงที่ไม่มีใคร ยื่นแผ่นกระดาษที่หัวกระดาษพิมพ์ว่า "ใบลาออก"
พี่อังรับมาอ่าน ไม่ได้ถามอะไร คำตอบในใจมันมีกันอยู่แล้วทุกคน
"มึงคิดดีแล้วเรอะ?" พี่อังถามแต่สีหน้าของแกไม่ได้จะรั้งผมสักนิด
"คิดดีแล้วจ๊ะพี่" ผมตอบและยิ้มแห้ง ๆ ในเมื่อหัวใจมันหมดรัก การแยกจากกันไปคงจะดีที่สุด
เวลาที่เหลืออีกหนึ่งเดือนจะว่านานก็ไม่นาน จะว่าเร็วก็ไม่เร็ว ผมยังคงทำงานเหมือนเดิม คนในออฟฟิศรู้หมดแล้วว่าผมลาออก ไม่มีใครไต่ถามว่าเพราะเหตุใด และไม่มีใครถามว่าจะไปทำอะไรต่อจากนี้ ทุกคนยิ้มให้กันนิด ๆ เป็นอันว่าเข้าใจกัน แต่ลูกน้องของผมไม่รู้เรื่องที่ผมลาออกเลย ผมไม่อยากจะไปบอกเจ้าพวกนั้น
งานสุดท้ายของผม คือต้องไปจัดงานเวิร์คชอปแห่งหนึ่งที่นนทบุรี คิดไปก็น่าใจหาย เพราะในที่สุดก็ต้องถึงวันสุดท้ายของการทำงานแล้วหรือนี่ จนเมื่อข้าวของถูกเก็บจนหมด ผมก็ยกมือไหว้บรรดาผู้ใหญ่กว่า และกอดหม่อมพี่เจี๊ยบแรง ๆ อีกหนึ่งที
"โทรศัพท์หากันบ้างเน้ออีผี" พี่เจี๊ยบพูดและพยายามจะทำให้ติดตลก
"จ๊ะ" ผมตอบได้เพียงเท่านั้น
การทำงานวันสุดท้ายของผมไม่มีการเลี้ยงอำลา หรือพูดจาอวยพรกันแต่ประการใด มันดีที่สุดแล้วผมไม่ได้เศร้าแต่ก็ไม่ได้ดีใจ เหมือนหัวใจมันชืด ๆ ชา นี่สินะ ที่เขาบอกว่าอย่าได้ปล่อยหัวใจให้ทนอยู่กับอะไรที่มันแย่ ๆ ไม่อย่างนั้นมันจะดูดกลืนน้ำเลี้ยงแห่งความสุขออกจากวิญญาณของเราอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ผมนั่งรถเมล์กลับบ้าน เพราะวันนี้รู้ว่าต้องเดินทางไกล มีรถที่นั่งเพียงสองต่อก็ถึงบ้านผมได้เลย ส่วนคนอื่น ๆ ต้องเอาของกลับไปที่ออฟฟิศ ผมไม่ได้กลับไปช่วยเขาขนของลงเพราะไม่ใช่หน้าที่ของผมอีกแล้ว
เมื่อถึงบ้าน ดูเหมือนใคร ๆ จะยังไม่กลับบ้าน แต่รถมอเตอร์ไซค์ของผมจอดอยู่แสดงว่าม๊ากลับมาบ้านแล้ว คงไปตลาดหรือไปเดินเล่นแถว ๆ นี้ ป๊ายังไม่กลับคงจะเย็นย่ำกว่านี้ ส่วนไอ้ธรรม ผมไม่ได้นึกถึงมันเลยเพราะมันก็อาจจะไปออกกำลังกายอะไรของมันตามเรื่อง
ข้าวเย็นยังมีอยู่ในหม้อ ปกติบ้านเราไม่กินข้าวเย็นกันมานานแล้ว แต่วันนี้ผมเหนื่อยจนเมื่อตอนเที่ยงกินข้าวได้เพียงนิดเดียว ชักจะหิวแล้วแฮะ แต่ผมไม่อยากจะร้อน ไม่อยากจะทำอะไรยุ่งยาก ตักข้าวเย็น ๆ นั่นแหละมาใส่ชาม มองดูตู้ใส่กับข้าวก็ไม่มีกับข้าวอะไรเหลือ เห็นแต่ปลากระป๋องที่วางเรียง ๆ กันหลายกระป๋องเพราะม๊าชอบซื้อเก็บตุนไว้ตอนมันลดราคา
ผมเลือกปลากระป๋องยี่ห้อประจำของม๊าที่จงรักภักดีกับยี่ห้อนี้ที่สุด ม๊าว่ายี่ห้อนี้อร่อยที่สุด ปลาไม่คาว ซอสมะเขือเทศไม่หวานเกินไป ผมอดจะเถียงไม่ได้ว่ามันก็คล้าย ๆ กันนั่นแหละ แต่ป่วยการจะไปเถียงคนลองได้เลือกจะรักไปแล้ว อะไรอื่นก็ไม่มีดีเท่าหรอก
เหยาะซีอิ๊วขาวนิดหน่อยพอให้ได้กลิ่นหอม ๆ ข้าวเปล่าราดปลากระป๋องมันก็ง่ายแทบไม่ต้องเสียเวลาคิด กินข้าวเสร็จล้างจาน ป๊าถึงขับรถมาจอดหน้าบ้าน ป๊าทักทายผมนิดหน่อย แต่ไม่ได้ถามอะไร ผลัดเสื้อผ้าแล้วก็ไปง่วนกับการทำสวนที่หลังบ้าน
ป๊ามีงานอดิเรกใหม่ก็คือทำสวน ม๊าชอบใจเพราะจะได้ผักสด ๆ มากินไม่ต้องไปซื้อเขา แต่ปัญหาคือป๊าปลูกและถนอมมากจนบางทีป๊าก็หวงเกินกว่าจะเด็ดมันมากิน อย่างเมื่อวันก่อน ม๊าอยากจะทำหอยลายผัดพริกเผา ก็เดินไปตัดใบโหระพาของป๊าเสียหมดกระถาง
"ผัดหอยลายให้อร่อยก็ต้องใส่ใบโหระพาเยอะ ๆ" ม๊าอธิบาย แน่ล่ะ ทำอะไรให้อร่อยมันก็ต้องถึงเครื่อง พอป๊ากินก็ชมว่าอร่อย แต่ป๊าคงเอะใจ รีบลุกจากที่เก้าอี้ไปดูสวนหลังบ้าน พอกลับมาก็หน้าตึง ๆ แล้วก็ไม่ยอมกินหอยลายผัดพริกเผาอีกเลย
แต่ป๊าไม่กล้าพูดอะไรหรอก ขืนพูดอะไรออกมาเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง ผมว่าม๊าก็รู้ คนอยู่มาด้วยกันเป็นสิบ ๆ ปีจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าคนของตัวเองงอนอะไร แต่ม๊าก็ทำเฉยเสีย เพียงแต่พักหลัง ๆ จะกินอะไรก็ต้องได้รับการอนุมัติจากป๊าคือป๊าต้องเป็นคนเก็บมาให้เอง จะใส่ชามหรือใส่ตู้เย็นก็เป็นอีกเรื่อง เห้อ จะใช้ชีวิตด้วยกันมันยากแท้ ๆ เนาะ
ผมหนีขึ้นไปอาบน้ำ ได้ยินเสียงม๊าคุยกับป๊าที่ข้างล่าง แต่ผมขี้เกียจลงมาแล้ว อาบน้ำเสร็จผมก็นอนเล่นที่ห้องนอนของตัวเอง เปิดเพลงเบา ๆ นอนหลับตาทบทวนเรื่องอะไรหลายอย่าง และพยายามคิดว่าพรุ่งนี้อะไร ๆ ในชีวิตของมันจะเปลี่ยนไป
จนได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง ผมบอกว่าประตูไม่ได้ล็อก ม๊าจึงเปิดประตูแล้วมานั่งข้าง ๆ เตียง
"ไม่สบายหรือเปล่าลูก?" ม๊าถามด้วยความเป็นห่วง ยื่นมือมาแตะหน้าผากผมเบา ๆ แล้วพูดกับตัวเองว่า "ตัวก็ไม่ร้อนนี่"
"ไม่เป็นอะไรหรอกม๊า เมื่อเช้าตื่นไปทำงานแต่เช้ามืดน่ะ แล้ววันนี้ธงยืนทั้งวันไม่ได้นั่งเลย ขากลับก็ยืนมาบนรถเมล์ก็เลยเพลีย ๆ" ผมอธิบาย
"หิวไหมล่ะ?" ม๊าไม่วายจะถามเพิ่มด้วยความเป็นห่วง
"ธงกินข้าวไปแล้ว กินข้าวราดปลากระป๋อง"
ม๊าซักอะไรอีกนิดหน่อย แล้วก็จากไป ผมได้กลับมาอยู่กับความคิดของตัวเองอีกครั้งคิดอะไรเพลิน ๆ ม๊าก็เดินเข้ามาหาผมอีกแล้วก็บ่นกระปอดกระแปดถึงโทรศัพท์ที่ไอ้พวกแก๊งมิจฉาชีพ ที่ขยันจะโทรมาหากันจัง
"นี่ถ้าไม่ติดตั้งแอพที่บอกว่าใครโทรมา คงเสียเวลาไปคุย" ม๊าบ่นแล้วก็ไม่วายจะเอาน้ำเต้าหู้ใส่เครื่องไม่ใส่น้ำตาล มาให้ผมถึงห้อง
ยุคนี้พวกสแครมเมอร์ พวกมิจฉาชีพมันเยอะจริง ๆ ผมละเข็ดขี้อ่อนขี้แก่ แต่จริง ๆ ไอ้พวกหลอกให้รักนี่ผมโดนมาก่อนหน้านี้มาแล้ว
คิดไปแล้วก็ตลก หลายปีก่อน ตอนที่ผมยังต้องเดินทางต่างจังหวัดบ่อย ๆ จังหวัดละสองสามวันเป็นอย่างมาก มันยังสนุกเพราะมีบรรดาพี่เจี๊ยบ พี่มนัส มีอีอั๋นที่ไปทำงานทริปเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เป็นคนมีเลือดเนื้อมีหัวใจ มันก็อดไม่ได้ที่จะเหงากับเขาบ้าง
สารภาพตรง ๆ ว่าในชีวิตนี้ผมไม่เคยมีแฟน หรือมีคนคุยอย่างจริงจังกับเขาสักที จะเพราะหน้าตาไม่ดี ผมว่าผมก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ก็ทีไอ้ธรรม น้องชายของผมมันหล่ออย่างกับนายแบบ ผมเป็นพี่มันก็ย่อมไม่ต่างจากมันเท่าไร เพียงแต่ไอ้ธรรมมันได้ตาสองชั้นจากม๊า และความสูงจากป๊า
ผมตาชั้นเดียวอย่างที่เรียกว่าตาปลาดุก แล้วก็เจ้าเนื้อหน่อย ๆ เพราะไม่ได้บ้าออกกำลังกายอย่างไอ้ธรรมมัน ลองใครทำงานอย่างผม ตื่นแต่เช้าไปนั่งหลังแข็งหน้าคอมพิวเตอร์ แล้วบ่ายก็นั่งรถเมล์ตระเวนไปทั่วกรุง รถก็ติด ฝนตกก็น้ำท่วม พอถึงบ้านก็หมดเรี่ยวหมดแรง จะเอาแรงใจที่ไหนออกออกกำลังกายกันเล่า
แต่ถึงอย่างนั้น วงการเก้งก็มีสิ่งที่เรียกว่า แอพนัดเย จะสีส้ม สีแดง สีฟ้า มีให้เลือกโหลดมาเล่นกันเยอะแยะ ผมไม่เคยจะสนใจ เพราะเคยโหลดมาเล่นก็ไม่เห็นมีใครคุยด้วย เรียกว่ามีเอาไว้ส่อง
จนวันหนึ่งที่จังหวัดเงียบ ๆ ที่ไหนสักแห่งนี่ล่ะ มีคนทักมาหาผม เขาชื่อมัด และเกิดพูดคุยถูกอกถูกใจกันอย่างไรนี่ล่ะ ถึงกับขอไลน์ไว้ติดต่อกันทีเดียว
เกิดมาในชีวิตก็ไม่เคยโดนใครจีบ ไอ้ผมก็คนคุยเก่ง มัดเองก็คุยตลก คืนนั้นกว่าจะได้หลับได้นอนก็ปาเข้าไปตีหนึ่ง ผมเคยนินทาอีพี่ชีพ ว่าโทรศัพท์คุยกับสาวได้เป็นชั่วโมง ๆ ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง มาตอนนี้ผมชักจะเข้าใจเสียแล้วว่ามันฟูลฟิลขนาดไหน
ทริปนั้นคนที่ไปสอนช่างผมคือนังต้อง เห็นผมหลบไปคุยโทรศัพท์แทบจะเสียงานเสียการ เจ้าหล่อนนึกห่วงหรือสาระแนก็ไม่ทราบก็เลยมาถามผมว่าคุยกับใคร
ผมก็อธิบายไปว่านายมัดคนนั้นเป็นเด็กนักศึกษาแพทย์ปีสอง บ้านรวยและโปรไฟล์เริด เกิดมาติดอกติดใจผม
"ใช่แน่เหรออีธง คนอย่างนั้นจะมาสนใจคนอย่างเราไปทำไม" นังต้องพูดด้วยความหวังดี แต่ใจคนเราพอมีอคติเข้าเสียแล้ว ผมกลับคิดว่าความหวังดีของเพื่อนคือความริษยาเสียนี่
ช่วงเวลาหลายเดือนที่ผมเป็นบ้าเป็นบอกับไอ้มัดบ้ามัดบอ ถึงจะไม่เสียเงินเสียทอง แต่เสียเวลา ผมแทบจะเอาเวลาว่างทั้งหมดโทรศัพท์หาเขา ไอ้คำว่าคลั่งรักมันคงเป็นอย่างนี้นี่เอง หม่อมพี่เจี๊ยบก็ใจดีเกินว่าจะห้ามปรามผม และผมก็แอบคิดเหมือนกันว่าถ้าไอ้มัดมันโปรไฟล์เป็นอย่างที่ว่านั้นจริง ๆ เขาจะเลือกผมทำไม
"เคยคอลหากันหรือเปล่า?" อีพี่ชีพถามและผมก็ปฏิเสธไป
"กูว่ามันแปลก ๆ นา" หม่อมพี่เจี๊ยบที่ผมคาดว่ากำลังจะหมดความอดทนไม่วายจะพูดขึ้นบ้าง
แต่ผมก็ดื้อเกินกว่าจะรับฟังความคิดเห็นของใครทั้งนั้น จริง ๆ ลึก ๆ ผมก็คิดว่าผมรู้ว่าไอ้มัดอะไรนั่นไม่น่าจะใช่ตัวจริง นักศึกษาแพทย์น่ะ เขาเรียนยุ่งกันจะตายแต่นี่อะไรผมโทรไปตอนไหนก็รับสายได้ตลอดเวลา มันไม่ใช่ละ แต่ผมก็ยังจะขอดำดิ่งกับความรู้สึกราวกับว่าตัวเองมีแฟนให้ได้คุยสนุก มีแฟนให้ได้หึงหวง มีแฟนให้ได้คิดถึง
จนในที่สุด เมื่อเวลามันคือเครื่องพิสูจน์ ผมต้องเลิกราไปกับมันจนได้ เป็นบ้าเป็นบอร้องห่มร้องไห้ แล้วก็แอบกินเหล้าซะด้วย กินมันที่บ้านนี่แหละแต่ไม่ให้ป๊ากับม๊ารู้ มันอาจจะสนุกก็ได้ตอนเราอกหักก็ในชีวิตไม่เคยอกหักจริง ๆ จัง ๆ กับเขา เคยแต่แอบรักคนโน้นคนนี้
แต่มาถึงในวันนี้ผมกลับขอบคุณการหลอกลวงจากไอ้มัดคนนั้นมาก ๆ มันเป็นเหมือนวัคซีน ทำให้ผมมีภูมิต้านทาน ไม่ว่าใครก็ต้องได้เรียนรู้ ถ้ายังไม่ได้บทเรียนก็ต้องเจ็บซ้ำ ๆ ไปจนกว่าจะเข็ด และผมก็เข็ดเสียแล้วจริง ๆ
นอนคิดอะไรเพลิน ๆ จนได้ยินเสียงเคาะประตู และเมื่อผมตะโกนบอกไปว่าไม่ได้ล็อกประตู ป๊าก็เปิดประตูเข้ามา
"เพลียหรือลูก?" ป๊าถามแต่ไม่ได้จะทิ้งตัวลงนั่งแล้วเอามือแตะหน้าผากผมเหมือนกับม๊า ป๊าเข้มเกินกว่าจะทำอะไรอย่างนั้น แต่สีหน้าและน้ำเสียงของป๊า เท่านี้ก็เป็นการแสดงออกอย่างมากเหลือเกินเหลือการแล้วว่าป๊าห่วงผม
"นิดหน่อยป๊า แต่ดีขึ้นแล้ว" ผมตอบและคิดว่าชักจะหมกมุ่นอยู่กับตัวเองมากเกินไป
"ลงไปดูซีรีส์กันดีกว่าป๊า" ผมบอกและเดินนำป๊าลงมาข้างล่าง เอาถ้วยใส่น้ำเต้าหู้ที่ผมกินหมดแล้วเอามาล้างด้วยเสียเลย
ป๊าเดินไปที่หลังบ้าน เพื่อทำสวนของป๊าต่อ จากสวนเล็ก ๆ ที่ป๊าลงทุนซื้อกระถางมาปลูกโน่นปลูกนี่ ตอนนี้กลายเป็นป๊าไปขอตะกร้าใส่ผลไม้ในตลาดที่เขาไม่ได้ใช้แล้ว เอามาเรียงอย่างเป็นระเบียบแล้วก็ปลูกผักสารพัดสารพัน
"ป๊าเห็นเขาปลูกผักเคลแล้วก็ว่ามีประโยชน์มาก นี่ป๊าเลยสั่งต้นอ่อน ๆ มาสิบกว่าต้น หวังว่าจะเลี้ยงง่ายนะ" ป๊าคุยอวดต้นไม้ที่เพิ่งได้มาใหม่
ผมก็เออ ๆ คะ ๆ ไปตามเรื่องตราบใดที่มีคนอยากฟังตราบนั้นก็มีคนอยากจะเล่า และแน่นอนมันเป็นความชุบชูใจ
ป๊าชมต้นนั้น บ่นต้นนี้เช่นต้น โรสแมรี่ที่ป๊ากำลังบ่นว่าถอดใจ เพราะซื้อมาทีไรไม่เคยรอดเลยสักที ผมละอดขำเสียไม่ได้ เพราะบ้านเราร้อยวันพันปีไม่เคยที่ม๊าจะทำกับข้าวแล้วใส่โรสแมรี่อะไรนี่เลย ใส่สามเกลอละเป็นพื้น
ฟังป๊าคุยโม้ไปเรื่อย ๆ คนแก่ลองได้มีคนฟัง มีรึจะไม่ชอบ เสียงบิ๊กไบค์แสนน่ารำคาญดังที่หน้าบ้าน ตามด้วยเสียงเล็ก ๆ ร้องกรี๊ดกร๊าดและหัวเราะลงลูกคออย่างสนุกเต็มทีดังขึ้น ผมจึงต้องผละไปยืนเท้าเอวมองคนตัวใหญ่กับเด็กสาวผมหน้าม้าเต่อที่ยืนอยู่หน้าบ้าน
"แปะธงสวัสดีค่ะ แปะธรรมไปรับหนูดีที่โรงเรียนมาด้วยแหละ" ยายผมหน้าม้าคุยอวด แล้วก็วิ่งมากอดผม จากนั้นก็ผละไปกอดอากง และอาม่า ราวกับผีเสื้อที่บินตอมดอกไม้ในสวนดอกนั้นทีดอกนี้ที ให้ทั่วถึง
"วันนี้หนูดีเรียนปั้นดินน้ำมันด้วยนะคะ สนุกมาก ๆ ปั้นเป็นตุ๊กตา แล้วก็ปั้นเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า" ยายม้าเต่อคุยอวดอะไรไปตามเรื่อง พวกเราคนฟังก็เออออ ซักถามอย่างแสนสนอกสนใจ เรื่องกับอีแค่เด็กน้อยปั้นตุ๊กตาดินน้ำมันดูมันสักสำคัญกว่าข่าวการเมืองร้อนระอุหลายเท่านั้น
ตอนท้ายก็ต้องมีการเอาอกเอาใจหลาน โทรทัศน์ถูกเปิดเพื่อให้ยายหน้าม้าได้ดูการ์ตูนสั้น ๆ มารูโกะดูจะเป็นเรื่องโปรดของเจ้าหล่อน เนื้อเรื่องของเด็กผู้หญิงที่ไม่ค่อยจะมั่นใจในตัวเองและคิดแต่ว่าตัวเองนั้นโชคร้าย รายล้อมไปด้วยเพื่อนหลากหลายคน และเรื่องราวธรรมดา ๆ ที่เด็ก ๆ ทุกคนต้องเจอ
แต่หลานสาวของผมดูจะพัฒนาไปกว่านั้น ฟังจากถ้อยคำที่ฉาดฉาน ความมั่นใจ ไม่หวาดกลัว เรื่องเรื่อยเปื่อยอันเต็มเปี่ยมไปด้วยจินตนาการ แถมเป็นจินตนาการเชิงบวกเสียด้วย แต่ติดจะทะลึ่งนิด ๆ ทะเล้นหน่อย ๆ พอให้คนฟังได้หัวเราะกับความก๋ากั่นแก่แดด
"แปะธงหนูดีรำคาญไพโรจน์มากเลย ชอบมาจีบหนูดี แต่หนูดีไม่ได้ชอบเขาสักหน่อย หนูดีชอบอะตอมตะหาก" ยายหน้าม้ากระซิบกระซาบคุยเรื่องลับ
"หล่อนรู้ได้ยังไงว่าเขามาจีบหล่อน" ผมแซว
"ก็อะตอมชอบเอาขนมมาฝากหนูดีไงล่ะ"
"เขารู้ว่าหล่อนตะกละน่ะสิยะ" ผมแซวอีกแต่นังตัวแสบไม่ได้มีทีท่างอน แต่กลับหัวเราะร่วนเป็นไข่เค็ม เย็นนี้คงได้เม้ากับแม่ของมันอีกนาน
ความเศร้าและชาชืดในหัวใจของผมค่อย ๆ คลายหาย คนเราล้มแล้วก็ต้องลุก ใครจะมานั่งจ๋องเป็นอีขี้แพ้อยู่ได้ แต่ล้มของคนบางคนเขาล้มไปข้างหน้า
กล่าวคือถึงล้มแต่ก็ยังพัฒนา แต่ถ้าผมล้มแล้วหงายหลัง ผมก็ไม่กลัว ผมมีคนในครอบครัวคอยเป็นสิ่งซัพพอร์ตให้ผมเสมอ เรื่องราวพรุ่งนี้จะเป็นยังไงก็ไว้ค่อยคิดให้เป็นเรื่องของพรุ่งนี้ไปก่อน ตอนนี้ผมขอดื่มด่ำกับความสุขที่มี อยู่กับคนที่ผมรัก และคนที่รักผมอย่างไม่มีเงื่อนไข
ผมไม่ต้องเรียนเก่งที่สุด ไม่ต้องร่ำรวยที่สุด ไม่ต้องหุ่นดีหน้าตาดีที่สุด ไม่ต้องฉลาดจนเป็นดอกเตอร์ หรือร้ายกว่านั้นให้ผมขี้แพ้แค่ไหน แต่ก็จะมีคนที่รักผมอยู่เสมอ รักและอยู่ข้าง ๆ ผมแบบนี้
"เดี๋ยวกูก็มูฟออนได้" ผมบอกกับตัวเอง และรับอาสาพายายหน้าม้าไปส่งที่บ้านของเจ้าหล่อน มือของเราจับกันไว้ ความสดใสของวัยเด็ก มีแต่สุขไม่รู้ทุกข์ ก็เพราะเด็ก ๆ ไม่เคยคิดเรื่องของวันพรุ่งนี้ยังไงเล่า ผมคิดพลางมองหน้าหลานสาวพลาง แต่จะทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น พรุ่งนี้ว่ากันใหม่