หิมะกลายเป็นหนึ่งเดี่ยวกับฉัน เพียงเพราะฉันกลายเป็นผู้หญิงที่มีพลังเหนือธรรมชาติ
แอคชั่น,ไซไฟ,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ยุคปัจจุบัน,ไอซ์สโนว์,สาวพลังหิมะ,แอคชั่น,ยอดมนุษย์,ฮิวแมน,เหนือธรรมชาติ,แฟนตาซี,การต่อสู้,YukiCoCo,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ไอซ์สโนว์ สาวพลังหิมะหิมะกลายเป็นหนึ่งเดี่ยวกับฉัน เพียงเพราะฉันกลายเป็นผู้หญิงที่มีพลังเหนือธรรมชาติ
คำแนะนำจากคนเขียน
นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายแต่งขึ้นตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแต่ไม่จบ
เลยขอนำเสนอไว้สักตอนหนึ่งให้อ่านเล่นๆ ก่อนที่จะมาเขียนต่อ
เรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งขึ้นไม่ได้อ้างอิงจากอะไรทั้งสิ้น
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับผู้มาอ่าน
และให้ความสนใจในนิยายเรื่องนี้นะคะ
บทนำของเรื่อง
เมื่อเด็กสาวลูกเสี้ยวไทยนามว่า มิรารี ต้องออกเดินทางไปยังงานเทศกาลวิทยาศาสตร์ที่นิวยอร์กตามความต้องการของเธอ แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นเมื่อด็อกเตอร์คนหนึ่งทำเรื่องขึ้นก่อให้เกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น ทำให้คนตายนับพันร่วมถึงตัวมิรารีที่ไม่น่าจะรอดจากเหตุการณ์นั้น แต่แล้วเวลาผ่านไป 10 ปีตัวเธอที่น่าจะโดนแช่แข็งตายกับฟื้นขึ้นมาในสถานที่แปลกตาเข้าพร้อมกับร่างกายที่เปลี่ยนไป แล้วเธอจะหาใครมาช่วยเธอได้ล่ะ?
กำหนดการลงนิยาย
ยังไม่แน่ชัดนะคะ
ตอนที่ 2 หายนะครั้งใหญ่
เวลาผ่านพ้นไปเป็นวันใหม่อันแสนสดใส มิรารีที่กำลังหลบอยู่ก็รู้สึกเครื่องบินกำลังร่อนลงสู่ลานกว้างใหญ่ในสนามบิน เธอค่อย ๆ ยืดเส้นยืดสายบนเก้าอี้ยาวที่นอนอย่างสบาย เธอไม่คิดว่านอนจากเตียงนอนแสนสบายเก้าอี้นั้นจะสบายแบบนี้ด้วย เธอหลับเต็มอิ่มไปหลายรอบจนคิดว่าตัวเองเป็นหมีจำศีลอยู่แล้ว ชายชุดสูทเดินลุกจากเก้าอี้เดินทางมาหาเธอแล้วพาเธอลงจากเครื่องบินอย่างสุภาพ เธอทำตามก่อนจะลุกขึ้นเดินไปตามทางโดยมีเขาเดินตาม พอกำลังออกมาจากเครื่องบินก็มีรถลีมูซีนคันยาวมาจอดเทียบเครื่องบิน มิรารีเห็นก็ตาลุกวาวที่เห็นรถในหนังมาอยู่ตรงหน้าของเธอ ชายชุดสูทสีดำออกมาจากรถพร้อมกลับมายืนรอเปิดประตูให้เธอ
“ว้าว...” มิรารีอ้ำอึ้งกว่าเดิมที่เห็นอะไรแบบนี้ก่อนจะเดินลงไป
“เชิญครับ” ชายชุดสูทเปิดประตูให้หญิงสาว
“ขอบคุณค่ะ” มิรารีกล่าวขอบคุณก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน
เมื่อกล่าวเข้าไปนั้นเธอก็เห็นสวรรค์ขนมอยู่ตรงหน้า ขนมหลากหลายแบบที่เคยเห็นทำเธอน้ำลาย เธอนั่งมองรอบ ๆ ก่อนจะเห็นขนมที่ชวนให้คิดถึงมันมีรูปคล้ายถ้วยขนมที่รอบข้างเป็นหยัก ๆ รอบนอกเป็นช็อกโกแลตและข้างในสอดไส้ถั่วลิสงบดอยู่ภายใน เมื่อกัดเขาไปจะได้รสความหวานของช็อกโกแลตและความเค็มของถั่วลิสงช่างหอมหวานและอร่อยจนหยุดไม่อยู่
มิรารีหยิบขนมชื้นหนึ่งเข้าปากทันที “อืมมมมม คิดถึงจัง! กินกี่ครั้งก็อร่อย!”
ชายชุดสูทเดินตามมาจนเข้ามาในรถพร้อมกับนั่งด้านข้าง เขาเตรียมหยิบเอกสารที่วางอยู่ขึ้นมาอ่านก่อนจะหันมาทางเด็กสาว
"เอาล่ะครับ เดียวผมจะอธิบายเกี่ยวกับงานนี้นะครับ ผู้โชคดีจะถูกพาไปยังโรงแรมที่เป็นจุดพักของผู้โชคดีทุกคน แล้วทุกบริการฟรีหมดไม่ต้องห่วงเรื่องเสียเงิน”
“เอ๋? แปลว่าสามารถซื้อของฝากได้ด้วยเหรอคะ?”
“ครับ แต่อยู่ในจำนวนเงินที่ทางเรากำหนดไว้นะครับ”
“ว้าววววว!!”
มิรารีได้ยินแบบนั้นก็ตื่นตาตื่นใจกับงานนี้ที่ทุ่มทุนทุกอย่างให้แกเด็ก ๆ ที่มาร่วมงานนี้จริง ๆ แล้วเธอก็ไม่ต้องแตะเงินตัวเองสักแดงเดียวแน่ ๆ มิรารีมีความสุขสุด ๆ ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมา
“จริงสิคะ ผู้โชคดีส่วนใหญ่จะเป็นคนอเมริกาสินะคะ”
“ครับ ส่วนใหญ่จะคนในประเทศและยุโรปนะครับ หนูเป็นคนเอเชียก็ระวังหน่อยละกันนะ คนจำพวกก็ไม่ชอบคนเอเชีย ถ้าโดนรังแกหรือทำร้ายร่างกายสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ได้ทันทีเลยนะครับ”
“มีความปลอดภัยที่ดีเลยนะคะ ได้ค่ะ ถ้ามีใครมาแกล้งหรือทำร้าย เดียวหนูจะแจ้งไปค่ะ”
“ดีครับ”
เมื่อชายชุดสูทคนนั้นพูดจบมิรารีไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี เธอขยับตัวหันไปมองข้างนอกรถกำลังแล่นออกจากสนามบินตรงดิ่งเข้าตัวเมือง ไม่นานก็เห็นผู้คนเดินตามท้องถนนและข้างทางกันเต็มไปหมด เธอมองคนผิวขาวก็ทำให้นึกถึงพ่อของเธอที่เป็นต่างชาติท่านเกิดที่นิวยอร์ก ตั้งแต่เธอเด็ก ๆ พอจะหาเวลาว่างพาพวกเธอมาเที่ยวที่นี่ทุกครั้งที่มาเที่ยวเธอมีความสุข ๆ มากตอนนี้เธอเกิดคิดถึงท่านจริง ๆ เวลาผ่านไปจนกระทั่งรถจอดนิ่งสนิท มิรารีได้สติจากความนึกคิดของตนเอง เธอเห็นประตูทางเข้าของโรงแรมก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นมาถึงโรงแรม แต่แค่เห็นทางเข้ามันช่างหรูหรามาก เธอไม่ได้มองตอนที่เข้ามาเลยไม่รู้ว่าที่นี่หรูแค่ไหน เธอเปิดประตูลงจากรถก็ต้องตะลึงกับความสูงและสภาพแวดล้อมโดยล้อม
“อลังการสุด ๆ” มิรารีกล่าวกับตัวเอง
ชายชุดสูทลงจากรถตามออกมาก่อนจะนำทางเธอเข้าไปข้างในโรงแรมและเช็คอินสำหรับผู้โชคดี ทางโรงแรมบริการอย่างดี ตอนนี้มีผู้คนมาใช้บริการเยอะมาก ๆ มิรารีคิดว่าที่นี่คงเป็นโรงแรมใหญ่ที่รองรับนักท่องเที่ยวและลูกค้าเยอะแน่ ๆ พอเช็คอินเสร็จชายชุดสูทพาเธอเดินไปตามทางพร้อมกับขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นชั้นหนึ่งที่ดูจะเป็นชั้นบนสุดของโรงแรม เมื่อออกมาจากลิฟต์มันก็เข้าสู่โถงใหญ่ที่เป็นห้องนั่งเล่น มิรารีเห็นก็อึ้งจนกะพริบตาหลายครั้ง
“ที่นี่คือชั้นของคุณที่นี่มีห้องโถงส่วนกลาง ห้องครัว ส่วนห้องน้ำจะอยู่ในห้องนอนนะครับ ห้องนอนแยกถึง 10 ห้อง ห้องหนึ่งนอนได้ 2 คน ชั้นนี้จะบรรจุผู้โชคดีถึง 20 คน คุณหนูต้องการอะไรหรือจะสั่งขนมก็สามารถสั่งทางโทรศัพท์ของโรงแรมได้ ส่วนอาหารตามเวลาที่โรงแรมจัดจะลงไปทานกันที่ห้องอาหาร แต่เกิดหิวยามดึกก็สามารถโทรหารูมเซอร์วิสได้นะครับ”
“ขอบคุณค่ะ...”
มิรารีหมุนตัวมองรอบ ๆ เธอค่อย ๆ เดินไปที่กระจกใหญ่ที่มองเห็นทะเล เมื่อเธอเห็นถึงกับอุทานอย่างชอบใจออกมา
“ว้าวววววววววววว!”
โรงแรมที่เธออยู่นั้นเป็นโรงแรมใหญ่เชื่อมต่อกันยาวมาก ๆ แล้วมีสวนลานกว้างใหญ่ สนามเด็กเล็ก ห่างไม่ไกลนักก็เห็นโดมใหญ่ที่มีป้ายใหญ่นั้นก็คือสถานที่จัดเทศกาลวิทยาศาสตร์ ณ โดมของสถาบันวิจัยอันดับหนึ่งของโลก
“นี่มันสุดยอดจริง ๆ เป็น...เป็นโรงแรมที่ดีจริง ๆ”
“ใช่ครับ ถ้าคุณหนูชอบพวกเราก็ดีใจที่ผู้โชคดีชอบ”
“มิรารี...” มิรารีเอ่ยชื่อตัวเองออกไป
“อะไรครับ?”
“หนูชื่อมิรารีค่ะ หรือจะเรียกมิราก็ได้ค่ะ เรียกว่าคุณหนูแล้วมันแปลก ๆ”
“ครับ คุณมิรารี ผมซีวาครับ”
“คิก ๆ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณซีวา”
ชายชุดสูทยิ้มที่มีคนเรียกชื่อเขา “ถ้ามีอะไรเรียกผมนะครับ ผมขอตัวลาครับ”
“ค่ะ ถ้ามีเรื่องหนูจะเรียกนะคะ”
พอชายชื่อซีวาเดินออกไปแล้ว มิรารีก็เดินดูรอบ ๆ ตั้งแต่ห้องโถงใหญ่ ห้องครัว ห้องน้ำ จนกระทั่งเดินมาถึงห้องนอน เธอมองหาห้องนอนดี ๆ จนมาถึงห้องห้องหนึ่ง ภายในห้องมีสองเตียงให้นอนกัน แถมยังมีห้องน้ำที่มีอ่างน้ำอีก มิรารีชอบใจสุด ๆ เธอเดินไปที่ระเบียบข้างนอกที่เห็นวิวข้างนอกด้วย ช่างเป็นวิวที่ดีงามสุด ๆ
“อ๊า~~ ช่างเป็นกิจกรรมที่ดีงามจริง ๆ ต้องใช้เวลาให้คุ้มซะแล้วสิ!!”
มิรารีเดินตรงที่เตียงที่เธอเลือกจะนอน เธอปล่อยกายลงกับเตียงอย่างมีความสุข เธอไม่นึกว่าจะได้กลับมายังบ้านเกิดของพ่ออีกครั้ง ทำให้เธอมีความสุขมาก ๆ ระหว่างที่นอนอยู่นั้นเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าลืมส่งข้อความหาแม่ เธอหยิบมือถือขึ้นมา พิมพ์ข้อความไปหาแม่ เพื่อบอกว่าตัวเธออยู่ไหนแล้ว พอส่งข้อความเสร็จเธอก็มองเวลาในมือถือว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว
“ตอนนี้ 6 โมงเช้าแล้วเหรอ? ตอนนี้ที่ประเทศไทยคงจะประมาณ 1 ทุ่มล่ะมั้ง...สักพักแม่ก็คงส่งข้อความมา...”
เมื่อเธอพูดแบบนั้นออกไม่ทันขาดคำ เสียงมือถือก็ดังขึ้นเป็นเสียงเรียกเข้าว่ามีคนโทรมาหา ทำให้มิรารีตกใจแล้วทำตัวไม่ถูกก่อนจะกดรับทันที
“ค่ะ! มิรารีค่ะ!”
“ถึงนิวยอร์กแล้วสินะ ลูกรัก!”
“แม่...” มิรารีได้ยินเสียงอันอบอุ่นของแม่ก็ทำให้เธอสบายใจขึ้นทันที “ถึงแล้วค่ะ ตอนนี้อยู่ที่โรงแรมที่นี่สวยมาก ๆ เลยล่ะ แถมห้องนอนยังกว้างมาก ๆ เลยล่ะ”
“แม่ดีใจที่ลูกได้อยู่ที่ดี ๆ อย่าลืมถ่ายรูปดี ๆ ให้น้อง ๆ ได้ดูมั้งนะ”
“ได้เลยค่ะ จะถ่ายกลับไปให้ดูเยอะ ๆ เลยล่ะ แล้วจะซื้อของฝากกลับไปให้ด้วยนะคะ”
“จ๊ะ...แล้วนี่เจอผู้โชคดีคนอื่นมั้งหรือยังจ๊ะ?”
“ยังนะคะ รู้สึกว่าชั้นที่อยู่จะมีมาคนแรกนะคะ”
“งั้นเหรอจ๊ะ จริงสิ ระวังพวกผู้ชายด้วยนะ ลูกอยู่ที่นั่นตั้งสัปดาห์หนึ่งเลยนะ”
“ค่ะ ไม่ต้องห่วงนะ หนูดูแลตัวเองได้นะคะ ของป้องกันตัวก็มีครบแล้ว”
“จ๊ะ แต่มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็บอกพวกพี่ ๆ ก็ได้นะ พวกเขาอยู่ที่นิวยอร์กนี่น่า”
“อ๊ะ...พวกพี่ ๆ เหรอ?”
มิรารีนึกถึงพี่ชายทั้งสามคนของเธอที่ทำงานอยู่ที่นี่ถึงแม่จะบอกว่าจะบอกพวกพี่ ๆ ว่าเธอมานี่ แต่ไม่มีวี่แววว่าจะส่งข้อความมาหาเธอเลย ทำให้เธอคิดว่าพวกเขาคงยุ่งอยู่แน่ ๆ ก่อนจะตอบแม่ไปก่อน
“ค่ะ ถ้ามีเรื่องที่หนูทำไม่ได้เดียวหนูโทรบอกพี่ ๆ นะ”
“โอเคจ๊ะ แม่ค่อยเบาใจหน่อย ๆ เอาล่ะเดียวแม่จะนอนล่ะ พรุ่งนี้ต้องเตรียมของสำหรับขายของอีก”
“ค่ะ รักษาสุขภาพด้วยนะคะ อย่าหักโหมนะคะ”
“จ้า ๆ ลูกนี่เป็นแม่ของแม่หรือไงล่ะเนี่ย”
“คิก ๆ ไม่ขนาดนั้นค่ะ”
“หึ ๆ เอาล่ะ งั้นแม่จะวางก่อนนะ แม่รักลูกนะจ๊ะ”
“หนูก็รักแม่ค่ะ...บาย ๆ นะคะ”
“บาย ๆ จ๊ะ”
มิรารีกดวางสายจากผู้เป็นแม่ การได้คุยกับแม่นั้นก็ทำให้เธอสบายใจมากขึ้นว่าถึงจะอยู่ไกลกันก็ยังได้คุยกับแม่ แต่ตอนนี้เธอต้องสนุกกับวันเวลาที่เธอรอคอยมานาน ช่วงนี้ไม่ต้องดูแลคนในบ้านสักระยะก็ต้องปล่อยกายปล่อยใจให้สบาย ระหว่างที่เธอนั่งคิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงคนข้างนอก ทำให้เธอลุกขึ้นเดินไปดูเลยว่ามีผู้โชคดีคนใหม่มาแล้วใช่ไหม พอออกไปก็เจอชายชุดสูทกับเด็กผู้ชายที่สูงประมาณ 130 เซนติเมตร อายุของเด็กชายน่าจะรุ่นเดียวกับญาติของเธอคนหนึ่ง
“งั้นผมขอตัวนะครับ”
“ครับ!”
พอชายชุดสูทเดินออกไป เด็กชายกำลังคิดว่าตัวเองควรทำอะไรต่อดี จนกระทั่งมิรารีเดินออกมาจากห้องของเธอเพื่อทักทายอีกฝ่าย
“ไง...” มิรารีทักทายออกไป
“อ๊ะ!?” เด็กชายได้ยินเสียงทักทายเขาเลยหันไปมองต้นเสียง “ไง...เธอมาเป็นคนแรกเหรอ?”
“ก็น่าจะใช่นะ” มิรารีเดินออกมาทำให้เห็นว่าตัวเธอนั้นสูงกว่าเด็กชาย
“โอ้...ผมคงต้องเรียกเธอว่าพี่สาวแทนล่ะมั้ง”
“ฉันอายุ 18 ปี ก็เรียกพี่สาวก็ได้น่านะ ฉัน มิรารี เครือเพชร”
“ชื่อแนว ๆ คนเอเชียนะครับ...คนไทยใช่ไหมครับ?”
“ถูกต้องจ๊ะ! ทำไมเดาว่าฉันเป็นคนไทยเหรอ?”
“ก็...ผมมีญาติเป็นคนไทยเลยพอรู้ว่าชื่อแบบไหนออกไปแนวประเทศไหนนะครับ แถมสำเนียงของพี่สาวยังดูไม่ค่อยเป็นคนไทย 100% แต่สำเนียงดีมาก ๆ นะ”
“แหม ๆ ก็พ่อของฉันเป็นคนนิวยอร์กนะ ท่านเกิดที่นี่ก่อนจะย้ายถิ่นฐานไปอยู่เมืองไทยแทนนะ”
“งั้นเหรอ น่าสนใจนะเนี่ย” เด็กชายเท้าคางอย่างสนใจที่คนต่างชาติชอบย้ายไปอยู่ประเทศไทย
“แหม ๆ ก็นะ แล้วเธอชื่อ…?”
“ผมโจเซฟ...โจเซฟ แบร์นาร์ด บ้านเกิดผมอยู่ปารีสนะครับ”
“ว้าวววว ปารีสสถานที่แห่งความรัก”
“ก็ถูกนะครับ” เด็กชายยิ้มอย่างชอบใจที่คนคิดว่าประเทศเขาเป็นแบบนั้น “เอาล่ะ ผมต้องเลือกห้องสินะครับ”
“ใช่แล้ว เขามีป้ายเขียนอยู่นะว่าฝั่งไหนฝั่งชายหรือหญิงนะ”
โจเซฟหันไปมองตามจุดที่อีกฝ่ายพูด เขาก็เข้าใจทันที “โอเคครับ งั้นผมขอเอากระเป๋าไปไว้ในห้องนะครับ”
“ตามสบายเลย”
เด็กชายเดินตรงไปยังห้องพักฝั่งชาย เขาจ้องมองว่าจะเอาห้องไหนดีให้ตัวเอง ระหว่างที่เด็กชายเลือกห้อง ก็มีวัยรุ่นคนอื่น ๆ เดินตามกันออกมาจากลิฟต์ มิรารีเห็นก็ยิ้มให้ทุกคนที่เข้ามา ตอนแรกหลายคนอื่น ๆ ก็เก้ ๆ กัง ๆ บางคนก็เข้ามาทักทายและแนะนำตัว บางคนดูเป็นมิตรทำให้สนิทกันไม่กี่นาที พอทุกคนเลือกห้องของตัวเองกันเสร็จก็ออกมานั่งที่ห้องโถงกันเพื่อพูดคุยกัน
“แปลว่าทุกคนร่วมส่งชื่อตัวเองเพื่อที่จะมาดูงานวิจัยที่ตัวเองชอบสินะ”
“ใช่เลย มิรา ส่วนฉันชอบการปะทุของภูเขาไฟมาก ๆ เลยล่ะ”
หญิงสาวผมสีแดงได้พูดขึ้น เธอมีชื่อว่า เมีย อดัมเลอร์ ตอนแรกที่มิรารีได้ยินชื่ออีกฝ่าย เธอนึกถึงบ้านเธอที่สามีจะใช้คำนี้เรียกภรรยาของตนเองจนทำเอาเธอหลุดขำออกมาเบา ๆ ตอนนี้ภายในชั้นของเธอก็มีผู้โชคดีครบทั้งยี่สิบคนแล้ว ทุกคนมานั่งอยู่ห้องนั่งเล่นรอเวลาจะทานข้าวเที่ยงกัน
“ว้าว ฉันก็สนนะ การปะทุของภูเขาไฟ เป็นอะไรที่คาดกาลลำบากมาก ๆ เลยเนอะ”
“ใช่ ฉันเลยอยากเป็นคนแรกที่สามารถบอกได้ว่าเมื่อไรจุดไหนจะมีการปะทุของภูเขาไฟน่านะ” เมียสนใจสิ่งที่ตนเองหวังมาก ๆ จนคาดหวังให้ตัวเองสร้างสิ่งที่ไม่มีคนสร้างขึ้นมาได้
“ขอให้สมหวังกับสิ่งที่จะทำนะ แล้วเธอล่ะซาร่า ฉันว่าเธอต้องชอบอะไรที่เกี่ยวกับพันธุ์พืชแน่ ๆ”
มิรารีหันไปหาเด็กสาวที่มีผมเปียสองข้างที่มีการแต่งกายที่ดูเป็นสีเขียว น้ำตาล ขาว ผสมกัน แถมตามผมของเธอมีดอกไม้และใบไม้ปลอมตกแต่งอยู่ด้วย
ซาร่าตกใจนิดหน่อย เธอหันไปมองทุกคน “ก็...ใช่แล้วล่ะ...ฉันชอบพวกพันธุ์พืชนะ พืชหลายชนิดสามารถรักษาหรือทำอะไรได้มากกว่าที่พวกเราคิดน่านะ”
“แม่สาวธรรมชาติสินะแบบนี้” หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้น
“ไม่ ๆ ต้องชื่อนี้ แม่สาวเอลฟ์ไงล่ะ!”
“ทุกคน...ฉันไม่ได้เหมาะกับชื่อนั้นเลยนะ!” ซาร่าเขินอายที่ทุกคนต่างเรียกเธอด้วยสมญานามที่เธอคิดว่าไม่เหมาะกับเธอเลย
“ฉันว่าเหมาะนะ เพราะซาร่าเหมือนเอลฟ์ที่งดงามที่ได้อยู่กับธรรมชาตินะ” มิรารีพูดออกไป ทำเอาซาร่าหน้าแดงขึ้นมาทันที
“ถ้า...ถ้ามิราพูดแบบนั้นฉันก็ไม่ขัดนะ...”
“อืม ๆ ” มิรารีพยักหน้าอย่างดีใจ
ทุกคนต่างขำออกมาเบา ๆ ที่ซาร่าดูมีความสุขที่มิรารีชม ทำเอามิรารีมองทุกคนอย่างสงสัยว่าพวกเขาหัวเราะอะไรกันก่อนที่ชายคนหนึ่งจะเอ่ยคำพูดแซงขึ้นมาเหมือนอยากมีส่วนร่วมด้วย
“วันนี้เป็นวันแรกที่จะได้ชมงานเทศกาลก็ต้องทำอะไรที่อลังการงานสร้างกันหน่อยสิ!! พวกเธอไม่คิดแบบนั้นหรือไง!? ฉันจะทำให้พวกเธอเห็นเลยว่าฉันนั้นจะทำให้ชื่อตัวเองปรากฏอยู่ในงานเทศกาลนี้ไปตลอดกาลลลลลล! ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายทำเอาสาว ๆ ต่างมองด้วยความสงสัยว่าอีกฝ่ายกินยาเขย่าขวดมาไหม ถึงได้ทำให้พวกเธอรู้สึกว่าไม่ควรเข้าใกล้อีกฝ่าย จนกระทั่งมีชายที่สวมชุดดูเรียบร้อยเดินตรงมาหาชายผมทองพร้อมกับยกหนังสือหนาในมือขึ้นมาใช้สันหนังสือตีลงบนหัวชายผมทองทันที
“แอ๊ก!!”
“นายเลิกสร้างเรื่องเลยนะ มิเกล!”
“มันเจ็บนะเว้ย!!”
“เรื่องของนาย!!”
เสียงของชายหนุ่มทำให้มิรารีสนใจจนหันไปมองชายเจ้าของเสียง เธอเห็นเขาตั้งแต่เดินเข้ามาในชั้นนี้หนุ่มเซ่อ ๆ ดูเป็นหนอนหนังสือเหมือนเธอ การแต่งกายที่ดูไม่เด่นสะดุดแต่ไม่เข้ากับใบหน้าอันเรียวยาว ดวงตาสีน้ำตาล แว่นหนาสีดำ แล้วก็ผมสีน้ำตาลยุ่ง ๆ นั้น ส่วนการแต่งกายที่ไม่เด่นนั้นเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาว เสื้อสเวตเตอร์หนา ๆ กางเกงขายาว รวมทั้งเซตดูออกเลยว่าเป็นหนอนหนังสือคนหนึ่งตามห้องเรียนห้องหนึ่งในนิวยอร์ก มิรารีจ้องมองอีกฝ่ายตลอดจนเห็นแค่ว่าอีกฝ่ายเอาแต่อ่านหนังสือตลอดจนอีกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมตีหัวมิเกล จนชายหนุ่มรู้สึกสังเกตถึงสายตาของใครบางคนที่มองเขาจนเขาหันไปมองก็เห็นหญิงสาวร่างอวบมองเขา ทำให้เขาขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจก่อนจะเอ่ยพูดออกไป
“มองฉันทำไม!! ยัยอ้วน!!”
ช่วงเวลานั้นเหมือนได้ยินเสียงฟ้าผ่าลงมาตรงกลางนั้น ทำเอาทุกคนหันไปมองชายหนุ่มใส่แว่นที่พูดแบบนั้นออกไป มิรารีที่จ้องมองอยู่ก็สะดุ้งกับคำว่ายัยอ้วนเต็มสองหูจนเธอรู้สึกหน้าชาสุด ๆ ที่ได้ยินคำเหยียดรูปร่างของเธอจากปากอีกฝ่าย เธอพยายามเก็บอารมณ์แล้วคิดในแง่ดีกว่าเธอคงหูฝาดไป
“เมื่อกี้นายพูดอะไรนะ!?”
“หูหนวกหรือไง? ฉันถามว่ามองฉันทำไมยัยอ้วน!!!”
คำที่สองเข้ามาเต็มอกของเธอจนทำเอามิรารีและสาว ๆ ในกลุ่มต่างจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่ชอบใจสุด ๆ ที่อีกฝ่ายพูดแบบนั้นจนเพื่อนชายรีบหันไปหาอีกฝ่ายที่ปากหมาพูดแบบนั้นใส่สาว ๆ
“เฮ้ย ๆ นายพูดบ้าอะไรนะ คาร์เตอร์!!”
“ก็ยัยนั้นเอาแต่จ้องฉันนี่ ฉันเลยถามไปไงล่ะ!!”
“ไม่ใช่แบบนั้นเว้ย! คำพูดที่นายเรียกเธอนะ!!”
“ทำไมว่ะ!?”
ชายหนุ่มยังไม่รู้ตัวว่าเขาพูดอะไรออกไป แต่ในหัวเขาคิดแค่ว่าตัวเองน่าจะพูดคำดี ๆ ออกมา แต่แล้วเสียงคนกำลังลุกขึ้นก็ทำให้ทุกคนหันไปมองก็เห็นว่ามิรารีลุกขึ้น เธอเดินตรงไปหาชายหนุ่มใส่แว่นจนชายหนุ่มมองว่าอีกฝ่ายเดินมาทำไมจนกระทั่งเธอยกมือของตนเองขึ้นสูงพร้อมกับตวัดไปตบใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแรงจนตัวเขาเซไปด้านข้างจนเกือบล้ม เขาตาค้างมองอย่างงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น ใบหน้าของมิรารีรู้สึกร้อนผ่าวไปหมด เธอไม่เคยโกรธใครมากขนาดนี้จนอีกฝ่ายพูดว่ายัยอ้วนใส่เธอเป็นภาษาอังกฤษแบบนั้น
“ไปตายซะ ไอ้บ้า!!”
มิรารีตะโกนด่าอีกฝ่ายด้วยภาษาไทย เธอก็เดินกลับไปที่ห้องนอนของเธอในทันที พร้อมกับทิ้งท้ายด้วยเสียงปิดประตูอย่างดัง ทุกคนมองมิรารีที่หายเข้าไปในห้องของตนเอง เสียงประตูทำเอาพวกเขาสะดุ้ง พวกเขาก็หันไปมองชายหนุ่มใส่แว่นที่โดนตบจนใบหน้าของเขานั้นเป็นรอยแดงของมือ ชายหนุ่มใส่แว่นตะลึงที่เขานั้นโดนผู้หญิงตบหน้าเป็นครั้งแรก ก่อนที่เขาจะหันมองทุกคนอย่างสงสัย
“ยัยนั้น! กล้าตบหน้าฉันเหรอ? แล้วเมื่อกี้เธอพูดอะไรนะ!!” คาร์เตอร์พูดขึ้นเขาขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าตนเองนั้นทำอะไรผิด
“คิดไม่ออกหรือไง? แดงแบบนั้นโดนเท้ามั่ง! สมน้ำหน้าพูดอะไรไม่คิดสมควรโดนด่าเป็นภาษาบ้านเขานะ!!” เมียทำสีหน้าไม่สบอารมณ์กับชายตรงหน้าที่กล้าพูดคำสั้นใส่หญิงสาว ก่อนที่เธอจะหันไปเล่นเกมกับเพื่อนของเธอต่อ
“ใช่ ปากพาจนมากเพื่อน ใครสั่งสอนนายให้พูดแบบนั้นกับผู้หญิงกันว่ะ!?” มิเกลหันไปมองเพื่อนชายของตนเองที่ปากพาซวยตั้งแต่วันแรก
“อะไร ฉันแค่พูดว่าเธอเป็นยัยอ้วนแค่เนี่ย!?”
“คุณนี้ไม่มีไหวพริบเลยนะคะ คุณเซอร์วิส!” ซาร่าพูดขึ้นมาทันที เธอขมวดคิ้วอย่างโมโห “ผู้หญิงนะ ถ้าโดนใครก็ตามมาด่าว่าอ้วนนะ มันคือการทำร้ายจิตใจมาก ๆ เลยนะคะ”
“ห๊า ทำร้ายจิตใจตรงไหน? ก็เธออ้วนจริง ๆ นี่น่า” คาร์เตอร์สงสัยว่าเขาพูดผิดอะไร “ฉันผิดเหรอ? แม่บอกว่าให้พูดตรง ๆ กับทุกคน พวกเขาจะชอบคนพูดตรง ๆ ไม่ใช่เหรอ?”
ทุกคนถึงกับส่ายหน้าและกุมขมับทันทีที่แม่อีกฝ่ายนั้นสอนอะไรให้อีกฝ่ายจนไม่มีความคิดของตัวเองเลยหรือไงจนเพื่อนชายอย่างมิเกลตบไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ
“คาร์เตอร์...สมควรล่ะที่นายไม่มีแฟนกับเขาสักทีนะ!”
“ทำไมว่ะ?”
“มานี้มาเดียวฉันติวอะไรให้นายจำเอาไว้” มิเกลลากพาอีกฝ่ายกลับห้องก่อนที่ทุกคนจะฆ่าเขา
คาร์เตอร์ยังงงกับตัวเองพูดอะไรผิดกัน แต่คำพูดของมิเกลก็ทำเอาสาว ๆ แถวนั้นไม่คิดว่าจะเอาคาร์เตอร์เป็นแฟนแน่ ๆ ถ้าจะซื่อบื้อขนาดนั้น ทุกคนต่างหันไปทำกิจกรรมของตนเองต่อ ซาร่าที่อยู่แถวนั้นก็แอบเป็นห่วงเพื่อนใหม่จนเธอนั้นต้องเดินกลับไปยังห้องของเธอที่เป็นห้องเดียวกับห้องของมิรารี เธอเคาะประตูสองสามครั้งก่อนจะเปิดประตูที่ไม่ได้ล็อก เธอเห็นเพื่อนสาวกำลังนอนขดอยู่ใต้ผ้าห่มก็สงสัยว่าเธอกำลังร้องไห้อยู่ไหม ก่อนจะมานั่งที่ปลายเตียง
“มิรา...เธอร้องไห้เหรอ?”
“เปล่า...ฉันจะร้องไห้ทำไม...ก็แค่...โกรธนะ...”
ซาร่าค่อย ๆ เขยิบมานั่งแถว ๆ หัวเตียงพร้อมกับลูกหัวอีกฝ่ายเบา ๆ “ไม่ต้องไปคิดเรื่องผู้ชายคนนั้นหรอกนะ เขามันซื่อบื้อที่กล้าพูดอะไรแบบนั้นนะ”
“อืม...”
น้ำเสียงที่ตอบออกมาสั้น ๆ ซาร่าสัมผัสได้เลยว่าอีกฝ่ายยังไม่หายโกรธง่าย ๆ แน่ จนเธอคิดบางอย่างขึ้นมาได้
“โอมเพี้ยง! สิ่งแย่ ๆ จงออกไป สิ่งดี ๆ จงเข้ามา"
“เอ๋?” มิรารีได้ยินสิ่งที่คล้ายทำนองเวลาเธอเจ็บพ่อจะร่ายมนตร์ให้ ก่อนจะหันมามองอีกฝ่าย ”เธอร่ายมนตร์เหรอ?”
“ใช่ มิรารีจะได้สบายใจขึ้นไงล่ะ~”
มิรารีได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะออกมาพร้อมกับยิ้มให้ซาร่า “ขอบคุณนะ ซาร่า ความรู้สึกโกรธค่อย ๆ ดีขึ้นแล้วล่ะ”
“ดีแล้วล่ะ~”
มิรารีกำลังลุกขึ้นอยู่นั้นก็มีเสียงประกาศดังขึ้นในชั้นของพวกเธอถึงผู้โชคดีว่าถึงเวลาทานอาหารกลางวันตามเวลาที่กำหนดแล้ว ขอให้ผู้โชคดีมายังห้องอาหารกันในเวลานั้น เสียงประกาศนั้นทำให้เหล่าผู้โชคดีที่อยู่ตั้งแต่ชั้นบนสุดไล่ลำดับลงมาอีกห้าชั้น พวกที่อยู่ชั้นล่าง ๆ ต่างพากันลงลิฟต์ไปทันทีจนคนที่อยู่ชั้นพวกเธอบ่นกันว่าลิฟต์ลงไปชั้นล่าง ๆ หมดแล้ว มิรารีกับซาร่าที่อยู่ในห้องก็ได้แต่หัวเราะเบา ๆ
“ข้างนอกเริ่มบ่นล่ะ...พวกเราไปทานอาหารกันดีกว่าเนอะ”
“เอาสิ!” มิรารีฉีกยิ้มให้แก่หญิงสาว
มิรารีลงจากเตียงร่างกายของเธอใหญ่กว่าซาร่าเล็กน้อยทำให้ซาร่าโดยเธอบังจนไม่เห็นตัวอีกฝ่ายได้เลย ซาร่ามองแผนหลังของเพื่อนสาวก่อนจะเดินเข้าไปกอดแขนอีกฝ่ายพากันออกไปข้างนอก พวกที่กำลังรอลิฟต์ก็บ่นกันอย่างไม่ชอบใจที่ตนมาอยู่ชั้นบนสุดแบบนี้จนกระทั่งสาว ๆ ที่ยืนรอเห็นสองสาวกำลังเดินมาด้วยกันด้วยท่าที่ซาร่ากำลังควงแขนมิรารีอยู่ทำเอาเมียแอบแซวหน่อย ๆ กับการกระทำของทั้งสอง
“เอ๋~ สองคนนี้กอดแขนกันมาอย่างกับแฟนเลยนะ”
“เอ๋!” สองสาวที่กำลังเดินมาก็หน้าแดงทันทีที่เพื่อนสาวแซวแบบนั้น
“จะบ้าเหรอ! เมียพูดอะไรนะ!”
“จริงด้วยนะคะ พวกเราแค่เพื่อนนะ อย่าคิดเกินเลยสิ”
“ล้อเล่นน่า ๆ” เมียยิ้มขำ ๆ ที่แกล้งสองคน
“แต่ว่านะ มิราหายโกรธไอ้บ้านั้นแล้วเหรอ?” หญิงสาวผมน้ำเงินถามมิรารีขึ้นมา
“ยังนะ พีบี แต่ไม่ขอคุยกับหมอนั้นจนจบงานเทศกาลเลยล่ะ!”
“ดีแล้วล่ะ นี่ ๆ พวกเรา ฉันได้ยินจากเพื่อนที่อยู่เลขแรก ๆ เธอบอกว่ามีคนหล่อ ๆ เต็มไปหมดเลยล่ะ”
“จริงดิ อยากเห็นหนุ่มหล่อ ๆ แล้วสิ”
“ฉันด้วย!”
“หนุ่มหล่อ ๆ ! หนุ่มหล่อ ๆ !”
กลุ่มสาว ๆ ต่างพากันส่งเสียงคำว่าหนุ่มหล่อทำเอาชายหนุ่มตรงนั้นจำนวนหนึ่งรู้สึกเซ็งที่พวกเธอไม่เห็นพวกเขาเป็นหนุ่มหล่อกันเลย แต่มีคนไม่อยู่ตรงนั้นคือคาร์เตอร์กับมิเกลก่อนหน้านั้นมิเกลคิดว่าจะสั่งสอนเพื่อนของเขาคำพูดอีกฝ่ายเลยพาลงข้างล่างดีกว่ากลับห้อง คาร์เตอร์ที่ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดจนเข้าใจแล้วว่าตัวเองนั้นกล่าวคำพูดที่เสียมารยาทใส่หญิงสาว เขาไม่คิดว่าการพูดตรงของเขาเป็นการพูดที่รุนแรงและไม่อ่อนน้อมเลย การพูดตรง ๆ บางเรื่องก็ไม่สมควรเลยจริง ๆ นั้นทำให้คาร์เตอร์รู้สึกแย่และเข้าใจเลยว่าเขานั้นทำให้เธอโกรธแค่ไหน การโดนเธอตบถือว่าเป็นบทเรียนทำให้เขาเข้าใจโลกรอบนอกมากขึ้นจนเขาเห็นกลุ่มพวกมิรารีลงมาสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่มิรารีที่ใบหน้าก่อนหน้าที่โกรธสุด ๆ กลายเป็นใบหน้าที่มีรอยยิ้ม เขารู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ ตอนที่นึกถึงใบหน้าที่โกรธจัดของอีกฝ่ายแต่ตอนนี้พอเห็นเธอยิ้มมันช่างทำให้เขารู้สึกหัวใจเบิกบานชอบกลจนมิเกลเห็นเพื่อนเขาหุบยิ้มไม่อยู่สุด ๆ จนเขาคิดเลยว่าเพื่อนเขานั้นเป็นอะไร
‘น่าน...ฤดูแห่งรักกำลังมาสินะ...ฝนตกแน่ ๆ’ มิเกลคิด
ช่วงเวลาแห่งการทานอาหารทุกคนมีความสุขกันมาก ๆ มิรารีก็มีความสุขกับมื้ออาหารที่มีหลากหลายชาติจนอิ่มสุด ๆ พอทุกคนกินกันเสร็จก็มีเจ้าหน้าที่มากล่าวบางอย่างทานด้านหน้าห้องทานอาหารพวกเขาประกาศกำหนดต่อไปว่าพวกเขาจะได้ไปชมงานเทศกาลวิทยาศาสตร์กัน ทุกคนได้ยินต่างตบมือและร้องเฮฮาอย่างดีใจที่จะได้เข้าไปรวมงานกันแล้ว มิรารีได้ยินก็ดีใจมาก ๆ ที่จะได้เข้างานกัน ระหว่างที่รอเวลากันนั้นภายในกลุ่มของพวกเธอก็มองชายหนุ่มแต่ละคนที่เดินผ่านไปผ่านมา พวกเธอไม่คิดว่าในงานเทศกาลจะมีหนุ่มหล่อเยอะ เพราะคิดว่าจะมีแต่หนุ่มใส่แว่นคลั่งวิทยาศาสตร์กันอย่างเดียว
มิรารีที่นั่งดื่มเครื่องดื่มแบบปั่นก็แอบมองมั้งจนสายตาของเธอไปปะทะกับชายหนุ่มผมสีดำยาว ผิวขาว ใบหน้าหล่อเหลาของเขาทำเอาสาว ๆ ต่างมองกันตาเป็นมัน แต่สายตาของเขาแอบมองมาทางเธอแล้วยิ้มให้ แต่สาว ๆ ที่อยู่รอบ ๆ เธอกับคิดว่าเขากำลังยิ้มให้พวกเธอ นั้นทำให้มิรารีคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ยิ้มให้เธอแน่ ๆ ห่างออกไปคาร์เตอร์นั่งจ้องมองมิรารีอยู่ เขาอยากเข้าไปขอโทษอีกฝ่ายกับคำพูดกับเธอแต่เขากำลังโกรธเคืองที่มีชายมายิ้มให้เธอจนกระทั่งเสียงประกาศดังขึ้นให้ผู้โชคดีขึ้นรถบัสเพื่อพาไปยังตัวงาน ทุกคนต่างขึ้นรถบัสตามเลขที่เขียนไว้ข้างรถ แต่ละคนไปยังรถของตนเองร่วมถึงพวกมิรารีที่ขึ้นรถของตนเองกันครบทั้งยี่สิบคนรถของพวกเขาก็ออกเดินทางทันที ระหว่างนั้นก็มีเสียงคุยกันอีกครั้ง
"อยากให้ถึงงานเร็ว ๆ จริง ๆ ฉันอยากไปชมงานเกี่ยวกับแรงโน้มถ้วนจริง ๆ แล้วมิรารีล่ะ?"
หญิงสาวที่มีผิวสีเหลืองดูเป็นคนเชื้อสายจีนเอ่ยถามมิรารีที่อยู่ด้านหลัง แต่มิรารีนั้นไม่ได้ฟังอะไร เพราะเธอกำลังเหม่อลอยกับบางอย่างที่ในหัวกำลังคิดอยู่จนพวกสาว ๆ ต่างมองกันก่อนจะที่หญิงสาวคนเดิมจะเอ่ยเรียกเธอ
“มิรารี!!”
มิรารีสะดุ้งทันที เธอหันไปมองหญิงสาวที่เรียกเธอ “อะไรเหรอ? อเล็กซ์”
“เธอไม่ได้ฟังฉันเลยสินะ”
“อ๊ะ...เอ่อ...เมื่อกี้พูดอะไรเหรอ?” มิรารีส่ายหน้าเบา ๆ เธอกำลังเหม่อลอยกับรอยยิ้มอันน่าดึงดูดของชายหนุ่มผมดำคนนั้น
“เหม่อลอยอะไรของเธอเนี่ย? อเล็กซ์เขาถามเธอนะว่าเธอจะไปชมงานอะไรนะ?” หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“อ๋อ...คงไม่พ้นงานวิจัยการหมุนของพายุหิมะนั้นล่ะ” เมียพูดแทนมิรารีทันที
มิรารีขมวดคิ้วมองเพื่อนสาวที่พูดขึ้นว่ารู้ได้ไงว่าเธออยากดูอันนั้น
“ว้าว มันช่างหนาวเย็นนะนั่น” ซาร่าได้ยินก็เอามือจับตัวทำเหมือนหนาวสั่น
“จริงด้วยนะ”
เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้สาว ๆ ต่างขมวดคิ้วกันอย่างไม่ชอบใจทันที แล้วหันไปต้นเสียงที่ว่า
“ทำไมพวกผู้หญิงถึงชอบไปดูอะไรที่ไม่เหมาะกับตัวเองกันเลยนะเนี่ย”
คาร์เตอร์นั่งอยู่ริมหน้าต่าง เขาพูดไปอ่านหนังสือไป มิเกลที่เห็นสีหน้าสาว ๆ เขาก็เอาข้อศอกกระแทกเพื่อนทันที
“เห้ย! คาร์เตอร์ ไม่มีคนว่าหรอกนะ ถ้านายไม่พูดมากนะ เดียวโดนสาว ๆ เล่นงานหรอกนะ”
“หือ!?”
คาร์เตอร์ยกคิ้วอย่างสงสัยก่อนจะหันไปเจอสายตาจ้องเขม็งของสาว ๆ เหมือนอย่างจะกินเลือดกินเนื้อเขา เขาสะดุ้งเมื่อเห็นใบหน้าอันไม่พอใจของสาว ๆ ทำให้คาร์เตอร์ต้องหลบตาหนีเขาไม่คิดว่าตัวเองจะปากไวเกินไปจริง ๆ
โจเซฟที่อยู่เบาะหน้าต้องลุกขึ้นมากล่าวบางอย่าง “ขอโทษแทนพี่เขาด้วยนะครับ พี่ ๆ เขาแค่เป็นพวกสมองช้าเรื่องเล็ก ๆ น้อยนะครับ”
โจเซฟยิ้มกว้างให้แก่สาวๆ ทำให้สาว ๆ ต่างใจเย็นลงกัน ด้วยรอยยิ้มอันแสนวิเศษของโจเซฟ
“แหม ๆ โจเซฟไม่ต้องมาขอโทษแทนก็ได้นะ”
“จริงด้วยนะ พวกเราไม่เอาคำพูดบ้า ๆ มาให้รกสมองหรอก เนอะสาว ๆ”
“ใช่!” สาว ๆ ต่างยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
เหล่าสาว ๆ ต่างพากันหันไปสนใจเรื่องที่คุยกันต่อโดยไม่สนใจคาร์เตอร์ ทำเอาชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองทำไม่ดีอีกแล้ว ช่วงเวลาผ่านไปจนกระทั่งรถบัสเดินทางใกล้ถึงตัวงานทุกคนต่างหันไปสนใจด้านนอกก็เห็นโดมขนาดใหญ่ที่เป็นจุดเด่นของงานนี้ยิ่งเห็นยิ่งทำให้ทุกคนตื่นเต้นสุด ๆ เมื่อรถจอดเทียบจุดสำหรับลงจอดทุกคนในรถของมิรารีก็พากันลงทันที มิรารีกำลังลุกขึ้นแล้วออกจากที่ของตนเองก็ชนกับคาร์เตอร์ ทั้งสองเงยหน้ามองกันด้วยสายตาไม่ชอบใจ มิรารีเห็นอีกฝ่ายแล้วโกรธหน่อย ๆ ที่อีกฝ่ายมาออกอะไรพร้อมเธอ ทั้งสองคนจะทำท่านจะหลบก็หลบพร้อมกัน พอจะเดินก็เดินพร้อมกัน คาร์เตอร์เห็นก็ถอยหนึ่งก้าวทันที
“เชิญ!!”
มิรารีมองอีกฝ่ายที่บอกให้เธอไปก่อน เธอจ้องมองด้วยสีหน้าไม่ชอบใจก่อนจะเดินออกมาโดยไม่กล่าวขอบคุณ คาร์เตอร์ที่ทำตัวสุภาพจะพูดว่าจะไม่ขอบคุณกันเลยเหรอจนมิเกลปิดปากอีกฝ่าย
“นายคงไม่ลืมนะว่าตัวเองทะเลาะกับเธออยู่นะ ถ้าไม่อยากตายเพราะปากตัวเองช่วยเงียบปากนายเลยนะ!!”
“อึ้ก!!”
มิรารีลงมารถแล้วเธอก็เงยหน้ามองงานตรงหน้าที่อลังการมาก ๆ จนเธอคิดเลยว่าในประเทศไทยคงไม่มีงานที่อลังการแบบนี้แน่ ๆ แถมยังฟรีทุกอย่างโดยมีสิ่งหนึ่งที่เจ้าหน้าที่เอามาแจกนั้นคือกำไลสำหรับใช้จ่ายภายในงาน ทุกคนที่ได้รับก็ต่างดีใจที่จะได้ใช้จ่ายโดยไม่ต้องใช้เงินตัวเองกันแถมภายในกำไลมีเงินอยู่ประมาณหนึ่งหมื่นดอลลาร์ ทำเอาทุกคนต่างอึ้งไปเลยที่พวกเขาทุ่มทุนสุด ๆ แบบนี้ พอเจ้าหน้าที่กล่าวจบก็ให้พวกเด็ก ๆ แยกย้ายกันไปดูงานได้เลยทุกคนต่างแยกย้ายกันทันที แต่มิรารียังไม่ไปไหนเธอกำลังส่องดูใบปลิวที่มีแผนที่ในงานอยู่ โจเซฟเห็นพี่สาวยังไม่ไปไหนเลยเดินไปหาอีกฝ่ายทันที
“พี่มิรารีจะไปดูอะไรก่อนเหรอครับ?”
“เอ๋?” มิรารีหันไปหาโจเซฟที่เข้ามาถามเธอ “พี่ว่าจะไปดูการหมุนของพายุหิมะนะ แล้วโจเซฟล่ะ?”
“ผมว่าจะไปที่งานวิจัยความเร็วเหนือแสงนะ จะไปลองดูว่ามีอะไรให้เล่นมั้งไหมนะครับ”
“น่าสนใจนะ ถ้าพี่ดูของพี่เสร็จจะตามไปนะ”
“โอเคครับ งั้นผมไปนะ”
“จ้า โชคดีล่ะ”
“ครับ!!”
โจเซฟเดินออกไปจากตรงนั้นทันที มิรารีนั้นกำลังดูใบปลิวอยู่ว่าจะไปตรงไหนมั้งดี โจเซฟหยุดเดินแล้วหันกลับมามองมิรารี เขารู้สึกแปลก ๆ เหมือนรู้สึกว่าจะไม่ได้เจออีกฝ่ายอีก แต่โจเซฟก็ส่ายหน้าว่าตัวเองคิดอะไรแปลกออกมา ก่อนจะเดินต่อไปทันที
มิรารีดูใบปลิวจบก็ก้าวเดินไปข้างหน้ายังสถานที่ที่เธอจะไปอย่างรวดเร็ว การก้าวขาไปตามทางอย่างสบายใจโดยไม่รู้เลยว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินตามเธอไปไม่ให้เธอรู้ แต่มิรารีรู้ตั้งแต่แรกว่ามีคนตาม แต่เธอไม่คิดอะไร คิดแค่ว่าอีกฝ่ายคงไปทางเดียวกับเธอ ทางเส้นทางข้างหน้ายาวตรงไปยังโดมใหญ่เรื่อย ๆ โดยรอบมีเต็นท์มากมายจัดตั้งมีตั้งแต่ซุ้มงานวิจัย ร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม มิรารีเห็นของทุกอย่างแล้วอยากกินทุกอย่าง แต่ตอนนี้เธอขอเดินไปยังจุดที่เธออยากจะไปก่อนเลยตรงดิ่งไปยังโดมใหญ่ทันที เมื่อเข้าไปยังภายในโดมความเย็นก็ผ่านหัวทำเอาขนลุก เมื่อมองข้างหน้าก็เห็นจุดบริการและคนชูป้ายบอกทางว่าตรงไหนคืออะไร มิรารีมองก็เห็นว่าป้ายงานของเธออยู่ตรงไหน เธอก็เข้าไปยังเครื่องสแกนร่างกายก่อนเข้าโดมเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย เสร็จทุกอย่างเธอก็เลี้ยวไปด้านซ้ายมือเพื่อไปงานวิจัยเกี่ยวกับเครื่องสร้างพายุหิมะ เธอกำลังดีใจที่พอเดินไม่นานก็เห็นแทงก์กระจกขนาดใหญ่ข้างในมีการสร้างพายุหิมะขนาดใหญ่แทงก์นั้น เธอเห็นคนใส่เสื้อป้องกันความหนาวก่อนจะเข้าไปยังเครื่องสร้างพายุหิมะเทียมหมุนรอบตัว มิรารีเห็นก็ตาลุกวาวอย่างสนใจ
“มาถึงแล้ว!! งานวิจัยที่พ่อเคยพามาดู!!” มิรารีปลื้มใจกับสิ่งตรงหน้าสุด ๆ
ระหว่างที่ผู้คนมากมายนั้นกำลังสนุกกับงานเทศกาลวิทยาศาสตร์กันอยู่ข้างนอกอยู่นั้น ดิ่งลงมายังภายในโดมใหญ่มีห้องวิจัยขนาดใหญ่อยู่ แล้วตอนนี้มีชายวัยกลางคนกำลังเตรียมวัตถุบางอย่างเข้าไปยังเครื่องกลไกสร้างบางอย่าง โดยไม่สนใจเลยว่าการกระทำแบบนี้ตอนที่งานเทศกาลที่มีประชาชนอยู่ข้างบนเต็มไปหมดมันเสี่ยงแค่ไหน ทำเอาชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ กำลังชายที่เป็นหัวหน้าของตนที่กำลังทำสิ่งอันตรายในเวลานี้
"คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ ดอกเตอร์ ข้างบนตอนนี้มีคนอยู่กันเยอะนะครับ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา เราจะทำไงครับ!! "
"แล้วทำไมล่ะ!! " ชายวัยกลางคนหันหน้าไปมองชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าตนทันที “อย่าลืมว่าฉันเป็นดอกเตอร์แล้วนายเป็นแค่ผู้ช่วย ตอนนี้ฉันกำลังได้ผลวิจัยที่ฉันต้องการ อย่าเข้ามาสอดเด็ดขาด!!”
ดอกเตอร์หันมาสนใจงานของตนเอง เครื่องกลไกขนาดใหญ่ใช้สร้างเคมีและวัตถุหลากหลายในการทำให้เกิดปฏิกิริยาที่เขาต้องการ ผู้ช่วยหนุ่มเห็นอีกฝ่ายไม่ฟังคำเตือนของเขาแต่อย่างใด แต่เขาก็จะพยายามให้อีกฝ่ายเลิกก่อนที่จะเรียกอีกฝ่ายอีกครั้ง
"ดอกเตอร์ครับ! "
"คุณโน่!! “ ดอกเตอร์ตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายทันที ” ถ้าคุณไม่อยากโดนผมไล่คุณออกก็อยู่เงียบ ๆ ไป!! "
ชายหนุ่มถึงกับก้มหัวโดยทันที "ครับ ดอกเตอร์..."
ดอกเตอร์หันกลับมาสนใจงานของตนเองต่อเขาหัวเราะในลำคอจนผู้ช่วยมองว่าถ้าเขาเอาแต่จ้องมองต้องมีปัญหาตามมาแน่ ๆ เพราะตอนนี้ในหัวอีกฝ่ายมีแต่ผลงานชิ้นเองของเขาที่จะทำให้เขาดัง แต่ไม่คิดถึงผลกระทบเลยว่าถ้ามันพลาดคนนับพันข้างบนจะได้รับผลกระทบไปด้วย เหล่าผู้คนมากมายยังไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนชีวิตพวกเขาแต่ละคนอยู่ภายใต้ด้านล่างโดมที่พวกเขากำลังเหยียบกันอยู่ ทางด้านมิรารีกำลังจับจ้องไปที่เครื่องสร้างพายุหิมะโดยไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากเป็นภาพที่ประทับใจมาก ๆ กับการหมุนของมันถึงแม้มันจะเป็นสิ่งที่อันตราย แต่เธอก็ชอบที่จะเห็นการเคลื่อนไหวของพายุหิมะนี้
“น่าประทับใจจังเลยนะ แรงเหวี่ยง แรงหมุนของมัน ถ้าสามารถตั้งค่าได้ว่าพายุหิมะจะมาตอนไหนก็สามารถช่วยผู้คนที่อยู่ในเขตหนาวในทันที”
ระหว่างมิรารีกำลังปลื้มกับภาพตรงหน้าอย่างเงียบสงัด ก็ได้มีมือหนึ่งเข้ามาแตะที่ไหล่ของเธออย่างกะทันหันทำให้มิรารีที่กำลังสนใจข้างน่าตกใจขึ้นมาทันที
“กรี๊ดดดดดด!!” มิรารีร้องออกมาเสียงดังทำเอาคนรอบข้างและคนที่มาแตะไหล่ตกใจ
“โทษทีสาวน้อย!” ชายที่แต่งกายเหมือนนักวิจัยยกมือขึ้นพร้อมกับสีหน้าตกใจเสียงเด็กสาว “โทษทีทำให้ตกใจนะ ฉันเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลงานวิจัยพายุหิมะนะ”
“ค่ะ...ขอโทษนะคะ” มิรารีหันไปมองเธอไม่ชอบที่ใครเข้ามาใกล้ตอนเธอกำลังพินิจสนใจอะไรตรงหน้าจริง ๆ ”แต่พี่อย่าเข้ามาแบบนี้สิคะ...หนูกำลังสนใจงานจนไม่ได้สนใจใคร...หนูเกะกะเหรอคะ?”
“เปล่านะ ๆ ฉันก็ผิดนะที่เข้ามาวุ่นวายตอนเธอดูงานนะ”
“แล้วมีอะไรเหรอคะ?” มิรารีสงสัยว่าอีกฝ่ายมีอะไรกับเธอ
“ฉันเห็นว่าเธอสนใจงานนี้ เลยมาถามนะว่าเธอสนใจเข้าไปข้างในเครื่องหมุนของพายุหิมะไหมนะ?”
“เข้าไปได้เหรอคะ!?” มิรารีได้ยินก็ตาวาวทันที
“ได้สิ ตามมาเลย!”
มิรารีได้ยินก็รีบตามชายหนุ่มไปทันที พวกเขาให้เธอแต่งชุดเครื่องป้องกันความหนาวพอแต่งกายเสร็จ พวกเขาก็พาเธอไปยังแทงก์ใหญ่ที่มีเครื่องหมุนพายุหิมะเทียม เธอเดินเข้าไปข้างในแล้วฟังคำเตือนของเจ้าหน้าที่ ทางเจ้าหน้าที่ก็เปิดเครื่องพายุหิมะก็เริ่มทำงานหมุนรอบตัวเธอ มิรารีชอบใจมาก ๆ ที่ความหนาวกำลังเข้ามาในร่างกายเธอ มันช่างหนาวได้ใจเธอจริง ๆ ชายหนุ่มที่ตามมิรารีมาตั้งแต่ทางเข้าแอบมองมิรารีอยู่แถวเสาแล้วคนนั้นคือ คาร์เตอร์ เขาว่าจะมาขอโทษอีกฝ่ายกับเรื่องที่เขาพูดไม่ดีกับเธอ เมื่อกี้อีกฝ่ายกรี้ดเขาก็ตกใจจนจะออกมา แต่เป็นเจ้าหน้าที่ที่เขาไปแตะเธอ ทำเอาเกือบเข้าไปยุ่งเสียแล้ว ตอนนี้เขากำลังมองเธอหัวเราะชอบอยู่ข้างในแทงก์พายุหิมะ เขาเห็นอีกฝ่ายก็รู้สึกใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะรอยยิ้มที่ไร้สิ่งเติมแต่ง ความงดงามของหิมะที่ผสมผสานกับเธอมันช่างทำให้เธองดงามในแบบของเธอ คาร์เตอร์ส่ายหน้าเบา ๆ ว่าเขานั้นเป็นอะไรที่มองเธอแล้วมีความสุขจนเขารู้สึกร้อนไปทั้งร่างกาย
‘นี่เราเป็นอะไรกัน?’ คาร์เตอร์คิด
ย้อนกลับมาที่ดอกเตอร์กำลังถือหยอดสารเคมีบางอย่างหยดเข้าไปในเครื่องทดลองหนึ่งหยด พอสารเคมีนั้นเข้าไปในเครื่อง กลไกของเครื่องเริ่มทำงานอย่างราบรื่นนั้นทำให้ดอกเตอร์ตะโกนดีใจทันที ผู้ช่วยนั้นจ้องมองดอกเตอร์กำลังดีใจกับงานของเขา แต่แล้วเครื่องยนต์ก็เริ่มมีเสียงเตือนดังขึ้นมา ทำให้ดอกเตอร์กระวนกระวายว่าเกิดอะไรขึ้นเขาโวยวายว่าทุกอย่างน่าจะเรียบร้อย เขาพยายามแก้ไขเครื่องยนต์ที่กำลังแจ้งเตือนว่ามีว่าความร้อนกำลังพุ่งและกำลังจะระเบิด ผู้ช่วยหนุ่มเห็นแบบนั้นก็รีบตรงดิ่งมาหาดอกเตอร์ทันที
“ดอกเตอร์! เครื่องมันกำลังจะระเบิดแล้วนะครับ ผมบอกแล้วว่าอย่าทำ!”
“ไม่! มันไม่ระเบิดอยู่แล้ว ฉันแก้ก็กลับมาเป็นปกติแล้ว!! มันแค่กำลังเข้าสู่กระบวนการของมัน แกจะทำให้งานฉันพัง!!? ไสหัวออกไปเลย!!”
ดอกเตอร์เริ่มโกรธที่อีกฝ่ายมาวุ่นวายกับเขาจนเขาต้องจับตัวอีกฝ่ายออกจากห้องแล้วปิดประตูและล็อกประตูไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาอีก เขาเดินกลับไปแก้ไขเครื่องของเขาทันที
“ดอกเตอร์!! ดอกเตอร์” ผู้ช่วยหนุ่มพยายามบิดลูกกลอนประตู แต่มันโดนล็อกนั้นทำให้เขาทำอะไรไม่ได้” ดอกเตอร์!! มันกำลังจะระเบิดจริง ๆ นะครับ ดอกเตอร์!!”
เสียงตะโกนของชายหนุ่มส่งไปไม่ถึงชายวัยกลางคนที่กำลังแก้ไขงานของเขา สัญญาณภายนอกก็ดังขึ้นมาจนผู้ช่วยหนุ่มคิดว่าตนเองทำอะไรไม่ได้ก็รีบวิ่งออกจากตรงนั้นทันที เมื่อสัญญาณดังนั้นประตูเหล็กก็ปิดลงตรงทางเข้าห้องวิจัยนั้นทำให้เขารู้ว่ามันจะรุนแรงกว่านั้นแน่ ๆ ทำให้เขาต้องรีบวิ่งเพื่อเอาตัวรอดแต่เพียงไม่กี่วิ การระเบิดก็บังเกิดขึ้นเกิดเป็นอนุภาคความร้อนที่แผ่เผาโดยรอยอย่างรวดเร็ว ผู้ช่วยที่เห็นการระเบิดพุ่งตรงมาหาตนก็ได้เอาแขนยกขึ้นปิดใบหน้าของตนเองแต่แรงระเบิดซัดตัวเขากระเด็นไปข้างหน้าอย่างรุนแรง เสียงระเบิดดังขึ้นจนทั้งโดมสั่นสะเทือนพร้อมกับแรงระเบิดพุ่งออกมาขึ้นสู่ฟากฟ้า ทำให้ผู้คนโดยรอบที่ได้ยินการระเบิดต่างแตกตื่นกัน มิรารีที่อยู่ในเครื่องสร้างพายุหิมะตกใจกับเสียงระเบิดที่ดังมาจากไหนไม่รู้ เธอรีบหันกลับไปที่ประตูเครื่องกล แต่ประตูนั้นกลับไม่เปิดให้เธอ เธอหันไปมองเหล่าเจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายนอก
“ช่วยเปิดประตูให้หนูด้วยค่ะ!!” มิรารีตะโกนออกมาจากแทงก์นั้นทันที “ช่วยด้วยประตูมันล็อก!!”
เจ้าหน้าที่ชายรีบวิ่งตรงไปที่แทงก์ที่เด็กสาวอยู่ เขาพยายามดึงประตูอย่างสุดแรงแต่มันไม่ออกเลยจนหันไปหาเพื่อนของตนเอง
“มันเปิดไม่ออก พวกนายกู้ระบบได้ไหม!?”
“ไม่ได้ ระบบล้มหมด เครื่องก็รัดวงจรหมดเลย!!”
“ว่าไงนะ!! แล้วเด็กในนั้นล่ะ!?”
เจ้าหน้าที่หนุ่มถึงกับตื่นตระหนกถ้าช่วยเด็กออกมาไม่ได้พวกเขาคงซวยแน่ ๆ ชายหนุ่มอีกสองคนเข้ามาช่วยจับประตูเพื่อให้มันเปิดออก มิรารีไม่อยู่เฉยเธอพยายามกระทืบประตูใหม่เพื่อให้มันเปิดทางให้แก่เธอ คาร์เตอร์รีบวิ่งออกมาจากที่ซ่อน เขามองหาขอรอบตัวก่อนจะเห็นแทงเหล็กที่ตกลงมาจากไหนไม่รู้ ก่อนจะพุ่งตรงหยิบมันขึ้นมาแล้วตรงดิ่งไปที่แทงก์ที่มิรารีติดอยู่ มิรารีกำลังกระทืบประตูอยู่นั้นก็เห็นอีกฝ่ายตรงมาหาเธอพร้อมกับแท่งเหล็ก
“นาย...”
“หลบไป!!”
มิรารีทำตามที่ชายหนุ่มพูด เขาง้างมือขึ้นสูงแล้วตีไปที่แทงก์กระจกนั้น เขาตีไปครั้งแรกมันไม่มีปฏิกิริยาแต่อย่างใด เขาเลยตีไปหลายครั้ง แต่มันก็ไม่แตกเลยสักนิด
“แทงก์บ้านี่!! มันอะไรกัน!? แตกซะทีสิเว้ย!!”
พอคาร์เตอร์กำลังจะตีแทงก์นั้นอีกครั้ง การระเบิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แรงระเบิดทำให้คาร์เตอร์ตกลงจากจุดที่เขายืนสู่พื้น
“คาร์เตอร์!” มิรารีตกใจที่อีกฝ่ายตกลงจากจุดที่ยืนเมื่อกี้ “นายไม่เป็นอะไรนะ!!”
“โอ๊ย!! บ้าเอ๊ย!!” คาร์เตอร์เจ็บตัวไปหมด เขาค่อย ๆ ลุกขึ้น เพื่อจะไปช่วยอีกฝ่ายอีกครั้ง
แต่แล้วพนักงานคนหนึ่งก็เข้ามาจับตัวคาร์เตอร์ทันที “พอได้แล้วเจ้าหนู เธอจะไปตีมันเท่าไรก็ไม่ได้ผลหรอกนะ มันทำจากวัตถุกันกระแทกที่แข็งมาก ๆ เลยนะ”
“ว่าไงนะ แล้วเพื่อนผมล่ะ!!”
“เราทำอะไรไม่ได้แล้ว ริชาร์ด!! นายออกมาเดียวนี้เราช่วยเด็กไม่ได้แล้ว ช่วยเท่าที่ช่วยได้เร็ว!!”
มิรารีได้ยินคำพูดของชายคนที่ตะโกนในหัวเธอกับขาวโพลนไปหมด
“หัวหน้า! แต่ว่า!!” เจ้าหน้าที่หนุ่มที่กำลังช่วยเด็กสาวถึงกับอึ้งไปทันที
“ไม่มีแต่! ออกมาเดียวนี้ พวกนายลากเด็กชายคนนี้ออกไป ตอนนี้ตึกจะถล่มแล้ว เร็ว!!”
เจ้าหน้าที่คนอื่นรีบเข้ามาลากตัวเด็กชายออกไปจากตรงนั้น
คาร์เตอร์พยายามดิ้นสุดชีวิต “ไม่นะ!! ปล่อยผม!! ผมจะไปช่วยเธอ มิ...มิรารี!!”
“คาร์เตอร์!!”
มิรารีมองอีกฝ่ายโดนพาตัวออกไป เจ้าหน้าที่หนุ่มหันไปมองเด็กสาวด้วยความรู้สึกผิด มิรารีมองเขาด้วยสีหน้าหวาดกลัวพร้อมกับส่ายหัว
“ไม่นะ...”
“ฉันขอโทษ!” เจ้าหน้าที่หนุ่มรีบนำตัวคนอื่น ๆ ออกจากสถานที่แห่งนั้นทันที
“ไม่!! อย่าทิ้งหนูไว้ที่นี่!! ได้โปรด!!”
มิรารีรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเห็นคนนอนตายอยู่บริเวณที่เธออยู่ นั้นทำให้เธอหวาดกลัวการที่จะตาย แล้วความหนาวก็ยิ่งทวีคูณเข้าไปอีก นั้นทำให้ร่างกายของเธอหนาวขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายเธอทรงตัวไม่อยู่ ตัวเธอไปชนกับกระจก เธอมองไปที่พายุหิมะเทียมที่กำลังหมุนอยู่ นิ้วของเธอเริ่มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรยอมแพ้ เธอพยายามชนไปที่กระจกแต่เธอชนมันเบามาก ๆ เพราะเธอรู้สึกร่างกายนั้นไม่มีเรี่ยวแรงเพราะความหนาว การหายใจเธอก็เริ่มติดขัด ดวงตาของเธอกำลังจะหลับลง แต่แล้วก็มีเสียงตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง
“มิรารี!! อย่าพึ่งหลับ!” เสียงตะโกนนั้นเป็นของคาร์เตอร์ เขารีบมาจากเจ้าหน้าที่เพื่อช่วยเธออีกครั้ง
“คาร์...เตอร์...”
มิรารีพยายามลืมตามองอีกฝ่าย เขาเข้ามาใช้แท่งเหล็กที่ทำมาจากเหล็กที่แข็งแรงมาก ๆ มาตีไปที่แทงก์นั้นอีกครั้ง แต่ตีกี่ครั้งมันก็ไม่แตกเลย มิรารีเห็นแบบนั้นเธอรู้แล้วว่าตัวเองไม่รอดแน่ ๆ เธอยกมือของเธอที่เริ่มมีเกล็ดน้ำแข็งสีขาวเกาะขึ้นมาแตะที่กระจกของแทงก์นั้น
“พอ...เถอะ...”
“มิ...รา...”
“ฉัน...ไม่รอดแน่ ๆ ...นาย...ออกไปเถอะ...”
“ไม่! ไม่ฉันไม่ยอม ฉันต้องช่วยเธอออกมาแล้วพูดในสิ่งที่ฉันจะพูด!!” คาร์เตอร์ใช้แรงสุดกำลังตีไปที่กระจกนั้นอีกครั้ง
เจ้าหน้าที่ชายที่ลากคาร์เตอร์ออกมาครั้งแรก พาเพื่อนเข้ามาช่วยลากเด็กหนุ่มออกอีกครั้ง
“เจ้าหนูเลิกดื้อได้แล้ว เพื่อนเธอไม่รอดแล้ว”
“ไม่!! ฉันจะช่วยเธอ!! มิรารี!!” คาร์เตอร์โดนลากพาออกไปอีกครั้ง
“คาร์...เตอร์...”
มิรารีมองชายหนุ่มที่โดนลากออกไป เสียงระเบิดก็ดังเรื่อย ๆ ตัวของเธอค่อย ๆ ซุกลงกับพื้น ขาของเธอเริ่มเย็นและแข็งจนเกล็ดหิมะคลุมขาแล้วเริ่มลามไปตามส่วนต่าง ๆ อวัยวะต่าง ๆ ก็เริ่มทำงานช้าลง ตอนนี้ไม่มีอะไรช่วยเธอได้เลย ในหัวตอนนั้นเธอนึกถึงแต่แม่ของเธอ ถ้าไม่มีเธอแม่คงต้องช้ำใจแน่ ๆ แต่ไม่รู้ทำไมเธอกับนึกถึงพ่อของเธอขึ้นมา แล้วภาพตรงหน้าเธอเห็นพ่อเดินมาหาเธอนั้นทำให้เธอรู้สึกแปลกใจที่พ่อมาหาเธอตอนนี้ แปลว่าเธอกำลังจะตายจริง ๆ ภาพของพ่อเลือนรางไปเมื่อดวงตาของเธอนั้นพร่ามัวแล้วดับลงด้วยเกล็ดหิมะสีขาวที่ปกคลุมไปทั้งร่างกายของเธอ
จบตอนที่ 2 โปรดติดตามตอนที่ 3 ต่อไป