หิมะกลายเป็นหนึ่งเดี่ยวกับฉัน เพียงเพราะฉันกลายเป็นผู้หญิงที่มีพลังเหนือธรรมชาติ
แอคชั่น,ไซไฟ,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ยุคปัจจุบัน,ไอซ์สโนว์,สาวพลังหิมะ,แอคชั่น,ยอดมนุษย์,ฮิวแมน,เหนือธรรมชาติ,แฟนตาซี,การต่อสู้,YukiCoCo,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ไอซ์สโนว์ สาวพลังหิมะหิมะกลายเป็นหนึ่งเดี่ยวกับฉัน เพียงเพราะฉันกลายเป็นผู้หญิงที่มีพลังเหนือธรรมชาติ
คำแนะนำจากคนเขียน
นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายแต่งขึ้นตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแต่ไม่จบ
เลยขอนำเสนอไว้สักตอนหนึ่งให้อ่านเล่นๆ ก่อนที่จะมาเขียนต่อ
เรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งขึ้นไม่ได้อ้างอิงจากอะไรทั้งสิ้น
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับผู้มาอ่าน
และให้ความสนใจในนิยายเรื่องนี้นะคะ
บทนำของเรื่อง
เมื่อเด็กสาวลูกเสี้ยวไทยนามว่า มิรารี ต้องออกเดินทางไปยังงานเทศกาลวิทยาศาสตร์ที่นิวยอร์กตามความต้องการของเธอ แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นเมื่อด็อกเตอร์คนหนึ่งทำเรื่องขึ้นก่อให้เกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น ทำให้คนตายนับพันร่วมถึงตัวมิรารีที่ไม่น่าจะรอดจากเหตุการณ์นั้น แต่แล้วเวลาผ่านไป 10 ปีตัวเธอที่น่าจะโดนแช่แข็งตายกับฟื้นขึ้นมาในสถานที่แปลกตาเข้าพร้อมกับร่างกายที่เปลี่ยนไป แล้วเธอจะหาใครมาช่วยเธอได้ล่ะ?
กำหนดการลงนิยาย
ยังไม่แน่ชัดนะคะ
ตอนที่ 3 เมื่อตื่นขึ้น
ทะเลอันกว้างใหญ่เกินกว่าผู้ใดจะวัดได้ว่ามันมีขนาดใหญ่เพียงใดแต่ยังมีเกาะบางอย่างถูกตั้งอยู่ในทะเลอันลึกลับพวกนี้ แล้วมีเกาะหนึ่งที่ไร้ซึ่งผู้คนอาศัยและมีเพียงซากปรักหักพังที่สภาพเหมือนกับโดนโจมตีอย่างหนัก ลึกเข้าไปยังความมืดมิดของซากปรักหักพังอันแสนน่ากลัวตามทางเดินไม่เหลือที่จะให้เดินมากนัก ลึกลงไปยังที่ที่หนึ่งมีแทงก์ขนาดใหญ่ถูกตั้งเอาไว้อยู่ แต่ทว่ามีร่างหนึ่งอยู่ภายในแทงก์นั้นดวงตาที่ไม่สามารถลืมขึ้นมาได้กับรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ มีเพียงประสาทสัมผัสที่ได้ยินสิ่งรอบข้างแต่ได้ยินเพียงเสียงอากาศ ก่อนจะมีเสียงบางอย่างดังขึ้นอย่างช้า ๆ จนเกิดเป็นรอยร้าวรอยแทงก์และแตกออกอย่างรวดเร็ว
‘เพล้ง!’
เสียงแตกของกระจกดังขึ้นพร้อมกับน้ำที่กำลังไหลออกมาร่างที่อยู่ภายในตกลงออกจากแทงก์ตกลงสู่พื้นอย่างแรงทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บทั้งร่างกายจนความรู้สึกที่ชาไปชั่วขณะเริ่มกลับมาทำให้เจ้าของร่างรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่อยู่กักมานานแสนนาน เปลือกตาที่ปิดลงมานานเปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บที่แล่นเข้ามาภายในร่างกาย เธอพยายามหายใจเข้าออกอย่างรวดเร็ว ดวงตาที่เปิดออกพร่ามัวไปหมดจนต้องกะพริบตาหลาย ๆ ครั้งก่อนที่ดวงตาจะปรับสภาพของมัน ภาพตรงหน้าค่อย ๆ เด่นชัดถึงพื้นสีเข้มตรงหน้าแต่นั่นทำให้เธอสงสัยว่าตนเองมาอยู่ที่พื้นได้อย่างใด
‘นี่...ฉัน...อยู่ไหนกัน...?’
ความคิดแรกผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็วอย่างน่าประหลาด แต่เธอพยายามจะพูดแต่เสียงของเธอไม่สามารถเบ่งออกมาได้จนเธอยกมือขึ้นมาสัมผัสต้นคอว่าเป็นอะไร
‘ทำไม...เสียงไม่ออกมากัน...แล้ว...อึก! เจ็บ...หน้าฉัน...หน้าอกฉัน...คอฉัน...เจ็บไปหมด...’
สีหน้าของหญิงสาวรู้สึกเจ็บปวดกับความรู้สึกที่ร่างกายส่งเข้ามาสู่สมองของเธอ มันเจ็บยิ่งกว่าอะไร จนเธอใช้มือพยุงตัวเองขึ้นมานั่ง แต่พอพยุงตัวขึ้นนั้นเธอรู้สึกถึงของเหลวที่อยู่ข้างใต้มือของเธอ เธอก้มมองก็สงสัยถึงความเหลวใส ๆ ที่หนองอยู่ที่พื้น ความคิดแรกที่เข้ามาเธอสงสัยว่ามันใช่น้ำเปล่าหรือเปล่า ภายในคอของเธอตอนนี้มันแห้งเหือดไปหมดจนรู้สึกกระหายน้ำมาก ๆ เธอก้มจนใบหน้าของตนเองเกือบติดกับพื้น ลิ้นที่กำลังออกมาสัมผัสกับน้ำที่อยู่ตรงพื้นก็ทำให้หญิงสาวต้องสะบัดหน้าหนีแล้วคลายน้ำใส ๆ นั้นออกจากปากให้หมด เพราะรสชาติของมันไม่ใช่ของที่จะดื่มได้
‘แย่จริง ๆ น้ำบ้าอะไรเนี่ย...หิวน้ำจัง...’ หญิงสาวคิด
สายตาของเธอจับจ้องไปที่น้ำอย่างไม่สบอารมณ์ เธอมองซ้ายมองขวาว่าที่นี่มีน้ำให้ดื่มไหม จนหันไปเจอก๊อกน้ำอยู่ตรงริมห้อง เธอพยายามพยุงตัวเองขึ้นมา แต่เธอก็ลุกไม่ขึ้นนั้นทำให้เธอพยายามลุกขึ้นมาให้ได้จนเธอลุกขึ้นสำเร็จ เธอพยายามให้ตัวเองเดินไปข้างหน้า ถึงจะลำบากแค่ไหนเธอก็หาอะไรเกาะเพื่อไปที่ก๊อกน้ำ ถึงร่างกายจะทำให้เธอล้มไปสองสามครั้งจนมาถึงก๊อกน้ำ เธอก็พยุงตัวขึ้นมาแล้วเอื้อมมือไปที่ก๊อกแต่แล้วเมื่อปลายนิ้วสัมผัสกับก๊อกน้ำมันก็ถูกแช่แข็งทันที หญิงสาวเห็นสีหน้าเธอก็ตกใจในทันใด
‘นี่...นี่มันอะไรกัน!!’
หญิงสาวงุนงงว่าตนเองทำอะไรลงไปโดยที่เธอแค่จะสัมผัสมันแต่ทว่าเธอพึ่งจะสังเกตว่ามือของเธอนั้นกลายเป็นสีขาวเหมือนในฝันที่เธอเคยเห็น ความรู้สึกหวาดกลัวกำลังผุดขึ้นมา เธอเงยหน้าเห็นกระจกบานหนึ่งที่แตกอยู่แล้วติดอยู่กำแพง เธอพยายามร่างตัวเองเดินไปตรงกระจกก็ต้องหน้าซีดทันทีที่เธอได้เห็นร่างกายของตนเองกลายเป็นสีขาวทั้งร่างตั้งแต่ผม ดวงตา ผิวและเครื่องแต่งกายที่ใส่ตอนถูกแช่แข็งในแทงก์ หญิงสาวเห็นร่างกายของตนเองเธอส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา
“นี่...ไม่ใช่...นี่ไม่ใช่ฉัน!!...ไม่ใช่!!!!!!”
ความหวาดกลัวครอบงำหญิงสาวอย่างรวดเร็วจนทำให้เธอเปล่งพลังของตนเองออกมา ความหนาวรอบตัวก่อตัวขึ้นพร้อมกับแท่งน้ำแข็งโผล่ขึ้นมาหลายจุดจนกระจายเป็นวงกว้าง ภายในหัวของเธอรู้สึกสับสนไปหมดว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหนแล้วทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ได้ เมื่อสองทำงานเกิดขีดจำกัดก็ทำให้หญิงสาวสลบลงกับพื้นไปในทันใด
ไล่ออกมาไกลจากเกาะร้างที่หญิงสาวอยู่พุ่งตรงไปยังท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไร้ผู้คนจะเอื้อมถึงมัน เหนือนิวยอร์กสูงขึ้นไปกลางอากาศหลายกิโลเมตรมีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่มีวงกว้างหลายเมตรกำลังลอยอยู่กลางอากาศเหนือเมืองใหญ่ภายในเกาะนั้นมีตั้งแต่บ้านเรือน ตึกอาคารต่าง ๆ รวมไปถึงโรงเรียน ที่แห่งนี้ถูกสร้างมานานเกือบสิบปีที่แห่งนี้ถูกเรียกว่า เกาะแห่งความหวัง หรืออีกชื่อ โฮพฟลุเน็ช เกาะที่เต็มไปด้วยความหวังของผู้คนที่เคยสิ้นหวังจากเหตุการณ์ระเบิดเหมือนสิบปีก่อน
แล้วเมื่อสิบปีก่อนก็ทำให้เกิดเหล่าผู้คนที่มีพลังพิเศษอยู่ภายในเกาะนี้ สถานที่แห่งนี้เลยเป็นแหล่งร่วมเหล่าผู้คนที่มีพลังพิเศษที่ถูกเรียกกันว่า เมต้าฮิวแมน บนเกาะนี้ยังมีจุดจุดหนึ่งที่เป็นที่สนใจมันคือศูนย์กลางที่ผู้คนให้ความสนใจมากที่สุด ตึกอาคารอันโอฬารที่ใหญ่ที่สุดในเกาะที่แห่งนั้นถูกเรียกว่า ฐานบัญชาการเหล่ายอดมนุษย์ ไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะสถานที่นั้นถูกก่อตั้งขึ้นมาก่อนสิ่งไหน ๆ บนเกาะ ข้างในนั้นมีเหล่าพนักงานและเจ้าหน้าที่อยู่เยอะไปหมดมีตั้งแต่มนุษย์ยันถึงเหล่าเมต้าฮิวแมนที่ทำงานอยู่ข้างในนั้นกัน พอเข้ามายังข้างในตึกแห่งนั้น ตรงไปยังห้องหนึ่งเป็นจุดรวมพลเพื่อการประชุมใหญ่ของเหล่าผู้มีอำนาจและหน้าที่ตำแหน่งใหญ่ที่สุดในที่แห่งนี้ ภายในห้องนั้นช่างเคร่งเครียดกันอย่างมาก แล้วก็มีหญิงสาวผมแดงกำลังกล่าวบางอย่างให้ทุกคนฟัง
“จากที่ตรวจสอบไปเมื่อ 1 เดือนก่อน พวกองค์กรดาร์คเนสยังออกตามหาบางอย่างอยู่ ตอนนี้พวกเราก็กำลังตรวจสอบว่าพวกนั้นหาอะไรกัน ถึงจะยังไม่มีเบาะแสอะไรเข้ามาเลยก็ตามที แต่เราก็จะหาให้ได้จนกว่าจะเจอค่ะ”
หญิงสาวผมแดงเมื่อกล่าวออกมาจนจบก็มีหญิงคนหนึ่งเกิดพูดพึมพำเบา ๆ ออกมา แต่ก็ได้ยินหมดทุกคน
“จะหาให้ได้หรือไม่พยายามกันแน่ล่ะเนี่ย”
หญิงสาวผมแดงได้ยินเธอกำหมัดไว้แน่นทันที ก่อนที่หญิงสาวที่ทั้งร่างกายมีแต่สีเขียวและมีประดับด้วยเครื่องไม้ประดับตามตัวจะเอ่ยพูดขึ้น
"ไม่พูดขึ้นมาก็ไม่มีคนบอกว่าเป็นใบ้หรอกนะ คุณเมอร์ซิด้า"
หญิงสาวที่ถูกเรียกชื่อ เธอมีผมสีชมพู ใบหน้าอันสลวยงดงามจนหนุ่ม ๆ ต่างมองเธอ แต่เธอถึงกับขมวดคิ้วหันไปมองหญิงสาวผมสีเขียวทันที
“แกว่าไงนะ!!”
“เปล่านี่ค่ะ ถ้าหูหนวกไม่ได้ยินก็ดีไปนะคะ”
“นี่แก!! จะกวนประสาทฉันหรือไง!!” เมอร์ซิด้าขึ้นเสียงพร้อมกับลุกขึ้นจะใส่อีกฝ่าย
“เงียบ!!”
เสียงที่ตะโกนออกมาอย่างดังก้องทำให้เหล่าผู้คนที่อยู่ตรงนั้นต่างนิ่งเงียบไปทันใด พวกเขาต่างหันไปมองต้นเสียงที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ เจ้าของเสียงมีรูปร่างสูงโปร่งกำยำจนหญิงไหนเห็นก็หลงใหล ทรงผมยาวเซ่อ ๆ สีเทาประบ่ารวมไปถึงหูหมาป่าที่ตั้งขึ้นตามอารมณ์ของเขา แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต่างหวาดกลัวชายคนนี้คือดวงตาสีเหลืองอำพันที่จับจ้องไปพวกเขาอย่างน่าเกรงขาม
“พวกเรากำลังประชุมกันอยู่! อย่ามาทะเลาะอะไรที่มันน่ารำคาญได้ไหม!? คุณเมอร์ซิด้า ซาร่าก็ด้วย”
“ขอโทษค่ะ หัวหน้า!” หญิงผมชมพูกล่าวขอโทษทันที พร้อมกับสายตาที่จับจ้องไปที่ซาร่า
ซาร่าหันหน้าไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ เพราะเธอไม่ขอโทษอะไรแน่ ๆ เพราะเธอไม่ผิดอะไร ชายหนุ่มเห็นแบบนั้นเขาก็ปล่อยผ่านพร้อมกับหันไปมองซาร่า
“แล้วทางเธอล่ะ ซาร่า ได้ข่าวอะไรมั่งไหม?”
ซาร่าได้ยินคำถาม เธอหันไปหาชายที่เป็นหัวหน้าของเธอทันที “ไม่ค่ะ ตอนนี้ทางเมืองนิวยอร์กก็ไม่มีเรื่องเดือดร้อนอะไร พอเราจัดการให้เมต้าฮิวแมนอยู่ในความดูแลของเราทุกอย่างก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากเรื่องที่เมียสืบอยู่นะคะ”
“เมีย!”
“ค่ะ! พวกเราสืบเกี่ยวกับสิ่งที่พวกนั้นหากัน จนเคยจับพวกมันมาได้ แต่พวกนั้นก็โดนวางยาที่อยู่ในรากฟันซะก่อน แต่เราก็ได้เบาะแสมาไม่กี่อย่าง อย่างเช่นพวกนั้นหาใครสักคนค่ะ”
“ใครสักคน? หมายความว่ากำลังหาใครสักคน เพื่ออะไร?”
“เราก็ยังไม่แน่ใจค่ะ...”
“หึ! สองสามปีที่พวกนั้นหายเข้ากลีบเมฆไป ตอนนี้กับออกมาเพื่อหาใครบางคน...”
“ฉันว่าเราน่าจะลองหาสายสืบของเรานะคะ ว่าพวกนั้นตามหาอะไรกันแน่นะ” หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้น
“สายไปแล้วล่ะ พีบี!”
“หมายความว่าไงนะ?”
“สายสืบของเราโดนจับได้ เลยโดนฆ่าไปแล้วล่ะ”
“อะไรกัน...” หญิงสาวที่ชื่อพีบีถึงกับหน้าซีดไปทันที
‘ตึง!!’
ทุกคนต่างตกใจกับเสียงทุบโต๊ะที่ดังขึ้นมา คนที่ทำเสียงนั้นขึ้นมาก็คือชายที่อยู่หัวโต๊ะ
“จะมีอีกสักกี่คนที่ต้องตายเพราะเจ้าพวกนั้นกัน!!”
เมื่อเห็นสีหน้าของชายผมสีเทาดูไม่ค่อยทำให้สถานการณ์ในประชุมดีขึ้น หญิงผมชมพูก็เริ่มพูดขึ้นเพื่อประจบหัวหน้า
“เราต้องทำสำเร็จแน่ ๆ ค่ะ หัวหน้า ไม่ต้องไปห่วงหรอกนะ เดียวพวกเราก็จับพวกนั้นได้เองนั้นล่ะนะคะ!”
“จับได้งั้นเหรอ?” ชายหนุ่มพูดถ้วนอีกครั้ง
พอได้ยินน้ำเสียงของหัวหน้าเปลี่ยนไป ทำให้หญิงผมชมพูถึงกับรู้สึกว่าตัวเองไม่น่าพูดอะไรออกมาเลยจริง ๆ นั้นทำให้เธอเหงื่อตกทันที
“หึ! พูดออกมาแบบนั้น ถ้าเราจับได้...คงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านมาได้ถึง 10 ปีแบบนี้หรอกนะ” ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวก่อนจะมองทุกคน "ตั้งแต่ตอนนั้น...ตอนที่เกิดเมต้าฮิวแมนขึ้น!"
ทุกคนต่างนิ่งเงียบไปทันที เมื่อได้ยินประโยคนั้นจากชายที่เป็นหัวหน้าใหญ่ของฐานบัญชาการนี้เอ่ยพูดขึ้น ทำให้พวกเขานึกถึงช่วงเวลาย่ำแย่นั้น
“จบการประชุมเท่านี้เชิญทุกคนกลับไปทำงานได้!”
พอชายหนุ่มพูดขึ้นทุกคนต่างลุกขึ้นพร้อมกับก้มหัวทำความเคารพแล้วออกจากห้องไป หญิงผมชมพูดกำลังจะรอทุกคนออกไป เธอกำลังจะพูดบางอย่างกับหัวหน้า
“หัวหน้าค่ะ อยากให้ฉัน…”
“ออกไปซะ! คุณเมอร์ซิด้า! ฉันอยากอยู่คนเดียว!”
“อ๊ะ...ค่ะ...”
หญิงสาวกับรู้สึกเสียหน้านิดหน่อยที่หัวหน้าไล่เธอออกจากห้องนั้น เธอรีบเดินออกไปข้างนอกทันที พวกสาว ๆ ที่เป็นคู่อริกับเธอก็ต่างขำออกมาเบา ๆ ทำให้เธอไม่ชอบใจแล้วเดินออกไปทันที
“อยากประจบกับหมอนั้นคงชาติหน้าล่ะ ถ้าหมอนั้นยังไม่ลืมเธอคนนั้นนะ”
“ก็จริงนะ...แต่เธอคงไม่มีวัน...กลับมาหาเราแล้วล่ะ...”
ซาร่าพูดขึ้นพร้อมกับเดินออกจากตรงนั้น สองสาวก็ตามซาร่าไปทันที ชายหนุ่มผมสีเทาที่อยู่ข้างในห้องประชุม เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วไปนั่งที่ขอบหน้าต่าง สายตาเขาจับจ้องไปก้อนเมฆที่ลอยผ่านเกาะนี้ไป สีหน้าเขานั้นเหมือนกำลังจมสู่ห้วงแห่งความคิดของเขา
“ฉัน...อยากให้เธอมีชีวิตอีกครั้ง...ฉันอยากขอโทษเธอ...มิรารี...”
บนเกาะร้าง ณ ห้องหนึ่ง
บนพื้นอันเย็นเฉียบมีน้ำที่หนองกันจากน้ำแข็งที่ละลายไปเยอะแล้ว หลังจากเวลาผ่านมาหลายชั่วโมง น้ำบนพื้นนั้นหนองกันจนสัมผัสกับผิวกายของหญิงสาว นั้นทำให้เธอรู้สึกถึงบางอย่างที่กำลังสัมผัสริมฝีปากของตนเอง เธอได้สติขึ้นมาอีกครั้งดวงตาของเธอค่อย ๆ ขยับขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ๆ เธอมองภาพตรงหน้าเธอเริ่มปรับสภาพได้อย่างรวดเร็ว เธอจำได้ว่าตัวเองสลบไป หลังจากรู้ว่าร่างกายของตนเองนั้นเป็นอะไรก็ไม่รู้ เธอจ้องมองมือของตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อว่าตัวเองกลายเป็นอะไรไป เธอค่อย ๆ พยุงตัวเองขึ้นจนทรงตัวให้นั่งอย่างสบายได้ เธอหันหน้าไปมองกระจกที่แตกก็เห็นร่างกายของตนเองที่ไม่เหมือนเดิมร่างผอมบางสีขาวดั่งหิมะ
“นี่ฉัน...กลายเป็นตัวอะไรกัน...?”
หญิงสาวจ้องมองตัวเองอยู่ในกระจกนานหลายนาทีก่อนที่เธอจะตั้งสติแล้วพยุงตัวเองขึ้นอย่างช้า ๆ จนทรงตัวได้อย่างดี เธอค่อย ๆ เขาไปใกล้กระจกแล้วมองอย่างชัด ๆ ร่างกายของเธอขาวซีดกว่ากระดาษและผมที่สั้นเหมือนร่างเดิมแต่มันกลายเป็นสีขาวหมดทั้งหัวยิ่งมองก็ไม่อยากเชื่อว่านี้คือตัวเอง
“ภาพตรงหน้า...คือฉันเหรอ? ใช่ฉันจริง ๆ เหรอ?”
หญิงสาวนึกภาพตัวเองที่เปลี่ยนไปไม่ออกเลย แต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนไปกลายเป็นใครก็ไม่รู้ ตอนนี้เธอรู้สึกไม่เหลือเค้าเดิมของเธอเลย ตัวเธอที่มีชื่อว่ามิรารี เธอรู้สึกแปลกกับร่างกายนี่ไปหมด ก่อนจะยกมือขึ้นมาตีใบหน้าของเธอทันที
‘เพียะ!’
“ไม่เศร้า ๆ ถึงร่างนี้จะเปลี่ยนไป แต่ฉันก็คือ มิรารี คนเดิม!!”
มิรารีตั้งสติตนเองไม่ให้เศร้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเธอ ถึงร่างกายจะเปลี่ยนไปตัวเธอก็ยังเป็นเธออยู่ดี ตอนนี้เธอต้องหาทางออกจากห้องนี้ก่อน แต่เธอกับรู้สึกแปลก ๆ ที่คอเธอมันไม่รู้สึกกระหายแล้วนั้นทำให้เธอสงสัยเมื่อมองไปที่พื้น
‘นี่ฉัน...คงไม่ได้ดื่มน้ำที่พื้นไปแล้วนะ...’ มิรารีคิด
สีหน้าของมิรารีรู้สึกยี้ ๆ กับการที่ตนเองอาจจะเผยดื่มน้ำบนพื้นไป เธอไม่คิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาลำบากในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้ แต่ตอนนี้เธอส่ายหน้าอย่างช้า ๆ เพื่อให้ตัวเองเลิกคิดอะไรที่มันไร้สาระกับสถานการณ์นี้ เธอหันไปมองรอบ ๆ ว่าจะมีทางออกไปไหมจนกระทั่งเธอเห็นประตูบานใหญ่ที่ปิดอยู่นั้น ดวงตาของเธอเป็นประกายทันทีที่เห็นทางที่จะออกไปจากห้องที่คล้ายห้องวิจัยแห่งนี้ เธอเดินตรงไปอย่างช้า ๆ เพราะขาของเธอมันอ่อนแรงมาก ๆ และบางเหมือนตะเกียบไม่มีผิด เธอเดินจนกระทั่งมาถึงประตูบานใหญ่เธอจับไปที่จับประตูก่อนจะดึงไปทางที่คิดว่าน่าจะเปิดได้ แต่ทว่าเธอดึงเท่าไหร่มันก็ไม่มีที่ท่าจะเปิดออกเลย
“เราเปิดผิดเหรอ? งั้นเอาใหม่!”
มิรารีกล่าวกับตัวเองก่อนจะหันไปอีกทางแล้วใช้แรงของตนเองเปิดประตู แต่ประตูก็ไม่ขยับออกเลยจนเธอหยุดมองอย่างสงสัย
“เดียวสิ! แบบนี้มัน...เราโดนขังในนี่เหรอ!? ไม่นะฉันไม่อยากติดอยู่ในนี้จนตายนะ!!”
มิรารีเริ่มโวยวายเพราะความกลัว เธอพยายามถีบประตูอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้ผลจนเธอลื่นล้มลงกับพื้นไปทันที
“อ๊ากกกกกกก!!”
เมื่อล้มลงไปกับพื้นสิ่งที่โดนพื้นอันดับแรกคือก้นของเธอมันช่างเจ็บจนเธอต้องร้องออกมา
“โอ๊ย...เจ็บเป็นบ้า...ทำไมมีแต่เรื่องเจ็บตัวนะเรา...”
พอร่างกายโดนกระแทกไปอีกครั้ง ทำให้มิรารีค่อย ๆ ตั้งสติพร้อมกับใช้สมองในการคิดว่าควรทำยังไงดีที่จะออกจากห้องนี้ไปได้
“อืมมมมม ถ้าเปิดประตูไม่ได้ก็ต้องตรวจสอบว่า...”
มิรารีนึกบางอย่างขึ้นมาได้ก่อนจะชี้ไปทางทางหนึ่งพร้อมกับพูดบางอย่าง
"มีปุ่มเปิดอยู่ตรงไหน!!"
มิรารีมองไปจุดที่เธอชี้ มันมีคอนโซลสี่เหลี่ยม ๆ มีปุ่มเยอะ ๆ เธอนิ่งไปสักพักหนึ่ง ก่อนจะเดินไปที่คอนโซลนั้น แล้วกดปุ่มสีที่เด่น ๆ ตรงหน้า และแล้วประตูก็เปิดออก เห็นแบบนั้นมิรารีล้มลงไปซุกไปกับพื้นทันที
“นี่เราโง่ขนาดนี้เลยหรือไงกัน...ถึงไม่รู้กระทั่งว่ามีปุ่มใกล้ ๆ ...แถมทำตัวเองเจ็บอีก แย่จริง!!”
มิรารีถึงกับน้ำตาตกทันทีที่ตัวเองต๊องถึงไม่คิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะทำอะไรให้ตัวเองเจ็บตัวแบบนี้ เธอเรียกสติตัวเองกลับมาก่อนจะลองโผล่หน้าออกไปนอกประตูเพื่อดูว่าจะมีใครเดินผ่านแถวนั้นไหม แต่พอเห็นสภาพโดยรอบที่เป็นซากปรักหักพังแบบนี้เธอคิดอย่างเดียวว่าที่นี่ไม่น่ามีคนอยู่แน่ ๆ แต่ก็มีข้อสงสัยว่าที่นี่มันคือที่ไหนกัน
“ที่นี่มัน...ที่ไหนกันแน่เนี่ย?” มิรารีขมวดคิ้วอย่างสงสัย
เธอเดินออกมาจากห้องที่ตัวเองอยู่เมื่อลองเดินไปตามทางก็เห็นแต่ซากปรักหักพังตามจุดต่าง ๆ ยิ่งเดินไปก็เห็นซากที่คล้ายว่าแถวนั้นมีการต่อสู้เกิดขึ้นยิ่งทำให้มิรารีคิดเลยว่าที่นี่ต้องมีเรื่องบางอย่างแน่ ๆ ก่อนที่เธอจะเดินไปเรื่อย ๆ จนไม่ดูทางเกือบจะตกลงไปในหลุมขนาดใหญ่ที่พื้น มิรารีหัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าเดิม เธอไม่คาดคิดเลยว่าที่พื้นจะมีรูขนาดใหญ่ เธอพยายามเดินให้ชินกำแพงแล้วเดินผ่านรูขนาดใหญ่ไปอย่างรวดเร็ว พอเดินไปตามทางนั้นมิรารีก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาเธอรู้สึกถึงสิ่งที่เธอไม่ชอบจนเธอเห็นสิ่งที่วิ่งไปมาตามพื้นนั้นทำให้มิรารีขนลุกขนพองไปหมด
“ยะ...อย่าเดินมาหาฉันละกันนะ...ไม่งั้นฉันแช่แข็งพวกแกแน่ ๆ” มิรารีข่มขู่ปีเตอร์ก่อนจะเดินไปอย่างช้า ๆ ไม่ให้มันสนใจเธอ “ที่นี่โดนปล่อยร้างนานแค่ไหนกันถึงไม่มีการกำจัดเจ้าแมลงพวกนี้กัน…”
มิรารีบ่นพึมพำเกี่ยวกับแมลงไปตลอดทาง เธอไม่เคยชอบแมลงเลยจริง ๆ คงเพราะสมัยเด็ก ๆ เธอโดนพี่ชายแกล้งเอาแมลงมาแหย่ เลยทำให้เธอกลายเป็นคนกลัวแมลงไปเลย เมื่อเดินไปเรื่อย ๆ ตามทางที่เธอกำลังเดินนั้นก็มีสายลมพัดเข้าหาเธอพร้อมกับแสงแดดอันอบอุ่น
“อุ่นจัง...”
มิรารีเงยหน้าขึ้นรับแสงแดดที่สาดส่องเข้าหา เธอมองเพดานที่เป็นโดมกระจกแตกอย่างกับโดยอะไรพุ่งใส่ นั้นทำให้เธอเข้าใจอีกว่าจุดไหนคือจุดที่แมลงเข้ามาได้
“ถึงได้...มีแมลงเต็มไปหมด...เพราะทางเข้าเต็มไปหมดจริงๆ ...”
เห็นสภาพที่นี่เป็นแบบนี้ก็ทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิรารีรู้สึกเซ็ง ๆ เธอส่ายหัวก่อนจะมองหาทางลงไปชั้นล่าง เธอเห็นราวกันแบบกระจกพอเดินไปดูก็ได้เห็นภาพชั้นล่างเหมือนมีการโจมตีใหญ่เกิดขึ้นตรงนี้ เพราะมีทั้งหลุมขนาดใหญ่ใจกลาง ซากเสา ซากกำแพงที่แตกเต็มไปหมด เมื่อมองรอบตัวเธอก็เห็นบันไดที่จะลงไปข้างล่าง จึงรีบวิ่งไปที่บันไดทันทีแต่ก็ต้องหยุดชะงัก เพราะบันไดนั้นขาดเป็นสองส่วน
“แล้วจะลงไปยังไงดีล่ะเนี่ย?”
มิรารีมองบันไดที่ขาดเธอนึกอย่างสงสัยว่าจะลงไปยังไง เธอมองรอบข้าง ๆ มันไม่มีแม้กระทั่งเชือกเลย สายตาของมิรารีเอาแต่มองบันไดจนเธอมีความคิดที่บ้าบิ่นที่สุดเท่าที่เธอเคยทำ เธอถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็วก่อนจะตั้งท่าเตรียมตัววิ่งเธอส่ายหัวกับความคิดอันบ้าบิ่นของเธอก่อนจะวิ่งไปสุดกำลังจนกระทั่งถึงจุดกระโดด เธอก็ดีดตัวเองกระโดดข้ามบันไดที่ไม่มีอะไรรองรับเธอ มิรารีพึ่งมานึกได้ว่าข้างล่างไม่มีอะไรรองรับเธอจนกระทั่งร่างกายเธอกำลังตกสู่พื้น
“กรี๊ดดดดดดดดด!!”
‘ตู้ม!!’
‘ตึง!!’
เสียงโครมครามดังไปทั้งตึกร่างเบาะบางตกสู่พื้นอันแข็งและมีแต่ซากต่าง ๆ ร่างกายของมิรารีกระแทกกับพื้นและกองซากต่าง ๆ ที่พื้น
“โอ๊ะ...โอ๊ย...ไม่นึกว่าจะเจ็บแบบนี้ ทำตัวเองอีกแล้วเรา...”
เธอมองร่างกายของตัวเองที่มีเลือดไหลตามบาดแผลจากการโดนบาดจากเศษกระจก
“ได้เลือดเลยแฮะ...”
เธอมองเลือดที่ซึมออกมา เลือดสีแดงที่ยังบ่งบอกว่าตัวเธอนั้นก็ยังเป็นมนุษย์อยู่
“ฉัน...ยังเป็นมนุษย์อยู่ใช่ไหมนะ?”
ถึงจะให้คิดยังไงเธอก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ดีนั้นล่ะ แต่แค่ตอนนี้กลายเป็นอะไรไปเท่านั้น มิรารีพยายามจะลุกขึ้น แต่เธอกับรู้สึกเจ็บที่ข้อเท้า เมื่อเธอหันไปมองก็เห็นข้อเท้าของเธอนู้นขึ้นมา
“อ๊ะ...เจ็บ...ข้อเท้าแพลงเหรอเนี่ย...ทำไงดีล่ะเนี่ย?”
มิรารีครุ่นคิดถ้ามีคนอยู่ข้าง ๆ เธอยังขอความช่วยเหลือได้ แต่นี่เธอทำไมได้เพราะตอนนี้ที่นี่เหมือนเหลือเธอแค่คนเดียวเธอไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ไหนแล้วที่นี่จะมีคนได้อย่างใด เธอกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็นึกถึงบางอย่างเช่นตอนอยู่ในห้องที่ขังเธอไว้ เธอสร้างแท่งน้ำแข็งขึ้นมานั้นเอง
“ตอนนั้นก่อนสลบมีอะไรคล้าย ๆ น้ำแข็งโผล่ขึ้นมานี่น่า?”
มิรารีกำลังใช้ความคิดของตนเองคิดถึงเหตุการณ์ของตนเองอยู่ว่าเธอนั้นอาจจะทำสิ่งบางอย่างที่พอจะช่วยตัวเองได้
“หรือว่าเรา...”
มิรารียกมือขึ้นไว้เหนือหัวเธอกำลังตั้งสมาธิจ้องมองภาพตรงหน้าของเธอให้มีอะไรออกมาจากมือและแล้วก็มีไอสีขาวออกมาพร้อมกับละอองเกล็ดหิมะสีขาว
“นี่มันหิมะ!!”
มิรารีจ้องมองสิ่งที่กำลังลอยลงมา เธอถึงได้รู้แล้วว่าตัวเองนั้นมีความสามารถอะไร
“นี่...หรือว่าที่ฉันมีร่างกายสีขาวแบบนี้...เพราะ...การระเบิดนั้นกับ...ตู้พายุหิมะนั้น...ทำให้เรากลายเป็น...ยอดมนุษย์เหรอ?”
มิรารีมีสีหน้าที่ซีเรียสขึ้นมาเธอกำลังเป็นตัวประหลาดที่บนโลกนี้ไม่มีนอกจากในหนังหรือการ์ตูนเท่านั้น เธอค่อย ๆ เอามือลงก่อนจะมองไปที่เท้าของเธอ
“ถ้างั้นเราก็ประคบเย็นที่ข้อเท้าได้แล้วสิ!”
มิรารีเกิดความคิดในแง่ดีว่าถึงตัวเองจะกลายเป็นตัวประหลาด แต่เธอก็ยังสามารถรักษาขาของตนเองได้ ตอนนี้ข้าของเธอบวมขึ้นเรื่อย ๆ เธอพยายามตั้งสติก่อนจะเอามือสัมผัสกับข้อเท้าก่อนจะใช้พลังของเธอ ไอควันสีขาวเย็นกำลังออกมาพร้อมกับน้ำแข็งที่กำลังก่อตัวขึ้นที่ข้อเท้าของเธอ
“เย้ย! เย็นจัง...แต่ก็สบายดีจัง~”
ขาของเธอรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมตอนแรกยังเจ็บอยู่เลยก่อนที่เธอจะฉีกเสื้อของตัวเองออกมาแล้วพันที่ข้อเท้าของตัวเอง
“เอาล่ะ! เสร็จแล้ว!!”
มิรารีมองการพันแผลของเธอที่ทำช่างทำให้เธอนึกถึงครอบครัวถึงเธอเจ็บก็ยังมีคนค่อยช่วยทำแผลให้ แต่ตอนนี้ไม่มีใครสามารถช่วยเธอได้เลยสักนิด ใบหน้าที่ไหลออกมากลายเป็นหยดน้ำแข็งตกลงจนมีเสียงกรุ๊งกริ๊งเบา ๆ มิรารีมองอย่างเหม่อลอยก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ แล้วพยายามลุกขึ้นให้ตัวเองยืนให้ได้ เธอพยายามเขย่งขาเดินไปช้างหน้าถึงจะเจ็บแค่ไหนก็จะพยายามเดินไปให้ได้โดยไม่ลงน้ำหนักไปที่เท้าที่เจ็บ เธอเดินตรงไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าจนใกล้ถึงปากทางออกจากตึกที่เธออยู่ แสงสว่างสาดเข้ามาที่ตัวเธอ มิรารียกมือบังแสงสว่างนั้นเมื่อเธอเดินออกมาก็ได้เห็นภาพอันแสนเจิดจ้า ภาพตรงหน้าที่เป็นเนินสูง มีต้นไม้ล้อมรอบเกาะและรอบเกาะนั้นเป็นทะเลที่ไม่เห็นอะไรนอกจากทะเล
“นี่ฉันอยู่บนเกาะกลางทะเลหรือไงเนี่ยยยยยยยยยยย!!”
จบตอนที่ 3 โปรดติดตามต่อตอนที่ 4 ต่อไ