หิมะกลายเป็นหนึ่งเดี่ยวกับฉัน เพียงเพราะฉันกลายเป็นผู้หญิงที่มีพลังเหนือธรรมชาติ
แอคชั่น,ไซไฟ,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ยุคปัจจุบัน,ไอซ์สโนว์,สาวพลังหิมะ,แอคชั่น,ยอดมนุษย์,ฮิวแมน,เหนือธรรมชาติ,แฟนตาซี,การต่อสู้,YukiCoCo,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ไอซ์สโนว์ สาวพลังหิมะหิมะกลายเป็นหนึ่งเดี่ยวกับฉัน เพียงเพราะฉันกลายเป็นผู้หญิงที่มีพลังเหนือธรรมชาติ
คำแนะนำจากคนเขียน
นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายแต่งขึ้นตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแต่ไม่จบ
เลยขอนำเสนอไว้สักตอนหนึ่งให้อ่านเล่นๆ ก่อนที่จะมาเขียนต่อ
เรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งขึ้นไม่ได้อ้างอิงจากอะไรทั้งสิ้น
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับผู้มาอ่าน
และให้ความสนใจในนิยายเรื่องนี้นะคะ
บทนำของเรื่อง
เมื่อเด็กสาวลูกเสี้ยวไทยนามว่า มิรารี ต้องออกเดินทางไปยังงานเทศกาลวิทยาศาสตร์ที่นิวยอร์กตามความต้องการของเธอ แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นเมื่อด็อกเตอร์คนหนึ่งทำเรื่องขึ้นก่อให้เกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น ทำให้คนตายนับพันร่วมถึงตัวมิรารีที่ไม่น่าจะรอดจากเหตุการณ์นั้น แต่แล้วเวลาผ่านไป 10 ปีตัวเธอที่น่าจะโดนแช่แข็งตายกับฟื้นขึ้นมาในสถานที่แปลกตาเข้าพร้อมกับร่างกายที่เปลี่ยนไป แล้วเธอจะหาใครมาช่วยเธอได้ล่ะ?
กำหนดการลงนิยาย
ยังไม่แน่ชัดนะคะ
ตอนที่ 4 ฉันติดอยู่บนเกาะร้าง
เสียงลากยาวดังไปทั้งเกาะจนนกที่อยู่แถวนั้นต่างตกใจจนบินหนีขึ้นสู่ท้องฟ้า มิรารีมองภาพตรงหน้าของเธอว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดใช่ไหมที่รอบตัวเธอคือป่าเกือบทั้งหมดแล้วมีเพียงทางลาดยาวลงเนินไปตามทิศทางจนถึงจุดที่น่าจะเป็นท่าเรือ มิรารีจ้องมองก่อนจะครุ่นคิดว่าทำไมตัวเธอถึงถูกเอามาปล่อยเกาะแบบนี้ ตอนนี้มีแต่ความสับสนและงุนงงไปหมด เธอพยายามเดินไปด้านข้างก็เห็นแต่ป่าอันกว้างใหญ่ที่รอบไปด้วยทะเลรอบเกาะ
“ฝันร้าย...ฝันร้ายชัด ๆ ถึงจะเคยเดินป่ากับพ่อตอนเด็ก ๆ แต่นี่มันนี่มัน...นรกชัด ๆ !!”
มิรารีรู้สึกเครียดลงกระเพาะสุด ๆ จนอยากจะเป็นลม ระหว่างที่เธอกำลังสูดอากาศหายใจ หางตาของเธอก็ไปเห็นสิ่งบางอย่างที่ดูใหญ่กว่าที่เธอคิดจนเธอนั้นค่อย ๆ หันไปมองก็เห็นลำต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่กว่าที่เธอเคยเห็น เธอค่อย ๆ เงยหน้ามองก็เห็นว่าลำต้นนั้นยังไม่ใหญ่เท่ากับส่วนบนที่มีขนาดใหญ่กว่าอะไร มันเหมือนต้นไม้โลกตามนิยายหรือการ์ตูน
“แม่เจ้าโว้ย! ต้นอะไรจะใหญ่ขนาดนี้กัน!!”
น้ำเสียงของมิรารีดูประหลาดใจกับต้นไม้ใหญ่ที่มีขนาดลำต้นเกินกว่าจะเรียกว่าต้นไม้ธรรมดา มิรารีเห็นต้นไม้ต้นนี้ก็ทำให้เธอมีความคิดอันพิเรนทร์ขึ้นมา
“คงต้องลองปีนขึ้นไปดูรอบ ๆ หน่อยละกัน!!”
มิรารีตัดสินใจโดยไม่ดูร่างกายของตนเองเลยว่าตอนนี้บาดเจ็บอยู่ เธอพยายามเดินไปจนถึงต้นไม้ เธอมองหาจุดที่จะพอให้เธอปีนได้ แต่พอมือแตะต้นไม้มันก็กลายเป็นน้ำแข็งตรงจุดที่เธอสัมผัส
“ว้าย! ตายล่ะ! ทำไมกัน!!”
มิรารีตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่นึกว่าการสัมผัสเพียงเล็กน้อยจะทำให้ต้นไม้โดนแช่แข็งตรงจุดที่เธอสัมผัส
“ทำไงดีล่ะเนี่ย...”
มิรารีมองจุดที่สัมผัสถึงจะเล็ก แต่ก็อาจจะทำให้ต้นไม้ตายได้แน่ ๆ เธอยกมือขึ้นมาพนมมือขึ้นตรงหน้าต้นไม้
“ขอโทษด้วยนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแช่แข็งคุณต้นไม้เลยนะ!! แต่ฉันก็รีบปีนขึ้นไปหน่อยนะ!!”
ไม่รอช้ามิรารีก็พยายามปีนขึ้นไปโดยไม่สนใจบาดแผลของเธอ เธอปีนและกระโดดไปตามกิ่งไม้ใหญ่อย่างกับลิง คงเพราะสมัยเด็กเธอชอบปีนต้นไม้เก็บมะม่วงนั้นเลยทำให้เธอมีทักษะในการปีนต้นไม้ พอเธอปีนขึ้นมาถึงจุดสูงสุดก็ได้เห็นรอบเกาะอย่างชัดเจน เธอหันไปพูดกับต้นไม้
“ขอโทษนะคะคุณต้นไม้ ทำเอาเย็นไปเลยล่ะมั่งเนี่ย...”
มิรารีมองตามจุดที่เธอปีนขึ้นมาทำให้ต้นไม้โดนแช่แข็งเป็นบางจุด ทำเอารู้สึกสงสารหน่อย ๆ ถ้าเป็นคนโดนคงแข็งตายไปแล้ว มิรารียิ้มอ่อน ๆ ก่อนจะหันไปมองรอบเกาะก็ต้องตะลึงกับภาพล้อมเกาะที่มันกว้างมาก ๆ
“นี่...นี่มัน...จะกว้างไปไหนกัน...!?”
เกาะที่เธออยู่ตอนนี้มันเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นเต็มไปหมด แต่บางจุดเธอก็เห็นสถานที่ที่ไม่เคยเห็นอีกมากรอบเกาะ เธอมองไปข้างหลังตึกก็มีแต่ป่า แต่สถานที่นี่เหมือนโดนปล่อยร้างมานานพอตัวไม่งั้นตามจุดต่าง ๆ คงไม่มีเถาวัลย์หรือฝุ่นเต็มไปหมด แต่พอสังเกตตามจุดต่าง ๆ เธอรู้สึกว่ามีหลายจุดที่เหมือนเคยมีการต่อสู้ไม่งั้นบางจุดจะมีต้นไม้พึ่งขึ้นมาใหม่ได้ยังไง มิรารีเห็นแบบนั้นก็คิดว่าคงมีการต่อสู้ไม่นานมานี้แน่ ๆ เธอคิดอยู่นานก่อนจะลงจากต้นไม้ แต่เธอลงมาจนใกล้จะถึงข้างล่างเธอก็ลืมไปว่าขาตัวเองเจ็บอยู่
“แย่ล่ะ!!”
มิรารีลงมาที่พื้นก็รู้สึกบางอย่างที่ไม่ได้รู้สึกแล้ว
“เดียวนะ...ข้อเท้ามัน...ไม่เจ็บแล้ว...”
มิรารีลองขยับเท้าของตนเองไปมาเธอไม่รู้สึกเจ็บแล้ว ทำเอาแปลกใจมาก ๆ ที่มันไม่เจ็บแล้วก่อนที่เธอจะลองแกะผ้าพันแผลออกก็เห็นว่าข้อเท้าที่ก่อนหน้านั้นบวมตอนนี้ยุบไปแล้ว
“นี่เรา...เป็นอะไรยิ่งกว่ายอดมนุษย์เหรอ?”
มิรารีเอ่ยถามตัวเองอย่างสงสัยว่าร่างกายคนเราสามารถรักษาตัวเองได้ด้วยเหรอ ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้นก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ
‘โครกกกกกกกกก’
มิรารีได้ยินเสียงนั้นก็เอามือแตะที่หน้าท้องของเธอด้วยความเขินอายทันที
“จู่ ๆ มาหิวอะไรตอนนี้เนี่ย...”
มิรารีก้มมองท้องของเธอที่มาร้องอะไรในเวลาแบบนี้ แต่พอท้องร้องแบบนี้ก็ทำให้เธอคิดอีกเรื่องออกมาได้ทันที
“จริงสิ...แบบนี้จะทำไงดี...ถ้าที่นี่ถูกทิ้งร้างมานาน...ไม่น่าจะมีอาหารแน่ ๆ”
มิรารีหันไปมองตึกอาคารที่เธอออกมาเธอนึกอย่างสงสัยว่าที่นี่จะมีอะไรให้ทานไหม แต่ต้องไปสำรวจอย่างเดียว
“ลองไปสำรวจหน่อยละกันว่า...มีอะไรเหลือมั้งไหม...”
มิรารีตัดสินใจลองเดินเข้าไปยังตึกอาหารใหญ่ที่เธอออกมาอีกครั้ง เธอพึ่งสังเกตว่าจุดทางเข้าดูเหมือนจะเป็นห้องโถงใหญ่ มีเคาน์เตอร์ต้อนรับ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นซากปรักหักพังที่มีท่อนเสาตกลงมาอยู่ตรงกลางพานกับชั้นสอง เธอเห็นเสาก็นึกได้ทันที
“เดียวนะ...มีเสาหินนี้...แล้วทำไมเราไม่ลงมาตั้งแต่แรกกัน...”
มิรารีกุมขมับตัวเองที่พึ่งเห็นเสาหินนี้ตอนนี้สมองเธอรู้สึกอ่อนล้าสุด ๆ ที่สมองเหมือนไม่รับรู้อะไรเลย เธอจ้องมองสภาพแวดล้อมที่ดูเก่าสุด ๆ อย่างหนังสือที่ตกอยู่ยังโดนกัดจนทะลุ เธอย่อตัวลงไปดูก่อนจะหยิบมันขึ้นมา
“ที่นี่มันมีสงครามอะไรกันนะ...สภาพถึงดูเละแบบนี้...”
ตัวหนังสือในหนังสือดูจะจางไปพอตัว แต่เธอก็อ่านมันเล็กน้อยจนเห็นข้อความว่าการศึกษาเกี่ยวกับเมต้าฮิวแมนจนเธอรู้สึกสนใจหนังสือนี้ แต่หนังสือก็ขาดคามือของเธอทันที
“เหอะ ๆ ไปตรงอื่นต่อดีกว่า...”
เมื่อเลิกสนใจหนังสือที่หยิบขึ้นมามิรารีก็ไปจุดที่คล้ายเคาน์เตอร์ เธอลองเดินเข้ามาตรวจสอบบางอย่างข้างในนี้จนเธอเห็นคอมพิวเตอร์ที่ตั้งวางอยู่ เธอลองมองดูหาปุ่มลองกดมันแต่ไม่มีอะไรขนาดเลย แต่สภาพมันดูทันสมัยมาก ๆ จนน่าเสียดายมาก ๆ ที่มันมาตายอยู่ที่นี่
“เฮ้อ...น่าเสียดายจริง ๆ คงอยู่มานานจนเจ๊งแล้วล่ะมั้ง...แต่...ดูต่างจากคอมของเรายังไงชอบกล...รุ่นใหม่เหรอ? หรือว่าเราหลับไปแล้วรุ่นใหม่ออกมาพอดี...?”
มิรารียังคงสนใจคอมตรงหน้าอยู่สักระยะก่อนจะลองไปตรวจจุดอื่นต่อ ตามทางเธอต้องหลบให้แก่เหล่าปีเตอร์ที่พุ่งตรงมาทางเธอนั้นทำเอาขนลุกและเหงื่อตกสุด ๆ ยิ่งเธอไม่ชอบยิ่งเจอพวกมันมากกว่าเดิม เธอเดินไปตามจุดต่าง ๆ ก็ไม่เจออะไรนอกจากห้องที่ว่างเปล่า แต่มีห้องที่น่าสนใจคือห้องพักที่เหมือนมีคนเคยอาศัยอยู่มาก่อน ก่อนกระจัดกระจายเต็มไปหมดจนเธอต้องเดินไปเก็บไป เพราะของแต่ละอันดูเหมือนจะเป็นของของใครสักคนที่เคยอยู่ที่นี่จนเธอนั้นเอาไปวางที่หน้าห้องหนึ่งก่อน แต่ก็มีความสงสัยเกิดขึ้นที่นี่มีห้องพักด้วยที่นี่ต้องมีไว้ทำอะไรแน่ ๆ
“น่าสงสัยแฮะ...มีห้องพักด้วย...ตึกใจกลางเกาะ ไม่มีเรือ มีหนังสือสอนความรู้...หรือว่าที่นี่เป็นโรงเรียนนะ? แต่โรงเรียนอะไรมาอยู่ใจกลางทะเลแบบนี้?”
มิรารีขมวดคิ้วคิดอย่างสงสัยก่อนจะเดินตรงไปข้างหน้าเรื่อย ๆ จนเธอเดินเข้าไปลึกกว่าเดิมก่อนจะเห็นประตูบานใหญ่ที่คล้ายกับประตูโรงอาหาร มิรารีจ้องพินิจก่อนจะเห็นป้ายที่ติดอยู่ข้างบนประตู
“นั้นมัน...โรงอาหาร!!!”
ใบหน้าสีขาวดั่งหิมะผุดรอยยิ้มอันดีใจออกมา มิรารีไม่คิดว่าจะได้เจอโรงอาหารแต่ก็ต้องมาเสี่ยงดวงว่าข้างในมีของแห้งพอให้ทานได้ไหม เธอรีบตรงดิ่งไปที่ประตูพร้อมกับเปิดประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าพอจะเปิดก็มีอุปสรรคขึ้นประตูเปิดไม่ออกนั้นทำให้เธอต้องใช้แรงของตนเองพอควรก่อนจะเปิดได้ ตรงประตูมีโต๊ะที่ติดกับเก้าอี้กักทางเข้า เหมือนมีคนเอามากักไม่ให้คนภายนอกเข้ามา แต่ทว่าข้างในกับมีรูขนาดใหญ่ที่กำแพงภายในห้องอาหารนี้ ทำให้คิดเลยว่าคงมีการโจมตีจากข้างนอกแน่ ๆ แต่ก็ช่องโหว่ขนาดใหญ่ที่กำแพงเหมือนโดนระเบิดแต่ไม่มีเขม่าให้เห็นเลยจนน่าแปลกใจว่าใช้ระเบิดหรือเปล่า
“ไม่มีเขม่าของการระเบิด...แต่มีรูขนาดใหญ่...อืมมมม...คงไม่ใช่มีคนมีพลังแข็งแกร่งแล้วพุ่งเข้ามาชนกำแพงล่ะ?”
มิรารีบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะหันไปสนใจอีกทางหนึ่งแทนเธอเดินตรงมาที่โซนห้องอาหารที่มีจุดตักอาหาร แต่มีกลิ่นบางอย่างที่น่าสะอิดสะเอียนโชยออกมา
“อึ้ก!! กลิ่นนี้มัน! อาหารเสีย!!”
กลิ่นอาหารที่เหมือนมีการเตรียมให้มีคนมาตักถูกทิ้งไว้จนมีกลิ่นอันน่าสะอิดสะเอียน มิรารีเอามือปิดจมูกอย่างไม่ชอบใจสุด ๆ ก่อนที่เธอจะเดินตรงไปที่ข้างในพอไม่มีกลิ่นและสะอาดสมกับเป็นห้องครัวถึงจะมีสิ่งสกปรกจากการฝุ่น มิรารีเริ่มค้นหาของข้างในเธอเปิดทุกจุดในห้องครัวจนเจอกับตู้ที่มีของแห้งเก็บไว้เต็มไปหมด
“อ๊ายยยยยยย ฉันรอดแล้ว!”
มิรารีร้องไห้อย่างดีใจที่เจอพวกอาหารแห้งอย่างอาหารกระป๋องจำพวกถั่วต้ม มะเขือเทศอะไรพวกนั้น แล้วก็ซองซุปสำเร็จรูป แล้วก็พวกเส้นพาสต้า มิรารีเห็นพวกของกินก็ทำให้เธอคิดว่ายังมีทางรอดจากสถานการณ์ตรงนี้ได้ไปสักระยะ แต่ก็ทำให้เธอรู้สึกยังไม่พอใจอยู่ดี
“ดีใจอยู่หรอกที่มีอาหารแห้งให้ทาน แต่...ไม่มีอาหารสดเลยแฮะ...”
มิรารีเป็นพวกสายเนื้อเลยอยากกินอะไรที่เป็นเนื้อมากกว่า ตอนนี้เธอคงต้องประทังชีวิตด้วยอาหารแห้งไปก่อน เธอกำลังหมดหวังกับอาหารแห้งอยู่นั้นก็เห็นอะไรแวบผ่านสายตาจนเธอหันไปมองจุดจุดหนึ่งก็เห็นสิ่งบางอย่างตั้งตระหง่านอยู่มุมห้องนั้นก็คือตู้เย็นนั้นเอง แต่ก็มีความคิดที่ทำให้มิรารีไม่กล้าที่จะไปแตะมัน เพราะที่นี่ดูไม่มีไฟฟ้าเลยตู้เย็นตอนนี้คงจะมีแต่ของเสียเต็มไปหมด
“ไม่กล้าเปิดเลยแฮะ...”
ความกังวลได้บังเกิดขึ้นทันทีว่าของข้างในนั้นมันไม่จะเน่าไปแล้วแน่ ๆ เพราะที่นี่น่าจะถูกปล่อยร้างไว้นานพอตัวของในตู้เย็นอยู่ได้นานสุดก็สองสามวันก็เสียแล้ว แล้วยิ่งของในตู้เย็นอีกตอนนี้คงมีหนอนเต็มไปหมด แต่ในความคิดของมิรารีการตรวจสอบสถานที่เธอจะใช้ต้องกำจัดมันออกไปไกลจากที่พัก
“ไปตรวจสอบหน่อยละกัน...เพราะ...ถ้าไม่ดูมันเสียมากกว่านี้มีหวังเหม็นตายที่นี่แน่ ๆ ดูแล้วจะได้ทำความสะอาดด้วย”
เมื่อรวบรวมความกล้าแล้วนั้นมิรารีก็ค่อย ๆ เขยิบไปใกล้ ๆ ตู้เย็น หัวใจเธอเต้นแรงตึกตักด้วยความกลัวที่ข้างในนั้นเธอจะเจอกับกลิ่นอันไม่น่าพึ่งประสงค์เป็นแน่ เธอยกมือขึ้นมาแล้วยื่นตรงไปข้างหน้าจนจับไปที่บานประตูเธอหลับตาลงพร้อมกับดึงมันเปิดออกทันที แต่ทว่าสิ่งแรกที่กระทบผิวหนังของเธอคือความเย็นจากตู้เย็นนั้นทำให้มิรารีเปิดตากว้างอย่างตกใจ ภาพตรงหน้าก็ทำให้เธอตะลึงทันทีที่มีวัตถุดิบเต็มตู้เย็นไปหมด
“ไม่จริง...ตู้เย็นยังทำงาน...แล้วก็...แล้วก็ของกิน!!”
วัตถุดิบมากมายที่ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบตั้งแต่ซอส ของดอง หรือวัตถุดิบมากมายที่ทำให้มิรารีอยู่รอดไปได้สักระยะหนึ่ง แต่ที่น่าสงสัยว่าของข้างในมีเสียไหมจนเธอต้องเปิดเพื่อตรวจสอบและชิม แต่ของแต่ละอย่างกลับไม่เสียเลยมันช่างน่าแปลกประหลาดกว่าทำไมของในตู้ไม่มีเสียเลย เธอปิดประตูลงพร้อมกับเปิดอีกฝั่งที่เป็นช่องฟรีซก็ได้เจอกับพวกเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ตั้งแต่หมู ไก่ เนื้อ และอาหารทะเล แต่ก็มีสิ่งหนึ่งเด่นสะดุดตาของมิรารี
“อ๊ายยยยยยยย ไอศกรีม!!”
มิรารีกรี๊ดกร๊าดอย่างชอบใจก่อนจะหยิบมันออกมาแล้วหาช้อนตักกินหนึ่งคำ ความเย็นกำลังแผ่ซ่านไปทั้งร่างกายคาวมเย็นอันสดชื่นความหวานของวานิลลา เป็นคำแรกในรอบวันที่เธอได้กินของที่อยากกินจนร้องไห้ออกมา
“ฮืออออ ไม่อดตายแล้ว! มีของพวกนี้ฉันก็ทำอาหารที่อยากทานก็ได้แล้วววววว!! ฮืออออ”
ณ สถานวิจัย ข้างในตึกฐานบัญชาการยอดมนุษย์
ห่างออกมาจากเกาะร้างอันแสนไกล ตึกสูงตระหง่านที่ได้ชื่อว่าเป็นฐานบัญชาการยอดมนุษย์ที่อลังการยิ่งกว่าอะไร พุ่งตรงเข้าไปยังภายในมีที่ที่หนึ่งที่เหล่าผู้คนให้ความสำคัญเป็นอันดับสองของที่นี่ได้แก่สถาบันวิจัยที่อาคารมีขนาดใหญ่และกว้างมาก ๆ ภายในสถาบันมีเหล่านักวิจัยมากหน้าหลายตาตั้งแต่มนุษย์จนไปถึงเมต้าฮิวแมนที่ทำงานเป็นนักวิจัย พวกเขาต่างวิจัยในหลายเรื่องหลายอย่างที่ได้รับมอบหมาย ร่วมถึงบุคคลที่เหล่านักวิจัยจะให้ความเคารพนับถือที่สุดในสถานวิจัยแห่งนี้ เหล่านักวิจัยทั้งหลายต่างทักทายเด็กผู้หญิงร่างเล็กที่กำลังเดินผ่านพวกเขา
“สวัสดีครับ ดอกเตอร์”
“สวัสดีค่ะ ดอกเตอร์”
“สวัสดีทุกคน ตั้งใจทำงานกันล่ะ!!”
เด็กผู้หญิงร่างเล็กต่างทักทายตอบทุกคนอย่างยิ้มแย้ม เธอมีความสูงเท่ากับเด็กผู้หญิงวัยสิบเอ็ดปี เธอเดินตรงกลับไปยังห้องห้องหนึ่งที่เป็นห้องทำงานของเธอ พอมาถึงโต๊ะของตนเองเธอก็หมุนเก้าอี้แล้วนั่งลงด้วยร่างกายที่เหนื่อยล้า
“เฮ้อ...เหนื่อยจังเลย การประชุมวันนี้ก็ทำให้เครียดลงกระเพาะอีกแล้ว...”
ระหว่างที่เธอนั่งถอดหายใจด้วยความเหนื่อยอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ดอกเตอร์ค่ะ ฉันฮาร์เปอร์ค่ะ”
“เข้ามาได้...” เด็กผู้หญิงเชิญให้อีกฝ่ายเข้ามา
ต้นเสียงได้ยินคำเชิญ เธอก็เปิดประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว เธอเป็นหญิงสาวร่างสูงมีรูปร่างน่าหลงใหล รูปปากได้รูป ดวงตาที่ตี๋หน่อย ๆ หน้าอกขนาดคัพเอฟ เอวได้รูปตัวเอส หญิงสาวคนนี้เดินเข้ามาพร้อมกับเอกสารต่าง ๆ
“วันนี้มีอะไรเหรอ?”
“วันนี้มีแค่เอกสารให้ดอกเตอร์เซ็นนะคะ” ฮาร์เปอร์กล่าวจบก็วางเอกสารลงตรงหน้าของหญิงสาว
“เอกสารอีกแล้วเหรอ? น่าเบื่อสุด ๆ ...” เด็กผู้หญิงมองกองเอกสารมากมายที่ต้องทำด้วยสีหน้ารังเกียจกองเอกสารนี้สุด ๆ
“อย่าพูดแบบนั้นสิคะ ตรวจสอบแล้วเซ็นเสร็จก็ได้พักแล้วนะคะ ดอกเตอร์”
“เลิกเรียกฉันแบบนั้นเลยนะ...ฮาร์เปอร์...บอกแล้วไงว่าอยู่สองต่อสอง ให้เรียกว่า เอวา นะ”
ฮาร์เปอร์ยิ้มออกมาเบาๆ พร้อมกับเดินมาอยู่ข้างๆ เอวา “จ้า ๆ เอวา ถ้าทำงานเสร็จกลับบ้านไปจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้ทานนะ”
“จริงนะ!” เอวามองหญิงสาวอย่างชอบใจ
“จริงสิ” ฮาร์เปอร์หอมแก้มเอวาหนึ่งครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องไป
เอวายิ้มอย่างมีความสุข เธอนึกถึงแต่อาหารฝีมือของฮาร์เปอร์ ระหว่างหยิบเอกสารมาตรวจสอบเธอก็ล้วงมือใต้โต๊ะหาปุ่มเปิดบางอย่าง เพราะกดปุ่มนั้นได้ก็มีบางอย่างขึ้นมาจากพื้นมันมีลักษณะกรอบสี่เหลี่ยมใหญ่ นั้นก็คือ จอคอมพิวเตอร์ขนาดบาง พร้อมกับแป้นพิมพ์โฮโลแกรมบนพื้นโต๊ะ
“ระหว่างเซ็นเอกสารก็ตรวจดูงานไปด้วยละกันนะ”
ระหว่างที่มือทั้งสองข้างเธอทำงานอย่างชำนาญ ข้างซ้ายกำลังเซ็นเอกสารบนโต๊ะ ข้างขวาก็กำลังใช้เมาส์เลื่อนข้อมูลบนหน้าจอคอมจนกระทั่งมีข้อมูลหนึ่งเด้งขึ้นมา เธอมองมันด้วยความประหลาดใจก่อนจะเปิดข้อมูลนั้นขึ้นมาก็เห็นมีการแจ้งเตือนที่เธอเคยเห็นเมื่อหลายเดือนก่อน
“หือ? ...เครื่องนี้มัน...”
เอวาปล่อยทุกอย่างแล้วใช้แป้นพิมพ์โฮโลแกรมกดคีย์หาข้อมูลก่อนจะเห็นว่าเครื่องนี้มันคือเครื่องตัวไหน แต่มีความสงสัยว่ามันแจ้งเตือนอีกแล้ว
“แจ้งเตือนอีกแล้วเหรอ? ครั้งก่อนไปตรวจสอบยังเกือบเอาตัวไม่รอดเลยนะ...”
เอวานึกถึงช่วงเวลานั้นเธอรู้สึกผิดจนไม่อยากจะมองหน้าจอ แต่เธอก็เงยหน้าขึ้นมามองมัน
“ถ้าไม่คิดว่าทุกคนกำลังรอความหวัง...ฉันควรปิดสัญญาณนี้แล้วไม่ฟังมัน...เพราะยังไง...”
สายตากำลังพินิจถึงคำแจ้งเตือนที่ปรากฏก่อนที่จะไม่สนใจคำเตือนของเครื่องที่บอกว่ามีการแตกเกิดขึ้น เธอหมุนเก้าอี้ไปทางอื่นพร้อมกับถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ
“เพราะยังไง...เธอก็คงยังไม่ฟื้นหรอกเนอะ...มิรารี...”
ณ เกาะปริศนาที่โรงอาหาร
กลิ่นหอมหวนอันอบอวลไปทั้งห้องครัวจากการละลายของเนยที่กำลังปะทะกับความร้อนอันพอดีที่ทำให้มันละลายจนเป็นสีเหลือง แต่ก็มีสิ่งผิดปกติแถวเคาน์เตอร์ล้างจานที่มีหลายกระทะทั้งหลายที่โดนแช่แข็งไปหลายอันจนมิรารีรู้สึกเหนื่อยกับตนเองที่มีพลังอันไม่มีประโยชน์ต่อตัวเธอเลยสักนิด แต่ดีที่เธอแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เมื่อเธอไม่ได้แตะสิ่งของโดยตรงก็จะไม่มีทางทำให้ของโดนแช่แข็ง มิรารีเลยหาถุงมือแถวนั้นจนเจอถุงมือใช้ในครัวมาใส่นั้นทำให้เธอไม่ทำอะไรให้โดนแข็งอีก ถึงจะลำบากในการทำงานก็ตามที
“คงต้องหาถุงมือที่พอใช้ได้มาใช้ล่ะนะ อันนี้โคตรลำบากสุด ๆ เป็นยอดมนุษย์โคตรลำบากจริง ๆ”
มิรารีบ่นพึมพำกับตัวเองที่มีพลังแบบนี้ถึงเป็นยอดมนุษย์หรืออะไรก็ตามที ถ้าทำให้ใช้ชีวิตลำบาก เธอก็ไม่อยากที่จะเป็นแน่ ๆ เธอจ้องมองมือของตัวเองที่ขาวแบบนี้ ทำให้คิดเลยว่าแม่เห็นคนตกใจแน่ ๆ พอเธอนึกถึงแม่ขึ้นมาก็ทำให้คิดถึงท่านสุด ๆ
“ตอนนี้แม่เป็นไงมั้งนะ...สบายดีไหมนะ...คงเป็นห่วงเราแน่ ๆ ที่เห็นเหตุการณ์นั้น...แถมเรายัง...มาอยู่นี่อีก...”
มิรารีคิดถึงตอนการระเบิดลูกใหญ่นั้นที่ทำให้เธอต้องติดในแทงก์นั้นจนเธอรู้สึกโกรธเคืองที่ตนเองเข้าไปในแทงก์นั้น แต่ทำไงได้เธอเข้าไปแล้วและเกิดเรื่องขึ้นไปแล้วด้วย ตอนนี้แค่หาทางกลับบ้านให้ได้ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็มีกลิ่นแปลก ๆ โชยออกมาจนมิรารีลืมตามขึ้นมาเห็นกระทะมีควันดำขึ้นมา
“อ๊ากกกกกกกกกกกก!! กระทะไหม้!!”
มิรารีรีบใช้พลังหิมะดับไฟในทันที เธอปล่อยพลังหิมะใส่ลงในกระทะจนมีเสียงฉ่า ฉ่า
“งื้อ...คิดอะไรเพลินจนทำกระทะไหม้เลย...”
มิรารีส่ายหน้าอย่างไม่สบอารมณ์
“แต่ก็ดีที่ยังไม่เริ่มทำไม่งั้นเสียดายอาหารตาย...!!”
มิรารีจ้องกระทะที่มีกองหิมะอยู่ข้างใน เธอหันไปหากระทะใบใหม่และจัดเตรียมเนย กระเทียม เนื้อไก่ หอมใหญ่ เส้นมักกะโรนี และส่วนผสมสำคัญ ซอสมะเขือเทศกับซอสพริก สำหรับอาหารมื้อนี้
“มีวัตถุดิบพวกนี้ก็ต้องทำมักกะโรนีละนะ!”
มิรารีนำกระทะตั้งวางบนเตาพร้อมกับนำเนยก้อนพอดีใส่ลงกระทะเสียงฉ่าของเนยทำให้ความอยากของมิรารีเพิ่มขึ้นเหมือนได้สัมผัสกลิ่นอันหอมหวนนี่ยังไม่ใส่ส่วนผสมตัวอื่นเลยด้วยซ้ำก็ทำเอาหิวแล้วจริง ๆ
“ยังไม่เริ่มทำ...ก็เริ่มหิวแล้วสิ~”
ความสุขที่กำลังแสดงออกผ่านสีหน้าทำเอามิรารีไม่สามารถหุบความสุขของตนเองได้จริง ๆ ตอนแรกเธอลืมคิดว่ามีของกินแล้วและไฟล่ะจะใช้ยังไง จนเธอไปเห็นมุมห้องอีกจุดที่มีช่องทาง ตอนแรกเธอลองสำรวจว่ามันเปิดยังไงจนเธอลองเปิดก็มีช่องทางไปยังที่ควบคุมแก๊ส มิรารีเห็นก็ดีใจมาก ๆ เธอลองเปิดดูว่ามันจะทำงานไหม ความดันของแก๊สก็ส่งไปข้างนอก แล้วลองเปิดเตาไฟก็พุ่งขึ้นมานั้นทำให้มิรารีมีความสุขมาก ๆ
“เท่านี้ก็พออยู่ได้ไปสักระยะ แต่...ไม่มีไฟฟ้าคงต้องใช้ชีวิตโดยไม่ใช้ไฟไปสักระยะน่านะ”
มิรารีกำลังครุ่นคิดว่าที่นี่จะมีเทียนให้เธอใช้ไหมเพราะไม่มีไฟก็ลำบาก เนยกำลังละลายอยู่นั้น มิรารีหันไปสนใจหม้ออีกอันที่มีน้ำกำลังเดือดอยู่ เธอใส่เกลือลงไปรอให้มันละลายเพื่อกระตุ้นให้น้ำเดือดเร็วขึ้นและยังเพิ่มรสชาติให้เส้นอีก นั้นเป็นเคล็ดลับที่หลาย ๆ บ้านน่าจะรู้ มิรารีหันกลับมาที่กระทะเนยก็ละลายจนไม่เหลือเป็นก้อน เธอนำกระเทียมที่สับแล้วลงกระทะแล้วผัดเล็กน้อยตามด้วยเนื้อไก่ที่ละลายแล้ว เธอหั่นไก่เป็นชิ้นพอดีคำผัดไปได้สักระยะเนื้อไก่ก็สุกกำลังดีไม่แห้งมากแถมยังมีสีน้ำตาลรอบ ๆ เนื้อไก่อีก เธอเบาแก๊สก่อนจะหันไปทางหม้อต้นที่เดือดแล้วก็นำเส้นมักกะโรนี เธอก็ปล่อยให้มันต้มให้สุกไปก็ทำซอสต่อ
“เอาล่ะ...ต่อไปก็...ทำซอสต่อ~”
มือยื่นไปหยิบถ้วยที่ใส่หอมใหญ่ที่หั่นแล้วใส่ลงไปเธอชอบแบบไม่ต้องสุกมากจึงนำลงที่หลัง เธอเตรียมใส่กระป๋องซอสมะเขือเทศที่ข้างในมีเนื้อให้ใช้ด้วยยิ่งทำให้มิรารีชอบใจมาก ๆ เธอเปิดกระป๋องพร้อมกับเทซอสมะเขือเทศลงพร้อมกับมีมะเขือเทศลูกสองลูกลงมาด้วย
“ว้าว~ มะเขือเป็นลูก ๆ เลยแฮะ~”
เสียงน้ำซอสกำลังเดือดอย่างน่าฟังกลิ่นหอมของมะเขือเทศรู้สึกเปรี้ยวปากสุด ๆ จนมิรารีกลืนน้ำลายของตนเองด้วยความรู้สึกอยาก
“หอมจัง~ เริ่มทนไม่ไหวแล้วสิ อยากกินเร็ว ๆ แล้วสิ! คิก ๆ”
ระหว่างนั้นก็หันกลับไปที่หม้อต้มเส้นเธอลองตักขึ้นมาชิมชิ้นหนึ่งว่าสุกยัง กัดไปคำแรกมันก็นิ่มกำลังดีเลย
“ใช้ได้เลย!”
เธอปิดแก๊สหม้อต้มน้ำพร้อมกับใช้ผ้ายกหม้อไปที่ฉิ่งล้างจานเธอเตรียมตะกร้าตะแกรงแยกน้ำไว้ เธอเทหม้อลงไปน้ำและมักกะโรนีกำลังลงไปที่ตะแกรงเพื่อแยกน้ำออกจากกันและสะเด็ดน้ำให้ออกจากมักกะโรนี มิรารีเห็นว่าเสร็จด้านนี้แล้วเธอก็หันไปมองซอสต่อว่ายังต้องเติมอะไรอีกไหม เธอลองชิมมันก่อนจะหยิบเครื่องปรุงต่าง ๆ มาแต่งเติมรสชาติก็เสร็จสมบูรณ์
“นี่ล่ะ รสชาติที่แม่...เคยทำ…”
มิรารีพูดแบบนั้นออกมาเธอนึกถึงแม่ทันที เธอไม่รู้ว่าตอนนี้แม่เป็นไงมั้งแล้วเวลาตอนนี้มันผ่านมานานแค่ไหน หนังสือบางเล่มที่เห็นตามทางมันเขียนปีที่ทำให้มิรารีอึ้งบางเล่มเขียนว่าถูกสร้างหลังจากเธออยู่แช่แข็งหลายปี ตอนที่เห็นนั้นทำให้มิรารีอึ้งไปชั่วขณะไปเลยจนเธอต้องตั้งสติ ตอนนี้เธอมีน้ำตาไหลออกมาเธอรีบเช็ดมันออกแต่มันก็กลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งไปแล้ว เธอหันไปเอามักกะโรนีมาใส่ในซอสแล้วคลุกมันให้เข้ากัน ก่อนจะถูกจัดใส่จาน
“เสร็จแล้ว!!”
มิรารีจ้องมองมักกะโรนี่ที่ถูกจัดใส่จานเรียบร้อย แต่รู้สึกมิรารีทำเยอะไปนิดจนต้องเอาใส่กล่องเก็ยอาหารเข้าตู้เย็นไป เธอวางกระทะที่ฉิ้งล้างจานก่อนจะค่อยกลับมาล้างมัน
“ไว้ทานเสร็จค่อยล้างละกัน!”
มิรารีเดินกลับไปหยิบจานก่อนจะหันไปหาเก้าอี้นั่งอยู่ภายในครัว เพราะกลิ่นข้างนอกมันช่างไม่น่านั่งกินสุด ๆ พอเธอนั่งลงแล้วถือจานอาหารไว้กลิ่นอาหารช่างหอมหวานมาก ๆ จนน่ากิน
“หอมจริง ๆ งั้นทานนะคะ~”
มิรารียกช้อนขึ้นมาตักอาหารเข้าปากในทันที รสชาติอันหวานอมเปรี้ยวและเผ็ดเล็กน้อยจากซอสผิดที่เธอปรุงรอบสุดท้าย มันเข้ามากระจายไปทั่วปากของมิรารี
“อือออออออออออ อร่อยยยยย!!”
มิรารีนั่งทานไปได้สักระยะความรู้สึกที่คิดถึงความรู้สึกของครอบครัวที่ทำให้เธอนึกถึงช่วงเวลามีความสุขสมัยเด็ก ๆ ที่มีพ่อแม่พี่น้องพร้อมหน้าพร้อมตาและช่วงเวลาที่ได้กินมักกะโรนีที่พ่อกับแม่จะทำกันจนน้ำตามันไหลออกมา
“แม่ค่ะ...พ่อค่ะ...พี่...เจย์...คิดถึงจังเลย...เวลามัน...ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะคะ...ทุกคน...”
จบตอนที่ 4 โปรดติดตามต่อตอนที่ 5 ต่อไป