หิมะกลายเป็นหนึ่งเดี่ยวกับฉัน เพียงเพราะฉันกลายเป็นผู้หญิงที่มีพลังเหนือธรรมชาติ
แอคชั่น,ไซไฟ,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ยุคปัจจุบัน,ไอซ์สโนว์,สาวพลังหิมะ,แอคชั่น,ยอดมนุษย์,ฮิวแมน,เหนือธรรมชาติ,แฟนตาซี,การต่อสู้,YukiCoCo,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ไอซ์สโนว์ สาวพลังหิมะหิมะกลายเป็นหนึ่งเดี่ยวกับฉัน เพียงเพราะฉันกลายเป็นผู้หญิงที่มีพลังเหนือธรรมชาติ
คำแนะนำจากคนเขียน
นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายแต่งขึ้นตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแต่ไม่จบ
เลยขอนำเสนอไว้สักตอนหนึ่งให้อ่านเล่นๆ ก่อนที่จะมาเขียนต่อ
เรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งขึ้นไม่ได้อ้างอิงจากอะไรทั้งสิ้น
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับผู้มาอ่าน
และให้ความสนใจในนิยายเรื่องนี้นะคะ
บทนำของเรื่อง
เมื่อเด็กสาวลูกเสี้ยวไทยนามว่า มิรารี ต้องออกเดินทางไปยังงานเทศกาลวิทยาศาสตร์ที่นิวยอร์กตามความต้องการของเธอ แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นเมื่อด็อกเตอร์คนหนึ่งทำเรื่องขึ้นก่อให้เกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น ทำให้คนตายนับพันร่วมถึงตัวมิรารีที่ไม่น่าจะรอดจากเหตุการณ์นั้น แต่แล้วเวลาผ่านไป 10 ปีตัวเธอที่น่าจะโดนแช่แข็งตายกับฟื้นขึ้นมาในสถานที่แปลกตาเข้าพร้อมกับร่างกายที่เปลี่ยนไป แล้วเธอจะหาใครมาช่วยเธอได้ล่ะ?
กำหนดการลงนิยาย
ยังไม่แน่ชัดนะคะ
ตอนที่ 6 สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น
ใบหน้าสีขาวแนบกับกำลังแพงสีดำที่มีฝุ่นเขรอะตามกำแพง มิรารีใช้มือเคาะไปตามผนังอย่างกับหาอะไรแต่ก็จริงเธอกำลังหาทางเข้าไปยังภายในหลงกำแพง แต่เธอกำลังหาจุดที่บ่งบอกว่าจุดนี้คือทางเข้าลับ แต่เธอยังหาไม่เจอว่าจุดไหนเป็นกลไกเข้าไปยังภายในหลังกำแพงนี้ มิรารีกางแผนที่ที่เธอเจอก็จ้องมองกำแพงตรงหน้าเธอลองเคาะอีกจุดก็ได้ยินเสียงที่ต่างออกจากกำแพงจุดอื่นที่เธอเคาะ เสียงสะท้อนดังออกมาตึง ๆ ต่างจากเสียงที่มันดังเหมือนทึบไม่มีช่องว่าง แต่ด้านหลังนี้มีช่องว่าง เธอหาจุดกลไกจนมือของเธอสัมผัสบางอย่างก็มีแสงสว่างขึ้น ประตูเริ่มทำงานโดยที่ไม่ใช่พลังงานแต่อย่างใดประตูเปิดกว้างเผยให้เห็นบันไดลงข้างล่าง
“มีทางลับจริง ๆ ด้วย...”
มิรารีจ้องมองภาพตรงหน้าที่กำลังเห็นความมืดมิดตรงหน้ามันช่างทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวกับความมืดนี้จริง ๆ นั้นทำให้เธอคิดว่าจะต้องหาอะไรมาเป็นแสงสว่าง
“เอ่อ...อุปสรรคอันใหม่โผล่มาจนได้...ต้องหาไฟฉากจริง ๆ แล้วสิ...ถ้าเป็นเทียนอยู่ได้ไม่นานแน่ ๆ”
มิรารีจ้องมองด้วยสีหน้าเจื่อน ๆ ถ้าต้องลงไปตอนนี้
“อย่าพึ่งลงไปดีว่า...”
ร่างกายสีขาวกำลังหมุนตัวภาพตรงหน้าก็มืดลงเหมือนมีบางอย่างมาบังแสงไปหมด มิรารีสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นจนกระทั่งก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้น
เปรี้ยง!!
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!”
มิรารีกรีดร้องออกมาเสียงดังเมื่อได้ยินเสียงฟ้าผ่าลงมาห่างไม่ไกลจากจุดที่เธออยู่มากนัก มิรารีลองเดินออกมาจากตรงนั้นแล้วเดินตรงไปที่ทางเข้าตึกก็เห็นสายฝนกำลังตกลงมาอย่างช้า ๆ มิรารีเห็นแบบนั้นก็คิดบางอย่างได้ทันที
“เดียวนะ!! ชั้นสี่มีแต่รูนี่น่า!!”
มิรารีรีบวิ่งตรงไปยังชั้นสี่ที่อยู่สายฝนเริ่มเข้ามายังชั้นสี่ เธอเห็นแบบนั้นก็ใช้พลังของตนเองถึงจะไม่แน่ใจว่าน้ำแข็งจะละลายเมื่อไหร่ แต่ก็พยายามที่จะแช่แข็งเพดานที่เป็นรูมันอุดทุกจุดบนชั้นสี่หมด มิรารีเห็นแบบนั้นก็รู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องให้สถานที่พักของเธอต้องมีน้ำหนองจนเปียกแฉะ
“เท่านี้ก็น่าจะพอ...”
มิรารีเดินมานั่งริมหน้าต่างชั้นสี่ที่มีเก้าอี้ติดกำแพงให้นั่ง สายฝนกำลังตกลงมารอบหลายอาทิตย์ที่เธออยู่ที่นี่ไม่เคยมีฝนตกลงมา สายฟ้าตกลงมาไม่ห่างจากที่ที่เธออยู่เหมือนมันมีสายล่อฟ้าอยู่แถวนั้นทำให้เธอสงสัยว่าถ้ามีสายล่อฟ้าแบบนั้นอาจจะมีเครื่องนำสายฟ้าก็ได้นั้นทำให้เธอสงสัยอยู่ในใจ ยิ่งสายฟ้ารุนแรงขึ้นมิรารีรีหาที่หลบเธอรีบกลับเข้าไปในใต้ผ้าห่มหนา ๆ ของเธอพร้อมกับเอาหมอนปิดหูทั้งสองข้างของเธอด้วยความหวาดกลัวเสียงฟ้าร้อง
“ขอให้ฟ้าฝนหยุดเร็ว ๆ ทีเถอะ...”
ตกเย็นของหลังฟ้าฝนกระหน่ำตกอย่างไม่มีอะไรเรียกหาได้จางหายไปชั่วข้ามวัน สภาพอากาศเริ่มมีความชื้นเกิดขึ้น เพราะความร้อนกับความเย็นปะทะกันจนทำให้มิรารีต้องโผล่หน้าออกมาสู่ภายนอก ความร้อนทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจจนต้องออกมาดันผ้าห่มออกให้หมดแล้วนอนลงบนเตียงต่อ ความร้อนทำให้เหงื่อไหลออกมาเป็นหยดน้ำแข็ง เธอหลับตาลงหลับไปในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปความร้อนปะทะกับไอเย็นที่ออกมาตัวของมิรารีจนรอบข้างกายเป็นไอเย็นกระจายออกมา ดวงตาที่หลับลงเข้าสู่ห้วงนิทราไม่นานก็มีความรู้สึกบางอย่างทำให้มิรารีค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาจ้องมองภาพตรงหน้าที่รอบกายของเธอเป็นภาพท้องฟ้าแสงสว่างที่สะท้อนน้ำบนพื้นที่เธอนั่งอยู่ แต่จุดที่เธออยู่นั้นมีพื้นเป็นเส้นทางเดียวยาวไปไหนสักแห่งที่เธอไม่รู้ว่าปลายทางคืออะไร
“ที่นี่มัน...ที่ไหนกัน?” มิรารีเอ่ยถามออกลอย ๆ เธอค่อย ๆ พยายามลุกขึ้นยืนมองสิ่งตรงหน้า ท้องฟ้าโดยรอบทำให้เธอเผลอคิดอะไรแปลก ๆ ออกมา “หรือว่าฉัน...ตายแล้ว!?”
“หลานยังไม่ตายหรอกนะ มิรารี~”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมิรารีได้ยินเสียงนั้นก็รู้สึกโหวงเหวงภายในใจ ก่อนที่เธอจะหันไปหาต้นเสียงก็ได้เห็นหญิงชราที่เธอรู้จัก ดวงตาของเธอร้อนผ่าวเหมือนมีอะไรแผดเผาก่อนที่มันจะมีหยดน้ำไหลรินออกมา
“คุณยาย!!” มิรารีเอ่ยเรียกอีกฝ่ายพร้อมกับโอบกอดร่างกายอันผอมบางของหญิงชราตรงหน้า
หญิงชราโอบกอดเด็กน้อยอย่างคิดถึงจนน้ำตาของเธอไหลรินอาบข้างแก้มของตนเอง “หลานรัก...ยายดีใจจริง ๆ ที่หลานยังมีชีวิตอยู่”
“ค่ะ หนูยังอยู่...หนูคิดถึงคุณยายที่สุดเลยค่ะ!!”
“ยายก็คิดถึงหลานเหมือนกันเจ้าแก้มกลมของยาย~”
มิรารีดีใจที่ได้เจอคุณยายของตนเองแต่เธอก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้ว่าทำไมคุณยายมาอยู่ที่นี่ แล้วตอนนี้เธออยู่ไหน
“คุณยายที่นี่ที่ไหนกัน? แล้วทำไมคุณยายเดินมาคนเดียวค่ะ? แม่ล่ะ...แม่จะอยู่กับคุณยายตลอดนี่ค่ะ!!”
“ใจเย็น ๆ หลานรัก ค่อย ๆ พูด ยายฟังไม่ทัน”
“ขอโทษค่ะ...”
มิรารีก้มหน้าขอโทษ เธอก็พึ่งสังเกตว่าผู้เป็นยายของตนมีรูปร่างที่ผอมกว่าแต่ก่อนมาก ๆ จนเธอรู้สึกประหลาดใจว่าคุณยายของเธอทำไมผอมแบบนี้
“คุณยายทำไมผอมแบบนี้ค่ะ!?”
“คนเราต้องมีการเปลี่ยนแปลงมั้งสิจ๊ะ”
“เปลี่ยนเหรอคะ? แต่ว่านี่เปลี่ยนไปมากเลยนะคะ!!”
คนเป็นยายดูสีหน้าวิตกกังวลของหลานสาวก็ทำให้เธอรู้สึกขบขันอยู่ในใจก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าสีขาวของหลานสาว
“ไม่ใช่แค่ยายที่เปลี่ยนไป หลานก็เช่นกัน...”
มิรารีได้ยินแบบนั้นมืออันแสนอบอุ่นของคุณยายทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและสบายใจ เธอจ้องมองคุณนยายพร้อมกับยิ้มอ่อน ๆ ให้
“ค่ะ หนูเปลี่ยนไปมากเลยล่ะคะ...”
“ใช่...เปลี่ยนไปจนยายเกือบจำไม่ได้แต่หลานก็ยังเป็นหลานรักของยาย” ยายจ้องมองหลานสาวพร้อมกับโอบกอดหลานสาวเบา ๆ “ยายดีใจจริง ๆ ที่หนูยังอยู่มิรารี”
น้ำเสียงสั่นเครือของคุณยายทำมิรารีรู้สึกจุกอกไปในทันใด เธอกอดตอบคุณยายอย่างคิดถึง “ค่ะ...หนูยังมีชีวิตอยู่...ไม่ต้องห่วงนะ หนูจะกลับไปหาทุกคนนะคะ คุณยายรอหนูกลับไปหน่อยนะ!!”
มิรารีเงยหน้ามองผู้เป็นยายแต่สีหน้าของเธอกับอ่อนลงทำให้เธองุนงงว่าทำไมสีหน้าสดใสของคุณยายถึงจางลงเหมือนจะแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองจนเธอรู้สึกไม่ดี
“คุณยาย...”
“หลานไม่ได้อยู่กับเรามานานหลายปีคงไม่รู้...หลานกลับไปจะไม่เจอยายอีกแล้วนะ”
มิรารีฟังสิ่งที่คุณยายพูดออกมาทำให้เธอรู้สึกโหวงเหวงข้างในหน้าอกของเธอ “หมายความว่าไงกัน? คุณยายพูดแบบนั้นหมายความว่าไงกันคะ!?”
ผู้เป็นยายได้แต่ลูบใบหน้าของเธออย่างอ่อนโยนก่อนที่เธอจะลุกขึ้นแล้วเดินไปในเส้นทางข้างหน้า มิรารีหันไปมองตามเส้นทางที่อีกฝ่ายเดินไปก่อนจะเห็นปลายทางมีชายคนหนึ่งรอคุณยายอยู่ เมื่อผู้เป็นยายเดินไปถึงร่างกายของเธอเปลี่ยนเป็นหญิงสาวทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้มให้กัน มิรารีเห็นแบบนั้นดวงตาของเธอรู้สึกร้อนไปหมดเธอพยายามจะลุกขึ้นเพื่อวิ่งไปหาพวกเขา
“ไม่นะ!! คุณยาย...คุณตา!! อย่าทิ้งหนูไป!! หนูยังไม่ได้กลับไปเลย!! ได้โปรด!! ได้โปรดอย่าทิ้งหนูไปนะคะ!!!”
มิรารีกำลังเอื้อมมือของเธอไปตรงหน้าก่อนที่ภาพทุกอย่างจะสลายหายไปเธอสะดุ้งตื่นดวงตาสีฟ้ากำลังมีน้ำไหลอาบแก้มทั้งสองข้างเธอไม่อยากคาดคิดฝันที่เธอเห็นมันไม่เคยเป็นเรื่องโกหกตั้งแต่ก่อนมาที่นี่เธอก็เห็นมือของตนเองเป็นสีขาวแล้วตอนนี้เป็นสีขาวแล้วและภาพนั้น ภาพของคุณยายสมัยสาว ๆ กับคุณตาสมัยหนุ่มยืนคู่กันไปสู่แสงสว่างเธอไม่อยากคิดว่านั้นเป็นเรื่องจริงจนเธอเอาหน้าซุกกับมือของตนเองพร้อมกับเสียงสะอื้นออกมา
“ไม่จริง...ไม่จริง...คุณยายค่ะ...คุณตาค่ะ...มิรารี...ขอโทษ...”
ณ ประเทศไทย บ้านเครือเพชร
บ้านหลังใหญ่ที่โอ่อ่ากว่าหลังไหน ๆ ในจังหวัดแถมยังอยู่ในย่านชานเมืองที่เมื่อก่อนไม่มีอะไรเลยตั้งแต่บ้านเรือนจนไปถึงย่านการค้าจนตอนนี้ผ่านมาเกือบ ๆ สิบปี สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปเยอะ ย่านการค้าที่มากขึ้น หมู่บ้านที่มากขึ้นแต่สถานที่หนึ่งมีพื้นที่กว้างยิ่งกว่าบ้านหลังในอย่างบ้านเครือเพชรที่ผู้คนในย่านนั้นจะรู้จักหมดจนหลายคนหวังที่อยากเป็นญาติกับบ้านหลังนี้ แต่วันนี้นั้นภายในบ้านเครือเพชรกำลังวุ่นวายจัดเตรียมของบางอย่างสำหรับยามเช้าที่ใกล้มาถึง ภายในบ้านกำลังวุ่นอยู่นั้นก็มีเด็กหนุ่มร่างสูงกำลังยืนอยู่หน้าทีวีจอใหญ่ในห้องนั่งเล่นกำลังพูดคุยกับชายหนุ่มที่อยู่ในจอทีวี เขามีใบหน้าคมแบบคนยุโรปอายุประมาณสามสิบใส่ชุด
“ไม่นานผมก็คงใกล้จะจบมัธยมปี 6 อีกไม่กี่เดือนแล้วนะ ผมคงหาเวลาไปลงทะเบียนเรียนมหาลัยที่นิวยอร์กนั้นล่ะ วันนั้นมาถึงพี่ต้องให้ผมไปอยู่ด้วยนะ”
“เออ ๆ ยังไงฉันก็ให้นายอยู่ข้าง ๆ อยู่แล้ว แต่ที่นายจะมานี้คงไม่ใช่เพราะเรื่องเมื่อ 10 ปีก่อนใช่ไหมล่ะ?”
“ไม่เกี่ยวซะหน่อย!! พี่!!” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มดูเปลี่ยนไป เขาขมวดคิ้วก่อนจะจ้องมองคนเป็นพี่ในทันที "เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว คนตาย...ไม่มีทางกลับมาหรอกนะ!"
“อย่าพูดแบบนั้น!! เจย์!!” ชายหนุ่มวัยสามสิบตะคอกขึ้นมาเมื่อน้องชายพูดแบบนั้น
“ขอโทษ...” เด็กหนุ่มก้มหน้าลงเหมือนโดนขึ้นเสียงใส่
“พี่รู้ว่านายทำใจไม่ได้...ที่เธออยู่ในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตาย...แต่จะมาพูดว่าเป็นคนตายไม่ได้!!”
“ผมเข้าใจ...แต่ว่า...” เจย์นึกถึงภาพที่เขาได้รับพี่สาวที่โดนแช่แข็งทุกคนต่างคิดว่าเธอตายไปแล้วทั้งนั้น
“เฮ้อ...ถ้าเธอรู้ว่านายคิดแบบนั้น...เธอที่อยู่อีกทีคงร้องไห้แน่ ๆ”
“เมื่อกี้ว่าไงนะ!!”
“เปล่า ๆ !!”
คนเป็นพี่รู้สึกว่าตัวเองเกือบพูดอะไรออกไปโดยที่เขาไม่เคยบอกครอบครัวถึงสถานการณ์ของน้องสาวให้คนในครอบครัวฟังว่าตอนนี้เธออยู่ไหน รู้กันเพียงแค่ว่าเธอหลับไม่ได้สติอยู่ในแทงก์นานเหมือนคนตายไปแล้ว คนเป็นพี่รู้สึกว่าต้องเปลี่ยนสถานการณ์ก่อนจะปิดการสื่อสาร
“งั้นพี่ไปทำงานต่อนะ บาย!”
“เดียวพี่!! พี่คาเมล!!”
เสียงตะโกนของเด็กหนุ่ม ทำให้คนเป็นแม่ตกใจจนต้องเดินมาดูลูกชายของตนเป็นอะไรถึงตะโกนเสียงดัง
“เจย์ ลูกเป็นอะไรนะ ตะโกนเสียงดังเชียว?”
“ก็พี่คาเมลนะสิครับ อยู่ๆ ก็วางสายหลังจากพูดอะไรแปลกๆ นะครับ”
“พูดอะไรนะ? แต่ช่างเถอะ มาช่วยแม่เร็วตอนนี้ย่าของลูกอยากจะทำบุญเต็มทนล่ะ”
“แหม ๆ อายุขนาดนี้แล้วแต่แข็งแรงจริง ๆ ถ้าย่ารีบไม่ให้ท่านเดินไปเองเลยเหรอครับ?”
คนเป็นแม่ได้ยินแบบนั้นถึงกับหยิกแขนลูกชายทันที “นั้นปากเหรอนั้น!!”
“โอ๊ย ๆ แม่!”
“โตขนาดนี้ ปากยังคอเราะร้ายจริง ๆ นะ แม่ไม่เคยสอนเลยนะ!”
“หึ!” เจย์ลูบแขนตัวเองที่แม่หยิก “เนี่ยแม่ หยิกผมจนเจ็บนะเนี่ย”
“เจ็บนะดี จะได้จำ 18 แล้วนะ ยังทำตัวแบบนี้อีก เร็วมาช่วยแม่เร็ว!”
“ครับ ๆ”
เด็กหนุ่มเดินตามคนเป็นแม่ไปช่วยงานในครัว ทุกคนกำลังเตรียมของเพื่อยกไปหน้าบ้าน ไม่นานโต๊ะก็เต็มไปด้วยของที่จะนำมาถวายเหล่าพระภิกษุที่จะเดินผ่านมา ลูกหลานของบ้านเครือเพชรอยู่กันเต็มด้านหน้า พวกเขาพูดคุยกันเป็นประจำที่จะมีเรื่องให้คุยจนกระทั่งผู้อาวุโสของบ้านเดินทางออกมาถึงหน้าบ้าน ทุกคนหลบทางให้คุณย่าของพวกเขา ไม่นานเหล่าพระภิกษุก็เดินเท้าใกล้มาถึงบ้านพวกเขา คุณย่าค่อย ๆ พยายามลุกจากเก้าอี้เข็น
“นมัสการเจ้าค่ะ หลวงพ่อ”
“เจริญพร โยม”
คุณย่ายกมือขึ้นไหว้พระภิกษุตรงหน้าของตน ลูกสะใภ้ช่วยพยุงแม่สามีไม่ให้ล้ม คนใช้ก็ช่วยยกอาหารให้แก่นายหญิง พอรับของสำหรับใส่บาตรก็ตักทุกอย่างลงในบาตร คนอื่น ๆ ก็ช่วยกันถวายของใส่บาตรทั้งหมดใส่บาตรของพระภิกษุจนหมด ทุกคนเตรียมตัวนั่งย่อลงเพื่อรับบทสวด ทุกคนต่างสวดบทถวายต่าง ๆ ให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เมื่อบทสวดจบลงพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่งได้เอ่ยพูดบางอย่างขึ้นกับผู้ใหญ่สุดของบ้านเครือเพชร
“โยม ชื่อหนึ่งที่โยมเอ่ยขึ้นนั้น ทำไมถึงเอ่ยขึ้นมาหรือ?”
หญิงชราขมวดคิ้วอย่างสงสัยต่อสิ่งที่หลวงพ่อพูดถึง เธอพนมมือพร้อมกับกล่าวถามอย่างสงสัย “หลวงพ่อพูดขึ้นนั้น มันหมายความว่าไงหรือเจ้าค่ะ”
“ชื่อหนึ่งที่พวกโยมเอ่ยนั้น อาตามรู้สึกถึงแรงบุญที่ยังไม่หมดไป แรงบุญที่บ่งบอกว่าชื่อนั้นยังมีชีวิตอยู่ แต่พวกโยมคงไม่รู้ว่าบุคคลนั้นยังไม่เสียชีวิต แต่เดียวบุคคลนั้นก็กลับมาหาพวกโยมเองนั้นล่ะ”
เมื่อหลวงพ่อกล่าวจบก็เดินนำทางเดินไปข้างหน้าต่อ พระภิกษุทรงรูปอื่นก็เดินตามไปกันอย่างเงียบสงัด ปล่อยให้คำพูดปริศนานั้นกลายเป็นความสงสัยในความงุนงงของครอบครัวเครือเพชรว่าใครกันที่ท่านหลวงพ่อกล่าวขึ้น แต่ผู้เป็นแม่นั้นกับรู้สึกถึงบุคคลที่หลวงพ่อกล่าวจนเธอเอ่ยเรียกออกมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทา
“มิรารี...”
ณ เกาะปริศนา หน้าตึก
เช้าวันใหม่ได้มาอีกครั้งมันช่างเป็นแสงสว่างอันสดใสต่างจากมิรารีที่ดูหมองหม่นกับสิ่งที่เห็นในความฝัน มันคือฝันบอกเหตุว่าเธอเสียสองคนที่เธอรักไปแล้ว ตอนนี้เธอนั่งอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่บนต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างตึกแรกที่เธออยู่ สายตาที่เหม่อลอยกำลังจดจ้องทิวทัศน์ของพื้นป่าและท้องทะเล มันไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยนอกจากเสียงที่พัดเข้ามา เธอนึกถึงครอบครัวที่ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าผ่านมานานแค่ไหนที่เธอหลับอยู่ในแทงก์ขนาดใหญ่นั้น เธอเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้น
“มาเศร้าแบบนี้ไม่ได้แล้ว ภายใน 1 เดือน ฉันต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้! เพื่อกลับไปหาครอบครัว!!”
มิรารีกล่าวจบก็กระโดดไปข้างหน้าลงบนหลังคาตอนนี้เธอหันไปมองตึกข้างหน้าของตนเองที่พึ่งได้เห็นตึกที่สูงกว่าตึกที่ตนเองอยู่ เธอเดินไปตามทางจนมาถึงจุดสิ้นสุดของตึก มิรารีก้มมองทางเชื่อมที่อยู่ตรงจุดชั้นสอง ก่อนหน้าเธอเห็นเพียงทางเชื่อมที่ถูกปิดตัวด้วยกองเพดานที่ถล่มลงมาเธอคิดสภาพเลยว่าใครที่กำลังหนีคงไม่มีทางหนีพ้นแน่ ๆ เธอมีทางเดียวที่จะไปตึกข้าง ๆ ต่อคือการที่กระโดดไปที่สะพานแล้วทำลายกระจก ตอนแรกเธอคิดว่าตึกนั้นจะมีทางเข้าก็ลองไปเดินดูเมื่อหลายวันก่อนไม่มีทางเข้าไปเลยสักทางมีแค่ทางเชื่อมทางนี้ทางเดียวกับทางที่พังอยู่แถว ๆ ชั้นสี่หรือชั้นห้าของตึกนั้น มิรารีคิดว่าจะลองสร้างบันไดน้ำแข็ง แต่มันสูงเกิดจนเธอกลัวเลยไม่กล้าจะไปต่อ แต่ตอนนี้เธอกำลังจะทำมันอีกครั้งเพื่อหาทางกลับบ้านจริง ๆ มิรารีหายใจเข้าลึก ๆ แล้วปล่อยออกมา
“เอาล่ะ!”
มิรารีกระโดดลงไปบนหลังคาทางเชื่อม เสียงหลังคาเหล็กดังจนเกือบตกใจว่าถ้ามันเป็นเหล็กบางเธอคงตกลงไปก่อนที่เธอจะวิ่งตรงไปยังอีกฝั่งเธออยู่ตรงชั้นสามของตึก มิรารีกำลังรวบรวมสมาธิเตรียมตัวที่จะทำบางอย่างเธอถอดถุงมือของตนเองแล้วรวบรวมน้ำแข็งปกคลุมทั้งมือของเธอจนเป็นก้อนน้ำแข็ง
“เอาล่ะ...งั้น...เตรียม...” มิรารีพยายามง้างมือไปข้างหลังสุดแรงก่อนจะเตรียมพุ่งหมัดไปข้างหน้า “ย้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!”
‘เดียวก่อน!’
มิรารีสะดุ้งตกใจกับเสียงบางอย่างที่เอ่ยออกมาเธอหยุดการชกนั้นอย่างรวดเร็วก่อนจะหาต้นเสียงว่ามาจากไหน
“นั้นใครนะ!!”
ไม่มีเสียงใครตอบกลับมา หัวใจของมิรารีรู้สึกโหวงเหวง เธอไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังพูดนั้นคืออะไรหรือว่าเป็นวิญญาณแต่โลกนี้ไม่นานมีของแบบนั้น เธอกลืนน้ำลายตัวเองช้า ๆ ก่อนที่จะมีเสียงนั้นเอ่ยมาอีก
‘อย่าชก...เดียวเจ็บ...ไปข้างหลัง...มีทางลับ...อยู่...’
“ทางลับเหรอ?”
มิรารีได้ยินเสียงปริศนาพูดขึ้น เธอรู้สึกที่นี่มีแต่ทางลับทุกเส้นทางจริง ๆ แต่เธอสงสัยว่าคนที่พูดนั้นอยู่ไหนเธอมองซ้ายมองขวาอย่างสงสัย
“นี่!! อยู่ไหนนะ อย่าเอาแต่หลบสิ มาพูดตรงหน้าฉัน!!”
ไม่มีเสียงตอบกลับแต่อย่างใดยิ่งสภาพแวดล้อมมันเงียบกริบมีเพียงเสียงลมพัดผ่านยิ่งน่ากลัวถ้าเป็นตอนดึกเธอคงกลัวมาก ๆ ไปแล้ว มิรารีรู้สึกสองจิตสองใจว่าควรทำตามที่เสียงนั้นพูดไหม แต่ในเกาะไม่มีใครนอกจากเธอแล้วมันจะมีเสียงมาจากไหน เธอมองกระจกตรงหน้าก่อนจะคิดว่าควรลงจากตรงนั้น เธอพยายามสร้างสไลเดอร์ลงจากสะพานข้ามนั้น ก่อนจะมองไปทิศที่ต้นเสียงกล่าวก่อนจะตัดสินใจที่จะเดินไป
“เอาก็เอา...”
จบตอนที่ 6 โปรดติดตามต่อตอนที่ 7 ต่อไป