หิมะกลายเป็นหนึ่งเดี่ยวกับฉัน เพียงเพราะฉันกลายเป็นผู้หญิงที่มีพลังเหนือธรรมชาติ
แอคชั่น,ไซไฟ,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ยุคปัจจุบัน,ไอซ์สโนว์,สาวพลังหิมะ,แอคชั่น,ยอดมนุษย์,ฮิวแมน,เหนือธรรมชาติ,แฟนตาซี,การต่อสู้,YukiCoCo,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ไอซ์สโนว์ สาวพลังหิมะหิมะกลายเป็นหนึ่งเดี่ยวกับฉัน เพียงเพราะฉันกลายเป็นผู้หญิงที่มีพลังเหนือธรรมชาติ
คำแนะนำจากคนเขียน
นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายแต่งขึ้นตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแต่ไม่จบ
เลยขอนำเสนอไว้สักตอนหนึ่งให้อ่านเล่นๆ ก่อนที่จะมาเขียนต่อ
เรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งขึ้นไม่ได้อ้างอิงจากอะไรทั้งสิ้น
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับผู้มาอ่าน
และให้ความสนใจในนิยายเรื่องนี้นะคะ
บทนำของเรื่อง
เมื่อเด็กสาวลูกเสี้ยวไทยนามว่า มิรารี ต้องออกเดินทางไปยังงานเทศกาลวิทยาศาสตร์ที่นิวยอร์กตามความต้องการของเธอ แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นเมื่อด็อกเตอร์คนหนึ่งทำเรื่องขึ้นก่อให้เกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น ทำให้คนตายนับพันร่วมถึงตัวมิรารีที่ไม่น่าจะรอดจากเหตุการณ์นั้น แต่แล้วเวลาผ่านไป 10 ปีตัวเธอที่น่าจะโดนแช่แข็งตายกับฟื้นขึ้นมาในสถานที่แปลกตาเข้าพร้อมกับร่างกายที่เปลี่ยนไป แล้วเธอจะหาใครมาช่วยเธอได้ล่ะ?
กำหนดการลงนิยาย
ยังไม่แน่ชัดนะคะ
ตอนที่ 7 จงหลับให้สบาย
เส้นทางข้างหน้าไม่ได้ลำบากแต่อย่างใด แต่เธอต้องระวังแมลงและสัตว์เลื้อยคลานตามพื้น แต่เธอก็ไม่เคยเห็นสัตว์ในป่านี้เลยนอกจากนก เมื่อเดินไปตามขอบตึกเธอก็มาถึงข้างหลัง แต่มันก็มีเพียงกระจกบานใหญ่เท่านั้นเธอมองอย่างสงสัยว่าตรงไหนมันคือทางเข้ากันเธอเดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเห็นความผิดปกติที่กระจกบานหนึ่งมันมีการสะท้อนของกระจกที่แปลกเธอเดินอีกทางแต่ภาพในกระจกไม่มีการเอียงไปตามทิศของเธอหรือก็คือไม่มีการขยับอะไรเหมือนเป็นภาพนิ่ง
“หรือว่า?”
มิรารีหาบางอย่างบนผนังกระจกตรงหน้าก่อนจะเห็นบางอย่างแปลก ๆ ด้านล่างขอบกระจก มันเหมือนเป็นสัญลักษณ์บางอย่างที่มองได้ยาก มิรารีดึงหญ้าแถวนั้นออกจนเห็นเหล็กบางอย่างโผล่ออกมาจากพื้นดิน มิรารีลองจับแล้วดึงมันเริ่มขยับกระจกตรงหน้าก็เริ่มขยับมันกำลังงัดขึ้นมา มิรารีถอยหนีออกผนังกระจกกลายเป็นประตูที่เปิดทางให้เธอ
“ว้าว...ไม่คิดเลย...ว่าที่แห่งนี้จะมีกลไกปริศนาเยอะแบบนี้...”
มิรารีอยากเห็นคนสร้างตึกนี้จริง ๆ ที่คิดหาทางเข้าที่แปลกแบบนี้ เธอกำลังจะก้าวขาเข้าไปข้างในปริศนาก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
‘ช่วย...’
“อ๊ายยยย!!”
มิรารีร้องออกมาอย่างตกใจ หัวใจที่ผวาอยู่แล้วว่ากลัวจะมีอะไรออกมายิ่งเพิ่มความกลัวให้ เสียงหัวใจเต้นตึกตักกว่าเดิมเป็นสองเท่า เธอมองซ้ายขวาหาต้นเสียงนั้น
“นี่! อย่าส่งเสียงทันทีสิ!! มันตกใจนะ!!”
มิรารีตะโกนด้วยอารมณ์ไม่พอใจที่ต้นเสียงเอ่ยพูดออกมา แต่ต้นเสียงไม่โผล่ออกมาทำให้เธอสงสัยว่าอีกฝ่ายอยู่ไหนก่อนที่เสียงนั้นจะดังอีก
‘ช่วย...’
“ช่วย?”
มิรารีทวนคำพูดของเสียงปริศนา เธอสงสัยว่าอีกฝ่ายนั้นต้องการอะไรจากเธอ จนรู้สึกว่าเสียงนั้นเริ่มเข้ามาใกล้มากขึ้น
‘ช่วยหน่อย...’
เสียงที่ขอความช่วยเหลือเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ จนเธอมองหาตนเสียงแต่ไม่เห็นอะไรเลยจนรู้สึกถึงบางอย่างที่มาเกาะขาของเธอ เธอขนลุกขึ้นมาหน่อย ๆ ก่อนจะก้มมองก็เห็นสิ่งที่ไม่คาดคิด สิ่งแรกที่เห็นคือใบไม้หนึ่งใหม่กับมือเล็ก ๆ ที่คล้าย ๆ เปลือกไม้ เธอจ้องมองสิ่งมีชีวิตตรงหน้าที่มีส่วนสูงประมาณข้อเท้าของเธอ ตอนแรกเธอจะสะบัดเพราะความตกใจ แต่ตอนนี้เธอรู้สึกไม่ควรทำแบบนั้น ก่อนจะย่อตัวลงช้า ๆ เธอใช้มือจับเจ้าตัวเล็กเบา ๆ เธอยกเจ้าตัวเล็กขึ้นมาสีหน้ามันดูเศร้ามาก ๆ เหมือนคนกำลังร้องไห้ เธอประคองเจ้าตัวเล็กไว้บนฝ่ามือ
“เธอ...เป็นตัวอะไรกัน...?”
มิรารีเอ่ยถามเธอจ้องมองเจ้าตัวเล็กอย่างตั้งใจร่างกายของเจ้าตัวเล็กชาย ๆ คนแต่มีร่างกายคล้ายเปลือกไม้ บนหัวมีใบไม้สองใบดูน่ารักมาก ๆ ดวงตาสีเขียว มือเท้าเล็กน่ารักมาก ๆ จนเธอแอบเอ็นดูไม่ได้ ก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะส่งเสียงอีกครั้ง
‘ช่วย...ช่วยด้วย...’
มิรารีได้ยินเสียงนั้นอีกครั้งจนเธอมองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นเจ้าของเสียง ก่อนที่เธอจะเอาตัวเล็กเข้ามาใกล้ ๆ
‘ช่วยด้วย…’
เสียงนั้นดังมาจากเจ้าตัวเล็กตรงหน้าของเธอทำให้เธอรู้แล้วว่าเจ้าของเสียงนั้นคือเจ้าตัวเล็กที่ทำเสียงสะอึกสะอื้นอยู่ตรงนี้
“เสียงนี้คือเสียงเธอเหรอ?”
เจ้าตัวเล็กพยักหน้าเบา ๆ พร้อมน้ำตาที่กำลังไหลออกมา มิรารีเห็นก็รู้สึกสงสารว่าเจ้าตัวเล็กเป็นอะไรจนเธอต้องเอ่ยถามออกมา
“แล้วอยากให้ฉันช่วยอะไรเธอล่ะ?”
เจ้าตัวเล็กทำท่าทางจะขอลงจากมือของเธอ มิรารีค่อย ๆ ย่อมือของเธอตนเองใกล้ ๆ พื้น เจ้าตัวเล็กก็ลงแล้วเดินไปตามทางเส้นทางที่จะไปเขาหยุดลงแล้วหันมาหาเธอเหมือนอยากให้ตามไป
“จะให้ตามไปเหรอ?”
มิรารีเอ่ยถามเจ้าตัวเล็กก็วิ่งไปข้างหน้าทันที
“อ๊ะ!! เดียวรอด้วยสิ!!”
เจ้าตัวเล็กวิ่งนำหน้ามิรารีไปอย่างรวดเร็วเธอก็ตามไปทุกก้าว เจ้าตัวเล็กมีขนาดเล็กแต่ก็เดินเร็วมาก ๆ จนเธอตามแทบไม่ทัน แต่เธอสงสัยอย่างสิ่งมีชีวิตแบบนี้มีบนโลกด้วยเหรอจนเธอรู้สึกว่าตัวเองโดยอะไรหลอกหลอนแน่ ๆ แต่ก็ยังตามไปจนตอนนี้งงว่าเจ้าตัวเล็กไปไหน เธอเดินจนมาอยู่กลางห้องโถง เธอเงยหน้าขึ้นก็เห็นแถว ๆ ขั้นบันไดที่สองก็เห็นเจ้าตัวเล็กกำลังบีบราวจับขึ้นไปยังชั้นต่อไป มิรารีรีบขึ้นบันไดตามไปจนมาถึงชั้นที่สี่ที่เจ้าตัวเล็กหยุดรอเธอ
“แฮ่กๆ”
‘ช่วย...’ เจ้าตัวเล็กส่งเสียงออกมาในใจก่อนจะเดินนำทางไปต่อ
“รอก่อน...รอด้วย...”
มิรารีเห็นเจ้าตัวเล็กเดินนำไปก่อน เธอหอบหายใจ ก่อนจะพยายามลุกตามเจ้าตัวเล็กไปต่อ เธอเดินจนตามเจ้าตัวเล็กมาถึงห้องหนึ่งที่กำลังเดินเข้าไป
“กู้ดดดด!”
เจ้าตัวเล็กส่งเสียงที่ไม่ใช่คำพูดออกมา เรียกบางอย่างภายใน มิรารีระแวงว่าจะมีอะไรก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะเดินออกมา
“กู้ดดดดด”
มิรารีเห็นการร้องเรียกของอีกฝ่ายก็รีบเดินตามไปจนกระทั่งเห็นข้างในห้องที่ดูเละเทะไปหมด คงเกิดจากการโจมตีเกาะนี้ ของแต่ละอย่างตกแตกเต็มไปหมด อุปกรณ์ต่าง ๆ พังเต็มโต๊ะไปหมด ทำเอาหดหู่ใจสุด ๆ ก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะปีนไปจุดจุดหนึ่งเขาใช้มือกวักเรียกมิรารี เธอลองเดินไปดูก็เห็นสิ่งไม่คาดคิดนั้นคือสิ่งที่อยู่ภายในตู้สิ่งมีชีวิตคล้ายเจ้าตัวเล็กนอนแน่นิ่งไม่ขยับ เธอเปิดประตูตู้ดูแล้วตรวจสอบ แต่สภาพของพวกมันแต่ละตัวเหมือนตายมาได้สักพัก
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน...”
เจ้าตัวเล็กพยายามเดินไปหาเพื่อนของมันพร้อมกับเขย่าตัวเพื่อน ๆ เพื่อให้ทุกคนตื่น แต่ไร้การตอบสนองมิรารีเห็นรู้สึกจุกอกที่เห็นแบบนี้จนเธอนั้น
‘ช่วย ช่วย’ เจ้าตัวเล็กส่งเสียงขอความช่วยเหลือ
มิรารีได้ยินเสียงแบบนั้นยิ่งรู้สึกเจ็บปวดว่าจะบอกยังไงว่าเพื่อนของเจ้าตัวเล็กไม่อยู่แล้ว ก่อนที่เธอจะเอื้อมมือไปจับตัวของเจ้าตัวเล็ก
‘ช่วย!’
มิรารีโอบเจ้าตัวเล็กเข้ามากอดอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงของเจ้าตัวเล็กเปลี่ยนเป็นสะอึกสะอื้นอย่างเจ็บปวด
“ฉันเสียใจด้วยนะ...”
“กู้ดดดด กู้ดดดด”
เสียงเล็กจ๋อยร้องคร่ำครวญด้วยความเสียใจกับสิ่งที่เจ้าตัวอาจจะยอมรับไม่ได้และรอความช่วยเหลือมาตลอด แต่พอมิรารีมาเธอกลับช่วยไม่ได้จริง ๆ เพราะเธอไม่รู้ว่าพวกสิ่งมีชีวิตคล้ายพืชต้องทำยังไงให้ฟื้นขึ้น แต่สิ่งมีชีวิตพวกนี้คงคล้ายมนุษย์มีสิทธิ์ตายได้เช่นกัน เจ้าตัวเล็กหยุดร้องไห้ก็เริ่มพูดในความคิดออกมา
‘ไม่...ไม่อยู่แล้ว...’
มิรารีฟังเสียงของเจ้าตัวเล็ก เธอกับนึกถึงคุณยายที่เหมือนมาอำลาเธอนั้นทำให้น้ำตาของเธอไหลออกมา เธอกำลังเช็ดน้ำตาของตนเองแต่มันก็ยังไหลไม่หยุด มันเจ็บปวดในใจที่ต้องเสียคนที่ไม่ได้เจอเธอมานานไปอย่างไม่เตรียมใจ เธอฝืนที่จะไปปลอบอีกฝ่ายก่อนจะลูบหัวเจ้าตัวเล็กเบา ๆ
“ถึงไม่อยู่แล้ว...แต่เราก็มาฝังพวกเขาให้หลับใหลในพื้นดินดีกว่านะ ให้พวกเขากลับสู่ธรรมชาติ”
“กลับ...ธรรมชาติ...กลับกัน...” เจ้าตัวเล็กได้ยินแบบนั้นทำให้ใบไม้บนหัวขยับขึ้นลงอย่างดีใจ
เมื่อเห็นสีหน้าเจ้าตัวเล็กเปลี่ยนไปเธอยิ้มให้อย่างอ่อนโยนชมกับการเปลี่ยนความรู้สึกไวมาก ๆ ก่อนที่เธอจ้องมองร่างอันไร้วิญญาณของเจ้าตัวเล็กทั้งหลายนั้นทำให้เธอคิดว่าจะเอาไปไหงดี เธอไม่อยากใส่มือเป็นกอง ๆ ไปจำนวนของพวกมันมีทั้งหมดหกตัว เธอมองหาอะไรบางอย่างที่พอจะทำให้ยกเจ้าตัวเล็กทั้งหลายไปได้ง่าย ๆ จนเจ้าตัวเล็กมองเธอก็ทำบางอย่างที่คาดไม่ถึง
“กู้ดดดดดด~”
มิรารีเห็นสิ่งที่เจ้าตัวเล็กให้มันเป็นตะกร้าขนาดเล็กที่สร้างจากร่างกายตัวเล็กนั้นทำให้เธอยิ้มก่อนจะรับมา
“ขอบใจจ้ะ”
มิรารีหันไปหาร่างไร้วิญญาณที่คล้ายกับเจ้าตัวเล็กทั้งหลายก่อนจะนำลงใส่ตะกร้าทีละตัวจนครบทั้งหกตัว มิรารีก็เตรียมตัวพาทั้งหมดออกจากห้องนั้น เธอยื่นมือไปหาเจ้าตัวเล็กให้ลงมาที่มือของเธอก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะลงมาแล้วทั้งสองก็เดินออกจากที่นั่นจนออกมาจากตึกที่สองไปยังตึกแรกที่เธออยู่มันมีต้นไม้ใหญ่อยู่นั้นทำให้เธอคิดบางอย่างได้
“เอาที่นี่ละกันนะ”
มิรารีเลือกต้นไม้ใหญ่ที่น่าจะพอเป็นที่ฝังร่างของพวกตัวเล็กก่อนที่เธอจะนั่งลงแล้วว่าเจ้าตัวเล็กและตะกร้าลง เธอเริ่มการขุดดินโดยไม่สนใจว่ามือของเธอจะเละแค่ไหน เจ้าตัวเล็กเห็นแบบนั้นก็พยายามจะมาช่วยขุดจนมันตกไปในหลุม มิรารีเห็นก็แอบหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะช่วยพาขึ้นมา เธอขุดดินเป็นทางยาวไว้ให้ร่างของพวกเจ้าตัวเล็ก เธอจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะนำร่างของพวกตัวเล็กทั้งหกมาวางเรียงกัน เธอเห็นพวกเขาเหมือนคนกำลังหลับแต่ไร้ลมหายใจไปแล้ว เธอไปหาใบไม้สีเขียวมาวางเป็นผ้าห่มให้พวกตัวเล็ก เธอมองเจ้าตัวเล็กพร้อมกับเอามือสัมผัสใบหน้าของพวกเขาแต่ละตัว
“หลับให้สบายนะ...”
เจ้าตัวเล็กมาเกาะด้านข้างมิรารีจ้องมองเพื่อน ๆ ของมันนอนอยู่ในหลุม มิรารีหันมามองเจ้าตัวเล็กที่อยู่ข้าง ๆ ก่อนจะเอาดินที่ขุดขึ้นมากลบร่างของเจ้าตัวเล็กทั้งหลาย เธอนำกิ่งไม้ทั้งประมาณสิบสองกิ่งมาทำเป็นไม้กางเขนปักไว้ตรงหลุมศพ มิรารีถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะมองเจ้าตัวเล็กที่อยู่ด้านข้างแต่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว
“เจ้าตัวเล็ก?”
มิรารีหันซ้ายหันขวามองหนา ก่อนที่พุ่มไม้จะมีการเคลื่อนไหว มิรารีเห็นก็กลัวว่าจะเป็นสัตว์ป่าจนกระทั่งเห็นสีสันหลากหลายออกมานั้นคือกองดอกไม้ที่กำลังตรงมาทางนี้
“ดอกไม้?”
ดอกไม้ถูกวางลงพร้อมกับใบหน้าที่กำลังดูยิ้มแย้มให้ “กู้ดดดดดดดด~”
“อ๊ะ...คิก เจ้าตัวเล็กนี่เอง...ตกใจหมด...” มิรารีหัวเราะคิกคักก่อนจะเอ่ยถาม “นำดอกไม้มาไหว้เพื่อน ๆ สินะ”
“กู้ด...”
เจ้าตัวเล็กตอบกลับแล้วนำดอกไม้เป็นกอง ๆ วางลงบนหลุมศพของเพื่อน ๆ เพื่อไว้อาลัย เห็นแบบนี้มิรารีก็แอบที่จะเอ็นดูเจ้าตัวเล็กไม่ได้จริง ๆ เธอหันมามองหลุมศพ ก่อนจะยกมือขึ้นมากุมมือ
“ขอให้พระเจ้าจงนำทางพวกเจ้าสู่พื้นที่สีเขียวอันสงบสุข เอเมน”
ถึงมิรารีจะเป็นคนไทยแต่เธอนับถือทั้งศาสนาพุทธและคริสต์ ถึงแม้มันจะต่างกันมาก แต่ทุกศาสนาถูกสร้างมาให้อยู่ในส่วนของมัน แต่ยังไงเธอก็นับถือทั้งสองอย่างเต็มใจเพราะแม่เป็นพุทธ พ่อเป็นคริสต์ นั้นเป็นเรื่องที่ปกติที่พ่อแม่จะสอนเกี่ยวกับศาสนาของตนเองให้ลูก ๆ มิรารีเลยนับถือมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วยังไงแต่ละศาสนาสอนให้ผู้คนเป็นคนดีและมีเหตุผลเสมอ มิรารีสวดภาวนากับพระเจ้าจบเธอก็หันมาหาเจ้าตัวเล็กที่ยังนั่งมองหลุมศพของเพื่อนอยู่
***อย่าเคร่งเรื่องศาสนากันนะคะ
มันขึ้นกับบุคคลว่าอยากนับถือศาสนาไหนนะคะ
“นี่ เจ้าตัวเล็ก...”
“กู้ด...” เจ้าตัวเล็กหันมามองมิรารีอย่างตั้งใจ
“เอ่อ...เธออยู่นี่มานานแล้วใช่ไหม?”
เจ้าตัวเล็กมองอย่างสงสัยว่าคำว่านานมันคืออะไร แต่สำหรับเจ้าตัวเล็กวันเวลาผ่านไปตลอดจนเขาพยักหน้าให้อีกฝ่าย มิรารีได้ยินแบบนั้นก็คิดที่จะถามบางอย่างกับเจ้าตัวเล็กทันที
“โอเค...งั้นเธอคงบอกได้ใช่ไหมว่าที่นี่ถูกทิ้งร้างไว้นานเท่าไรแล้วนะ”
คำถามนั้นทำให้เจ้าตัวเล็กนิ่งค้างไปสักระยะก่อนจะเอียงคออย่างงุนงง มิรารีเห็นท่าทางอีกฝ่ายก็รู้สึกว่าไม่น่าจะใช่คำตอบที่ดีก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะตอบผ่านกระแสจิต
'ไม่รู้สิ...'
มิรารีถึงกับนั่งคอตกที่รู้สึกผิดเลยที่ถามเจ้าตัวเล็กที่น่าจะไม่รู้จักวันที่หรือวันเวลาเลยด้วยซ้ำ
“ขอโทษนะ...ที่ถาม...”
“กู้ด...” เจ้าตัวเล็กเดินเข้ามาซบหน้ากับหัวเข่าอีกฝ่ายอย่างเป็นห่วง
มิรารีมองก็ได้แต่ยิ้มให้ก่อนจะลูบหัวเบา ๆ “ไม่เป็นไร ๆ ฉันแค่รู้สึกเสียใจที่ยังหาข้อมูลให้ตัวเองไม่ได้นะ”
เจ้าตัวเล็กได้ยินแบบนั้นก็ชี้ไปที่ตึกที่สองใด “กู้ด!! กู้ด!!”
มิรารีเงยหน้าไปทิศที่เจ้าตัวเล็กชี้ “ตึกที่เราออกมาเหรอ?...ตึกนั้นมีข้อมูลที่จะบอกฉันได้เหรอ?”
“กู้ด!” เจ้าตัวเล็กพยักหน้าทันที
มิรารีได้คำตอบใหม่ก็ตาลุกวาวอย่างรวดเร็ว “เจ๋งเลย! งั้นวันนี้…”
แสงแดดสาดส่องตามทางตรงลงมาทางที่มิรารีอยู่ เธอยกมือขึ้นดวงอาทิตย์มาอยู่เหนือหัวเธอบ่งบอกว่าตอนนี้เวลาเท่าไหร่แล้ว
“เที่ยงแล้วเหรอ...คงต้องพอแค่นี้ก่อนล่ะนะ...กองทัพต้องเดินด้วยท้องนะ!!”
‘กองทัพ?’เจ้าตัวเล็กส่งกระแสจิตออกมา
“คิก ๆ หมายถึงพวกเรานะ เจ้าตัวเล็ก”
“กู้ด!”
“กลับกันดีกว่า...เอ่อ...เธอคงไม่จะอยู่แถวนี้ใช่ไหม?”
“กู้ด?” เจ้าตัวเล็กเอียงคออย่างสงสัย
มิรารีจ้องมองอีกฝ่ายถ้าอยู่แถวนี้ก็กลัวว่าจะมีอะไรมาทำให้เจ้าตัวเล็กบาดเจ็บก่อนจะนึกบางอย่างได้
“สนใจ...ไปอยู่กับฉันไหม?”
“กู้ด!!”
เจ้าตัวเล็กกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจก่อนจะมากอดหัวเข่าเธออีกครั้ง มิรารีเห็นก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะอุ้มอีกฝ่ายไว้ที่ฝ่ามือ
“เดียวเรากลับไปทานอาหารกันดีกว่านะ แกกินน้ำหรือดินสินะ”
“กู้ด!” เจ้าตัวเล็กตอบพร้อมกับพยักหน้า
เจ้าตัวเล็กตอบเธอด้วยเสียงกู้ดตลอดทำให้เธอคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “อืม เธอชอบพูดว่ากู้ดสินะ? นั้นฉันขอเรียกเธอว่า กู้ดนี่ละกันนะ”
“กู้ด กู้ด!”
เจ้าตัวเล็กรู้สึกดีใจที่อีกฝ่ายตั้งชื่อให้ตน ทำให้เจ้าตัวเล็กจนกระโดดโลดเต้นบนฝ่ามือของมิรารีจนเกือบตกทำเอามิรารีตกใจไปหมด
“เฮ้ย!! ระวังหน่อยสิ กู้ดนี่” มิรารีช่วยประคองมือไม่ให้เจ้าตัวเล็กตก
“กู้ด...” กู้ดทำสีหน้าอย่างเขิน ๆ ก่อนที่จะกลับมานั่งปกติบนฝ่ามือของมิรารี
มิรารีส่ายหัวเบา ๆ ที่อีกฝ่ายทำเธอใจหายใจขวับไปหมดก่อนที่เธอจะเดินมาที่ต้นไม้พร้อมกับวางมือและหน้าผากกับต้นไม้
“ฝากเจ้าพวกตัวเล็กให้หลับอย่างสบายด้วยนะ…”
มิรารีกล่าวแบบนั้นเธอก็เดินกลับไปที่ตึกพักของเธอโดยไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้ชีวิตแสนสงบของเธอจะเปลี่ยนไปจากการตามล่าของชายคนหนึ่งที่ตามหาสิ่งบางอย่างมาตลอด
ห่างออกไปจากเกาะที่ที่รกร้างของมิรารีอยู่หลายร้อยไมล์ ภายใต้ความมืดมิดของสถานที่ปรับหักพังในตัวเมืองเมืองหนึ่งไร้ผู้คนนอกจากกลุ่มคนที่กำลังมั่วซุ่มกันภายในโกดังร้างแห่งนี้และจุดหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ในซุ้มสีดำมืด แต่มีควันมากมายกระจายอยู่ภายในนั้น หญิงสาวแต่งตัวเหมือนพวกแม่หมอยิปซี เมื่อเปลือกยกตัวขึ้นเผยให้เห็นดวงตาสีขาวไร้ดวงตาหลากสีของมนุษย์ เธอจ้องมองควันที่กำลังกระจายไปมาเหมือนบ่งบอกถึงความผิดปกติ ก่อนจะมีเสียงฝีเท้าหนึ่งกำลังเดินเข้ามาภายในซุ้มนี้
“ท่านมาแล้วหรือ...?”
เจ้าของฝีเท้าค่อย ๆ เดินออกมาจากหลังผ้าม่าน เขามีรูปร่างสูง ผิวสีดำอ่อน ๆ ออกเทาเข้มเหมือนถ่าน ผมดำ ดวงตาสีแดง เสื้อผ้าที่ใส่ดำไปหมด เขาเดินตรงมานั่งข้าง ๆ ของหญิงสาว
“ไง มีอะไรบ้างไหม?”
“ฉันเห็นเธอ...”
“จริงเหรอ?” ชายหนุ่มตาลุกวาวอย่างดีใจ
“ค่ะ เธอฟื้นแล้ว...”
ชายหนุ่มได้ยินแบบนั้น ริมฝีปากของเขายกยิ้มอย่างกว้าง ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์มากๆ
“รู้ไหมว่าเธออยู่ไหน?”
“ฉันขอเวลาเพิ่ม จะบอกท่านได้แน่ ๆ ท่านเคสเนอร์!”
“ได้ฉันรอมานานขนาดนี้รออีกหน่อยจะเป็นไรไป เพราะยังไงฉันก็ต้องได้เธอมาอยู่ในมือ!!”
จบตอนที่ 7 โปรดติดตามต่อตอนที่ 8 ต่อไป