อะไรน่ะ เจ้าเป็นบุตรแห่งสวรรค์อย่างนั้นรึ แล้วมันทำไม สำนักข้ามีผู้ท้าทายโชคชะตามากมาย มันจะซักแค่ไหนกันเชียว โอ้ว สมบัติระดับเซียนปรากฎขึ้นอย่างนั้นรึ ช่างหัวมันสิ! ต่อหน้าระบบข้าพวกมันล้วนเป็นขยะ!
แอคชั่น,ตลก,ผจญภัย,ไทย,จีน,กำลังภายใน,ดราม่า,แอ็คชั่น,แอ็คชั่น ,พระเอกเทพ,ฮาเร็ม,ระบบ,ระบบผู้ช่วย,ตลก,ผจญภัย,เจ้าสำนัก,หลายโลก,เกิดใหม่,เกิดใหม่ ,พระเอกเก่ง,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัดอะไรน่ะ เจ้าเป็นบุตรแห่งสวรรค์อย่างนั้นรึ แล้วมันทำไม สำนักข้ามีผู้ท้าทายโชคชะตามากมาย มันจะซักแค่ไหนกันเชียว โอ้ว สมบัติระดับเซียนปรากฎขึ้นอย่างนั้นรึ ช่างหัวมันสิ! ต่อหน้าระบบข้าพวกมันล้วนเป็นขยะ!
นพเก้าเดินออกจากโรงเรียนโดยไม่สนใจผลกระทบที่เกิดขึ้นแม่แต่น้อย
“ระบบการแสดงของข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
นพเก้าถาม
[ติ๊ง ประทับใจ]
ระบบตอบ
[ติ๊ง ของแสดงความยินดีโฮตส์ได้แสดงการวาดยันต์บุพภาลำเนาไพรฉบับสมบูรณ์ การกระทำของโฮสต์เริ่มก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปรงด้าน อุตสาหกรรมยันต์วิญญาณระดับภูมิภาค รางวัล: เพิ่มช่องทรัพยากร + 5]
“ระบบ ข้าสามารถใช้งานได้อย่างไร”
[โฮสต์สามารถเรียกช่องทรัพยากรได้ผ่านทางจิตแล้วใส่วัตถุในช่อง ทรัพยากร]
นพเก้าหยิบสร้อยคอทองคำ 1 บาทที่น้องสาวให้เป็นของขวัญวันเกิดใส่ในช่องทรัพยากรตรงหน้า
[ช่องทรัพยากร]
[ความจุ 1/5]
[วัตถุ: สร้อยคอทองคำ 1 บาท (ระยะเวลาเพิ่มจำนวน 23 ชั่วโมง 59 นาที 53 วินาที: อัตราเพิ่มจำนวน 1 เท่าตัว)
“ระบบ ถ้ามันครบ 24 ชั่วโมงมันจะเพิ่มจำนวนขึ้นจริงเหรอ แล้วมันมีข้อจำกัดหรือไม่”
นพเก้าอดสงสัยไม่ได้
[จริงแท้แน่นอน]
[โฮสต์โปรดอย่าสงสัยในความสามารถของระบบ ต่อให้เป็นไอเทมระดับทำเจ้าก็สามารถเพิ่มจำนวนได้ย่างไม่สิ้นสุด]
ช่องนิยายเสียง + อนิเมชั่น + Soundtrack + SFX https://youtu.be/NaYoEy8lJNo
ในห้องประชุมหลักของโรงเรียนเวษสุวรรณ ตรงกลางมีโต๊ะประชุมทรงขนมปังยาวจุที่นั่งได้ 30 คน ขณะนี้เต็มไปด้วยบุคคลสำคัญของโรงเรียน โดยผู้ที่นั่งเป็นผู้อาวุโส และมีครูทั่วไปยืนรายล้อมห้องประชุม รวมทั้งห้องราว 50 คน ทุกคนกำลังภาพโฮโลแกรม 3 มิติและภาพจากอาณาเขตที่สองของสวนพฤกษศาสตร์
“ขออภัยคุณครูทุกท่านที่เรียกประชุมด่วน ตอนนี้มีสถานการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นจึงต้องขอความร่วมมือทุกคนเพื่อช่วยสืบสวน”
ชายวัยกลางคนที่ดูอ้วนเล็กน้อยนั่งอยู่หัวโต๊ะพูดเปิดประชุม
“สืบสวน? ท่านผู้อำนวยการไม่ใช่ว่าเรียกเรามาเพราะเรื่องการปรากฏของสมบัติสวรรค์หรือ”
“ใช่ๆ ตอนนี้เราควรไปเอาสมบัติ เราไม่มีเวลาเสียกับเรื่องนี้ปล่อยให้คณะคุมกฎจัดการเป็นอย่างไร”
ครูอาวุโสรู้สึกไม่อยากเสียเวลาเรื่องนี้เท่าไหร่นัก ปรากฏการณ์สมบัติระดับสวรรค์ไม่มีการเกิดขึ้นมาหลายศตวรรษแล้ว แต่ละครั้งที่เกิดขึ้นเกิดการแย่งชิงอย่างดุเดือดระหว่างขอบเขตในตำนานอย่างจักรพรรดิยุทธ์ เสียงการซุบซิบในห้องประชุมเริ่มดังขึ้น
“นี่”
เมื่อรองอาจารย์ใหญ่เห็นภาพนี้ก็รู้สึกเบื่อหน่าย พวกเจ้าช่วยให้ความสำคัญกับเรื่องตรงหน้าสักหน่อยได้ไหม ขณะที่กำลังเกิดวิกฤตก็ยังพูดเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
“อะแฮ่ม! ทุกท่านฟังก่อน ที่ข้าเรียกมาประชุมก็เกี่ยวกับเรื่องสมบัติสวรรค์นี่แหละ”
เมื่อผู้อำนวยการมองเห็นท่าทีรองอาจารย์ใหญ่ เขาคลี่ยิ้มแล้วพูดซักประโยคเพื่อให้การพูดคุยเงียบลง เขาดูไม่ใส่ใจกับการแสดงออกโดยไม่ปิดบังทำทีราวกับว่าได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ
(การยิ้มของเจ้าไม่ปลอมไปหน่อยหรือ)
ในห้องประชุมทุกคนคิดเช่นนั้น แต่ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ ส่วนนึงก็มีสายตาดูแคลนคนที่ใช้เส้นสายเพื่อขึ้นตำแหน่งของบุคคลนี้
“จากที่ตรวจสอบสมบัติสวรรค์ได้ถูกชิงไปแล้ว โดยที่ทัณฑ์สวรรค์ไม่ทันได้เกิดขึ้นด้วยซ้ำ”
ประโยคนี้ทำให้ทุกคนประหลาดใจ
“จะเป็นไปได้อย่างไร เจ้าจะบอกว่ามีคนรู้ตำแหน่งของสมบัติสวรรค์เกิดขึ้นแล้วฉกชิงไปก่อนนั่นเป็นไปไม่ได้”
ชายชราที่นั่งขวาสุดกล่าวขึ้น
ต้องรู้ก่อนว่าการปรากฏของสมบัติระดับสวรรค์ขึ้นไปแต่ละครั้งจะต้องมีปรากฏการณ์ฟ้าดินเกิดขึ้นผู้ฝึกยุทธ์ถึงจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ตรวจจับได้
ในขณะนี้ทั้งโรงเรียนได้ส่งคนไปปิดกั้นพื้นที่เพื่อไม่ให้ข่าวรั่วไหล และส่งผู้ฝึกยุทธ์เขตแดนระดับ3 ขอบเขตจิตรู้แจ้งไปอย่างน้อย 100 คน และระดับ 4 ขอบเขตก่อลักษณ์ 20 คน และระดับ 5 ขอบเขตผู้พิทักษ์ 1 คนเพื่อเตรียมเก็บเกี่ยวสมบัติสวรรค์ จะมีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นได้อย่างไร
“นี่เจ้ากำลังสงสัยพวกเราหรือไม่ ข้าคาดว่าครูส่วนใหญ่กำลังบรรยายในห้องเรียนเวลานั้น และคงไม่มีใครไปเดินเล่นในอาณาเขตที่ 2 เช่นกัน”
“พวกเจ้าคิดมากเกินไป จากที่ข้าตรวจสอบและวิเคราะห์ดูมีความเป็นไปได้ที่อาจเกิดจากครูและนักเรียนที่อยู่ในสวนพฤกษศาสตร์มากกว่า”
“ผู้อำนวยการเจ้ามีหลักฐานหรือไม่ เรื่องใหญ่เช่นนี้ไม่สามารถปรักปรำนักเรียนได้”
ครูหัวล้านผู้มีอคติพูดด้วยน้ำเสียงเคลือบแครง
“ใจเย็นก่อนอาจารย์ชิว ช่วยดูวิดีโอตรงหน้าท่านก่อน เป็นภาพกล้องวงจรปิดจากอาณาเขตที่ 2 บันทึกไว้ได้ก่อนที่จะถูกทำลาย”
รองอาจารย์ใหญ่พูดขึ้น
“สาเหตุที่เรียกประชุมครั้งนี้เพราะต้องให้อาจารย์ทุกท่านช่วยเป็นพยานในชั้นเรียนว่าช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุการณ์ทั้งครูและนักเรียนได้อยู่ครบหรือไม่ นอกจากนี้ให้ตัดข้อสงสัยเรื่องบุคคลภายนอกไปได้เลย ด้วยค่ายกลตรวจจับระดับ 5 ของบรรพบุรุษ บุคคลภายนอกไม่สามารถเข้าออกได้ตามใจชอบต่อให้เป็นขอบเขตราชันยุทธ์ก็ตาม”
รองอาจารย์ใหญ่ไม่สงสัยว่าเป็นบุคคลภายนอก นางมั่นใจว่าด้วยค่ายกลระดับบรรพชนเรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้น
หลังนางพูดจบเสียงในห้องประชุมก็เงียบลง ไม่มีใครสงสัยในคำพูดของนางเพราะนางเป็นอัจฉริยะผู้สร้างค่ายกลระดับ 4 ดาว ตั้งแต่อายุ 30 ปี ดังนั้นมีความน่าเชื่อถือในคำพูดได้ 80 ถึง 90%
“อาจารย์เจี่ย ท่านส่งสัยบุคคลไหนเป็นพิเศษหรือไม่”
ครูหัวล้านพูดด้วยรอยยิ้ม เป็นโอกาสหายากที่จะสนทนากับสาวสวยเช่นนี้
“มีสองคน นักเรียนกับอาจารย์”
หืม
“สรุปแล้วเป็นใคร”
หลายคนเริ่มอยากรู้
รองผู้อำนวยการหันหน้าไปหาบุคคลขวาสุดของที่นั่ง
“อาจารย์หนาน ท่านพอจะอธิบายได้หรือไม่ เหตุใดท่านถึงต้องไปอาณาเขตที่ 1 ทุกวันช่วงเวลาบ่ายโมง ท่านไม่มีสอนหรือ จากที่ตรวจสอบท่านมักจะเดินไปใกล้อาณาเขตที่ 2 ทุกวัน”
หลังนางพูดก็กดที่ภาพโฮโลแกรมแสดงภาพบันทึกจากกล้องวงจรปิดหลายภาพโดยเป็นภาพของอาจารย์หนาน
“อาจารย์เจี่ย นี่”
อาจารย์หนานกระวนกะวายใจจนพูดไม่ออก รู้สึกอึดอัดเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่จะเปิดเผยได้
“อาจารย์หนานท่านพอจะชี้แจงให้พวกเราฟังหน่อยได้หรือป่าว”
ครูหัวล้านพูดด้วยท่าทีแข็งกร้าว ต้องการจะโชว์ด้านที่แข็งแกร่งกระตุ้นความสนใจสาวงาม
อาจารย์หนานยังคงเงียบไม่ต้องการตอบคำถามนี้ ขณะที่จะให้คำอธิบายก็ได้ยินเสียงพูดจากครูที่ยืนด้านหลัง
“นั่นศิษย์ส่วนตัวของอาจารย์หนานใช่หรือไม่”
ครูหลายคนเริ่มสังเกตภาพในกล้องวงจรปิด ขณะที่อาจารย์หนานกำลังเดินไปอาณาเขตที่สอง หลังต้นไม้มีนักเรียนหญิงเดินออกมา ท่าทางราวเป็นกันเองพูดคุยกันด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นทั้งคู่เดินไปหลังโขดหินขนาดใหญ่สามเมตร
ควับ!
ครูทุกคนหันไปมองอาจารย์หนานพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย นี่มันพฤติกรรมผิดศีลธรรมระหว่างนักเรียนและอาจารย์ใช่หรือไม่ หลายคนมั่นใจว่าเป็นเช่นนั้น
อาจารย์หนานก้มหน้าตัวสั่น หน้าเริ่มเป็นสีแดงลามไปถึงลำคอ เหงื่อเม็ดใหญ่เริ่มผุดออกมา แสดงพฤติกรรมอับอายราวกับถูกชาวบ้านพบว่าภรรยามีชู้แล้วถูกนินทาต่อหน้า
“โอ้ว อาจารย์หนานไม่นึกเลยว่าท่านจะเป็นวัวแก่กินหญ้าอ่อน”
“ฮ่าฮ่า พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูกบางทีเขาอาจจะซุ่มสอนวิชาลับให้ลูกศิษย์ก็ได้ ใช่ไหมอาจารย์หนาน?”
“ข้า ข้า”
อาจารย์หนานพูดด้วยเสียงสั่น
“ทุกคนเงียบก่อน จากที่ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่บุคคลต้องสงสัย แต่ด้านพฤติกรรมยังต้องสืบสวนต่อไป เรื่องนี้ข้าจะยกให้ฝ่ายปกครองจัดการต่อแล้วกัน ทุกคนมีความเห็นอะไรไหม”
อำมหิตมาก
ทุกคนคิดในใจ ไม่คิดว่ารองอาจารย์ใหญ่เจี่ยจะใช้วิธีการนี้ในการจัดการครูรุ่นอาวุโส ใช้ข้ออ้างเรื่องการสอบสวนมาจัดการเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นในโรงเรียน โดยปกติเพื่อไม่ให้กระทบกับชื่อเสียงจะมีการเรียกคุยอย่างลับๆ และไล่ออกอย่างลับๆ อย่างไรก็ตามครูอาวุโสอย่างหนานกงหลินแน่นอนว่าไม่มีทางยอมรับเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา ต่อให้มีหลักฐานก็จะอ้างเรื่องคุณปรูปที่เคยทำให้โรงเรียน และอาศัยความใจอ่อนของผู้อำนวยการในการหนีเอาตัวรอดทุกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นและจะมีครั้งต่อไปอีกมากมาย อดีตก็เคยทำร้ายนักเรียนหญิงถึงสองคนโดยผู้ถูกกระทำไม่ได้รับความเป็นธรรมใดๆ
“อาจารย์เจี่ย อย่าลืมว่าทุกปีข้าเป็นคนปรุงโอสถปะทุโลหิตกับโอสถชำระไขกระดูกให้ทุกปี”
อาจารย์หนานรู้สึกคับแค้นใจ ถ้าไม่ใช่เพราะตนเองมีหรือจะแข่งขันกับโรงเรียนอื่นได้ เมื่อไม่มีโอสถแปรธาตุจะใช้อะไรดึงดูดนักเรียนคุณภาพเข้าสถาบัน
“หนานกงหลิน สถาบันเราจ่ายเงินเดือนเจ้าตามข้อกำหนดตลอด นี่ไม่ใช่ข้ออ้างให้เจ้าพ้นความผิด นอกจากนี้หลังการสอบปลายภาคจะมีนักปรุงยาระดับ 4 ดาวมาบรรจุที่นี่ เหตุใดสถาบันของเราถึงต้องพึ่งพาเจ้า”
เจี่ยไป๋เจินเลิกใช้คำว่าอาจารย์หนาน นางรู้สึกรังเกียจเกินกว่าที่จะเรียกคนเช่นนี้ว่าอาจารย์
โอว
ทันใดนั้นทั้งห้องตกอยู่ในความโกลาหล ในเมืองเวสสุวรรณตัวตนของหนานกงหลินเป็นนักปรุงยาระดับ 3 ดาว ทั้งเมืองมีนักปรุงยาระดับนี้ไม่เกิน 3 คนและการจ้างงานแต่ละคนต้องจ่ายเงินเดือนสูงลิ่ว นอกจากนี้ค่าทรัพยากรปรุงยาทางโรงเรียนต้องออกให้เองและหากการปรุงยาล้มเหลว ตัวหนานกงหลินเองไม่ต้องชดใช้ใดๆ นับว่าเป็นความใจกว้างอย่างมาก ถ้าหากจ้างนักปรุงยาระดับ 4 ดาวมาได้จริง อัตราการปรุงยาชำระไขกระดูกจากเดิมโอกาสสำเร็จที่ 50% จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 70% ลดค่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองไปได้อย่างมาก สามารถนำเงินส่วนนี้ไปทำอย่างอื่นได้มากมาย
หนานกงหลินรู้สึกตะลึงงัน โรงเรียนสามารถจ้างนักปรุงยาระดับ 4 ดาวมาได้อย่างไร ทำไมถึงมาบรรจุในโรงเรียนระดับ 2 หากไปบรรจุในเมืองหลวงหรือราชวงษ์จะได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาล นอกจากนี้ไม่ใช่ว่าใช้พรสวรรค์สูญเปล่าหรือ
ทุกคนหันไปมองเจี่ยไป๋เจินและผู้อำนวยการป๋อโดยไม่รู้ตัว ดูเหมือนผู้อำนวยการก็ไม่รู้เรื่องเช่นกันเพราะยังดูตะลึงงันอยู่เหมือนกัน
(ช่างเป็นผู้อำนวยการที่ไร้ประโยชน์)
การดูถูกของทุกคนแสดงออกเพิ่มขึ้นอีกขั้นกับผู้อำนวยการคนนี้
“ไม่ต้องเสียเวลาพูดคุยกันอีกต่อไป นำตัวเขาออกไป เรายังมีอีกคนที่ต้องสืบสวน”
เจี่ยไป๋เจินเรียกฝ่ายรักษาความปลอดภัยสองคนมาหิ้วปลีกหนานกงหลินออกไป
“เจี่ยไป๋เจิน เรื่องนี้จะไม่จบแค่นี้อย่างแน่นอน เจ้ากับข้าไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้”
เมื่อการกระทำถูกเปิดโปงก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีกต่อไป เมื่อเขาถูกไล่ออกเรื่องอื้อฉาวทั้งหมดจะถูกรับรู้ทั่วทั้งเมือง ด้วยระดับของเขาอย่างมากแค่ขึ้นศาลขั้นต้นแล้วรอผู้มีอำนาจช่วยปล่อยตัว อย่างไรก็ตามเขาไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องอาชีพการงานอีกต่อไป สมาคมปรุงยาจะไม่รับพวกผิดศีลธรรมและเขาจะถูกปลดดาวทั้งหมด ทั้งชีวิตไม่อาจสอบเลื่อนระดับได้อีก และทางเลือกหารายได้มีไม่มากนัก เขาอาจจะเลือกเส้นทางของนักปรุงยาเถื่อนและเข้าร่วมกับองค์กรใต้ดิน นี่ไม่ต่างจากการตายทั้งเป็น
“อาจารย์เจี่ย ข้าสงสัยว่านักเรียนคนนั้นเป็นใคร”
ผู้อำนวยการเร่งเร้าออกมา เขาไม่ต้องการอยู่ในบรรยากาศอึดอัดในที่ประชุม
“เป็นนักเรียนห้อง 602 นพเก้า อสุราทองคำ นักเรียนของอาจารย์เฟรย์”
รองอาจารย์ใหญ่พูดขึ้นโดยสายตาหันไปจ้องที่ครูดาวรุ่งที่ยืนอยู่ข้างเธอ
เฟรย์ ดามิตรู้สึกมึนงง สถานการณ์มันกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร
“จากการสืบสวนพบว่านักเรียนคนนี้ปกติจะไม่เคยเข้าเรียน และบังเอิญมากที่เมื่อเช้าเข้าชั้นเรียนของเจ้า และพบว่าหลังช่วงบ่ายไปอยู่ที่สวนสาธารณะและตรงไปที่อาณาเขตที่ 2 ดูท่าคงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เจ้ารู้จักนักเรียนคนนี้มากน้อยเพียงใด”
“ค-ค่ะ”
เมื่อเฟรย์ดามิตถูกจ้องมองจากทุกคนมันทำให้นางรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
“ข้าไม่ค่อยรู้จักนักเรียนคนนี้นัก คนนี้ปกติจะไม่เข้าชั้นเรียน ข้าเห็นเขาเพียงสองครั้ง ตอนต้นเทอม สอบกลางภาคและวันนี้ และ”
เธอไม่รู้จักนักเรียนคนนี้มากนัก ได้ยินเพียงข่าวลือว่าเป็นลูกเศรษฐีที่ชอบเที่ยวเล่นไปวันๆ และเป็นนักเรียนอัจฉริยะที่สอบได้ข้อเขียนและภาคปฏิบัติได้ที่ 2 เกือบทุกปี จู่ๆ วันนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นและแสดงฝีมือการวาดยันต์คาถาในห้องเรียน เธอไม่รู้ว่าควรพูดเรื่องนี้ดีหรือไม่
“เจ้ามีอะไรก็พูดออกมาเถอะ เราเพียงซักถามเพื่ออ้างอิงพฤติกรรมของนักเรียนเท่านั้น”
เจี่ยไป๋เจินพูดด้วยท่าทีสบายๆ เพื่อคลายความกดดัน เฟรย์ดามิตคิดสักพักแล้วจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน นางเล่าข้ามเรื่องทำโทษนักเรียนโดยเน้นไปที่ความแปลกประหลาดของการวาดยันต์คาถายันต์วิญญาณบุพผาลำเนาไพรอธิบายว่ามันน่าเหลือเชื่อแค่ไหน
“หา! นักเรียนปรับปรุงยันต์คาถา นี่กำลังเล่าเรื่องตลกให้เราฟังหรือแม่หนู”
“อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ 10วินาที ต่อให้เป็นเซียนก็ยังวาดไม่เร็วขนาดนั้น ถ้าเจ้าพูดว่าหนึ่งนาทีข้าก็ยังพอทำใจเชื่อได้บ้าง”
“พระเจ้า! มันเป็นไปได้จริงๆ หรือ”
เมื่อทุกคนได้ฟังเรื่องราวการวาดยันต์วิญญาณของนพเก้า ทั้งห้องก็เข้าสู่สภาวะวุ่นวาย บางคนนิ่งงัน ส่วนใหญ่จะถกเถียงกันคิดว่านี่เป็นเรื่องไร้สาระ
เมื่อเฟรย์ดามิตเล่าเรื่องออกไปแล้วเห็นปฏิกิริยาของทุกคน ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา
(โถ่ตัวข้า นี่ข้าบ้าไปแล้วจริงๆ ถึงตัดสินใจเล่าเรื่องนี้ให้ในที่ประชุม ต่อไปข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน)
นางไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์คำพูดของตัวเอง นางจึงมองไปหาอาจารย์เจี่ยเพื่อขอความช่วยเหลือ สถานการณ์นี้มันน่าอึดอัดมาก
เจี่ยไป๋เจินมองไปที่ผู้อำนวยการป๋อแล้วใช้นิ้วซ้ายเคาะโต๊ะราวกับบอกใบ้ให้ทำบางอย่าง
“อะแฮ่ม ทุกคนเงียบก่อนเรามาดูหลักฐานกันก่อน เมื่อมีภาพที่เห็นได้ด้วยตา ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะตัดสินใจกันได้”
หลังกะแอ่มครั้งที่สองก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผล หลายคนยังคงโต้เถียงกันต่อไป ป๋อฉีไหลจึงเปิดกล้องบันทึกภาพในห้อง 601 แล้วเลื่อนไปเหตุการณ์ตอนคาบ 11 โมง
ในบันทึกเห็นนักเรียนคนนึงเดินออกมาหน้ากระดานดำแล้ววาดยันต์คาถาด้วยช็อค เทคนิคการวาดเต็มไปด้วยความเฉียบคมและฝีไม้ลายมือคงที่ไม่มีการหยุดชะงักแม้แต่น้อย ทันทีที่วาดสัญลักษณ์บนและล่างที่เป็นฐานรวมวิญญาณเสร็จก็เกิดพลังปราณวิญญาณทั่วทุกทิศทางรวมไปที่ยันต์คาถาบนกระดานดำ ก่อนที่จะเกิดปรากฏการณ์หล่อเลี้ยงปราณฟ้าดินขึ้น จากนั้นเดินขึ้นแท่นบรรยายอธิบายซักพักแล้วเดินออกจากห้องเรียนอย่างสง่างาม ทิ้งคนในชั้นเรียนให้นิ่งงัน
“บัดซบ อัศจรรย์ ยอดเยี่ยม นี่มันท้าทายสามัญสำนึกเกินไป”
หลังจากทุกคนดูวิดีโอบางคนก็อดที่จะเอามือก่ายศีรษะและสบถออกมาไม่ได้ ความสามารถนี้มันท้าทายสวรรค์เกินไปไม่ทราบว่าบุคคลนี้ฝึกวาดยันต์คาถาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาหรือไม่
“เอาล่ะทุกคนดูเหมือนเราจะเบี่ยงเบนประเด็นสำคัญในการประชุมไปไกลแล้ว ดูเหมือนมีความเป็นไปได้ที่เด็กคนนี้อาจจะรู้อะไรบางอย่างจริงๆ”
เจี่ยไป๋เจินก็ตกตะลึงเช่นกัน แต่ก็รักษาความสงบบนใบหน้าเอาไว้ การที่เรื่องทุกอย่างมันไม่สมเหตุสมผล แต่มันก็สามารถเชื่อมโยงบางอย่างได้ แต่ละสิ่งที่เกิดขึ้นมันลึกลับเกินไป
“ข้าเห็นด้วยการแสดงออกแต่ละอย่างมันผิดปกติเกินไปจริงๆ” ทุกคนเริ่มได้สติแล้วกลับเข้าประเด็นหลัก
“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อดี”
“จะอะไรซะอีกล่ะ เราแค่จับนักเรียนคนนี้มาสอบปากคำ”
บางคนแสดงความคิดเห็นออกมาโดยไม่อาจปิดบังความต้องการได้ มันชัดเจนเกินไป ด้วยยันต์คาถาที่ปรับปรุงนี้มันสามารถปฏิวัติอุตสาหกรรมทั่วโลกได้ หากได้มาล่ะก็ พวกเขาจะสามารถเป็นส่วนนึงที่สร้างประวัติศาสตร์ได้
“ไอพวกปัญญาอ่อน เมื่อกี้เจ้าไม่ได้ยินหรือตระกูลอสุราทองคำน่ะ เจ้าอยากแกว่งเท้าหาเสี้ยนหรือ”
“ตระกูลนี้แข็งแกร่งมากหรือ?”
“แน่นอนว่าต้องแข็งแกร่ง ตระกูลอสุราทองคำเป็นตระกูลโบราณที่มีมรดกตกทอดมากกว่าพันปี ว่ากันว่าในอดีตมีการรับมรดกของทวยเทพถึงสี่ชิ้นส่วน ความจริงยังไม่เปิดเผยทั้งหมด ถ้าหากจัดอันดับความแข็งแกร่งในเมืองเวสสุวรรณก็อยู่ในลำดับที่สี่ นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดเฒ่ามากมาย”
ผู้ที่มีความรู้อธิบายอย่างตั้งใจเพื่อเตือนสติคนรอบข้างไม่ให้ทำอะไรโง่ๆ
เอือก
เสียงกลืนน้ำลายเกิดขึ้นจากบุคคลที่ไม่ประสงค์ดีตอนแรก ตอนนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ถ้าหากความคิดก่อนหน้านี้ถูกรับรู้ในโลกภายนอกวันพรุ่งนี้แม้แต่ซากของเขาก็คงไม่เหลือ
“ข้าได้ยินมาว่าบุคคลนี้เป็นคุณชายใหญ่ในตระกูลด้วย เลิกคิดเรื่องการสืบสวนไปได้เลย”
“แต่นั่นเป็นสมบัติระดับสวรรค์เลยน่ะ เราจะยอมปล่อยมันไปจริงๆ หรือ”
บางคนไม่ยินยอมราวกับว่ามีคนแย่งชามข้าวสุนัขไป
“ท่านผู้อำนวยการป๋อ ท่านมีความเห็นอย่างไร”
ในเมื่อทุกคนไม่มีความเห็นก็ยกการตัดสินใจให้ผู้มีอำนาจสูงสุดไป
(บัดซบ ไอพวกเฒ่าเจ้าเล่ห์ นี่ไม่ได้หมายความว่าเวลาข้าประชันหน้ากับตระกูลอสุราทองคำ เวลาเผชิญปัญหาข้าต้องรองรับทั้งหมดคนเดียวใช่ไหม)
ป๋อชิงไหลรู้สึกเปรี้ยวปาก เขาคิดอยู่สักพักแล้วตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด
“เรื่องนี้มันเป็นเรื่องสำคัญมาก ดังนั้นเราจะเตรียมการอย่างน้อย 3 วันเพื่อคิดแผนการ ตอนนี้เราจะส่งหน่วยข่าวกรองไปสืบสวนหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมก่อน เรายังไม่อาจปักใจเชื่อว่าเป็นฝีมือของบุคคลนี้ได้”
เรื่องสมบัติสวรรค์นี้ถึงป๋อฉีไหลจะไม่อยากทำก็ตาม แต่นี้เป็นเรื่องศักดิ์ศรีของสถาบัน หากมีข่าวเรื่องการฉกชิงสมบัติโดยบุคคลภายนอกแพร่ออกไปโดยไม่ทำอะไร เกียรติยศที่สั่งสมมานับร้อยปีคงไม่เหลือชิ้นดี
“แล้วถ้าเป็นฝีมือของนักเรียนคนนี้จริงๆ ล่ะ”
ครูบางคนถามขึ้นมาโดยไม่คิด ทันใดนั้นเขาก็สะดุ้งโหยงเพราะรู้สึกได้ถึงจิตสังหารจากโต๊ะแถวหน้าสุด
(ไอโง่ ถ้าแกไม่พูดก็ไม่มีใครว่าอะไร หากเป็นความจริงแล้วเราจะไปทำอะไรได้ เจรจาต่อรองรึ ไม่มีทาง!)
ป๋อฉีไหลตัดสินใจไล่คนออกซักหนึ่งคนเพื่อให้เป็นตัวอย่างไม่ให้ใครทำอะไรโง่ๆ อีก
ช่วงเย็นอาทิตย์อัสดงเริ่มลาลับขอบฟ้า ส่องแสงสีแดงสะท้อนเมฆเป็นสัญญาณให้นกบินกลับรัง
รถลีมูซีนจอดหน้าประตูคฤหาสน์ ทั้งสองข้างมีองครักษ์ชุดเกราะดำมันวาวทั้งซ้ายขวา ดูขัดกับยุคสมัยปัจจุบัน
นพเก้าลงจากรถ หลังระบุตัวตน ยามก้มศีรษะเชิญเข้าไปข้างใน ตอนนี้หลังเดินผ่านทิวทัศน์ที่ทอดยาวในสายตา อารมณ์ของนพเก้าเต็มไปด้วยหลายอารมณ์ ความสุข ความอาลัยอาวรณ์ ความโศกเศร้า ฉากที่เด็กคนนึงเล่นอย่างสนุกสนานในสวนดอกไม้โดยมีคนรับใช้ใส่ใจอยู่รอบข้างจนถึงฉากการล่มสลายเกิดการนองเลือด ไฟไหม้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง
นพเก้าหลับตาสักพักเพื่อปรับอารมณ์ ก่อนที่จะเดินมาถึงทางเข้าคฤหาสน์ ประตูไม้สลักบานที่สูงห้าเมตรเปิดให้โดยอัตโนมัติ
เมื่อเดินเข้าไปนพเก้าไม่ได้เดินเข้าไปสำรวจรอบๆ และไม่สนคนรับใช้ที่ทักทาย หลังเดินไปสักพักเขาเดินไปที่ห้องนึงที่มีประตูทำจากเงินบานใหญ่ เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วเดินเข้าไป เขาเห็นชายวัยกลางคนนั่งเขียนหนังสืออยู่ที่โต๊ะทำงาน กำลังวิเคราะห์บันทึกเอกสารทางการ
ชายวัยกลางคนรีบลุกขึ้นจากโต๊ะเมื่อเห็นลูกชายเดินเข้ามา เขารู้สึกประหลาดใจเพราะปกติลูกชายไม่เคยเดินเข้ามาในห้องทำงานด้วยตัวเอง เขารู้สึกมีความสุขเล็กน้อย
“ลูกเก้า ลูกมีปัญหาอะไรหรือป่าวถึงมาหาพ่อในเวลานี้”
ชายวัยกลางคนมองลูกชายที่อยู่ตรงหน้ารู้สึกว่าเขาต่างจากเดินไปเล็กน้อย
พรึบ
โดยที่ชายวัยกลางคนยังพูดไม่จบ นพเก้าพุ่งเข้าไปกอดเขาด้วยมือทั้งสองข้างดวงตาของเขาแดงก่ำ ไม่มีการแสดงคำพูดใดๆ ในช่วงเวลานี้
พ่อของเขารู้สึกตกใจ ทันใดนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่น เขาไม่ได้แสดงออกมากนัก ทำเพียงเอามือทั้งสองข้างรูปศีรษะและหลังของลูกชายด้วยท่าทางอ่อนโยน
เหตุการณ์ผ่านไปสามนาที ก่อนที่นพเก้าจะรู้สึกตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป เขาไม่คาดคิดว่าเมื่อเจอพ่ออีกครั้งหลังผ่านไปหลายปีจะแสดงอารมณ์ออกมาขนาดนี้
“เอาล่ะ เช็ดน้ำตาและน้ำมูกของเจ้าซะ หากคนอื่นเข้ามาเห็นมันคงดูไม่ดีเอามากๆ”
ภาพของผู้สืบทอดที่ดูอ่อนแอ ทางที่ดีที่สุดไม่ควรแสดงให้ใครเห็น
ตึก
นพเก้าคุกเข่าลงทั้งสองข้างพร้อมกับพูดความรู้สึกจากใจออกมา
“ท่านพ่อ บุตรผู้นี้อักตัญญู ตลอดมาข้าเอาแต่สร้างปัญหาให้ท่าน ต่อไปนี้ข้าจะขยันฝึกฝนและพยายามเป็นผู้สืบทอดที่ยิงใหญ่ที่ทุกคนยอมรับ”
อัครเดชรู้สึกว่าเขาตาฝาด นี่ลูกชายตัวแสบของเขากำลังคุกเข่าสำนึกผิดหรือ เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่ถึงทำให้เขาถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
“อืม”
ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดของกันและกัน เขารอให้ลูกชายออกไปจากนั้นเขาหันหลังออกไปมองดูทิวทัศน์อาทิตย์ตกดินหลังโต๊ะทำงาน รู้สึกว่าวันนี้ดวงอาทิตย์ตกดินมีความสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์กว่าวันไหนๆ จากนั้นเขากระตุกยิ้มขึ้น ดูเหมือนว่าลูกชายของเขาได้เติบโตขึ้นแล้ว
เวลาอาหารค่ำไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ท่านเจ้าตระกูลได้เรียกประชุมเครือญาติทุกคนมาทานอาหารร่วมกัน โดยอาหารบนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารเลิศหรูที่มีจัดเฉพาะเวลาต้อนรับแขกคนสำคัญ โดยจัดโต๊ะยาวด้วยผ้าปูสีขาว มีเก้าอี้เรียงรายสองข้างรวมห้าสิบกว่าตัว
ตรงหัวโต๊ะเจ้าตระกูลนั่งอยู่กำลังรอทุกคนเข้ามาพร้อมกันเพื่อเริ่มมื้ออาหาร
ทางด้านซ้ายเป็นที่นั่งของภรรยา บุตรชายและบุตรสาวของเขา และญาติสนิทในลำดับถัดๆ ไป ฝั่งขวาเป็นของบุคคลสำคัญในตระกูลสาขาจากผู้อาวุโสไปจนถึงรุ่นเยาว์
“แม่คะ วันนี้มีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นหรือป่าว ทำไมท่านพ่อถึงเรียกประชุมวันนี้”
เด็กสาวอายุ 17 ปี นั่งถัดจากแม่ของเขา ถามขึ้นด้วยความสงสัยใคร่รู้ น้องสาวคนนี้ของเขาโดดเด่นเป็นอย่างมาก นอกจากความสวยที่ได้แม่มาแล้วยังเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับยากยิ่งกว่าเขาเสียอีก เพียงอายุ 17 ปีก็เข้าถึงขอบเขตหลอมศิลาขั้นที่ 7 แล้ว นพเก้าไม่รู้สึกอิจฉาน้องสาวคนนี้แม้แต่น้อย เขาค่อนข้างรักน้องสาวคนนี้เนื่องจากการแย่งชิงในตระกูลตลอดเวลา มีเพียงน้องสาวของเขาที่ให้กำลังใจ หากเป็นไปได้เขาก็อยากให้นางมีชีวิตอย่างเด็กสาวทั่วไปมากกว่า เขารู้สึกว่านางมีความเป็นผู้ใหญ่เร็วเกินไปเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้
“ถึงเวลาเจ้าจะรู้เอง ลูกเก้าข้าได้ยินมาว่าวันนี้เจ้าเข้าไปในห้องทำงานบิดาเจ้า เจ้าพบปัญหาอะไรหรือไม่”
มารดามองลูกชายตัวแสบของนางที่มีชื่อเสียงด้านการสร้างปัญหาไปทั่ว
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกแม่”
นพเก้ารู้สึกอายจนไม่อยากพูดออกมา ไม่รู้ว่าท่านพ่อของเขาเล่าให้แม่ฟังทั้งหมดหรือไม่ เป็นไปได้ว่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะพ่อของเขาค่อนข้างเชื่อฟังภรรยามากกว่าผู้อาวุโสในตระกูลเสียอีก เรียกได้ว่าแม่ของเขามีอำนาจเป็นอันดับที่สองของตระกูลรองลงมาจากพ่อของเขา
หลังจากนั้นไม่เกิน 5 นาที สมาชิกทุกคนมากันจนครบ เจ้าตระกูลเชิญให้ทุกคนกินกันตามสบายหลังเลิกรับประทานอาหารทุกคนรอเจ้าตระกูลอย่างเงียบๆ สงสัยว่าจะพูดเรื่องอะไร
“ทุกท่านวันนี้ข้าตัดสินใจให้นพเก้าเป็นผู้สืบทอดตระกูลอย่างเป็นทางการ”
ทั้งห้องอาหารเต็มไปด้วยความเงียบ รู้สึกถึงลมหนาวและความร้อนจากทุกคน คลื่นใต้น้ำที่มองไม่เห็นใกล้อุบัติขึ้น