อะไรน่ะ เจ้าเป็นบุตรแห่งสวรรค์อย่างนั้นรึ แล้วมันทำไม สำนักข้ามีผู้ท้าทายโชคชะตามากมาย มันจะซักแค่ไหนกันเชียว โอ้ว สมบัติระดับเซียนปรากฎขึ้นอย่างนั้นรึ ช่างหัวมันสิ! ต่อหน้าระบบข้าพวกมันล้วนเป็นขยะ!

ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด - บทที่ 19 ใครบอกกันว่าข้าจะสอบปรุงยาระดับ 1 ดาว โดย ยักษาบรรพกาล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แอคชั่น,ตลก,ผจญภัย,ไทย,จีน,กำลังภายใน,ดราม่า,แอ็คชั่น,แอ็คชั่น ,พระเอกเทพ,ฮาเร็ม,ระบบ,ระบบผู้ช่วย,ตลก,ผจญภัย,เจ้าสำนัก,หลายโลก,เกิดใหม่,เกิดใหม่ ,พระเอกเก่ง,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่น,ตลก,ผจญภัย,ไทย,จีน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

กำลังภายใน,ดราม่า,แอ็คชั่น,แอ็คชั่น ,พระเอกเทพ,ฮาเร็ม,ระบบ,ระบบผู้ช่วย,ตลก,ผจญภัย,เจ้าสำนัก,หลายโลก,เกิดใหม่,เกิดใหม่ ,พระเอกเก่ง,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส

รายละเอียด

ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด โดย ยักษาบรรพกาล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อะไรน่ะ เจ้าเป็นบุตรแห่งสวรรค์อย่างนั้นรึ แล้วมันทำไม สำนักข้ามีผู้ท้าทายโชคชะตามากมาย มันจะซักแค่ไหนกันเชียว โอ้ว สมบัติระดับเซียนปรากฎขึ้นอย่างนั้นรึ ช่างหัวมันสิ! ต่อหน้าระบบข้าพวกมันล้วนเป็นขยะ!

ผู้แต่ง

ยักษาบรรพกาล

เรื่องย่อ

นพเก้าเดินออกจากโรงเรียนโดยไม่สนใจผลกระทบที่เกิดขึ้นแม่แต่น้อย

“ระบบการแสดงของข้าเป็นอย่างไรบ้าง” 

นพเก้าถาม

[ติ๊ง ประทับใจ]

ระบบตอบ

[ติ๊ง ของแสดงความยินดีโฮตส์ได้แสดงการวาดยันต์บุพภาลำเนาไพรฉบับสมบูรณ์ การกระทำของโฮสต์เริ่มก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปรงด้าน อุตสาหกรรมยันต์วิญญาณระดับภูมิภาค รางวัล: เพิ่มช่องทรัพยากร + 5]

“ระบบ ข้าสามารถใช้งานได้อย่างไร”

[โฮสต์สามารถเรียกช่องทรัพยากรได้ผ่านทางจิตแล้วใส่วัตถุในช่อง ทรัพยากร]

นพเก้าหยิบสร้อยคอทองคำ 1 บาทที่น้องสาวให้เป็นของขวัญวันเกิดใส่ในช่องทรัพยากรตรงหน้า

[ช่องทรัพยากร]

[ความจุ 1/5]

[วัตถุ: สร้อยคอทองคำ 1 บาท (ระยะเวลาเพิ่มจำนวน 23 ชั่วโมง 59 นาที 53 วินาที: อัตราเพิ่มจำนวน 1 เท่าตัว)

“ระบบ ถ้ามันครบ 24 ชั่วโมงมันจะเพิ่มจำนวนขึ้นจริงเหรอ แล้วมันมีข้อจำกัดหรือไม่” 

นพเก้าอดสงสัยไม่ได้

[จริงแท้แน่นอน]

[โฮสต์โปรดอย่าสงสัยในความสามารถของระบบ ต่อให้เป็นไอเทมระดับทำเจ้าก็สามารถเพิ่มจำนวนได้ย่างไม่สิ้นสุด]

สารบัญ

ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด-บทที่ 1 บทนำ,ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด-บทที่ 2 เคล็ดวิชาหัวใจทศกัณฐ์,ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด-บทที่ 3 กลับบ้าน,ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด-บทที่ 4 นพเก้า ปะทะ หวงอี้เฟย,ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด-บทที่ 5 กายาสวรรค์ จุติจักรพรรดิในก้าวเดียว,ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด-บทที่ 6 อัจฉริยะในรอบพันปี,ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด-บทที่ 7 อันตัวข้าผู้สืบทอดเป็นคนใจกว้าง,ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด-บทที่ 8 เทศกาลสวมหมวกเขียว,ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด-บทที่ 9 เจ้าอยากยกเลิกการหมั้นหมาย โอเคได้เลย,ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด-บทที่ 10 พบบุตรแห่งโชคชะตา,ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด-บทที่ 11 จิตใจของข้าแตกสลายเป็นล้านๆชิ้น,ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด-บทที่ 12 ความลับตระกูลหวง,ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด-บทที่ 13 พบเจอกายาอมตะ,ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด-บทที่ 14 บุกรังจักรพรรดิปักษาพิรุณ,ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด-บทที่ 15 ครึ่งก้าวศักดิ์สิทธิ์กับเทพศักดิ์สิทธิ์,ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด-บทที่ 16 สร้างประตูมิติ,ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด-บทที่ 17 ฝากคำทักทายเจ้าเมือง,ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด-บทที่ 18 สอบปรุงยาระดับ 1 ดาว,ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด-บทที่ 19 ใครบอกกันว่าข้าจะสอบปรุงยาระดับ 1 ดาว,ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด-บทที่ 20 การปรากฏขึ้นของโอสถระดับตำนาน,ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัด-บทที่ 21 ความเย่อหยิ่ง ปะทะ ความจองหอง

เนื้อหา

บทที่ 19 ใครบอกกันว่าข้าจะสอบปรุงยาระดับ 1 ดาว

“ระบบ เปิดช่องทรัพยากร” นพเก้าพูดขึ้นขณะนั่งรับลมด้านหน้า ขณะที่ด้านข้างพ่อบ้านชราเป็นคนขับ เขาใส่แว่นกันแดดและปล่อยให้ผมปลิวไสวตามแรงลม ภาพพจน์ดูไม่ต่างจากเพลย์บอยทั่วไป

[ช่องทรัพยากร]

[ความจุ 320/370]

[วัตถุ: ทองคำแท่งบริสุทธิ์ 384 แท่ง] , โอสถพลังศักดิ์สิทธิ์ จำนวน 32 เม็ด (โอสถขั้นที่ 8) , โอสถราชันพิภพ จำนวน 141 เม็ด (โอสถขั้นที่ 7) , โอสถวารีเร้นลับ จำนวน 54 เม็ด (โอสถขั้นที่ 6) , ผลกายาสถิต จำนวน 6 ผล, โอสถควบแน่นรากฐาน จำนวน 13 เม็ด (โอสถขั้นที่ 5) , ...]

“ครั้งต่อไปเจ้าช่วยแยกหมวดหมู่ให้ข้าหน่อยได้หรือไม่”

นอกจากที่แสดงในหน้าต่างของระบบแล้วยังมีสินแร่และสมุนไพรเซียนขั้นต้น (ขั้นที่ 7) อีกมากมาย เขาปิดมันบางส่วนในช่องอินเทอร์เฟส มันเยอะเกินไปจนเขาไม่อยากเสียเวลาตรวจเช็คทีละรายการ

[ก็ได้ ข้าขอเวลารีเฟรซสักครู่]

ระบบพูดไม่ออก เหตุใดเจ้าถึงเรื่องมากนัก แต่มันก็ไม่ได้ปฏิเสธคำขอนี้ ถึงอย่างไรหน้าที่ของมันก็คือการสนับสนุนโฮสต์และการอำนวยความสะดวกก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

“ไม่จำเป็น เอาไว้ครั้งหน้าเถอะ” นพเก้าปิดหน้าจอระบบพรางครุ่นคิด ตอนนี้เขาสงสัยว่าผลกระทบที่เขาทำในป่ามรณะทางทิศใต้จะเปลี่ยนเป็นรางวัลช่องทรัพยากรกี่ช่อง เป็นเวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น เขาได้ช่องทรัพยากรเพิ่มขึ้นถึง 195 ช่อง การที่เขาจับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์หรือมังกรจิตวิญญาณเป็นทาสได้ ถึงแม้จะจบลงด้วยพันธสัญญาเท่าเทียมก็ตาม แต่ก็นับเป็นกำไรอย่างมหาศาล เขาได้ช่องทรัพยากร + 100 ช่อง ปลุกสายเลือดโบราณขั้นแรกของฉินอวี้หลิง + 20 ช่อง

สังหารอสูรจักรพรรดิทั้งสี่ สิ่งนี้ก็ทำให้เขาได้ช่องทรัพยากรเพิ่มอีก 60 ช่อง รวมกับความสำเร็จการสังหารระยะไกล สังหารรองเจ้าเมืองเวษสุวรรณ + 10 ช่อง และการเปิดใจสู่เส้นทางใหม่โดยละทิ้งเรื่องในอดีตบวกอีก 5 ช่อง

“โอ้ ข้าไม่เคยรู้สึกร่ำรวยเช่นนี้มาก่อน” นพเก้ารู้สึกว่าด้วยอำนาจของระบบนี้เขาสามารถเพาะเลี้ยงจอมยุทธ์ระดับจักรพรรดิ 1,000 คนโดยไม่สิ้นเปลืองแม้แต่น้อย

[เจ้าไม่คิดว่าตนเองมีความทะเยอทะยานต่ำเกินไปหน่อยหรือ] ระบบขัดจังหวะความคิดของเขา

“เหตุใดเจ้าถึงชอบขัดจังหวะเวลาสุขสันต์ของข้านัก” บางทีนพเก้าก็รู้สึกว่าระบบมันมีพฤติกรรมเหมือนน้องสาวที่ชอบมาขัดจังหวะตอนที่ดูหนังชีววิทยา ขณะที่เขาพูดเขาก็หันมองออกนอกหน้าต่างขณะขับรถ ตอนนี้ใกล้ถึงอาณาเขตเมืองหลวงของมณฑลสิงห์คำรนแล้ว

“โอ้วใช่ เจ้ารู้เกี่ยวกับบรรพกาลที่ 3 หรือไม่” เมื่อรู้ว่าถามอย่างไรระบบก็ไม่มีวันตอบ เขาจึงได้แต่ถามจิตตาภาที่กำลังอยู่ในทะเลจิตสำนึกของเขา

“เหตุใดเจ้าไม่บอกข้าเกี่ยวกับสมบัติลับเจ้าก่อนหล่ะ” จิตตาภารู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก นางไม่รู้ว่าการเพิ่มทรัพยากรจริงๆ แล้วมาจากระบบ

“งั้นก็ช่างมันเถอะ” นพเก้าเลิกสนใจนาง นอกจากระบบที่ชอบกุมความลับแล้ว ผู้หญิงคนนี้ก็น่ารำคาญไม่ต่างกัน เขาไม่ได้โง่พอที่จะยอมตอบทุกอย่างโดยเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ขับรถมาด่านตรวจคนเข้าเมือง ด้านหน้าเต็มไปด้วยกำแพงที่ทำจากแร่เหล็กระดับ 5 แม้แต่เครื่องบินตกก็ไม่อาจสะกิดผิวของมันได้

ก๊อก

เสียงเคาะกระจกรถดังขึ้น พ่อบ้านชราเพียงเลื่อนกระจกรถลงเล็กน้อยแล้วพูดสักสองสามประโยค เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองรีบก้มหัวเคารพทันที ก่อนที่จะตะโกนบอกให้เปิดประตู

“ว้าว ดูสิอาจารย์ โคตรใหญ่เลย” ฉินอวี่หลิงตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น เป็นครั้งแรกที่นางได้ออกมาเที่ยวด้านนอก ซึ่งปกติไม่เคยได้รับอนุญาตให้ออกจากอาณาเขตตระกูลมาก่อน

“อะแฮ่ม” หวงชิงจู้รู้สึกเป็นกังวล หลังจากได้อยู่ด้วยกันหนึ่งคืนทำให้รู้ว่าเด็กสาวผู้นี้ไม่ค่อยเหมือนเด็กในวัยเดียวกันเท่าไรนัก นางดึงเสื้อฉินอวี้หลิงและกระซิบบอกนาง

“อ้า อาจารย์ข้าขอโทษ” เมื่อรู้สึกตัวฉินอวี้หลินก็หดคอลงและมองไปที่แผ่นหลังของนพเก้า นางพึ่งจะรู้สึกว่าตนเองทำตัวไม่สมกับเป็นกุลสตรี

“เอาน่าชิงจู้ ข้าไม่เห็นว่ามันจะมีปัญหาอย่างไร” นพเก้ามองฉินอวี้หลิงผ่านกระจกหน้ารถ ต้องบอกว่าลูกศิษย์คนนี้ค่อนข้างไร้เดียงสา สิ่งนี้ทำให้นพเก้ารู้สึกเอ็นดูนางเป็นอย่างมาก ท่าทางการแสดงออกเยี่ยงนี้มันอดไม่ได้ที่จะทำให้เขานึกถึงศิษย์คนแรก

เมื่อคิดเช่นนี้เขาก็หยุดชะงัก เขาค่อนข้างเป็นกังวล ไม่รู้ว่าตอนนี้นางจะเป็นอย่างไร เขาสะบัดความคิดทิ้งก่อนจะเปิดประตูรถออกไป

ต้องบอกว่าสมกับเป็นเมืองหลวง นอกจากเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเช่น ยานยนต์รุ่นใหม่ที่ขับเคลื่อนบนอากาศ ทุกทิศทางตลอดสถานีขนส่งเขาสามารถเห็นกลุ่มนักล่าประปรายตามฝูงชน กำลังเข้าออกผ่านทางประตูมิติ

“ทุกคนมารวมกันตรงนี้” หวงไท่เรียกทุกคนมารวมตัวกัน ก่อนที่จะเดินนำทุกคนไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ที่บรรจุได้มากกว่า 100 คน ในครั้งนี้ตระกูลหวงของเขาได้นำจอมยุทธ์ขอบเขตราชันยุทธ์มาด้วยไม่ต่ำ 10 คน ส่วนใหญ่จะเป็นขั้นที่ 1 และ 2 มีเพียงหวงไท่เท่านั้นที่อยู่ระดับสูงสุด ที่เหลือล้วนเป็นจอมยุทธ์ขอบเขตผู้พิทักษ์และจิตรู้แจ้ง นอกจากความปลอดภัยในการเดินทางแล้ว ก็เป็นการแสดงอำนาจของตระกูลใหญ่ของพวกเขาในการมาครั้งนี้ด้วย

หลังจากออกจากค่ายกลเคลื่อนย้ายพวกเขาก็มาโผล่ที่จตุรัสกลางเมืองโดยสมาคมปรุงยาอยู่ทางด้านซ้ายมือ ขณะที่หวงไท่เดินนำทุกคนไปก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยทักทายขึ้น

“คารวะปรมาจารย์หวง”

“ท่านเจ้าตระกูลฉิน” หวงไท่ทักทายกลับ ตรงหน้าของเขาปรากฏบุรุษสุงใหญ่ 2 เมตรที่มีเขาทั้งสองข้างสีดำอยู่บนหัว เมื่อเทียบกับผุ้คุ้มกันด้านหลัง 2 คนที่สูงกว่า 3 เมตรไม่นับว่าแปลกแต่อย่างใด

นพเก้าใช้เนตรหมื่นพิภพตรวจสอบบุคคลตรงหน้า

[ค่าสถานะของฉินหนาน]

อายุ: 48 (อายุขัย 1,356 ปี)

เขตแดน: ราชันยุทธ์ ขั้นที่ 9 ขั้นสูงสุด (ค่าพลังปราณ : 988,888 เมตร)

ทักษะการต่อสู้: ฝ่ามือเจ้านรก (วิชาสวรรค์ขั้นสูงสุด) , เท้าธรณี (วิชาปฐพีขั้นสูง) , ก้าวอเวจีสพัด (วิชาสวรรค์ขั้นกลาง) , หมัดบูรพา (วิชาปฐพีขั้นกลาง)

เคล็ดวิชา: สามเจ้าโลกธาตุ (วิชาสวรรค์ขั้นสูงสุด)

พรสวรรค์: ยักษาปทุมธาตุ (สายเลือด)

พลังเทพ: 0

โชคชะตา: ผู้มีศักยภาพสูง

อัจฉริยะ

นพเก้าไม่สามารถหาคนอื่นมาบรรยายได้ สมแล้วที่เป็นอดีตอัจฉริยะอันดับ 1 ของเมืองเวษสุวรรณ ไม่สิ ต้องบอกว่าของมณฑลสิงห์คำรน เมื่อเขามองไปที่ข้อมูลรายละเอียดเขาก็รู้สึกประหลาดใจแล้วอดที่จะหันไปมองฉินอวี้หลิงไม่ได้ ดูเหมือนผู้นำตระกูลคนนี้จะไม่ใช่บิดาที่ใจร้ายอย่างที่คิด

ขณะที่นพเก้ากำลังจะตรวจสอบบรรดาคนที่เหลือ ผู้นำตระกูลฉินก็เดินมาทางนพเก้า

“ท่านพ่อ” เสียงนี้เบาอย่างกับยุง แต่ทุกคนสามารถได้ยินได้ เป็นเวลา 8 ปีแล้วที่นางไม่ได้พบบุคคลนี้ ขณะที่นางกำลังสงบสติอารมณ์และกำลังเรียกเขาอีกครั้ง ฉินหนานก็เดินผ่านนางไปอย่างเฉยเมยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“นี่” ดูเหมือนแม้ว่านางจะก้าวข้ามจากการเป็นขยะมาเป็นอัจฉริยะแล้ว ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้

“คารวะจักรพรรดิหวง” ฉินหนานประสานมือละโค้งตัวลง 90 องศาให้นพเก้า

“อืม” นพเก้าไม่ได้ตอบกลับ เขาอยากรู้ว่าจุดประสงค์ของอีกฝ่ายคืออะไรกันแน่

ต้องบอกว่าภาพตรงหน้านี้แปลกประหลาดอย่างมาก แต่ก็ไม่มีใครกล้าคัดค้าน ถึงอย่างไรจักรพรรดิยุทธ์ก็ไม่สามารถถูกดูหมิ่นได้

“ข้าได้ยินมาว่าท่านรับบุตรสาวข้าเป็นลูกศิษย์ ข้าของถามได้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด” ฉินหนานพูดด้วยท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศกดข่มที่ออกมาตามธรรมชาติ

“โชคชะตาละมั้ง”

“โชคชะตารึ? หึ เป็นเช่นนั้น” ฉินหนานครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนที่จะหันหลังเดินจากไป เมื่อเขาเดินผ่านฉินอวี้หลิงเขาหยุดฝีเท้าเล็กน้อยและหันหลังไปมองนาง

“จงตั้งใจฝึกฝนซะ ไม่ใช่ทุกคนจะมีโอกาสเช่นเจ้าได้เป็นถึงลูกศิษย์ของจักรพรรดิยุทธ์” น้ำเสียงเรียบเฉยที่เปร่งออกมาครั้งนี้ทำให้คนรอบข้างขนลุก

“ท่านพ่อ ข้า” แววตาของฉินอวี้หลิงสะเทือนเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคนี้ นางต้องการถามว่าเหตุใดต้องขับไล่พวกเขาจากตระกูลฉิน

“สงสัยไปก็เท่านั้น เมื่อถึงเวลาแล้วเจ้าจะได้รู้เอง” เมื่อกล่าวจบประโยคเขาก็นำคนไปทางตึกสมาคมปรุงยา

“บัดซบ มันผู้นั้นเป็นพ่อคนประสาอะไรกัน” หวงเม่ยรู้สึกโมโห เจ้ายังเห็นนางเป็นลูกของเจ้าอยู่หรือไม่ เหตุใดถึงได้ปฏิบัติเช่นนี้

“ชู่ว เบาเสียงหน่อย” อัครเดชห้ามปรามนาง กลุ่มตระกูลฉินพึ่งจะเดินจากไปไม่นาน

ตอนนี้หลายๆ คนหันไปมองที่นพเก้าและฉินอวี้หลิง พวกเขาสงสัยว่าพวกเขาจะทำอย่างไรต่อ

“ศิษย์ข้า เจ้าอย่าได้คิดมากเลย ได้ยินแล้วใช่หรือไม่ หากมีเรื่องที่เจ้าอยากรู้ก็เพียงแค่แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น”

“ท่านอาจารย์ ถ้าข้าแข็งแกร่งขึ้นมาแล้วจะช่วยอะไรได้” ถึงนางจะไร้เดียงสาแต่ก็ไม่ใช่คนโง่ นางไม่รู้ว่าที่บิดาของนางพูดออกมานั่นเป็นการพูดแบบขอไปทีหรือไม่

“แน่นอน โลกนี้เป็นสถานที่สำหรับผู้แข็งแกร่งเท่านั้น ไม่มีโอกาสสำหรับผู้อ่อนแอ หากเจ้าแข็งแกร่งขึ้นเจ้าก็สามารถทำทุกสิ่งที่ต้องการได้” นพเก้าลูบหัวน้อยๆ ของนางขณะพูด

“แล้วถ้าข้าแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ท่านพ่อยังไม่ยอมบอกข้าหล่ะ” ฉินอวี้หลิงรู้ดีว่าพ่อของนางเป็นคนหัวรั้นมากแค่ไหน นางไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะรักษาคำพูด

“หากเป็นเช่นนั้นเจ้าก็แค่ทุบตีสั่งสอนเขาซะ ไม่มีสิ่งใดที่การใช้กำลังไม่สามารถแก้ปัญหาได้” นพเก้ากำหมัดและพูดด้วยท่าทีมั่นใจ

“ทุบตีรึ” ฉินอวี้หลิงรู้สึกงุนงง แต่แล้วนางก็พยักหน้า นางเชื่อว่าทุกสิ่งที่อาจารย์สอนล้วนถูกต้อง

ทุกคนถึงกับพูดไม่ออก นี่เจ้าเป็นปีศาจหรืออย่างไรถึงสั่นสอนให้ลูกศิษย์ลงมือทุบตีบุพการี

“เหตุใดคนเช่นเจ้าต้องมีลูกศิษย์ที่ดีเช่นนี้” จิตตาภากระตุกมุมปาก นางสงสัยว่าในอดีตเจ้าคนผู้นี้เป็นจอมยุทธ์ฝ่ายอธรรมหรือไม่

“แค่ก เอาล่ะอย่างเสียเวลา การลงทะเบียนทดสอบจะมีเวลาถึงแค่ 10 โมงเท่านั้น” หวงไท่ไม่ต้องการฟังเรื่องยุ่งยากนี้อีกต่อไป เขารีบนำทุกคนไปที่ห้องลงทะเบียนทันที ทุกคนที่มาเพื่อเป็นกำลังใจต่างก็ถือใบเยี่ยมชมทั้งสิ้น สมาคมปรุงยาคิดค่าธรรมเนียมการเยี่ยมชมเพียง 50 ผลึกวิญญาณระดับกลางซึ่งถือว่าแพงมากสำหรับคนมีฐานะทั่วไปที่มีรายได้หนึ่งครัวเรือนประมาณ 100 ผลึกหินวิญญาณต่อปีโดยเฉลี่ย

“น้องซั่ง อนาคตของตระกูลหวงจะไปต่อได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”

“ฮ่า ฮ่า พี่หวงไท่ ท่านก็ยกยอข้าเกินไป” ซั่งกั่วรุ่ยที่ยืนรอหน้าห้องโถงทดสอบพูดขึ้นโดยไม่ปิดบังสีหน้าแม้แต่น้อย

“หึ ช่างน่ารังเกียจ” เสียงดูถูกของบุคคลนึงดังขึ้นมา

“บังอาจ ใครกันกล้าต่อว่าข้า” ซั่งกั่วรุ่ยตะโกนด้วยความเดือดดาล ไม่รู้หรืออย่างไรว่าเขาเป็นถึงนักปรุงยา 3 ดาว แม้แต่ผู้ว่าการมณฑลก็ต้องพูดกับเขาด้วยท่าทางเคารพ

“ข้าเดินไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่ ข้าฮาฟฟี่โรน เจ้ามีปัญหาหรือไม่” เสียงฝีเท้ากลุ่มคนดังขึ้นมาด้านหลังนพเก้า เมื่อหันไปมองเป็นกลุ่มคนที่ใส่ชุดนักพรตสีขาวพาดบ่าด้วยผ้าสีทอง ชายผู้นำหน้าสุดเป็นบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ด้วยเส้นผมสีทองดั่งไหม ขนตาเงางามและใบหน้าที่ขาวเนียน สิ่งนี้อาจทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิงได้

“นั่นเผ่าเอลฟ์ใช่หรือไม่ ไม่ใช่ว่าพวกนั้นอาศัยอยู่ภูมิภาคอีสานหรือ”

หลายๆ คนที่มองดูสังเกตเห็นหูที่แหลมคม เมื่อร้อยปีก่อนหลังเกิดสงครามกับฝ่ายมาร มีกลุ่มคนจากทวีปตะวันตกข้ามทะเลมาตั้งถิ่นฐานภาคอีสาน พวกนั้นใช้เวลาเพียงหนึ่งทศวรรษเท่านั้นในการทำสงครามยึดดินแดนสองในสามของภูมิภาคอีสาน ด้วยการที่พวกเอลฟ์เป็นที่รักของผืนป่าและสามารถใช้เวทมนตร์โบราณในการทำสัญญากับผู้พิทักษ์ในดินแดนได้ ส่งผลให้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป

มนุษย์เป็นฝ่ายเสียเปรียบเมื่อเผชิญกันสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมานา มันจัดเป็นรูปแบบพลังงานที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของชาวตะวันตก สำหรับชาวตะวันออกมากกว่าเก้าในสิบส่วนไม่สามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมานาได้ ทำให้ส่วนใหญ่เสียชีวิตด้วยโรคกระแสมานาปั่นป่วนในร่างกาย นับแต่นั้นมาบรรดามนุษย์ที่สามารถยืนหยัดได้ในภูมิภาคอีสานจึงได้ทำข้อตกลงสันติภาพร่วมกันกับเอลฟ์

หลายร้อยปีผ่านไปพวกเขาได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน เหล่าเอลฟ์ต่างก็ชอบวัฒนธรรมด้านการใช้ชีวิตละอาหารการกิน ส่วนมนุษย์ก็ได้ประโยชน์เรื่องความรู้เวทมนตร์ของชาวตะวันตก ทำให้เกิดสาขาวิชาเวทมนตร์ทั่วประเทศไทยจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดสายเลือดฮาร์ฟเอลฟ์มากมาย สายพันธุ์กลุ่มใหม่ที่เกิดขึ้นนี้มีข้อได้เปรียบที่ใช้ได้ทั้งปราณฟ้าดินและมานา ด้วยกองกำลังแข็งแกร่งเช่นนี้ภูมิภาคกลางจึงตั้งตัวเป็นเอกเทศได้อย่างแท้จริง

“เผ่าเอลฟ์?” นพเก้าใช้เนตรหมื่นพิภพตรวจสอบข้อมูลเป้าหมาย

[ค่าสถานะของฮาฟฟี่โรน]

อายุ: 27 (อายุขัย 2,354 ปี)

เขตแดน: วงจรเวทย์ 4 วงแหวน (ค่าพลังปราณ : 14,252 เมตร)

ทักษะการต่อสู้: คาถาเพลิงโมนาส (วิชาสวรรค์ขั้นสูงสุด), ลูกศรสายฟ้า (วิชาสวรรค์ขั้นกลาง), ร่างแยกเงาจันทรา (วิชาเซียนขั้นต้น)

เคล็ดวิชา: ลำนำบทที่ 3 แห่งต้นไม้โลก (วิชาเซียนขั้นต้น)

พรสวรรค์: เผ่าพันธุ์มอฟฟิน (สายเลือด)

พลังเทพ: 120

โชคชะตา: ผู้มีศักยภาพสูงมาก

บรรพกาลที่ 2: เอลฟ์เผ่ามอฟฟิน: เชี่ยวชาญการเล่นแร่แปรธาตุ

“นี่มันอะไรอีก บรรพกาลที่ 2?” นพเก้ารู้สึกงงงวย เขาต้องถามระบบให้ได้ว่าสิ่งนี้มันคืออะไร

[แต่ละบรรพกาลมีการใช้รูปแบบพลังงานที่แตกต่างกัน]

“แล้ว?”

[ก็แค่นั้นล่ะ]

“บัดซบ” นพเก้ากำหมัด รู้สึกอยากตบหัวมัน การตอบเช่นนี้ไม่ต่างจากการไม่ตอบอะไรเลย

ขณะที่เขากำลังหาคำด่าทอในหัว ฉินอวี้หลิงก็ได้ทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดขึ้น

“นั่น คนเอลฟ์สาน” ฉินอวี้หลิงชี้ไปด้านหน้าแล้วหันหน้าไปหาหวงชิงจู้ราวกับอยากจะอวดที่ได้เจอสัตว์สายพันธุ์ใหม่

“เฮ้ย” อัครเดชและหวงเม่ยรีบปิดปากและดึงนางกลับมา

ต่อมาบรรยากาศก็แข็งค้าง ทุกคนที่นั่นมองเด็กสาวราวกับมองคนปัญญาอ่อน เหตุใดจู่ๆ ก็พูดประโยคต้องห้ามออกมา

“บัดซบ เมื่อกี้ใครมันพูดคำนั้นออกมา”

“ไสหัวออกมาซะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”

บรรดากลุ่มเอลฟ์ต่างก็มีอารมณ์ฉุนเฉียว พวกมันรู้สึกเหมือนกำลังถูกท้าทายโดยบรรดาฝูงลิงพวกนี้

“อ่า แฮะแฮะ อาจารย์” หลังจากินอวี้หลิงรู้ตัวว่าได้กระทำผิดนางจึงเดินไปหานพเก้าพร้อมกับจับชายเสื้อของเขาแล้วมองด้วยสายตาออดอ้อนเหมือนแมวน้อย

นพเก้ารู้สึกพูดไม่ออก ศิษย์ของข้าคนนี้ ช่างน่าถูกทุบตียิ่งนัก

“เกิดอะไรขึ้น” ชายชราคนนึงเดินออกมาด้านในโถงทดสอบปรุงยา บนเสื้อของเขามีเข็มกลัดสีเงินที่มีดาวสี่ดวงประดับอยู่

“โอ้ว นายน้อยฮาฟฟี่โลน ข้าขอโทษที่มาต้อนรับท่านช้าเกินไป เนื่องจากเกิดปัญหาด้านวัตถุดิบนิดหน่อย” หัวหน้าสมาคมนามว่าหยางเก๋อพูดขึ้น

“ไม่มีอะไรทั้งนั้น เพียงแค่ปัญญาเล็กน้อย มีพวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเท่านั้น” ฮาฟฟี่โลนไม่รู้ว่าใครบังอาจทำให้เขาขายหน้าเมื่อครู่ เขาจึงมองทุกคนที่นั่นด้วยสายตาดูถูกราวกับมองแมลง

เจ้าหมอนี่! จองหองยิ่งนัก!

ทุกคนรู้สึกเริ่มมีน้ำโห ต้องการทราบว่าเจ้าหน้าละอ่อนผู้นี้มีความเป็นมาอย่างไร หากไม่มีภูมิหลังพวกเขาจะเข้าไปทุบตีมันอย่างไร้ความปรานี

“โอ้ว เป็นเช่นนั้นรึ ใครกันบังอาจพูดจาดูถูกนายน้อยฮาฟฟี่โลน ท่านผู้นี้เป็นถึงอัจฉริยะนักปรุงยา 3 ดาวในวัยเพียง 27 ปี ไสหัวออกมาซะ” หัวหน้าสมาคมพูดออกมาด้วยเสียงกังวาน

เชี่ยย

ทุกคนรู้สึกตกตะลึง นักปรุงยา 3 ดาว แค่คำนี้ก็มากพอที่จะทำให้พวกเขาตัวสั่นแล้ว แต่นี่ไร อายุ 27 ปี สัตว์ประหลาดนี่โผล่มาได้อย่างไร

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์หันไปจ้องมองเด็กสาวด้านหลังนพเก้าทันที

“เป็นเจ้างั้นรึ” ฮาฟฟี่โลนจ้องมองเด็กสาวด้วยตาที่เป็นประกายวาวโลด ดูเหมือนเขาต้องแสดงให้ดูว่าสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำต้องตายอย่างไรเมื่อกล้าเหยียดหยามเขา

“โอ้ว เป็นข้าเองแหละ เจ้ามีปัญหารึ เจ้าหูยาว” นพเก้าแคะหูขณะพูดด้วยท่าทียียวน

“แก” ฮาฟฟี่โลนกำหมัดจนส่งเสียงออกมา ตอนนี้เขาไม่สนแล้วว่าจะใช่มันตอนแรกที่พูด E-Word ออกมาหรือไม่ มันทั้งคู่สมควรตาย

“บังอาจ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร”

ปัง

ก่อนที่ผู้คุ้มกันของฮาฟฟี่โลนจะทำอะไร หยางเก๋อได้พุ่งเข้าใส่นพเก้าด้วยความเร็วสายฟ้าฟาดพร้องกับโคจรพลังในมือเล็งไปที่หน้าอกของนพเก้า

“ข้าคือปู่ขอเจ้า” นพเก้ากอดฉินอวี้หลิงและหลบฝ่ามือนี้ด้วยท่าทีสบายๆ จากนั้นเขาเอี้ยวตัวแล้วส่งลูกเตะกลับหลังกลับไป

“จระเข้ฟาดหาง!”

เพียะ

“อักก” การโจมตีนี้อาศัยเพียงกายาจักรพรรดิเท่านั้น ส่งลูกเตะออกไปกระทบกับปากของหยางเก๋อโดยตรง ฟันสองสามซี่หลุดออกมาก่อนที่เขาจะกระเด็นไปตกตรงหน้าฮาฟฟี่โลน

“เวรเอ้ย จบสิ้น จบสิ้นแล้ว” หวงไท่และซั่งกั่วรุ่ยรู้สึกว่าโลกกำลังวิบัติ การทำร้ายหัวหน้าสมาคมนักปรุงยานี่ถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงอย่างถึงที่สุด ต่อแต่นี้ต่อไปอย่าได้หวังว่าตระกูลหวงจะสามารถเข้ามณฑลสิงห์คำรนได้อีกต่อไป

“แค่ก เจ้า เจ้า” หยางเก๋อลุกขึ้นมาโดยเอามือซ้ายปิดปากห้ามเลือดเอาไว้ เขารู้สึกเจ็บจนชาที่ปาก เขาไม่รู้สึกถึงฟันหน้าแถวล่างอีกต่อไป

“เจ้าอะไร เจ้าไม่รู้จักประเมินคู่ต่อสู้ก่อนลงมือบ้างเลยรึ” นพเก้ามองอีกฝ่ายราวกับมองคนโง่

“พอได้แล้ว”

ฟรึบ ฟรึบ

มีสองคนโผล่มาตรงหน้านพเก้า คนนึงเป็นชายวัยชราที่ตัดผมสกรีนเฮดที่มีกล้ามล่ำบึก ส่วนอีกคนคือฉินหนานที่เจอกันตอนเช้า

“ท่านประธานหยาง ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” ชายที่ตัดผมสกรีนเฮดพูดขึ้นขระเอื้อมมือพยุงอีกฝ่าย

เพียะ

“ชัตชน เหตุใดเจ้าถึงพึ่งมาตอนนี้” หยางเก๋อปัดมืออีกฝ่ายออก ขณะจ้องมองรองประธานผู้นี้ ไม่ทราบว่ามันรอให้เขาอับอายก่อนหรือไม่

“ข้าขออภัย เรื่องทุกยอ่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนข้าอ่านสถานการณ์ไม่ทัน” ชัตชนทำท่าเอามือเคาะหัวขณะพูดขึ้น

ฮึ่ม

ชัดเจนว่าอีกฝ่ายเจตนาไม่ดี อย่างไรก็ตามนี่มันไม่สำคัญ หยางเก๋อมองไปที่นพเก้าด้วยสายตาอาฆาต ตอนนี้เขาไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าทุบตีอีกฝ่ายจนตาย

“จักรพรรดิหวงเกิดอะไรขึ้น ช่วยชี้แจงได้หรือไม่” ฉินหนานพูดขัดขึ้นขณะที่ประสานมือให้นพเก้า

อะไรน่ะ จักรพรรดิหวง!

รอบข้างเกิดความโกลาหลขึ้นทันที พวกเขาได้ข่าวมาบ้างว่าในเมืองแห่งหนึ่งมีอัจฉริยะรุ่นเยาว์ปรากฏตัวขึ้น ดูเหมือนว่าวันนี้พวกเขาจะได้เจอตัวเป็นๆ

“ข้าก็อยากรู้เช่นกัน เหตุใดหัวหน้าสมาคมถึงเป็นฝ่ายโจมตีข้าก่อน” นพเก้ายืนกอดอกขณะพูด ท่าทางราวกับว่าตัวเองเป็นผู้เสียหาย

“บัดซบ แค่ก เป็นมันผู้นั้นที่บังอาจดูหมิ่นเกียรตินายน้อยฮาฟฟี่โลน” หยางเก๋อพูดขณะที่ชี้ไปที่เอลฟ์วัยรุ่นคนนึง

“โอ้ว เป็นอย่างนั้นรึ” ชัตชนอุทานด้วยความตกใจด้วยสีหน้าที่แข็งเล็กน้อย เขาไม่ต้องการยุ่งกันปัญหานี้

การแสดงของเจ้าไม่ห่วยไปหน่อยหรือ ฉินหนานคิดเช่นนี้ ขณะเดียวกันก็มองที่หยางเก๋อด้วยความดูถูก เจ้าเป็นคนภูมิภาคกลางไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงไปประจบประแจงคนภูมิภาคอื่น

“พวกเจ้าไม่เข้าใจ นายน้อยฮาฟฟี่โลนเป็นนักปรุงยาอัจฉริยะระดับ 3 ดาวและวันนี้จะสอบเป็นนักปรุงยา 4 ดาว ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าพูดจาดูถูกเขาต่อหน้าธานะกำนัน” หยางเก๋อไม่รู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำนั้นผิดแต่อย่างใดเพราะเขากำลังเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้เสียหาย

“พูดจาดูถูก ใครกันที่พูดจาดูถูกเจ้ามีพยานและหลักฐานหรือไม่” นพเก้าพูดขึ้นขณะชี้หน้าไปที่อีกฝ่าย จากนั้นเขาชี้ไปที่คนคนนึง

“เฮ้ย เจ้าน่ะ”

“ข้าทำไมรึ” ผู้รับชมที่อยู่ด้านข้างรู้สึกตกใจจนสะดุ้งโหยง เขาไปเกี่ยวอะไรด้วย

“เจ้าเห็นหรือไม่ว่าข้าพูดจาดูถูกอีกฝ่าย” นพเก้าพูดขึ้น

“ไม่ ข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น”

“ถ้างั้นเจ้าหล่ะ เจ้าและเจ้าด้วย” นพเก้ายังคงชี้ต่อไปอีกสองสามคน แต่ทุกคนตอบกลับว่าไม่ได้ยินอะไร

“เห็นไหม พวกเจ้าหูฝาดไปเองชัดๆ เห็นได้ชัดว่าทุกคนไม่ได้ยินอะไร” นพเก้าพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

บัดซบ

หยางเก๋อรู้สึกโมโหจนอยากกระอักเลือดออกมา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการข่มขู่ หาใช่การหาพยานหลักฐานไม่ เจ้าเป็นถึงจักรพรรดิยุทธ์ผู้อื่นจะกล้าตอบว่าใช่ได้อย่างไร

“เอาล่ะ ใกล้เลยเวลาการแข่งขันมามากแล้ว ท่านรองประธานที่ข้ามาวันนี้เพราะต้องการสอบปรุงยา ท่านช่วยเร่งจัดการให้ข้าได้หรือไม่”

“จักรพรรดิหวงสอบปรุงยา?” ชัตชนรู้สึกประหลาดใจแต่เขาก็เร่งดำเนินการให้ทันที

“เหอะ สอบปรุงยา ข้าอยากรู้ยิ่งนักว่าเจ้าจะสอบระดับใด 1 ดาว?” เมื่อฮาฟฟี่โลนได้ยินเช่นนี้เขาก็ยิ้มที่มุมปาก ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นจักรพรรดิยุทธ์หรืออะไรก็ช่าง ในโลกของนักปรุงยามีกฎอยู่ ผู้ที่อยู่ระดับต่ำกว่าจะต้องเคารพนักปรุงยาที่ระดับสูงกว่าโดยไม่สนระดับการบ่มเพาะ นี่หมายความว่าถ้าอีกฝ่ายสร้างปัญหาให้เขาโดยมีฐานะต่ำกว่า นพเก้าจะถูดกีดกันโดยสมาคมนักปรุงยาทันที

“ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะเป็นใคร อย่างไรก็ตาม ตามกฎของสมาคมเจ้าก็เป็นรุ่นน้องข้าอยู่ดี เหตุใดจึงไม่รีบทำความเคารพอีก” ฮาฟฟี่โลนพูดขึ้นต้องการทำให้นพเก้าอับอาย

“ฮึ ระดับต่ำกว่าเจ้า ใครบอกกัว่าข้าจะสอบระดับ 1 ดาว” นพเก้าพูดขึ้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง