อะไรน่ะ เจ้าเป็นบุตรแห่งสวรรค์อย่างนั้นรึ แล้วมันทำไม สำนักข้ามีผู้ท้าทายโชคชะตามากมาย มันจะซักแค่ไหนกันเชียว โอ้ว สมบัติระดับเซียนปรากฎขึ้นอย่างนั้นรึ ช่างหัวมันสิ! ต่อหน้าระบบข้าพวกมันล้วนเป็นขยะ!
แอคชั่น,ตลก,ผจญภัย,ไทย,จีน,กำลังภายใน,ดราม่า,แอ็คชั่น,แอ็คชั่น ,พระเอกเทพ,ฮาเร็ม,ระบบ,ระบบผู้ช่วย,ตลก,ผจญภัย,เจ้าสำนัก,หลายโลก,เกิดใหม่,เกิดใหม่ ,พระเอกเก่ง,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ระบบทรัพยากรไร้ขีดจำกัดอะไรน่ะ เจ้าเป็นบุตรแห่งสวรรค์อย่างนั้นรึ แล้วมันทำไม สำนักข้ามีผู้ท้าทายโชคชะตามากมาย มันจะซักแค่ไหนกันเชียว โอ้ว สมบัติระดับเซียนปรากฎขึ้นอย่างนั้นรึ ช่างหัวมันสิ! ต่อหน้าระบบข้าพวกมันล้วนเป็นขยะ!
นพเก้าเดินออกจากโรงเรียนโดยไม่สนใจผลกระทบที่เกิดขึ้นแม่แต่น้อย
“ระบบการแสดงของข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
นพเก้าถาม
[ติ๊ง ประทับใจ]
ระบบตอบ
[ติ๊ง ของแสดงความยินดีโฮตส์ได้แสดงการวาดยันต์บุพภาลำเนาไพรฉบับสมบูรณ์ การกระทำของโฮสต์เริ่มก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปรงด้าน อุตสาหกรรมยันต์วิญญาณระดับภูมิภาค รางวัล: เพิ่มช่องทรัพยากร + 5]
“ระบบ ข้าสามารถใช้งานได้อย่างไร”
[โฮสต์สามารถเรียกช่องทรัพยากรได้ผ่านทางจิตแล้วใส่วัตถุในช่อง ทรัพยากร]
นพเก้าหยิบสร้อยคอทองคำ 1 บาทที่น้องสาวให้เป็นของขวัญวันเกิดใส่ในช่องทรัพยากรตรงหน้า
[ช่องทรัพยากร]
[ความจุ 1/5]
[วัตถุ: สร้อยคอทองคำ 1 บาท (ระยะเวลาเพิ่มจำนวน 23 ชั่วโมง 59 นาที 53 วินาที: อัตราเพิ่มจำนวน 1 เท่าตัว)
“ระบบ ถ้ามันครบ 24 ชั่วโมงมันจะเพิ่มจำนวนขึ้นจริงเหรอ แล้วมันมีข้อจำกัดหรือไม่”
นพเก้าอดสงสัยไม่ได้
[จริงแท้แน่นอน]
[โฮสต์โปรดอย่าสงสัยในความสามารถของระบบ ต่อให้เป็นไอเทมระดับทำเจ้าก็สามารถเพิ่มจำนวนได้ย่างไม่สิ้นสุด]
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ฮาฟฟี่โลนและทุกคนต่างงุนงง หรือเจ้าผู้นี้จะเป็นอัจฉริยะเช่นกัน นั่นมีความเป็นไปได้ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นถึงขอบเขตจักรพรรดิยุทธ์ในวัยเพียง 18 ปี หากบอกว่าเป็นนักปรุงยาระดับ 3 ดาวก็คงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก
ทุกคนที่มุงดูต่างคิดเช่นนั้น ต่างจากคณะเดินทางของนพเก้า บรรดาคนในตระกูลหวงรู้จักนิสัยเด็กเปรตผู้นี้เป็นอย่างดี พวกเขารู้สึกว่าเจ้าผู้นี้กำลังสร้างปัญหาอีกครั้ง
“ก็หมายความตามนั้น” นพเก้าเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าฮาฟฟี่โลน ด้วยกลิ่นอายขอบเขตจักรพรรดิยุทธ์ส่งผลให้ฝ่ายหลังเดินถอยหลังกลับไปสามก้าวโดยไม่รู้ตัว
“เป็นแค่คนภูมิภาคอื่นแท้ๆ เจ้าควรรู้จักเจียมตัวเสียบ้าง”
บึ้ม
ระลอกคลื่นพลังศักดิ์สิทธิ์กระจายออกไปครอบงำทั้งกลุ่มของฮาฟฟี่โลน
ปัก
เสียงหล่นกระแทกพื้นดังขึ้น บรรดาผู้คุ้มกันของกลุ่มอยู่เพียงขอบเขตผู้พิทักษ์ขั้นสูงสุดเท่านั้น พวกเขาลงไปคลานกับพื้นทันที
“สหายน้อยโปรดช้าก่อน นี่เป็นเพียงการเข้าใจผิด” เฒ่าชราที่ซ่อนอยู่ในฝูงชนเดินออกมาด้านหน้าฮาฟฟี่โลนด้วยแขนขาสั่นเทา เขาไม่สามารถปล่อยให้ผู้มีพรสวรรค์อย่างฮาฟฟี่โลนตกตายได้
“เป็นแค่ราชันยุทธ์ก็ไสหัวไปซะ” นพเก้าไม่ไว้หน้าใดๆ เขาโบกมือผลักชายชราออกไป แต่ดูเหมือนเขาจะลงมือแรงไปเล็กน้อย เพราะอีกฝ่ายถูกแรงลมกระแทกจนกระเด็นออกไปอย่างกับว่าวสายป่านขาด เมื่ออีกฝ่ายกระเด็นถึงพื้นมันปรากฏให้เห็นเพียงร่างหนึ่งที่กระดูกถูกบดเป็นชิ้นๆ
ซีด
บรรยากาศพลันเย็นเยียบไม่มีใครกล้าส่งเสียงใดๆ นพเก้าเพียงมองไปที่ซากนั้นเล็กน้อยก่ที่เขาจะก้มลงมองฮาฟฟี่โลนที่คุกเข่าบนพื้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว
บอกตามตรง ด้วยผลสะท้อนของวิถีที่หนึ่งของเพลิงแห่งความละโมบ “บันดาลโทสะ” ทำให้เขาคลุ่มคลั่งได้ตลอดเวลา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
ขณะนี้ฮาฟฟี่โลนรู้สึกเหมือนถูกแช่แข็งกลางอากาศ เขาไม่สามารถขยับตัวหรือกระทำใดๆได้ ในสายตาของเขาเบื้องหน้าปรากฏให้เห็นดวงตาสีแดงฉานสองดวงจับจ้องมาที่เขาด้วยเจตนาสังหาร ในหัวของเขาเต็มไปเสียงกรีดร้องทุกทรมาณและภาพของดวงวิญญาณมากมายกำลังถูกทรมาณในเปลวเพลิง
“การที่เจ้าดูหมิ่นจักรพรรดิ เจ้ารู้ถึงผลที่ตามมาหรือไม่” ดวงตาสีแดงของนพเก้าประกายเจตนาฆ่าออกมาโดยไม่ปิดบัง
“ผู้อาวุโสข้า ข้าผิดไปแล้วโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย” ฮาฟฟี่โลนพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก น้ำตาและน้ำมูกไหลออกมาเต็มใบหน้า ไม่เหลือภาพพจน์ของชนชั้นสูงอีกต่อไป หากเขารู้ว่าอีกฝ่ายโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ต่อให้เขามีความกล้ามากเพียงใดก็จะไม่มีวันไปยั่วยุมันผู้นี้
“โอ้ว เจ้าทำอะไรผิดงั้นรึ ข้าไม่เห็นจะจำได้” นพเก้าพูดด้วยนํ้าเสียงหยอกล้อขณะเดียวกันก็เก็บเจตนาสังหารออกไป
ทันใดนั้นบรรยากาศที่เย็นเยียบทั้งอาคารก็กลับสู่สภาวะเดิมราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“ข้า ข้าหูฝาดไปเอง ไม่มีใครพูดจาเหยียดหยามข้าแต่อย่างใด” ในตอนนี้สมองของฮาฟฟี่โลนหมุนวนด้วยความเร็วแสงเมื่อเผชิญหน้ากับความตาย เขาตัดสินใจพูดประโยคนี้เพื่อจบปัญหา แต่ภายในใจของเขากำลังใช้คาถาเทเรพาธีผ่านกระแสจิตเพื่อเรียกกำลังเสริมจากภูมิภาคกลาง
“งั้นก็ดี จงอย่าลืมนำของขวัญมาขอขมาข้าที่ตระกูลหวง ข้าให้เวลาเจ้าสามวัน” หลังพูดจบนพเก้าก็เดินไปที่โถงทดสอบปรุงยาฝั่งตรงข้ามกับซั่งกั่วรุ่ย โดยมีหวงชิงจู้และฉินอวี้หลิงติดตามไปด้านหลัง
เฮ้อ
บรรดาผู้ชมรู้สึกเหมือนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง หากพวกเขาอยู่ไกลกว่านี้ก็ยังอยากจะดูการแสดงเมื่อครู่ต่อไป พวกเขาบางส่วนที่นึกถึงคำพูดของนพเก้าได้ก็มองไปที่ระดับการทดสอบด้านบนห้องทดสอบแต่ละระดับทันที พวกเขาสงสัยว่านพเก้าจะเข้าทดสอบระดับ 5 ดาวหรือ 6 ดาวหรือไม่ อย่างไรก็ตามเมื่อทุกคนมองไปที่ป้ายที่ทำจากแผ่นไม้ด้านบน มันเขียนว่านักปรุงยาระดับ 1 ดาว
เฮ้ย
ทุกคนนิ่งงัน การแสดงเมื่อครู่ของเจ้าเมื่อครู่มันหมายความว่าอย่างไร มันเป็นแค่การบัฟอย่างนั้นหรือ หลายคนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองฮาฟฟี่โลน เพราะตอนนี้เขาตัวสั่นด้วยความอับอายและโกรธจนเห็นเส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผาก
“บัดซบ เจ้ารอข้าก่อนเถอะ” เขาไม่ต้องการอยู่ที่นี่ให้กลายเป็นตัวตลกอีกต่อไป เขาสะบัดแขนเสื้อพร้อมเชิดหน้าจากไป โดยมีกลุ่มผู้ติดตามอยู่ด้านหลัง เมื่อผู้ฝึกปรือขอบเขตจักรพรรดิขั้นสูงสุดมาถึง เขาอยากจะรู้นักว่านพเก้าจะแสดงสีหน้าอย่างไร
ห้องสอบปรุงยาระดับ 4 ดาว ประกอบไปด้วยผู้อาวุโสจาก 4 สภาและ ปรมาจารย์นักปรุงยาจาก 12 สำนัก จำนวนทั้งสิ้น 16 คน พวกเขานั่งอยู่บนระเบียงชั้นสองโดยจะประเมินผู้เข้าสอบจากระยะไกล ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ฝึกปรือขอบเขตราชันยุทธ์ทั้งหมด จึงไม่มีปัญหาแม้แต่น้อยหากต้องการจับคนที่เล่นผิดกติกา
ขณะนี้ซั่งกั่วรุ่ยเดินเข้ามาอย่างสง่างามโดยมีหวงไค่และอัครเดชติดตามด้านหลังในฐานะผู้คุ้มกันและแสดงอำนาจของตระกูลลำดับที่ 4 ของเมืองเวสสุวรรณ ซั่งกัวรุ่ยติดตามผู้นำทางไปจนถึงห้องปิดกั้นพิเศษ เมื่อเขาเข้าไปปรากฏให้เห็นห้องไม้ธรรมดาที่ไร้การตกแต่งใดๆ อย่างไรก็ตามเมื่อเขาสูดกลิ่นเข้าไปก็ต้องตกตะลึง เขาหันไปมองกระถางธูปที่หน้าต่างทรงกลม มันคือธูปดำรงจิต สมบัติสวรรค์ระดับ 4 เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ต้องบอกว่าการทดสอบปรุงยาปีนี้ทางสมาคมนักปรุงยาได้ลงทุนไปไม่ใช่น้อยๆ เขารีบหยุดความคิดฟุ้งซ่าน หลังจากนั้นคำนับให้หวงไค่และอัครเดชเล็กน้อยที่หน้าประตู
ปัง
ทันทีที่เขาปิดประตูเสียงรบกวนภายนอกก็ได้หายไปจนหมดสิ้น เขาเข้าไปนั่งที่เบาะลองข้างกระถางธูปดำรงจิตและทำสมาธิในห้องลำดับที่ 18
มันเป็นเรื่องทั่วไปที่สมาคมจะต้องจัดพื้นที่พิเศษให้กับผู้ที่เข้าสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงยาระดับกลางตั้งแต่ระดับ 4 ดาวขึ้นไป เขาเข้าฌานสมาบัติทันที จากนั้นนึกถึงขั้นตอนการปรุงยาที่ใช้สำหรับการสอบ นับจากระดับ 4 ดาวขึ้นไป สภาวิชาชีพของทุกสาขาได้ตกลงร่วมกันว่าไม่จำเป็นต้องมีการสอบข้อเขียนใดๆ โดยข้ามไปขั้นตอนหลอมกลั่นโอสถทันที
เนื่องจากนับตั้งแต่ระดับ 3 ดาวขึ้นไป โอสถแต่ละชนิดจะมีความหลากหลายมากขึ้นทั้งขั้นตอนการเตรียมวัตถุ และบางโอสถชนิดมีรูปแบบการหลอมกลั่นไม่ตายตัว มันคงจะเป็นเรื่องเพ้อฝันเกินไปหากให้ผู้ตรวจสอบต้องตรวจวิธีการทั้งหมดแล้วให้คะแนน ในเมื่อความถนัดของแต่ผู้ตรวจสอบแต่ละคนต่างกันไปมันคงจะเป้นการเสียเวลาเปล่านับปี หากรอพวกเขาถกเถียงกันราวกันเป็นสมการคณิตศาสตร์
ปรมาจารย์สาขาวิชาชีพส่วนใหญ่ต่างก็เป็นเช่นนี้ พวกเขาเชื่อเสมอว่าวิธีการของพวกเขาถูกต้องที่สุดเสมอ และจะไม่ฟังความคิดเห็นผู้ใดทั้งสิ้นหากไม่มีหลักฐานเพียงพอมาตอกที่หน้าของพวกเขา
ขณะที่ตระกูลหวงกำลังจะมีช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ ตระกูลฉินดันอยู่ในสภาวะวิกฤต
“ท่านผู้นำเฟิง ท่านหมายความว่าอย่างไรที่ไม่สามารถจัดหาให้ได้ ขอตกลงนี้ทำร่วมกันมาต้อง 3 ปีแล้วด้วยซ้ำ” ฉินหนานพูดออกมาด้วยความเดือดดาล มันช่างน่าตลกสิ้นดี หมายความว่าอย่างไรที่ว่าไม่สามารถจัดหาวัตถุดิบหลักอย่างโสมมะพานพันปีได้
“ข้าต้องขออภัยจริงๆ ได้โปรดรอสักครู่ได้หรือไม่ ตอนนี้ข้าได้ทำข้อตกลงกับตระกูลโจวไว้แล้ว อีกไม่เกินหนึ่งชั่วยามท่านจะได้โสมมะพานพันปีแน่นอน” เฟิงซินหยานพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นางจะรู้ได้อย่างไรว่าอยู่ดีๆ สวนสมุนไพรลับจะถูกทำลายโดยสัตว์อสูรลึกลับในป่ามรณะทางตอนใต้ แม้ว่านางจะไม่อยากทำข้อตกลงกับตระกูลโจวก็ตาม เพราะอีกฝ่ายขูดเลือดขูดเนื้อเกินไป
พวกมันต้องการ 5,000 หินวิญญาณระดับสูงเป็นการแลกเปลี่ยน ถึงเงินจำนวนนี้จะไม่กระทบต่อตระกูลเฟิงซึ่งเป็นตระกูลโบราณอันดับที่ 2 ของเมืองเวสสุวรรณ แต่ราคานี้มันมากเกินควร โดยทั่วไปตามราคาท้องถิ่นโสมมะพานพันปีจะอยู่ที่ราคา 500 หินวิญญาณระดับสูงเท่านั้น
อย่างไรก็ตามนางไม่กล้ามีปัญหากับตระกูลอันดับที่ 1 อย่างตระกูลยักษาสวรรค์ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าข่าวลือเรื่องส่งมอบของตามข้อตกลงไม่ตามเวลาแพร่กระจายออกไป ตระกูลเฟิงจะถูกมองว่าไม่มีความน่าเชื่อถืออีกต่อไปอย่างสมบูรณ์
เมื่อชื่อเสียงถูกทำลายทั้งพ่อค้าคนกลางและบรรดาผู้ทำข้อตกลงหลักบางส่วนจะต้องจากไปอย่างแน่นอน มันคงใช้เวลาไม่เกิน 10 ปีในการทำให้ตระกูลเฟิงล่มสลายไป เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาอาจจะต้องย้ายไปอยู่ที่ด้อยพัฒนากว่าและใช้เวลาแข่งขันหลายศตวรรษเพื่อกลับมายืนอยู่ ณ จุดๆนี้
“หนึ่งชั่วยาม ท่านคิดว่าสมาคมนักปรุงยาสามารถรอได้หรือ”
ตูม
บรรยากาศโดยรอบถูกแผดเผาด้วยเพลิงทมิฬ ทำให้ผู้คนบางส่วนที่มีระดับอ่อนแอกว่าหายใจติดขัด
(ผู้นำฉินโปรดใจเย็น ไม่ใช่ว่าข้าไม่มีวิธีแก้ปัญหา ข้าเองก็มีเส้นสายอยู่บ้างเช่นกัน ข้าจะทำข้อตกลงกับผู้ตรวจสอบสภาวิชาชีพให้ลงข้อมูลการทดสอบครั้งนี้ว่าเกิดข้อผิดพลาดจากสมาคมนักปรุงยา ท่านสามารถให้ท่านฉินกวงมารับการประเมินใหม่ได้ในรอบสำรอง) นางสื่อสารโทรจิตกับฉินหนาน มันคงจะโกลาหลหากคนรอบข้างได้ยิน
ขณะนี้แม้แต่เฟิงซินหยานรู้สึกหวาดกลัว ต่อให้นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับจักรพรรดิขั้นที่ 4 ก็ตาม แต่ในอดีตฉินหนานก็ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ในเมืองเวสสุวรรณ ถึงแม้นางจะมีความมั่นใจว่าในระดับของนางสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้แต่ก็ไม่คุ้มค่าแม้แต่น้อย มันคงเป็นเรื่องโง่เขลาเกินไป ถ้าหากต้องสู้กับบุคคลที่ถูกให้ความสำคัญลำดับแรกจากตำหนักสุริยัน หนึ่งในสามแดนศักดิ์สิทธิ์ของภูมิภาคกลาง
“พอได้แล้ว” หยางเก๋อรีบลงมาจากระเบียงชั้นสองแล้วปรากฏตัวตรงกลางทั้งสองฝ่ายทันที
“เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร เรื่องการสอบของท่านฉินกวง ข้าจะขอเลื่อนไปก่อนซักเล็กน้อย” อยู่ดีๆ หยากเก๋อก็พูดประโยคนี้ออกมา
“อะไรน่ะ” บรรดาผู้คนด้านล่างที่ได้ยินต่างก็ตกตะลึง สิทธิพิเศษนี้มันคืออะไร ไม่ใช่ว่าต้องทำตามกฎระเบียบของสมาคมหรือ
หลายฝ่ายต่างงุนงง อย่างไรก็ตามมีเพียงฉินหนานเท่านั้นที่ยิ้มเย้ยหยันออกมา
(หึ ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการตัดคู่แข่งให้กับคนภูมิภาคอีสานหรือ) เมื่อเห็นท่าทีของหยางเก๋อช่วงเช้าที่หน้าพื้นที่ลงทะเบียน เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรในเมื่อประจบประแจงฮาฟฟี่โลนเสียขนาดนั้น
“นี่” เฟิงซินหยานรู้สึกประหลาดใจ จากนั้นก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นความดีใจ สิ่งนี้ไม่ต่างจากยกก้อนหินครึ่งนึงออกจากอกของนาง นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายช่วยไกล่เกลี่ยปัญหาให้เพราะเหตุใด แต่การทำเช่นนี้หมายความว่าฉินกวงยังสามารถทดสอบในวันนี้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอรอบสำรอง สิ่งที่นางกลัวไม่ใช่สิ่งอื่นใด แต่มันคือการที่นักปรุงยาเข้าสู้สภาวะเจตจำนงการรู้แจ้งโอสถแล้วเสียสภาวะนี้ไปอย่างเสียเปล่า สิ่งนี้ไม่สามารถรับได้แม้ว่าตระกูลเฟิงจะขอขมาเท่าไหร่ก็ตาม
“ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” ฉินหนานรู้สึกหงุดหงิด เขาไม่ต้องการประเมินระดับ 4 ดาวอีกต่อไป เมื่อเทียบกับทำลายตระกูลอันดับ 2 เขาพอจะชั่งน้ำหนักได้ว่าจะเลือกสิ่งใด
“เจ้าหนาน พอได้แล้ว” ผู้เฒ่าชราหลั่งค่อมนามฉินกวง หากเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากมีผู้สืบทอดเช่นนี้ ตลอดมาลูกชายของเขาเพียงใช้กำปั้นทุบตีเพื่อแก้ปัญหาเท่านั้น เมื่อถึงเวลาไปฝึกฝนในแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ทราบว่าจะรอดกลับมาได้หรือไม่ หากยังคงทำเช่นนี้
“อะแฮ่ม ท่านผู้นำฉิน คนเราก็มีความผิดพลาดกันได้ เท่าที่ข้ารู้พี่กวงใช้เวลาขัดเกลาตัวเองมากกว่า 6 ปี สมาคมนักปรุงยาของเรารู้สึกเสียดาย หากนักปรุงยาที่เข้าสู่สภาวะเจตจำนงการรู้แจ้งโอสถ ต้องสูญเสียสภาวะพิเศษไปอย่างสูญเปล่าในฐานะผู้ที่มีคุณธรรม ข้าจะยอมปล่อยไปเฉยๆ ได้อย่างไร” หยางเก๋อพูดออกมาโดยไม่มีความเหนียมอายแม้แต่น้อย
บัดซบ!!
ไร้ยางอาย ไร้ยางอายอย่างแท้จริง ครั้งนี้แม้แต่อัครเดชและหวงไท่ก็สบถออกมา ความใจกว้างดั่งหินผานี้เจ้าเอามาจากที่ใดกัน ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่ยังเป็นสุนัขเลียรองเท้าอยู่หรือ
แค่ก แค่ก
หยางเก๋อกระแอ่มไอออกมาโดยยกมือมาปิดบังใบหน้าที่แดงก่ำ ในเมื่อแก้ปัญหาเสร็จแล้วก็ถึงพิธีเปิดงาน
ขณะนี้ภาพลักษณ์ของหยางเก๋อได้เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์ ทั้งอิริยาบถและคำเปิดงานที่ทำให้ผู้มีส่วนร่วมการแข่งขันที่ร้อนแรงของลูกพี่ลูกน้องของบรรดาญาติป้าๆ กลายเป็นงานการแข่งขันอย่างมีน้ำใจนักกีฬาทันที มันเปลี่ยนภาพลักษณ์ษร์เขากลายเป็นผู้สูงศักดิ์ที่พูดเปิดงานประชุมอย่างฉะฉาน หากใครไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาจะต้องคิดว่าเป็นผู้นำที่มีคุณธรรมและความซื่อสัตย์อย่างแน่นอน
เฟิงซินหยานที่นั่งอยู่ที่ผู้ชมมองหยางเก๋อด้วยสายตาเสน่ห์หา จะว่าไปชายผู้นี้ถึงแม้จะแก่ไปซักเล็กน้อยแต่ก็นับว่าดูดีเช่นกัน
ฮึย!!
หยางเก๋อที่พูดสุนทรพจน์เสร็จอยู่ดีๆ ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ เขารีบจากไปทันที ต้องการไปดูว่านพเก้าจะสอบผ่านไปได้หรือไม่ มันนับเป็นเรื่องดีที่มีอัจฉริยะอายุ 18 ปีสอบผ่านระดับ 1 ดาว แต่นั่นก็สำหรับสมาคมนักปรุงยา แต่สำหรับเขา
เมื่อนึกถึงลูกเตะที่นพเก้าส่งมา เขาก็รู้สึกเจ็บจนชาที่มุมปาก หากนพเก้าผ่านไปได้ด้วยคะแนนที่ดีแพร่กระจายออกไป มันจะต้องมีเขาเป็นตัวประกอบในโครงเรื่องอย่างแน่นอน จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเล่าเรื่องปากต่อปากว่าเขาเป็นสุนัขเลียที่เอาอกเอาใจคนภูมิภาคอื่นแล้วรังแกอัจฉริยะภูมิภาคตนเอง หนำซ้ำถูกทุบตีอย่างน่าสมเพช
“โอว พระเจ้า สิ่งนี้เป็นไปได้จริงๆ หรือ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ว่าข้อสอบไม่ได้รั่วไหลออกไป”
“ข้อสอบรั่วไหลปู่เจ้าน่ะสิ มันจะมีคนที่ไหนบอกได้บ้างว่าสมุนไพรมันเกิดขึ้นตอนกี่โมง กี่นาที กี่วินาที”
ผู้ประเมินร่างอ้วนเครายาวพูดออกมา เขาสงสัยว่านพเก้านอกจากมีความสามารถปรุงยาแล้วยังเป็นนักทำนายด้วยหรือไม่ เมื่อข้อสอบเริ่มขึ้น เขาใช้เวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้นในการตอบคำถามทั้งหมด และคำตอบที่ได้ยังเกินกว่าความเข้าใจของผู้ประเมินระดับ 2 ดาวอย่างพวกเขาด้วยซ้ำ
“เกิดอะไรขึ้น” หยางเก๋อเดินเข้ามาขณะที่ผู้ประเมินทุกคนโค้งตัว 45 องศาทำความเคารพ ถึงทุกคนจะไม่ชอบอย่างไร ตาแก่ผู้นี้ก็เป็นนักปรุงยาระดับ 4 ดาว พวกเขาต้องไว้หน้าบ้าง
“คือเรื่องมันเป็นแบบนี้”
ชายหนุ่มผู้หนึ่งพูดแทรกขึ้นมาต้องการประจบประแจงเอาใจ โดยไม่สนท่าทีเพื่อนร่วมงานแม้แต่น้อย
“อะไรน่ะ เจ้าบอกว่าเจ้าเด็กนั่นใช้เวลา 5 นาทีในการทำข้อสอบละได้คะแนนเต็มอย่างนั้นหรือ” หยางเก๋อรู้สึกอึ้งงัน
“ใช่ ใช่แล้วท่านหัวหน้าสมาคม” ชายหนุ่มพูดย้ำอีกครั้ง
เพียะ
โดยไม่คาดคิด แทนที่อีกฝ่ายจะสนใจกลับเป็นรอยแดงบนหน้าที่เขาได้รับ หลายคนมองด้วยความสมเพช เจ้าประจบผิดคนเสียแล้ว
“พวกเจ้ากำลังเล่นตลกอะไรกัน เห็นได้ชัดว่านี่คือการโกง” หยางเก๋อไม่สามารถยอมรับได้ คนบ้าอะไรวะ จะรู้ข้อมูลถึงขั้นคนหว่านเมล็ดปลูกสมุนไพรด้วยซ้ำ เดิมทีข้อสอบนี้เพียงแค่บอกสรรพคุณให้ถูกต้องหกในสิบส่วนเท่านั้น นั่นก็ถือว่าผ่านเกณฑ์
“หากท่านสงสัยพวกเรา ท่านจะดูที่กล้องวงจรปิดก็ได้” สมัยนี้แล้วการพิสูจน์หลักฐานล้วนง่ายดาย ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยที่สามารถตรวจสอบทะลุกำแพงได้ยกเว้นห้องน้ำ มันสามารถตรวจสอบการกระทำได้ทุกตารางนิ้วในสมาคมนักปรุงยา ทุกคำพูดและการกระทำไม่สามารถรอดไปได้
“แค่ก แค่ก ข้าก็แค่ทดสอบพวกเจ้าเท่านั้น ในเมื่อไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัวก่อน” หลังกระแอ่มครั้งที่สอง หยางเก๋อก็จากไปกลัวว่าเจ้าหนุ่มหน้าใหม่จะเอาเรื่องเข้า
“เอาหล่ะ ข้าพร้อมแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้นในห้องทำสมาธิหมายเลข 15
ขวับ!!
ผู้ประเมินทุกคนหันมองไปที่คนต้นเรื่องทันที เหตุใดเมื่อครู่เจ้าถึงไม่ออกมา ผู้ประเมินชายหนุ่มเมื่อครู่ลอบสาปแช่งในใจอย่างลับๆ แต่ไม่นานเขาก็ตัวแข็งค้างเพราะรู้สึกถึงกลิ่นอายสัตว์ร้ายกำลังจ้องมองมาที่เขา
“ยักษ์แดงเดือดพอได้แล้ว” นพเก้ารู้สึกหน่ายใจ ยิ่งแข็งแกร่งยิ่งเดือดดาล ขณะนี้ตันเถียนหลักของนพเก้าได้แผร่ขยายไปจนถึงแปดแสนกว่าเมตรแล้ว เขาทำได้เพียงกินโอสถวารีเล้นรับ ระดับ 6 ออกมากินทุก 15 นาทีโดยไม่ต่างจากคนติดยา ด้วยผลของ “บันดาลโทสะ” ทำให้จิตสังหารของยักษ์แดงเดือดปล่อยออกมาเป็นระยะอย่างควบคุมไม่ได้ เขาจึงทำได้เพียงคุมขังมันไว้ในตันเถียนเท่านั้น ไม่เช่นนั้นสถานที่นี้จะกลายเป็นทะเลเลือดอย่างแน่นอน
อึก
ในบรรดานักปรุงยาระดับ 2 ดาว พวกเขาเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตจิตรู้แจ้งเท่านั้น หนำซ้ำยังไม่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีประสบการณ์ร์ฆ่าฟันส่งผลให้พวกเขาตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ นอกจากบางส่วนที่เป็นราชันยุทธ์แล้ว มีเพียงหวงชิงจู้และฉิวอวี้หลิงเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบอะไร เนื่องจากนพเก้าให้อาวุธระดับสวรรค์ขั้นสูงสุดอย่างดาบไลซ์เซเบอร์ติดตัวไว้ตลอดเวลา
ด้วยอาวุธที่เกือบถึงขึ้นมีจิตวิญญาณนี้ถึงแม้จะไม่สามารถใช้งานได้ แต่ก็สามารถปิดกั้นผลกระทบของออร่าและพลังจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตต่ำกว่าจักรพรรดิได้อย่างสมบูรณ์
“ถ้างั้นเรามาเริ่มกันเลย” ผู้ประเมินนำกลุ่มของนพเก้าเข้าไปด้านสุด มันเป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมทำจากไม้ดำรงจิตขนาด 10x10 เมตรเท่านั้น ตรงกลางเป็นเตาปรุงยาขนาดใหญ่สูง 6 เมตร
“มีเพียงข้าคนเดียวรึ”
“อืม เราให้คนอื่นทดสอบไปหมดแล้ว” กลุ่มผู้ประเมินรู้สึกจนใจ เจ้าไม่รู้ตัวเลยหรือว่าสภาวะของเจ้ามันกระทบต่อผู้อื่น
“โอ้ว” นพเก้าได้แต่ยิ้มแหยก่อนนั่งลง สมกับเป็นสมาคมระดับ 4 ดาว ดูเหมือนผู้ประเมินพวกนี้จะสามารถจัดการเรื่องต่างๆ ได้เฉียบคม
“หัวข้อประเมินครั้งนี้คือโอสถแก่นโลหิตอสูร โอสถระดับ 1 ขั้นสูงสุด ด้านซ้ายเป็นวัตถุดิบที่จัดเตรียมไว้ให้ หากทำผิดพลาดก็อย่างที่เจ้ารู้ครั้งต่อไปต้องนำวัตถุดิบมาเอง ตามกฎของการทดสอบเจ้ามีเวลา 2 ชั่วยามในการหลอมกลั่นและผิดพลาดได้ไม่เกิน 3 ครั้ง ไม่เช่นนั้นจะถือว่าสอบตก”
ชายชราร่างอ้วนพูดขึ้น เขาไม่แน่ใจว่านพเก้าจะสามารถสอบผ่านไปได้หรือไม่ เพราะในปีนี้สภาโอสถได้เพิ่มระดับความยากเพิ่มขึ้นทั้งที่ปกติจะให้ปรุงโอสถระดับ 1 ขั้นต้นหรือขั้นกลางในการทดสอบ บรรดาผู้ทดสอบของปีนี้จึงมีเพียง 3 จาก 100 เท่านั้นที่สอบผ่านอย่างฉิวเฉียด
เมื่อการทดสอบเริ่มขึ้น นพเก้าก็ไม่ลังเลใดๆ เขาเดินเข้าไปที่โต๊ะด้านซ้าย จากนั้นกำวัตถุดิบทั้งหมดอย่างกับผักสดในตลาดโยนเข้าไปในเตาอบ ไม่ใช่ โยนเข้าไปในเตาหลอมโอสถแล้วปิดฝาลง
เฮ้ย!!
ทุกคนในที่นี้ตกตะลึง ในมันคือวิธีการปรุงโอสถแบบใดกัน หลายๆ คนมองไปที่นพเก้าด้วยสายตาโกรธเคือง ถึงวัตถุดิบเช่นนี้จะเป็นเพียงวัตถุดิบระดับต่ำ แต่ก็มีราคาชุดละ 10 หินวิญญาณระดับสูง เงินจำนวนนี้ครอบครัวสามคนสามารถอยู่สบายได้ 1 ปีเต็ม
นพเก้าไม่ได้ใส่ใจคนรอบข้าง ผลลัพธ์จะเป็นตัวกำหนดทุกสิ่ง ตั้งแต่การกระทำตั้งต้นที่เขาทำอย่างการสอบข้อเขียน ที่เขาทำเพราะล้วนต้องการชื่อเสียงทั้งนั้น ในเมื่อเขามีพลังอำนาจอย่างตระกูลอสุราทองคำ และฐานพลังยุทธ์ระดับจักรพรรดิ ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องปิดบังพลังอย่างมังงะญี่ปุ่น
ด้วยคะแนนสอบที่เกินจริงและโอสถระดับตำนาน ชื่อเสียงของเขาจะเพิ่มสูงขึ้น มันจะมีส่วนช่วยอย่างมากเมื่อเขากลายเป็นเจ้าสำนัก หากไม่มีความสามารถใครเล่าจะอยากเข้านิกายของเขา เพราะในอนาคตเขาไม่ได้วางแผนเพียงรับเฉพาะบุตรแห่งสวรรค์เท่านั้น
ขณะที่เขาวางแผนการในอนาคต มือขวาของเขาก็ประทับอยู่ที่ช่องบรรจุเปลวเพลิงสำหรับหลอมกลั่นโอสถ สมุนไพรต่างๆ ถูกหลอมละลายและคัดแยกสิ่งสกปรกออกไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ขอบเขตจักรพรรดิยุทธ์ จากนั้นของเหลวต่างๆ ถูกควบแน่นกลายเป็นโอสถสามเม็ดในเตาปรุงยา
“มีเพียงสามเม็ดเท่านั้น”
เมื่อผู้ประเมินเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยังดีที่มีเพียงสามเม็ดซึ่งอยู่ในระดับนักปรุงยาทั่วไป มีเพียงอัจฉริยะขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถปรุงได้ครั้งละ 5 เม็ด นั่นหมายความว่าอย่างไร
หมายความว่าในอนาคตนพเก้าจะเป็นเพียงนักปรุงยาระดับ 3 ดาวเท่านั้น พวกเขาคงจะอิจฉาจนตายหากอีกฝ่ายเป็นอัจฉริยะด้านการปรุงยาด้วย แต่ความสบายใจมันก็อยู่ได้ไม่นานนัก
ฟุ่ม
เกิดปรากฏการณ์ฟ้าดินถูกดูดกลืนเข้าไปในเตาปรุงยาโดยสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
“นี่มันโอสถระดับสมบูรณ์แบบ”
หนึ่งในนั้นเห็นว่าโอสถในเตาหลอมปรากฏอักขระฟ้าดินขึ้น 4 สาย
“ไม่ใช่ มันยังไม่จบ”
ขณะที่อีกคนพูดขึ้นปรากฏการณ์ฟ้าดินก็เปลี่ยนไป มันหลอมรวมกลายเป็นภาพมายาของมังกรสีครามเหนือขึ้นไปบนสมาคมนักปรุงยา
“โอ้ว สวรรค์ มันคือโอสถระดับตำนาน”
ทุกคนตกตะลึงทันที จากนั้นก็เกิดความโกลาหล เพราะด้านบนมันไม่ได้ปรากฏมังกรตัวเดียว แต่เป็นสองตัว หมายความว่าขณะที่นพเก้าปรุงยา ก็มีอีกคนที่หลอมกลั่นโอสถระดับตำนานได้เช่นกัน
มันเป็นไปได้จริงๆ หรือที่มีอัจฉริยะระดับปีศาจสองคนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน ขณะเดียวกันกับที่นพเก้าทดสอบปรุงยา ที่โถงการทดสอบระดับ 4 ดาวก็ได้เกิดปรากฏการณ์ภาพมายาของมังกรขึ้นเช่นกัน