ความรู้สึกของเจ้าของร่างเก่ามันได้ตายจากไปพร้อมกับร่างนั้นแล้ว ตอนนี้ข้าคือคนใหม่ที่จะทำให้ท่านนั้นแหละ ที่ต้องขอร้องอ้อนวอนเกาะข้าเมียบ่าวผู้นี้ให้จงได้!

เมื่อคนปากแซ่บหลงยุคมาเป็นเมียบ่าว - บทที่ 2 โดย ชิดในเลยพี่ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,จีน,ดราม่า,ข้ามเวลา,ย้อนยุค,วาย,นิยาย18+,นิยายPWP,นิยายจีน ,นิยายวาย,พีเรียดจีน,ย้อนยุค,ย้อนเวลา,นายเอกท้อง,นายเอกท้องได้,ชิดในเลยพี่,เมื่อคนปากแซ่บหลงยุคมาเป็นเมียบ่าว,จีน ,จีนโบราณ,เลี้ยงลูก,ดราม่า,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เมื่อคนปากแซ่บหลงยุคมาเป็นเมียบ่าว

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,จีน,ดราม่า,ข้ามเวลา,ย้อนยุค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

วาย,นิยาย18+,นิยายPWP,นิยายจีน ,นิยายวาย,พีเรียดจีน,ย้อนยุค,ย้อนเวลา,นายเอกท้อง,นายเอกท้องได้,ชิดในเลยพี่,เมื่อคนปากแซ่บหลงยุคมาเป็นเมียบ่าว,จีน ,จีนโบราณ,เลี้ยงลูก,ดราม่า,พล็อตสร้างกระแส

รายละเอียด

เมื่อคนปากแซ่บหลงยุคมาเป็นเมียบ่าว โดย ชิดในเลยพี่ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ความรู้สึกของเจ้าของร่างเก่ามันได้ตายจากไปพร้อมกับร่างนั้นแล้ว ตอนนี้ข้าคือคนใหม่ที่จะทำให้ท่านนั้นแหละ ที่ต้องขอร้องอ้อนวอนเกาะข้าเมียบ่าวผู้นี้ให้จงได้!

ผู้แต่ง

ชิดในเลยพี่

เรื่องย่อ

ท่านปกป้องราษฎร เพื่อนพ้อง ราชวงศ์ และผู้คนนับล้านได้ แต่ท่านมิอาจปกป้องคนที่ท่านรักได้เลยหรือท่านแม่ทัพ หรือว่าแท้จริงแล้วท่านชิงชังข้า

หัวใจของท่านทำด้วยสิ่งใดหรือ ทำไมมันถึงด้านชาถึงเพียงนี้ ท่านหมดรักข้านั้นมิเป็นไร แต่ท่านจะมาข่มเหงคนที่ข้ารักไม่ได้ ท่านทำร้ายจิตใจของข้าและลูกถึงเพียงนี้ ท่านเกลียดข้าสองคนแม่ลูกมากเลยใช่หรือไม่ ขอเพียงท่านเอ่ยปากบอกข้ามาตรงๆ ว่าท่านหมดรักข้าแล้ว ไฉนเลยข้าจะหน้าด้านหน้าทนอยู่ได้

 

ท่านไม่ปล่อยข้าไม่พอ ท่านยังทำให้ข้าเหมือนตกนรกทั้งเป็นอีกหรือ!!!!


 

คำเตือน

ขอให้ผู้อ่านใช้สติในการอ่าน  นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาที่มีการผสมผสานหลายอย่างของรัชสมัยต่าง ๆ ของจีนที่ใช้นำมาประกอบอรรถรสของเนื้อเรื่องเพียงเท่านั้น

สารบัญ

เมื่อคนปากแซ่บหลงยุคมาเป็นเมียบ่าว-บทที่ 1,เมื่อคนปากแซ่บหลงยุคมาเป็นเมียบ่าว-บทที่ 2

เนื้อหา

บทที่ 2

บทที่ 2 

          นั่งรถม้าออกจากจวนมาเพียงแค่หนึ่งชั่วยาม[1]ก็มาถึงทะเลสาบที่ใกล้ที่สุดของเมืองหลวง ลมหนาวที่พัดผ่านร่างกายช่างหนาวสั่นจนจับใจ เสียงที่เจี๊ยวจ๊าวมาตลอดทั้งทางมีเพียงแค่เด็กน้อยวัยสิบสองหนาวสองคนที่เอาแต่พูดมิยอมหยุดตั้งแต่ออกจากจวน

 

          หลี่หมิงที่ได้แต่นั่งฟังเด็กทั้งสองคุยกันเรื่องดอกไม้ข้างทางที่เบ่งบานบ้าง คุยกันว่าคืนนี้จะขอพรเรื่องใดดี โตขึ้นมีความฝันอยากทำอันใด ก็ชวนทำให้ข้านั้นรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ เจ้าบ่าวอันฉีนี่ก็ช่างกล้าดีอย่างไรมาขัดเวลาแห่งความสุขข้า หากถึงจวนเมื่อใดจะสั่งลงโทษให้ถูพื้นเรือนใหญ่ทั้งเรือนเพียงคนเดียว และจะลงโทษพ่อบ้านสวี่ด้วยโทษฐานไม่ดูแลบุตรหลานให้ดี เจ้าเด็กนี่ช่างขัดหูขัดตาข้าเสียจริง ยามคุยกันก็ยิ้มให้กันเสียจนปากจะฉีกอยู่แล้วนั่น ทีคุยกับข้าคอนี่แทบจะหดเข้าไปในไหปลาร้าอยู่แล้ว ข้าคิดว่าเจ้าจะเป็นเต่าอยู่แล้ว หากเจ้ามีกระดองคงจะไม่กล้าโผหัวหัวออกคุยเลยกระมัง ยิ่งมองก็ยิ่งหงุดหงิดเสียจริง

 

          แม้จะมีหิมะตกแต่น้ำในทะเลสาบกลับไม่เป็นน้ำแข็งเลยแม้แต่น้อย บ่าวน้อยทั้งสองจูงมือกันลงมาจากรถม้าเมินเฉยต่อมือที่คอยรับของผู้เป็นเจ้านาย  มือที่ยังคงยื่นค้างก็หันไปทำตาเขียวใส่อันฉี จนบ่าวน้อยที่หันมาสบตาต้องสะดุ้งกับสายตาที่มองสบ

 

ช่างน่ากลัวนัก เหตุใดคุณชายใหญ่ต้องทำหน้าทำตาเช่นนั้นด้วย 

 

“หนาวรึอันฉี” เข่อซิงหันมาถามคนข้าง ๆ ก็เห็นอันฉีหันไปมองทางด้านหลัง มองไปก็เห็นเพียงคุณชายใหญ่กำลังส่งยิ้มมาให้เพียงเท่านั้น

          อันฉีพยักหน้าให้เป็นคำตอบ มือเล็กจับมือสหายขึ้นมาอังไว้ที่ปาก ส่งต่อลมร้อนไปยังมือของอันฉี

 

          น่า กลัว น่ากลัวเสียจริงจากตาเขียวเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว

 

          หลี่หมิงทำท่าปาดคอตนเองก่อนจะส่งสายตาให้อันฉีขยับหนีซะ! 

อันฉีเข้าใจในความหมายทันทีรีบรั้งมือของตนเองออกจากสหาย ข้าจะโดนคุณชายใหญ่ปาดคอรึไม่ ฮือออ หรือนี่จะมิใช่วันเกิดแต่มันคือวันตายของข้ากัน 

อันฉีหลังจากได้รับสายตาเหี้ยมโหดจากหลี่หมิงก็บอกกล่าวแก่สหายว่าตนนั้นเหมือนจะมีไข้ขอพักอยู่บนรถม้า

เข่อซิงที่เห็นสหายตอนแรกยังอาการดี ๆ เหตุใดถึงได้เกิดจับไข้ขึ้นมาเสียดื้อ ๆ แต่ก็อาจจะเพราะอากาศหนาวก็เป็นได้ อันฉีเดิมทีร่างกายก็ไม่แข็งแรงนักต้องโทษข้าที่คิดน้อยจนเกินไป จนทำให้อันฉีป่วยไข้

 

ใบหน้าละมุนหม่นหมองลง จิตใจไม่อยู่กับคันเบ็ดที่กำลังถือ 

“เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลเกินเหตุ อันฉีมิเป็นอันใดหรอก วันนี้ข้าพาเจ้ามาหาความสำราญ ก็ทำตัวให้สนุกเสียหน่อยเถิด” 

“แต่วันนี้คือวันเกิดขออันฉี ข้ากลับพาเขาออกมารับลม เดิมทีร่างกายเขาก็ใช่ว่าจะแข็งแรง” ยิ่งพูดใบหน้าเล็กยิ่งรู้สึกสลด

          ชิ เจ้าเด็กอันฉีนี่ขนาดไม่ได้อยู่ขัดหูขัดตาแล้วยังทำให้เจ้ากระต่ายน้อยของข้าต้องมาห่วงหน้าพะวงหลังอยู่ได้ จะเชือดทิ้งซะดีไหมนะ แต่ถ้าฆ่าเจ้าเด็กนี่เดี๋ยวพ่อบ้านสวี่จะตรอมใจเอาได้ มิได้ ๆ หรือจะรอให้โต กว่านี้หน่อยก็ให้ออกเรือนกับพ่อค้าสักบ้าน 

          ความคิดที่กำลังโลดแล่นพลันหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงคนข้างกาย ที่กำลังยื้อยุดฉุดกระชากคันเบ็ดในมืออย่างเอาเป็นเอาตาย คร่าวนี้แหละข้าจะแสดงความแข็งแกร่งให้เจ้าดู

          ร่างสูงที่ยืนช้อนหลังคนตัวเล็กขณะกำลังเอื้อมมือที่จะจับมือเล็ก ก็ไม่ทันการเสียแล้ว

 

ตู้ม!

 

          ร่างของเข่อซิงถลาไปข้างหน้าจนตกลงทะเลสาบที่หนาวเหน็บ เข่อซิงที่พยายามตะเกียกตะกายจากน้ำ 

“ช่วยด้วย!” 

 

          ไม่รีรอหลี่หมิงก็กระโดดน้ำตามลงอย่างรวดเร็ว ดึงคนร่างเล็กเข้ามาในอ้อมกอด แม้บริเวณที่เข่อซิงตกลงไปน้ำจะไม่ลึก แต่เด็กสิบสองหนาวอย่างไรเสียขาก็ยืนไม่ถึง หลี่หมิงรีบพาตัวเข่อซิงขึ้นมาจากทะเลสาบ

 

“แค่ก แค่ก แค่ก” 

“เป็นอย่างไรบ้าง” หลี่หมิงก้มหน้าถามเข่อซิงด้วยใจที่ร้อนรน

“หนาว หนาว” ปากซีดสั่นจนได้ยินเสียงฟันกระทบกัน 

          หลี่หมิงรีบพาเข่อซิงขึ้นรถม้า ใช้เวลาขากลับถึงจวนเร็วกว่าขาไปนัก ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม

แขนแกร่งอุ้มบ่าวตัวน้อยเข้าเรือนนอนของตนก่อนจะหันไปบอกให้อันฉีรีบไปตามหมอเว่ยมา รอไม่นานนักหมอเว่ยก็มาถึงหน้าเรือนด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ

          อู๋เหม่ยและโม่ฉือเมื่อได้ยินว่าลูกชายของตนนั้นตกน้ำก็รีบเร่งมาที่เรือนคุณชายใหญ่ ฮูหยินใหญ่ก็ตามมาพร้อมกับหันไปมองค้อนเจ้าลูกชายตัวดี ก่อนจะออกจากเรือนก็พึ่งสั่งสอนไปหยก ๆ กลับมาก็นำเรื่องมาให้อีก หนนี้คงจะต้องจัดการให้เด็ดขาดเสียแล้ว

 

          หลี่หมิงที่รับรู้ถึงสายตาของผู้เป็นมารดาก็ทำทีเป็นเมินต่อสายตาที่ส่งมา หนนี้หลังของข้าคงได้หักเป็นแน่ 

          ใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อ หมอเว่ยก็ตรวจอาการของเข่อซิงเสร็จ

“ลูกข้าน้อยเป็นอย่างไรบ้างรึท่านหมอเว่ย” อู๋เหม่ยถามท่านหมอด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ข้างกายก็มีผู้เป็นสามีคอยพยุงไม่ให้ล้ม

“โชคยังดีที่เด็กคนนี้ร่างกายแข็งแรงและได้คุณชายใหญ่ช่วยไว้ทัน ทำให้อาการไม่หนักมากนัก เพียงเลือดลมในกายไหลเวียนไม่ดีและมีไข้อ่อน ๆ ให้เขานอนพักผ่อนและทานยาอย่างสม่ำเสมอตามที่ข้าสั่งสักสี่ห้าวันก็จะดีขึ้น แต่ก็ต้องระวังกายต้องลมมากหน่อย เพศเกอเดิมทีนั้นการจะตั้งครรภ์ก็ไม่ง่ายอยู่แล้วหากในอนาคตเด็กคนนี้เกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาจะส่งผลต่อเด็กในท้องได้” หมอเว่ยหันมากำชับอู๋เหม่ยและโม่ฉือ พร้อมยื่นใบสั่งยาให้กับอู๋เหม่ย 

 

แต่กับมีมือนวลขาวใสแย้งมาเสียก่อน ฮูหยินยื่นใบสั่งยาให้กับลูกชายคนโต

“เจ้า จงไปซื้อยาตามใบสั่งมา แล้วเจ้าก็ต้องเป็นผู้ที่ต้มยามาให้เข่อซิงด้วยตนเอง เข้าใจรึไม่” ผู้เป็นนายหญิงใหญ่สั่งด้วยน้ำเสียงดุ ดุด่าบุตรชายผ่านแววตา

“เอ่อ ฮูหยินเจ้าคะ เดี๋ยวบ่าวทำเองเจ้าคะ จะให้คุณชายมาทำได้อย่างไรเจ้าคะ บ่าวมิกล้า” 

“เจ้าเป็นมารดาของผู้เสียหายนะ ส่วนผู้ที่กระทำผิดก็ต้องชดใช้ นี่คือคำสั่งของข้ามีรึเขาจะกล้าขัด” นายหญิงใหญ่ว่าขึ้น หน้าก็เชิดชูขึ้นเสียจนคอตึง

 

หลี่หมิงรับใบสั่งยาจากมารดามาถือไว้ในมือ ก้มหน้ายอมรับผิดโดยไม่มีข้อแก้ตัว “ขอรับท่านแม่ ลูกเป็นคนทำผิดเอง เป็นลูกผู้ชายย่อมต้องกล้ายอมรับในสิ่งที่ตัวเองก่อขึ้น” 

“ดี วาจามั่นคง หลังเหยียดตึง กล้ายอมรับ สมกับเป็นลูกชายของข้า”

“เอาละเจ้าก็ไปได้แล้ว ส่วนเข่อซิงก็ให้เขานอนพักที่ห้องของหลี่หมิง เจ้าสองคนก็ให้เขานอนพักผ่อนเสียหน่อย พรุ่งนี้ยามเช้าเจ้าค่อยเข้ามาเยี่ยมเขาใหม่”

 

 

“เจ้าใหญ่เมื่อป้อนยาเข่อซิงแล้วเจ้ามาหาแม่ที่เรือน” นายหญิงใหญ่ของจวนท่านแม่ทัพว่าจบก็ไม่รอฟังคำตอบก็เดินจากไปทิ้งไว้เพียงบุตรชายคนโตที่ยังคงก้มหน้าทำความเคารพดังเดิม

 

หลังจากกลับมาจากร้านขายยา ข้าก็ลงมือเคี่ยวยาด้วยตนเอง ตามขั้นตอนที่ท่านหมอเว่ยบอก ใจก็นึกถึงเด็กน้อยที่นอนอยู่ในห้องของตน 

“หากข้าต้มยาไม่ดี ให้เขากินยาไม่ตรงเวลา...ก็จะส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์งั้นรึ อืม...เช่นนั้นข้าจะต้องบังคับเจ้าเด็กน้อยให้ดื่มยาตรงเวลา มิฉะนั้นจะคลอดเจ้าก้อนแป้งกลม ๆ ให้ข้าได้เช่นไรกัน” 

“คุณชายใหญ่” เสียงชายหนุ่มที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้หลี่หมิงตกใจจนเกือบจะทำหม้อยาหก

“อาเหม่า! นี่เจ้า เหตุใดถึงมาอยู่ตรงนี้ได้” 

“ขออภัยขอรับคุณชาย เพียงแต่ข้ายืนอยู่หน้าห้องครัวตั้งแต่ก่อนที่ท่านจะเข้ามาแล้วนะขอรับ อีกอย่างท่านก็เป็นผู้ที่ทักทายข้าก่อน เพราะเหตุนี้ท่านจะหาว่าข้ามาไม่ให้สุ่มให้เสียงได้อย่างไรขอรับ” อาเหม่าอธิบายอย่างละเอียดด้วยน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ พูดไร้อารมณ์เหมือนคนตายด้าน!

“พอ ๆ เจ้านี่นะ เมื่อไหร่จะเลิกบ่นเสียที บ่นตั้งแต่ข้ายังแบะเบาะจนข้าโตเป็นหนุ่ม เมื่อไหร่เจ้าจะรีบแต่งเมียเสียทีจะได้ไม่คอยมาว่าข้า หากเจ้าไม่รีบแต่งงานข้าก็จะโดนเจ้าว่ายันแก่เลยกระมัง”

 

          ผู้ใดกันแน่ที่ขี้บ่น ข้าว่าเป็นท่านเสียมากกว่า พูดอันใดเสียยืดยาว

“ขอรับข้าจะรีบหาภรรยาจะได้แต่งงานออกเรือน แต่ คุณชายขอรับนี่เป็นหน้าที่ของข้าแม้จะแต่งงานออกเรือนข้าก็ยังต้องคอยอยู่รับใช้คุณชายจนกว่าจะไร้ลมหายใจขอรับ”

“คำพูดของเจ้า ช่างน่าสยดสยองเสียยิ่งกว่าโดนผีหลอก” 

“คุณชายข้าขอพูดอะไรเสียหน่อยนะขอรับ”

“เจ้าว่ามาเถอะ”  หูที่ตั้งใจฟัง มือก็เคี่ยวยาด้วยความใส่ใจ ครั้งนี้จะว่าอะไรข้าอีกเล่า

อาเหม่าที่สูดลมหายใจเข้าออกอย่างเต็มปอด มือยกขึ้นประสานกัน 

“เมื่อสักครู่ข้าน้อยได้ยินสิ่งที่คุณชายพูด ข้าน้อยขอบังอาจกล่าวตักเตือนคุณชายสักเรื่อง แม้ว่านายท่านทั้งสองจะเอ็นดูเจ้าหนูเข่อซิงไม่น้อย แต่ไม่มีทางยอมรับบ่าวต่ำต้อยผู้หนึ่งให้ขึ้นมาเป็นลูกสะใภ้ได้หรอกนะขอรับ...”

 

เคร้ง!

          เสียงทัพพีที่กระทบกับหมอต้มยา 

“ข้า...ข้า..”

“คุณชายข้ารู้ว่าท่านชอบพอเจ้าหนูเข่อซิงไม่น้อย แต่ด้วยสถานะชนชั้นที่แตกต่างกันนั้น ท่านไม่มีทางทำให้เจ้าหนูหลุดพ้นตำแหน่งเมียบ่าวได้ขอรับ”

“ไม่! ข้าไม่มีทางยอมให้เข่อซิงเป็นเพียงเมียบ่าว”

“คุณชายเจ้าหนูนั้นยังเล็กนัก ปล่อยให้เขาได้เติบใหญ่โดยไร้คำติฉินนินทาเถิด ข้าไม่อยากให้ท่านให้ความหวังกับเขา ท่านก็รู้วาสนาของท่านมิได้ผูกไว้กับเขา เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่หาลือกันไว้แล้ว คุณหนูบ้านจางคงมิยอม หากรู้ว่าผู้ที่เป็นสามีของตนเองนั้นโปรดปรานบ่าวรับใช้สถานะต่ำต้อยมากกว่านางที่เป็นคุณหนูในห้องหอ หากท่านมิอยากทำให้เจ้าหนูเข่อซิงต้องรองรับความเจ็บช้ำ ก็จงตัดขาดความรู้สึกนั้นเถิดขอรับ”


 


[1]หนึ่งชั่วยาม คือ สองชั่วโมง