น้องสาวของผมเปลี่ยนไป อะไรที่ไม่ชอบทำก็กลายเป็นชอบทำ อะไรที่เคยทำก็จำไม่ได้ ราวกับว่า…มีใครบางคนอยู่ในร่างน้องสาวของผม แต่ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในจะเป็นใคร มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!
แฟนตาซี,ครอบครัว,ตลก,ดราม่า,slice of life,ไม่มีนางเอก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!น้องสาวของผมเปลี่ยนไป อะไรที่ไม่ชอบทำก็กลายเป็นชอบทำ อะไรที่เคยทำก็จำไม่ได้ ราวกับว่า…มีใครบางคนอยู่ในร่างน้องสาวของผม แต่ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในจะเป็นใคร มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!
หลังจากน้องสาวที่ป่วยหนักฟื้นขึ้นมา นิสัยของเธอก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย
ของกินที่ชอบก็ลายเป็นไม่ชอบ จากที่ซนเป็นลิงก็กลายเป็นเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ การพูดจา เสื้อผ้าที่ใส่ นิสัยแย่ ๆ ที่ชอบเผลอทำก็เปลี่ยนไปด้วย
ไม่สิ…ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ นอกจากชื่อของเธอเองและชื่อของคนในครอบครัวแล้ว เธอจำอะไรไม่ได้เลย
ทั้ง ๆ ที่ต้องถามหลายเรื่องเอาจากพี่ ๆ เมด แต่กลับยังแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ
แกล้งทำเป็นรู้จักผม ทำเป็นรู้จักท่านพ่อท่านแม่ แถมยังแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ด้วยการบอกว่าตัวเองมาจากอนาคต
ไม่ว่าหน้าตาของเธอจะเป็นยังไง ไม่ว่ารอยแผลบนมือจะเป็นพิมพ์เดียวกับที่ผมจำได้แค่ไหน
นี่ไม่ใช่น้องสาวของผม
มีใครบางคนกำลังสวมร่างน้องสาวของผมอยู่
ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในจะเป็นใคร มีจุดประสงค์อะไรก็ช่าง
มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!
( นิยายรายสัปดาห์ หลังครบ 6 ตอน จะอัพทุกวันศุกร์หนึ่งทุ่มค่ะ )
หลังจากน้องสาวที่ป่วยหนักฟื้นขึ้นมา นิสัยของเธอก็ดูจะเปลี่ยนไปนิดหน่อย
แม้ว่าพายุเมฆครึ้มดำที่กดทับตอนเธอสลบไม่ได้สติจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ผมกลับรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย
จากที่เคยชอบบราวนี่มากๆ ตอนนี้กลับทานเข้าไปแค่คำเดียว ก่อนจะทิ้งเจ้าบราวนี่ให้นอนร้องไห้ลำพังอยู่บนโต๊ะ แล้วหันไปทานมาการองของผมที่เธอเคยบ่นว่าหวานตัดขาอะไรนั่นแทน
ถึงผมจะไม่รู้ว่าทำไมหวานแล้วถึงต้องตัดขาก็เถอะ
ที่บ่นงึมงำในใจอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะผมอยากกินมาการองหรอกนะ จริงๆ
แล้วก็ไม่ได้เสียใจที่เธอจำไม่ได้ว่ามาการองเป็นขนมอย่างเดียวบนโต๊ะที่ผมทานได้ด้วย
ก็บนนี้มีแต่ขนมที่เธอไปกำกับควบคุมพวกพ่อครัวให้ทำออกมาหวานน้อยเอย รักสุขภาพเอย ตามใจเธอทั้งนั้น
แต่มันไม่อร่อยสำหรับผมน่ะสิ ฮือ
พอหายป่วยแล้ว ของที่ชอบทานก็เปลี่ยนไปด้วยเหรอ…
ผมได้แต่มองคุณน้องสาวตาปริบๆ
ถึงจะเสียใจนิดหน่อย แต่ผมไม่ใช่พี่ชายจอมเอาแต่ใจนะ จะแย่งขนมจากน้องสาวที่ทานจนแก้มตุ่ยได้ยังไง
อีกอย่าง ถ้าบอกไปว่าขนมที่ยัยตัวแสบตั้งอกตั้งใจคิดขึ้นมาไม่อร่อย มีหวังเธอเสียใจแย่ ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ
ก็ผมอยากเป็นพี่ชายที่อบอุ่นอ่อนโยนนี่นา
.
.
.
นอกจากของที่ชอบทานจะเปลี่ยนไปแล้ว ลิเลียนยังมีอาการหลงๆ ลืมๆ อีกด้วย
หลังจากน้องสาวฟื้นจากอาการป่วยได้ครึ่งวัน ขณะที่ผมเลือกขี้ผึ้งประทับตราจดหมายว่าจะใช้สีเหลือง สีชมพู หรือสีเขียวดี พี่เมดของลิเลียนก็วิ่งมาเคาะประตูห้อง พลางกระซิบกระซาบว่าคุณน้องสาวหาห้องน้ำไม่เจอ ซ้ำร้ายคุณแม่บ้านที่รู้ว่าห้องน้ำอยู่ไหนดันออกไปจ่ายตลาดพอดี
ผมได้แต่ทำหน้างงงวย
ไม่รู้ว่าห้องน้ำที่เธอทุ่มทุนทุ่มแรงสร้างแทบเป็นแทบตายอยู่ไหนเนี่ยนะ ตอนสลบไปเธอต้องทำสมองหล่นหายแน่ ลิเลียนคนที่เคยกอดสายฉีดกับชักโครกคอห่านร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรคนนั้นน่ะนะ ลืมว่าห้องน้ำอยู่ตรงไหน???
“หาห้องน้ำไม่เจอเหรอ ห้องน้ำสุดที่รักของเราน่ะนะ? ก็อยู่ในห้องเราน่ะสิ จะอยู่ที่ไหนได้อีกล่ะ”
ผมว่าพลางจูงมือเธอไปหากระจกเต็มตัวบานใหญ่ในห้อง
คุณเมดจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ตัวเองน่ะขี้อายจะตาย ไม่มีทางให้คุณเมดตามเข้าไปปรนนิบัติถึงในนั้นหรอก
ตั้งแต่เดินได้ลิเลียนก็ไม่ยอมให้คุณเมดอาบน้ำให้แล้ว แต่ท่านพ่อท่านแม่จะยอมให้ยัยตัวจิ๋วที่เดินก็ยังไม่แข็งอาบเองได้ยังไงล่ะ คนที่ต้องอาบให้เบบี๋ลิเลียนก็เลยเป็นทั้งสองท่านสลับกันอาบให้แทน
ถึงพออายุห้าขวบจะอาบน้ำเองได้แล้วก็เถอะ เจ้าตัวบอกว่าเด็กโตแล้วจะต้องมีสิทธิ์ขาดในเรือนร่างอรชรของตัวเอง โดยไม่ให้ใครจ้องมองนอกจากตัวเธอเท่านั้น
โตแล้วอะไรกัน หัวยังสูงไม่พ้นตุ๊กตาหมีเลย
ตัวเท่าหัวไชเท้าแท้ๆ ไปหาคำประหลาดพิสดารที่คนเขาไม่ใช้กันแล้วพวกนั้นจากไหนกันเนี่ย คำว่าอรชรนี่ผมไม่เคยได้ยินออกมาจากปากคนเลยนะ สงสัยจนต้องไปเปิดหาความหมายในห้องสมุดแน่ะ
“ไหนเราบอกเองว่าอยากได้ฟีลแบบห้องลับเลยทำประตูให้เป็นกระจกจะได้เนียนๆ ไง ทำไมถึงหาไม่เจอซะเองล่ะ ถึงพี่จะไม่เข้าใจว่าทำไมห้องลับถึงต้องเป็นห้องน้ำก็เถอะ”
ผมว่าพลางดันประตูห้องน้ำให้เลื่อนไปข้างๆ พลางนึกถึงห้องลับที่เธออาสาทำให้ผม (เป็นหนูทดลองก่อนไปทำห้องตัวเอง) สุดท้ายก็กลายเป็นห้องสำหรับงีบหลับ
เธอยังแอบเอาตุ๊กตาหมีตัวเท่าคนเข้าไปไว้ในห้องด้วย รู้ได้ยังไงกันนะว่าผมอยากได้คุณหมี ต้องเป็นตอนที่เข้าเมืองไปซื้อของด้วยกันแน่ๆ เจ้าเด็กแสบ
หลังจากส่งเจ้าหญิงน้อยเข้าห้องน้ำไปแล้ว ผมก็กลับมาเลือกขี้ผึ้งต่อ
แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่มีสมาธิเอาเสียเลย ได้แต่หยิบๆ วางๆ อยู่อย่างนั้น
.
.
.
พอนึกย้อนไปแล้ว วันที่ลิเลียนฟื้นเป็นวันที่ผมกลับมาถึงบ้านพอดี
หัวใจของผมที่เหมือนโดนผูกอยู่กับเส้นบะหมี่บางๆ แล้วถูกลมพัดแกว่งไปมาอยู่ริมผาตลอดทั้งสัปดาห์ ถูกดึงขึ้นจากขอบเหวในวินาทีที่เธอลืมตาตื่นขึ้น
คุณน้องสาวฟื้นขึ้นมาด้วยสภาพเหมือนคนไม่เคยป่วยหนักมาก่อน พอลืมตาปุ๊บก็ทำหน้าช็อก ผมเห็นแล้วก็เดาว่าเป็นเพราะฝันถึงจุดไคลแมกซ์แล้วดันตื่นกลางคันอีกแหง ก็เลยลูบหัวเธอเบาๆ
“ลิเลียน ฟื้นแล้วรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
ท่านแม่กัดผ้าเช็ดหน้าร้องไห้กระซิกๆ ดูท่าทางสะเทือนใจหนักมาก ก็ไม่แปลกหรอก ผมเองก็ตกใจมากเหมือนกัน ตั้งแต่เล็กจนโตลิเลียนไม่เคยป่วยเลยนี่นา แถมป่วยครั้งนี้ยังนอนไม่ได้สติตั้งสัปดาห์หนึ่งอีกต่างหาก
พอตื่นปุ๊บท้องเธอก็ร้องประท้วงเสียงดังสนั่น พวกคุณเมดเลยยกอาหารอ่อนมาให้ลิเลียน พอเจ้าตัวชิมเข้าไปคำเดียวก็ทำหน้าเหมือนโลกแตกใส่ชามซุป
ผมว่าเธอคงคาดหวังจะตื่นมาเจอชามข้าวต้มล่ะมั้ง แต่ทำยังไงได้ รวงข้าวของปีนี้ยังเขียวอยู่เลย แถมข้าวของปีก่อนเธอก็กินหมดเกลี้ยงไปตั้งแต่สามเดือนที่แล้ว
หลังจากนั้นผมเลยแอบไปกระซิบถามคุณลุงหมอว่าให้ลิเลียนทานขนมได้หรือเปล่า
คุณลุงใช้พลังตรวจดูร่างกายคร่าว ๆ สองสามที ก่อนจะบอกว่าทานอะไรก็ได้ทั้งนั้นล่ะตอนนี้ สภาพเหมือนไม่เคยป่วยมาก่อน
ผมขอบคุณคุณลุงก่อนจะหันไปบอกพี่ๆ คนรับใช้ให้เตรียมขนมมาปลอบใจสาวน้อยบางคน
ใช่ครับ นั่นคือบ่ายวันที่ลิเลียนเอาน้องมาการองของผมไป กระซิก
.
.
.
หลังจากน้องสาวของผมฟื้นขึ้นมาได้ครึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน ผมก็เริ่มสังเกตเห็นบางอย่าง
อาจเป็นเพราะเธอล้มป่วยในช่วงที่ผมเดินทางออกจากเมืองได้เกือบสัปดาห์หนึ่งพอดี ทำให้กลับมาเฝ้าไข้เธอไม่ทัน หลังจากผมรีบรุดกลับมาถึงได้ไม่นาน เธอก็หายป่วยแล้ว
ตอนแรกที่เธอฟื้นขึ้นมา ผมยังไม่ค่อยมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ ก็เลยไม่ทันได้สังเกต
แต่พอหลับไปตื่นหนึ่ง ก็เหมือนจะพอรู้ตัวแล้วว่าทำไมรู้สึกแปลกไป
หรือว่าผมจะโดนงอนเข้าแล้ว
ปกติลิเลียนตัวแสบ พอเห็นผมถ้าไม่มากอด มาอ้อน มาคลอเคลียนัวเนีย ก็ต้องมาทำตาปิ๊งๆ ใส่ผมพลางร้องมิ้วๆ ว่าอิลจ๋า ขอตังค์หน่อย ขอตังค์หน่อย หนูจะเอาไปทำอันนั้นอันนี้ ตอนอยู่หน้าท่านพ่อท่านแม่ถึงจะทำตัวสง่างามให้สมเป็นคุณหนูขึ้นมาบ้าง ไม่อย่างนั้นจะโดนดุเอา ถึงพวกท่านจะดุพอเป็นพิธีเฉยๆ ก็เถอะ เพราะสุดท้ายเธอก็ร้องมิ้วๆ ใส่ทั้งสองท่านอยู่ดี
แต่ผมดุไม่ลงหรอก น้องสาวผมน่ารักขนาดนี้นี่นา ตอนที่กำลังอ้อนสุดชีวิตก็น่ารักมากเลยด้วย
แต่ตั้งแต่ผมกลับมา แม้แต่ชายเสื้อผมลิเลียนยังไม่แตะเลย
ผมเหมือนโดนฟ้าผ่าเปรี้ยงกลางหัว
หรือนี่คือความรู้สึกของคนที่น้องไม่รัก
ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว! ผมคิดพลางลุกพรวด รีบไปหาของมาง้อน้องสาวตัวน้อย
.
.
.
ผมง้อลิเลียนไม่สำเร็จครับ ฮือออ
ทั้งๆ ที่เดินถือถุงเงินร่อนไปร่อนมาตั้งหลายรอบแล้วแท้ๆ แต่เธอกลับไม่สนใจเลยสักนิด แถมยังถูกคุณเมดไล่ออกมาจากห้องเพราะว่าลิเลียนจะแต่งตัวอีก
เธอน่ะเหรอแต่งตัว! คนที่เดินร่อนทั่วคฤหาสน์ทั้งชุดนอนได้เป็นสัปดาห์อย่างเธอน่ะเหรอ!
ปกติแล้วเงินถุงใหญ่ขนาดนี้ แค่ได้ยินเสียงเหรียญกระทบกัน ต่อให้เธออยู่สุดปลายอีกฝั่งของคฤหาสน์ก็ต้องวิ่งหน้าตั้งมาหาผมแล้วแท้ๆ นี่นอกจากจะไม่ชายตาแลแล้วยังไล่ผมออกมาอีก!
พอผมบอกว่าขอโทษที่ไม่ได้อยู่ด้วยตอนที่ป่วย เธอก็ยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็นไร
แต่มันไม่ปกติ!
ไม่มีทางหรอกที่ลิเลียนตัวแสบจะทำตัวแบบนี้
ผมนึกว่าเธอหัวกระแทกจนความจำเสื่อม แต่เธอก็ยังจำผม จำคุณพ่อคุณแม่ได้
ผมไปตามหาคุณหมอเพื่อถามอีกครั้ง เขาก็ยังคงยืนยันคำเดิมว่าร่างกายของลิเลียนไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ และเป็นไปไม่ได้ที่จะความจำเสื่อม ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอไม่มีร่องรอยบุบสลายตรงไหนทั้งสิ้น
ผมได้แต่ยอมรับตามนั้น เพราะในหมู่หมอด้วยกัน คุณลุงถือว่าเป็นหนึ่งในคนที่เก่งที่สุด และเขาเองก็เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง คอยช่วยเลี้ยงทั้งผมทั้งลิเลียนมาตั้งแต่ตัวนิดเดียว ไม่มีทางที่จะปล่อยให้เธอเป็นอะไรไปแน่นอน
ถ้าอย่างนั้น เกิดอะไรขึ้นกับลิเลียนกันแน่
ผมยังไม่ทันได้หาคำตอบ ก็มีคุณพ่อบ้านมาแจ้งว่าท่านพ่อเรียกพบเสียก่อน
.
.
.
หลังจากเดินวนไปหาอะไรทานที่ครัวมาหนึ่งรอบใหญ่เพราะลืมทานอาหารเช้า ผมถึงได้นวยนาดมาหาท่านพ่อ
แล้วก็ต้องรอต่ออีกพักใหญ่ก่อนที่ประตูจะเปิดออก
“กะแล้วว่าเจ้าเด็กนี่ต้องเถลไถลแน่…”
ข้างในห้อง ท่านพ่อกำลังบ่นอุบอยู่กับองครักษ์
“ผมได้ยินนะ”
“คิดว่าพูดให้ใครฟังล่ะ เจ้าเด็กดื้อ!”
ท่านพ่อกอดอกตีหน้าขึงขัง
ผมหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะมองจดหมายที่ท่านพ่อถือ นี่คือ…
“หัวเมืองเหนือส่งจดหมายสอบถามเรื่องการเดินทางของลูกมาน่ะ”
พอได้ยินประโยคนี้ผมก็ค่อยนึกออกว่าตอนที่สติหลุดหลังได้ยินข่าวของลิเลียน ผมทำอะไรลงไปบ้าง
“ตอนที่ได้ข่าวว่าลิเลียนล้มป่วย ลูกส่งจดหมายไปแจ้งทางนั้นแล้วว่าการเดินทางน่าจะล่าช้าสักหน่อยเนื่องจากกลับมาหาลิเลียนครับ”
“ทางนั้นไม่ได้ส่งมาบังคับให้ลูกไปหรอก แต่แจ้งว่าไม่จำเป็นต้องมาช่วยแล้ว ให้อยู่ดูแลลิเลียนก่อน”
ท่านพ่อว่าพลางพลิกจดหมายให้ผมเห็นตราประทับหน้าตาคุ้นเคย
“นั่นยิ่งไม่ได้ใหญ่เลยครับ ไม่ว่ายังไงลูกก็อยากไปให้ได้”
ไม่ใช่เพราะแค่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเมือง แต่เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งเป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่รู้อยู่ในสนามรบที่หัวเมืองเหนือนั้น แถมเจ้านั่นยังเป็นโรคใจอ่อนระยะสุดท้าย ถ้าผมไม่จับตามองก็ไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองไปข้องเกี่ยวกับปัญหาสารพันอะไรอีก
“ไม่ว่าลูกจะเลือกไปหรือไม่ไปพ่อก็ไม่ห้ามหรอก แต่ดูเหมือนจะมีคนไม่เห็นด้วยอยู่นะ”
ท่านพ่อว่าแล้วก็ผายมือไปที่ประตู
พอผมหันหลังก็เจอกับลิเลียนที่ยืนอิงแอบอยู่ตรงนั้น
มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย… ว่าแต่ทำไมใส่เดรส ปกติใส่แต่กางเกงไม่ใช่เหรอ
อย่าบอกนะว่าเอาชุดกองไว้บนโซฟาอีกแล้ว มีแต่ชุดในตะกร้านะที่พี่เมดจะเอาไปซักให้ ยัยเด็กซกมก!
ไม่สิ เธอนอนป่วยในชุดนอนมาทั้งสัปดาห์แล้วไม่ใช่หรือไง
ในหัวผมเต็มไปด้วยคำถาม
“ท่านพี่ ข้าขอคุยด้วยได้ไหมคะ”
ลิเลียนว่าพลางเข้ามาจับแขนเสื้อของผม
ไม่รู้ทำไม แต่ผมรู้สึกราวกับหัวใจร่วงหล่นลงไปในธารน้ำแข็ง
ความผิดแปลกบางอย่างที่ผมสัมผัสได้ตลอดช่วงเวลาที่เธอตื่นขึ้นมา ในที่สุดก็ถูกทับซ้อนจนกลายเป็นเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า
ลิเลียนไม่เคยเรียกผมว่าท่านพี่
ผมมองดูเธอ
แต่ยิ่งสังเกตดูใกล้ๆ ก็ยิ่งรู้สึกราวกับไม่เคยเห็นคนตรงหน้ามาก่อน
บนลำคอของเธอมีเครื่องประดับวิบวับแวววาว ที่กี่ครั้งต่อกี่ครั้งลิเลียนก็อ้างว่าจะเก็บไว้ใส่ในงานเดบูตองต์แล้วโยนทิ้งไว้ให้ฝุ่นจับในกล่องเครื่องประดับเสมอ
ที่หูของเธอประดับด้วยจี้ที่ทำจากมรกตเป็นรูปใบไม้สีเขียวกลมมนใบน้อย
เหมือนผมได้ยินเสียงของลิเลียนดังแว่วอยู่ข้างหู
‘ต่างหูน่ะเหรอคะ น่ากลัวจะตายไป! หนูไม่เจาะหูหรอกนะ! เข็มก็ไม่สเตอร์ไรด์ เกิดหูน้อย ๆ ของหนูติดเชื้อขึ้นมาจะทำยังไง!’
ตอนที่ตะโกนประโยคนี้ลิเลียนก็ปิดหูสองข้างลงไปดิ้นที่พื้นสุดกำลัง จนสุดท้ายท่านแม่ก็ยอมแพ้แล้วยัดต่างหูทั้งหลายไว้มุมไหนสักมุมของห้อง
ผมยิ้มบาง ๆ แล้วถามเธอ
“เรายอมเจาะหูแล้วเหรอ ถ้าท่านแม่เห็นจะต้องดีใจมากแน่ ๆ”
เธอชะงัก ก่อนจะแตะหูแล้วยิ้มด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
“น้องขอให้เมดเจาะหูให้ค่ะ เห็นว่าท่านแม่ซื้อต่างหูมาเยอะแยะแต่หนูไม่เคยลองใส่เลย ดูไม่ขัดตาท่านพี่ใช่ไหมคะ” เธอว่าแล้วเอียงตัวให้ผมดูมรกตเม็ดน้อย
แสงแดดที่ลอดผ่านกระจกมาตกกระทบอัญมณีเม็ดนั้นสะท้อนในดวงตาของผม
“ไม่เลย เหมาะมาก น้องสาวพี่สวยที่สุดอยู่แล้ว”
‘แน่นอนค่ะ เพราะว่าหนูสวยมาก!’
“ชมเกินไปแล้วค่ะท่านพี่” เธอยิ้มหวาน
ผมยิ้มตอบ เหลือมมองมือที่ยกขึ้นมา
ที่นิ้วชี้กับข้อมือยังมีแผลเป็นอยู่
ถ้าอย่างนั้นทำไมเธอถึง…
“…พี่ว่าเราไปห้องอื่นกันเถอะ เดี๋ยวจะรบกวนการทำงานของท่านพ่อเอา” ผมว่าพลางปิดประตู
ขณะที่กำลังเดินไปห้องข้าง ผมก็เห็นผมยาวถึงกลางหลังสีน้ำตาลของเธอพลิ้วไหวตามจังหวะก้าวเดิน
‘ไม่รู้ว่าพวกพี่สาวคนสวยทนปล่อยผมสยายทั้งวันได้ยังไง ร้อนขนาดนี้ ถ้าหนูปล่อยตามมีหวังโดนอบตายแหงๆ !’
ผมรู้สึกเหมือนกำลังเล่นเกมจับผิดภาพ แต่ภาพนี้มีจุดที่ต่างเยอะเหลือเกิน ไม่ว่าตรงไหนก็น่าเอาปากกาไปวงทั้งนั้น
“ชุดนี้เหมาะกับเราดีนะ”
ผมแทบจะฝืนคงรอยยิ้มบนหน้าเอาไว้ไม่ไหว
“ท่านพี่พูดเหมือนลีอาเลยค่ะ ข้ารู้สึกว่าชุดนี้สวยมากก็เลยลองใส่ดู”
เธอพูดพลางหมุนตัวให้ชายเดรสปักลายสีขาวสะบัดพลิ้ว
ปกคอและชายแขนเสื้อมีระบายของเธอถูกถักเป็นลูกไม้ลวดลายวิจิตร
‘หนูล่ะไม่ชอบลูกไม้พวกนี้เลย ใส่กี่ที ๆ ก็คันคะเยอไปหมด! เกาจนแขนแดงหมดแล้วเนี่ย! คอยดูนะ เดี๋ยวจะเอาไปบริจาคให้หมดเลย!’
ถ้าเธอทำข้อสอบตอนนี้จะต้องสอบตกแน่
มีคำถามสิบข้อ เธอก็คงเป็นพวกกาหลบข้อถูกหมดทั้งสิบข้อแล้วได้ไข่ต้มไปกิน
.
.
.
พอพวกเราเข้ามาอยู่ในห้องข้าง เธอก็หันซ้ายหันขวาก่อนจะปิดล๊อกประตูแล้วกลับมาเผชิญหน้ากับผม
“ข้ามีเรื่องจะบอกกับท่านพี่ค่ะ”
เธอพูดด้วยท่าทางประหม่า
“ที่จริงแล้ว ข้า…. ข้ามาจากอนาคตค่ะ อนาคตที่ไม่มีท่านพี่อีกแล้ว”
ตัวของเธอสั่นเทาขึ้นเรื่อยๆ จนผมมองเห็นชายเสื้อสั่นไหว
มือสองข้างของเธอขยับยุกยิกอยู่กลางหน้าอก
เวลาที่ลิเลียนประหม่า เธอจะชอบเอามือไปซ่อนไว้ด้านหลัง … ผมแค่พูดลอย ๆ น่ะ
อนาคตแบบไหนกันนะ ที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
“ท่านพี่อย่าไปเลยนะคะ ถ้าหากว่าท่านพี่ไป จะต้องจบชีวิตลงที่นั่นแน่นอน”
สาวน้อยเอ่ยประโยคนั้นด้วยเสียงสั่นเครือ
ตอนที่เห็นเธอร้องไห้ หัวใจของผมก็เจ็บปวด
“ท่านพี่อย่าไปเลยนะคะ น้องขอร้องท่าน โลกที่ไม่มีท่านพี่ มันทำให้น้องเจ็บปวดมากเหลือเกิน”
หญิงสาวว่าพลางใช้หลังมือซับน้ำตาที่ร่วงพรูลงมาราวกับหยาดฝน
…ไม่ว่ามองมุมไหนก็ไม่เหมือนกันเลยสักนิด
ถ้าลิเลียนที่ผมรู้จักร้องไห้ต่อหน้าคนในบ้านละก็ ไม่ว่าทำยังไงก็หยุดสูดน้ำมูกดังฟืดฟาดไม่ได้ แถมยังต้องทำหน้าบู้บี้เหมือนลูกบ๊วยตากแห้งอีกต่างหาก
โลกของผมเริ่มพร่ามัว
ผมเดาไม่ออกเลยว่าเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็นใคร ลิเลียนจากอนาคตอันแสนไกล น้องสาวของผมที่เปลี่ยนนิสัย หรือเป็นใครก็ไม่รู้ที่ทำตัวเหมือนกับเธอ มีใบหน้าแบบเดียวกับเธอกันแน่
แต่ความรู้สึกที่ผมได้สัมผัส และทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมองเห็นตลอดเวลาที่เธอตื่นขึ้นมานี้ กลับไม่เหมือนลิเลียนคนเดิมที่ผมรู้จักเลยสักเสี้ยวเดียว
ผมข่มความหวาดกลัวที่กำลังกัดกินตัวเองจากภายใน แล้วกุมมือของเธอเอาไว้
ผมหลุบตามอง
นื่คือมือของลิเลียนไม่ผิดแน่
มือเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยแผลเป็นน้อยใหญ่ มือที่ผมจับมาตลอดสิบสามปี
ถ้าร่างกายของเธอเหมือนเดิมทุกอย่าง ชนิดที่แม้แต่คุณลุงหมอที่คอยดูแลเธอมาตลอดหลายปียังมองไม่เห็นความแตกต่าง
แล้วข้างในของเธอล่ะ… ยังเป็นคนเดิมอยู่ไหม
“เข้าใจแล้วล่ะ เห็นเธอเป็นแบบนี้ พี่ก็ไม่สบายใจที่จะจากไปเลยจริงๆ”
ผมพยักหน้า พยายามปลอบประโลมหัวใจที่สั่นระรัวให้นิ่งสงบ
ผมยังตายไม่ได้หรอก
โลกที่ไม่มีผมมันช่างเจ็บปวดเหลือเกินอย่างนั้นหรือ
ก็คงไม่เจ็บปวดสำหรับเลดี้ผู้นี้เท่าไหร่กระมัง
ในเมื่อเธอไม่ใช่ลิเลียนของผม