น้องสาวของผมเปลี่ยนไป อะไรที่ไม่ชอบทำก็กลายเป็นชอบทำ อะไรที่เคยทำก็จำไม่ได้ ราวกับว่า…มีใครบางคนอยู่ในร่างน้องสาวของผม แต่ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในจะเป็นใคร มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!

ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย! - 1 เป็นเธอที่เปลี่ยนไป หรือใครที่เปลี่ยนเธอ โดย mollowish @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ครอบครัว,ตลก,ดราม่า,slice of life,ไม่มีนางเอก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ครอบครัว,ตลก,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

slice of life,ไม่มีนางเอก

รายละเอียด

ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย! โดย mollowish @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

น้องสาวของผมเปลี่ยนไป อะไรที่ไม่ชอบทำก็กลายเป็นชอบทำ อะไรที่เคยทำก็จำไม่ได้ ราวกับว่า…มีใครบางคนอยู่ในร่างน้องสาวของผม แต่ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในจะเป็นใคร มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!

ผู้แต่ง

mollowish

เรื่องย่อ

หลังจากน้องสาวที่ป่วยหนักฟื้นขึ้นมา นิสัยของเธอก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย




ของกินที่ชอบก็ลายเป็นไม่ชอบ จากที่ซนเป็นลิงก็กลายเป็นเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ การพูดจา เสื้อผ้าที่ใส่ นิสัยแย่ ๆ ที่ชอบเผลอทำก็เปลี่ยนไปด้วย




ไม่สิ…ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ นอกจากชื่อของเธอเองและชื่อของคนในครอบครัวแล้ว เธอจำอะไรไม่ได้เลย




ทั้ง ๆ ที่ต้องถามหลายเรื่องเอาจากพี่ ๆ เมด แต่กลับยังแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ




แกล้งทำเป็นรู้จักผม ทำเป็นรู้จักท่านพ่อท่านแม่ แถมยังแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ด้วยการบอกว่าตัวเองมาจากอนาคต




ไม่ว่าหน้าตาของเธอจะเป็นยังไง ไม่ว่ารอยแผลบนมือจะเป็นพิมพ์เดียวกับที่ผมจำได้แค่ไหน




นี่ไม่ใช่น้องสาวของผม




มีใครบางคนกำลังสวมร่างน้องสาวของผมอยู่




ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในจะเป็นใคร มีจุดประสงค์อะไรก็ช่าง




มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!




( นิยายรายสัปดาห์ หลังครบ 6 ตอน จะอัพทุกวันศุกร์หนึ่งทุ่มค่ะ )



สารบัญ

ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!-1 เป็นเธอที่เปลี่ยนไป หรือใครที่เปลี่ยนเธอ,ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!-2 เรื่องเก่ายังไม่ทันผ่านพ้นไป เรื่องใหม่ก็พากันถาโถมเข้ามา,ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!-3 ลมสงบก่อนพายุจะเข้าอะไร ทำไมเห็นแต่สึนามิซัดโครมคราม,ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!-4 ใครที่เป็นคนเอาไป คนนั้นแหละต้องเอามาคืน,ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!-5 จากอสูรกายใต้เตียง ดันกลายเป็นลูกเจี๊ยบเปียกๆ มอมๆ,ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!-6 ฉันก็เหมือนเธอ เธอก็เหมือนฉัน พวกเราเหมือนกัน,ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!-7 สดใสดุจแสงสกาว พร่างพราวราวฤดูใบไม้ผลิ

เนื้อหา

1 เป็นเธอที่เปลี่ยนไป หรือใครที่เปลี่ยนเธอ





หลังจากน้องสาวที่ป่วยหนักฟื้นขึ้นมา นิสัยของเธอก็ดูจะเปลี่ยนไปนิดหน่อย 






แม้ว่าพายุเมฆครึ้มดำที่กดทับตอนเธอสลบไม่ได้สติจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ผมกลับรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย 






จากที่เคยชอบบราวนี่มากๆ ตอนนี้กลับทานเข้าไปแค่คำเดียว ก่อนจะทิ้งเจ้าบราวนี่ให้นอนร้องไห้ลำพังอยู่บนโต๊ะ แล้วหันไปทานมาการองของผมที่เธอเคยบ่นว่าหวานตัดขาอะไรนั่นแทน 






ถึงผมจะไม่รู้ว่าทำไมหวานแล้วถึงต้องตัดขาก็เถอะ 






ที่บ่นงึมงำในใจอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะผมอยากกินมาการองหรอกนะ จริงๆ 






แล้วก็ไม่ได้เสียใจที่เธอจำไม่ได้ว่ามาการองเป็นขนมอย่างเดียวบนโต๊ะที่ผมทานได้ด้วย 






ก็บนนี้มีแต่ขนมที่เธอไปกำกับควบคุมพวกพ่อครัวให้ทำออกมาหวานน้อยเอย รักสุขภาพเอย ตามใจเธอทั้งนั้น 






แต่มันไม่อร่อยสำหรับผมน่ะสิ ฮือ 






พอหายป่วยแล้ว ของที่ชอบทานก็เปลี่ยนไปด้วยเหรอ… 






ผมได้แต่มองคุณน้องสาวตาปริบๆ 






ถึงจะเสียใจนิดหน่อย แต่ผมไม่ใช่พี่ชายจอมเอาแต่ใจนะ จะแย่งขนมจากน้องสาวที่ทานจนแก้มตุ่ยได้ยังไง 






อีกอย่าง ถ้าบอกไปว่าขนมที่ยัยตัวแสบตั้งอกตั้งใจคิดขึ้นมาไม่อร่อย มีหวังเธอเสียใจแย่ ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ 






ก็ผมอยากเป็นพี่ชายที่อบอุ่นอ่อนโยนนี่นา 





















นอกจากของที่ชอบทานจะเปลี่ยนไปแล้ว ลิเลียนยังมีอาการหลงๆ ลืมๆ อีกด้วย 






หลังจากน้องสาวฟื้นจากอาการป่วยได้ครึ่งวัน ขณะที่ผมเลือกขี้ผึ้งประทับตราจดหมายว่าจะใช้สีเหลือง สีชมพู หรือสีเขียวดี พี่เมดของลิเลียนก็วิ่งมาเคาะประตูห้อง พลางกระซิบกระซาบว่าคุณน้องสาวหาห้องน้ำไม่เจอ ซ้ำร้ายคุณแม่บ้านที่รู้ว่าห้องน้ำอยู่ไหนดันออกไปจ่ายตลาดพอดี 






ผมได้แต่ทำหน้างงงวย 






ไม่รู้ว่าห้องน้ำที่เธอทุ่มทุนทุ่มแรงสร้างแทบเป็นแทบตายอยู่ไหนเนี่ยนะ ตอนสลบไปเธอต้องทำสมองหล่นหายแน่ ลิเลียนคนที่เคยกอดสายฉีดกับชักโครกคอห่านร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรคนนั้นน่ะนะ ลืมว่าห้องน้ำอยู่ตรงไหน??? 






“หาห้องน้ำไม่เจอเหรอ ห้องน้ำสุดที่รักของเราน่ะนะ? ก็อยู่ในห้องเราน่ะสิ จะอยู่ที่ไหนได้อีกล่ะ” 






ผมว่าพลางจูงมือเธอไปหากระจกเต็มตัวบานใหญ่ในห้อง 






คุณเมดจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ตัวเองน่ะขี้อายจะตาย ไม่มีทางให้คุณเมดตามเข้าไปปรนนิบัติถึงในนั้นหรอก 






ตั้งแต่เดินได้ลิเลียนก็ไม่ยอมให้คุณเมดอาบน้ำให้แล้ว แต่ท่านพ่อท่านแม่จะยอมให้ยัยตัวจิ๋วที่เดินก็ยังไม่แข็งอาบเองได้ยังไงล่ะ คนที่ต้องอาบให้เบบี๋ลิเลียนก็เลยเป็นทั้งสองท่านสลับกันอาบให้แทน 






ถึงพออายุห้าขวบจะอาบน้ำเองได้แล้วก็เถอะ เจ้าตัวบอกว่าเด็กโตแล้วจะต้องมีสิทธิ์ขาดในเรือนร่างอรชรของตัวเอง โดยไม่ให้ใครจ้องมองนอกจากตัวเธอเท่านั้น 






โตแล้วอะไรกัน หัวยังสูงไม่พ้นตุ๊กตาหมีเลย 






ตัวเท่าหัวไชเท้าแท้ๆ ไปหาคำประหลาดพิสดารที่คนเขาไม่ใช้กันแล้วพวกนั้นจากไหนกันเนี่ย คำว่าอรชรนี่ผมไม่เคยได้ยินออกมาจากปากคนเลยนะ สงสัยจนต้องไปเปิดหาความหมายในห้องสมุดแน่ะ 






“ไหนเราบอกเองว่าอยากได้ฟีลแบบห้องลับเลยทำประตูให้เป็นกระจกจะได้เนียนๆ ไง ทำไมถึงหาไม่เจอซะเองล่ะ ถึงพี่จะไม่เข้าใจว่าทำไมห้องลับถึงต้องเป็นห้องน้ำก็เถอะ” 






ผมว่าพลางดันประตูห้องน้ำให้เลื่อนไปข้างๆ พลางนึกถึงห้องลับที่เธออาสาทำให้ผม (เป็นหนูทดลองก่อนไปทำห้องตัวเอง) สุดท้ายก็กลายเป็นห้องสำหรับงีบหลับ 






เธอยังแอบเอาตุ๊กตาหมีตัวเท่าคนเข้าไปไว้ในห้องด้วย รู้ได้ยังไงกันนะว่าผมอยากได้คุณหมี ต้องเป็นตอนที่เข้าเมืองไปซื้อของด้วยกันแน่ๆ เจ้าเด็กแสบ 






หลังจากส่งเจ้าหญิงน้อยเข้าห้องน้ำไปแล้ว ผมก็กลับมาเลือกขี้ผึ้งต่อ 






แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่มีสมาธิเอาเสียเลย ได้แต่หยิบๆ วางๆ อยู่อย่างนั้น 





















พอนึกย้อนไปแล้ว วันที่ลิเลียนฟื้นเป็นวันที่ผมกลับมาถึงบ้านพอดี 






หัวใจของผมที่เหมือนโดนผูกอยู่กับเส้นบะหมี่บางๆ แล้วถูกลมพัดแกว่งไปมาอยู่ริมผาตลอดทั้งสัปดาห์ ถูกดึงขึ้นจากขอบเหวในวินาทีที่เธอลืมตาตื่นขึ้น 






คุณน้องสาวฟื้นขึ้นมาด้วยสภาพเหมือนคนไม่เคยป่วยหนักมาก่อน พอลืมตาปุ๊บก็ทำหน้าช็อก ผมเห็นแล้วก็เดาว่าเป็นเพราะฝันถึงจุดไคลแมกซ์แล้วดันตื่นกลางคันอีกแหง ก็เลยลูบหัวเธอเบาๆ 






“ลิเลียน ฟื้นแล้วรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” 






ท่านแม่กัดผ้าเช็ดหน้าร้องไห้กระซิกๆ ดูท่าทางสะเทือนใจหนักมาก ก็ไม่แปลกหรอก ผมเองก็ตกใจมากเหมือนกัน ตั้งแต่เล็กจนโตลิเลียนไม่เคยป่วยเลยนี่นา แถมป่วยครั้งนี้ยังนอนไม่ได้สติตั้งสัปดาห์หนึ่งอีกต่างหาก 






พอตื่นปุ๊บท้องเธอก็ร้องประท้วงเสียงดังสนั่น พวกคุณเมดเลยยกอาหารอ่อนมาให้ลิเลียน พอเจ้าตัวชิมเข้าไปคำเดียวก็ทำหน้าเหมือนโลกแตกใส่ชามซุป 






ผมว่าเธอคงคาดหวังจะตื่นมาเจอชามข้าวต้มล่ะมั้ง แต่ทำยังไงได้ รวงข้าวของปีนี้ยังเขียวอยู่เลย แถมข้าวของปีก่อนเธอก็กินหมดเกลี้ยงไปตั้งแต่สามเดือนที่แล้ว 






หลังจากนั้นผมเลยแอบไปกระซิบถามคุณลุงหมอว่าให้ลิเลียนทานขนมได้หรือเปล่า 






คุณลุงใช้พลังตรวจดูร่างกายคร่าว ๆ สองสามที ก่อนจะบอกว่าทานอะไรก็ได้ทั้งนั้นล่ะตอนนี้ สภาพเหมือนไม่เคยป่วยมาก่อน 






ผมขอบคุณคุณลุงก่อนจะหันไปบอกพี่ๆ คนรับใช้ให้เตรียมขนมมาปลอบใจสาวน้อยบางคน 






ใช่ครับ นั่นคือบ่ายวันที่ลิเลียนเอาน้องมาการองของผมไป กระซิก 





















หลังจากน้องสาวของผมฟื้นขึ้นมาได้ครึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน ผมก็เริ่มสังเกตเห็นบางอย่าง 






อาจเป็นเพราะเธอล้มป่วยในช่วงที่ผมเดินทางออกจากเมืองได้เกือบสัปดาห์หนึ่งพอดี ทำให้กลับมาเฝ้าไข้เธอไม่ทัน หลังจากผมรีบรุดกลับมาถึงได้ไม่นาน เธอก็หายป่วยแล้ว 






ตอนแรกที่เธอฟื้นขึ้นมา ผมยังไม่ค่อยมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ ก็เลยไม่ทันได้สังเกต 






แต่พอหลับไปตื่นหนึ่ง ก็เหมือนจะพอรู้ตัวแล้วว่าทำไมรู้สึกแปลกไป 






หรือว่าผมจะโดนงอนเข้าแล้ว 






ปกติลิเลียนตัวแสบ พอเห็นผมถ้าไม่มากอด มาอ้อน มาคลอเคลียนัวเนีย ก็ต้องมาทำตาปิ๊งๆ ใส่ผมพลางร้องมิ้วๆ ว่าอิลจ๋า ขอตังค์หน่อย ขอตังค์หน่อย หนูจะเอาไปทำอันนั้นอันนี้ ตอนอยู่หน้าท่านพ่อท่านแม่ถึงจะทำตัวสง่างามให้สมเป็นคุณหนูขึ้นมาบ้าง ไม่อย่างนั้นจะโดนดุเอา ถึงพวกท่านจะดุพอเป็นพิธีเฉยๆ ก็เถอะ เพราะสุดท้ายเธอก็ร้องมิ้วๆ ใส่ทั้งสองท่านอยู่ดี 






แต่ผมดุไม่ลงหรอก น้องสาวผมน่ารักขนาดนี้นี่นา ตอนที่กำลังอ้อนสุดชีวิตก็น่ารักมากเลยด้วย 






แต่ตั้งแต่ผมกลับมา แม้แต่ชายเสื้อผมลิเลียนยังไม่แตะเลย 






ผมเหมือนโดนฟ้าผ่าเปรี้ยงกลางหัว 






หรือนี่คือความรู้สึกของคนที่น้องไม่รัก 






ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว! ผมคิดพลางลุกพรวด รีบไปหาของมาง้อน้องสาวตัวน้อย 





















ผมง้อลิเลียนไม่สำเร็จครับ ฮือออ 






ทั้งๆ ที่เดินถือถุงเงินร่อนไปร่อนมาตั้งหลายรอบแล้วแท้ๆ แต่เธอกลับไม่สนใจเลยสักนิด แถมยังถูกคุณเมดไล่ออกมาจากห้องเพราะว่าลิเลียนจะแต่งตัวอีก 






เธอน่ะเหรอแต่งตัว! คนที่เดินร่อนทั่วคฤหาสน์ทั้งชุดนอนได้เป็นสัปดาห์อย่างเธอน่ะเหรอ! 






ปกติแล้วเงินถุงใหญ่ขนาดนี้ แค่ได้ยินเสียงเหรียญกระทบกัน ต่อให้เธออยู่สุดปลายอีกฝั่งของคฤหาสน์ก็ต้องวิ่งหน้าตั้งมาหาผมแล้วแท้ๆ นี่นอกจากจะไม่ชายตาแลแล้วยังไล่ผมออกมาอีก! 






พอผมบอกว่าขอโทษที่ไม่ได้อยู่ด้วยตอนที่ป่วย เธอก็ยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็นไร 






แต่มันไม่ปกติ! 






ไม่มีทางหรอกที่ลิเลียนตัวแสบจะทำตัวแบบนี้ 






ผมนึกว่าเธอหัวกระแทกจนความจำเสื่อม แต่เธอก็ยังจำผม จำคุณพ่อคุณแม่ได้ 






ผมไปตามหาคุณหมอเพื่อถามอีกครั้ง เขาก็ยังคงยืนยันคำเดิมว่าร่างกายของลิเลียนไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ และเป็นไปไม่ได้ที่จะความจำเสื่อม ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอไม่มีร่องรอยบุบสลายตรงไหนทั้งสิ้น 






ผมได้แต่ยอมรับตามนั้น เพราะในหมู่หมอด้วยกัน คุณลุงถือว่าเป็นหนึ่งในคนที่เก่งที่สุด และเขาเองก็เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง คอยช่วยเลี้ยงทั้งผมทั้งลิเลียนมาตั้งแต่ตัวนิดเดียว ไม่มีทางที่จะปล่อยให้เธอเป็นอะไรไปแน่นอน 






ถ้าอย่างนั้น เกิดอะไรขึ้นกับลิเลียนกันแน่ 






ผมยังไม่ทันได้หาคำตอบ ก็มีคุณพ่อบ้านมาแจ้งว่าท่านพ่อเรียกพบเสียก่อน 





















หลังจากเดินวนไปหาอะไรทานที่ครัวมาหนึ่งรอบใหญ่เพราะลืมทานอาหารเช้า ผมถึงได้นวยนาดมาหาท่านพ่อ 






แล้วก็ต้องรอต่ออีกพักใหญ่ก่อนที่ประตูจะเปิดออก 






“กะแล้วว่าเจ้าเด็กนี่ต้องเถลไถลแน่…” 






ข้างในห้อง ท่านพ่อกำลังบ่นอุบอยู่กับองครักษ์ 






“ผมได้ยินนะ” 






“คิดว่าพูดให้ใครฟังล่ะ เจ้าเด็กดื้อ!” 






ท่านพ่อกอดอกตีหน้าขึงขัง 






ผมหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะมองจดหมายที่ท่านพ่อถือ นี่คือ… 






“หัวเมืองเหนือส่งจดหมายสอบถามเรื่องการเดินทางของลูกมาน่ะ” 






พอได้ยินประโยคนี้ผมก็ค่อยนึกออกว่าตอนที่สติหลุดหลังได้ยินข่าวของลิเลียน ผมทำอะไรลงไปบ้าง 






“ตอนที่ได้ข่าวว่าลิเลียนล้มป่วย ลูกส่งจดหมายไปแจ้งทางนั้นแล้วว่าการเดินทางน่าจะล่าช้าสักหน่อยเนื่องจากกลับมาหาลิเลียนครับ” 






“ทางนั้นไม่ได้ส่งมาบังคับให้ลูกไปหรอก แต่แจ้งว่าไม่จำเป็นต้องมาช่วยแล้ว ให้อยู่ดูแลลิเลียนก่อน” 






ท่านพ่อว่าพลางพลิกจดหมายให้ผมเห็นตราประทับหน้าตาคุ้นเคย 






“นั่นยิ่งไม่ได้ใหญ่เลยครับ ไม่ว่ายังไงลูกก็อยากไปให้ได้” 






ไม่ใช่เพราะแค่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเมือง แต่เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งเป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่รู้อยู่ในสนามรบที่หัวเมืองเหนือนั้น แถมเจ้านั่นยังเป็นโรคใจอ่อนระยะสุดท้าย ถ้าผมไม่จับตามองก็ไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองไปข้องเกี่ยวกับปัญหาสารพันอะไรอีก 






“ไม่ว่าลูกจะเลือกไปหรือไม่ไปพ่อก็ไม่ห้ามหรอก แต่ดูเหมือนจะมีคนไม่เห็นด้วยอยู่นะ” 






ท่านพ่อว่าแล้วก็ผายมือไปที่ประตู 






พอผมหันหลังก็เจอกับลิเลียนที่ยืนอิงแอบอยู่ตรงนั้น 






มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย… ว่าแต่ทำไมใส่เดรส ปกติใส่แต่กางเกงไม่ใช่เหรอ 






อย่าบอกนะว่าเอาชุดกองไว้บนโซฟาอีกแล้ว มีแต่ชุดในตะกร้านะที่พี่เมดจะเอาไปซักให้ ยัยเด็กซกมก! 






ไม่สิ เธอนอนป่วยในชุดนอนมาทั้งสัปดาห์แล้วไม่ใช่หรือไง 






ในหัวผมเต็มไปด้วยคำถาม 






“ท่านพี่ ข้าขอคุยด้วยได้ไหมคะ” 






ลิเลียนว่าพลางเข้ามาจับแขนเสื้อของผม 






ไม่รู้ทำไม แต่ผมรู้สึกราวกับหัวใจร่วงหล่นลงไปในธารน้ำแข็ง 






ความผิดแปลกบางอย่างที่ผมสัมผัสได้ตลอดช่วงเวลาที่เธอตื่นขึ้นมา ในที่สุดก็ถูกทับซ้อนจนกลายเป็นเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า 






ลิเลียนไม่เคยเรียกผมว่าท่านพี่ 






ผมมองดูเธอ 






แต่ยิ่งสังเกตดูใกล้ๆ ก็ยิ่งรู้สึกราวกับไม่เคยเห็นคนตรงหน้ามาก่อน 






บนลำคอของเธอมีเครื่องประดับวิบวับแวววาว ที่กี่ครั้งต่อกี่ครั้งลิเลียนก็อ้างว่าจะเก็บไว้ใส่ในงานเดบูตองต์แล้วโยนทิ้งไว้ให้ฝุ่นจับในกล่องเครื่องประดับเสมอ 






ที่หูของเธอประดับด้วยจี้ที่ทำจากมรกตเป็นรูปใบไม้สีเขียวกลมมนใบน้อย 






เหมือนผมได้ยินเสียงของลิเลียนดังแว่วอยู่ข้างหู 






‘ต่างหูน่ะเหรอคะ น่ากลัวจะตายไป! หนูไม่เจาะหูหรอกนะ! เข็มก็ไม่สเตอร์ไรด์ เกิดหูน้อย ๆ ของหนูติดเชื้อขึ้นมาจะทำยังไง!’ 






ตอนที่ตะโกนประโยคนี้ลิเลียนก็ปิดหูสองข้างลงไปดิ้นที่พื้นสุดกำลัง จนสุดท้ายท่านแม่ก็ยอมแพ้แล้วยัดต่างหูทั้งหลายไว้มุมไหนสักมุมของห้อง 






ผมยิ้มบาง ๆ แล้วถามเธอ 






“เรายอมเจาะหูแล้วเหรอ ถ้าท่านแม่เห็นจะต้องดีใจมากแน่ ๆ” 






เธอชะงัก ก่อนจะแตะหูแล้วยิ้มด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ 






“น้องขอให้เมดเจาะหูให้ค่ะ เห็นว่าท่านแม่ซื้อต่างหูมาเยอะแยะแต่หนูไม่เคยลองใส่เลย ดูไม่ขัดตาท่านพี่ใช่ไหมคะ” เธอว่าแล้วเอียงตัวให้ผมดูมรกตเม็ดน้อย 






แสงแดดที่ลอดผ่านกระจกมาตกกระทบอัญมณีเม็ดนั้นสะท้อนในดวงตาของผม 






“ไม่เลย เหมาะมาก น้องสาวพี่สวยที่สุดอยู่แล้ว” 






‘แน่นอนค่ะ เพราะว่าหนูสวยมาก!’ 






“ชมเกินไปแล้วค่ะท่านพี่” เธอยิ้มหวาน 






ผมยิ้มตอบ เหลือมมองมือที่ยกขึ้นมา 






ที่นิ้วชี้กับข้อมือยังมีแผลเป็นอยู่ 






ถ้าอย่างนั้นทำไมเธอถึง… 






“…พี่ว่าเราไปห้องอื่นกันเถอะ เดี๋ยวจะรบกวนการทำงานของท่านพ่อเอา” ผมว่าพลางปิดประตู 






ขณะที่กำลังเดินไปห้องข้าง ผมก็เห็นผมยาวถึงกลางหลังสีน้ำตาลของเธอพลิ้วไหวตามจังหวะก้าวเดิน 






‘ไม่รู้ว่าพวกพี่สาวคนสวยทนปล่อยผมสยายทั้งวันได้ยังไง ร้อนขนาดนี้ ถ้าหนูปล่อยตามมีหวังโดนอบตายแหงๆ !’ 






ผมรู้สึกเหมือนกำลังเล่นเกมจับผิดภาพ แต่ภาพนี้มีจุดที่ต่างเยอะเหลือเกิน ไม่ว่าตรงไหนก็น่าเอาปากกาไปวงทั้งนั้น 






“ชุดนี้เหมาะกับเราดีนะ” 






ผมแทบจะฝืนคงรอยยิ้มบนหน้าเอาไว้ไม่ไหว 






“ท่านพี่พูดเหมือนลีอาเลยค่ะ ข้ารู้สึกว่าชุดนี้สวยมากก็เลยลองใส่ดู” 






เธอพูดพลางหมุนตัวให้ชายเดรสปักลายสีขาวสะบัดพลิ้ว 






ปกคอและชายแขนเสื้อมีระบายของเธอถูกถักเป็นลูกไม้ลวดลายวิจิตร 






‘หนูล่ะไม่ชอบลูกไม้พวกนี้เลย ใส่กี่ที ๆ ก็คันคะเยอไปหมด! เกาจนแขนแดงหมดแล้วเนี่ย! คอยดูนะ เดี๋ยวจะเอาไปบริจาคให้หมดเลย!’ 






ถ้าเธอทำข้อสอบตอนนี้จะต้องสอบตกแน่ 






มีคำถามสิบข้อ เธอก็คงเป็นพวกกาหลบข้อถูกหมดทั้งสิบข้อแล้วได้ไข่ต้มไปกิน 





















พอพวกเราเข้ามาอยู่ในห้องข้าง เธอก็หันซ้ายหันขวาก่อนจะปิดล๊อกประตูแล้วกลับมาเผชิญหน้ากับผม 






“ข้ามีเรื่องจะบอกกับท่านพี่ค่ะ” 






เธอพูดด้วยท่าทางประหม่า 






“ที่จริงแล้ว ข้า…. ข้ามาจากอนาคตค่ะ อนาคตที่ไม่มีท่านพี่อีกแล้ว” 






ตัวของเธอสั่นเทาขึ้นเรื่อยๆ จนผมมองเห็นชายเสื้อสั่นไหว 






มือสองข้างของเธอขยับยุกยิกอยู่กลางหน้าอก 






เวลาที่ลิเลียนประหม่า เธอจะชอบเอามือไปซ่อนไว้ด้านหลัง … ผมแค่พูดลอย ๆ น่ะ 






อนาคตแบบไหนกันนะ ที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ 






“ท่านพี่อย่าไปเลยนะคะ ถ้าหากว่าท่านพี่ไป จะต้องจบชีวิตลงที่นั่นแน่นอน” 






สาวน้อยเอ่ยประโยคนั้นด้วยเสียงสั่นเครือ 






ตอนที่เห็นเธอร้องไห้ หัวใจของผมก็เจ็บปวด 






“ท่านพี่อย่าไปเลยนะคะ น้องขอร้องท่าน โลกที่ไม่มีท่านพี่ มันทำให้น้องเจ็บปวดมากเหลือเกิน” 






หญิงสาวว่าพลางใช้หลังมือซับน้ำตาที่ร่วงพรูลงมาราวกับหยาดฝน 






…ไม่ว่ามองมุมไหนก็ไม่เหมือนกันเลยสักนิด 






ถ้าลิเลียนที่ผมรู้จักร้องไห้ต่อหน้าคนในบ้านละก็ ไม่ว่าทำยังไงก็หยุดสูดน้ำมูกดังฟืดฟาดไม่ได้ แถมยังต้องทำหน้าบู้บี้เหมือนลูกบ๊วยตากแห้งอีกต่างหาก 






โลกของผมเริ่มพร่ามัว 






ผมเดาไม่ออกเลยว่าเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็นใคร ลิเลียนจากอนาคตอันแสนไกล น้องสาวของผมที่เปลี่ยนนิสัย หรือเป็นใครก็ไม่รู้ที่ทำตัวเหมือนกับเธอ มีใบหน้าแบบเดียวกับเธอกันแน่ 






แต่ความรู้สึกที่ผมได้สัมผัส และทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมองเห็นตลอดเวลาที่เธอตื่นขึ้นมานี้ กลับไม่เหมือนลิเลียนคนเดิมที่ผมรู้จักเลยสักเสี้ยวเดียว 






ผมข่มความหวาดกลัวที่กำลังกัดกินตัวเองจากภายใน แล้วกุมมือของเธอเอาไว้ 






ผมหลุบตามอง 






นื่คือมือของลิเลียนไม่ผิดแน่ 






มือเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยแผลเป็นน้อยใหญ่ มือที่ผมจับมาตลอดสิบสามปี 






ถ้าร่างกายของเธอเหมือนเดิมทุกอย่าง ชนิดที่แม้แต่คุณลุงหมอที่คอยดูแลเธอมาตลอดหลายปียังมองไม่เห็นความแตกต่าง 






แล้วข้างในของเธอล่ะ… ยังเป็นคนเดิมอยู่ไหม 






“เข้าใจแล้วล่ะ เห็นเธอเป็นแบบนี้ พี่ก็ไม่สบายใจที่จะจากไปเลยจริงๆ” 






ผมพยักหน้า พยายามปลอบประโลมหัวใจที่สั่นระรัวให้นิ่งสงบ 






ผมยังตายไม่ได้หรอก 






โลกที่ไม่มีผมมันช่างเจ็บปวดเหลือเกินอย่างนั้นหรือ 






ก็คงไม่เจ็บปวดสำหรับเลดี้ผู้นี้เท่าไหร่กระมัง 






ในเมื่อเธอไม่ใช่ลิเลียนของผม