น้องสาวของผมเปลี่ยนไป อะไรที่ไม่ชอบทำก็กลายเป็นชอบทำ อะไรที่เคยทำก็จำไม่ได้ ราวกับว่า…มีใครบางคนอยู่ในร่างน้องสาวของผม แต่ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในจะเป็นใคร มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!

ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย! - 2 เรื่องเก่ายังไม่ทันผ่านพ้นไป เรื่องใหม่ก็พากันถาโถมเข้ามา โดย mollowish @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ครอบครัว,ตลก,ดราม่า,slice of life,ไม่มีนางเอก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ครอบครัว,ตลก,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

slice of life,ไม่มีนางเอก

รายละเอียด

ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย! โดย mollowish @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

น้องสาวของผมเปลี่ยนไป อะไรที่ไม่ชอบทำก็กลายเป็นชอบทำ อะไรที่เคยทำก็จำไม่ได้ ราวกับว่า…มีใครบางคนอยู่ในร่างน้องสาวของผม แต่ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในจะเป็นใคร มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!

ผู้แต่ง

mollowish

เรื่องย่อ

หลังจากน้องสาวที่ป่วยหนักฟื้นขึ้นมา นิสัยของเธอก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย




ของกินที่ชอบก็ลายเป็นไม่ชอบ จากที่ซนเป็นลิงก็กลายเป็นเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ การพูดจา เสื้อผ้าที่ใส่ นิสัยแย่ ๆ ที่ชอบเผลอทำก็เปลี่ยนไปด้วย




ไม่สิ…ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ นอกจากชื่อของเธอเองและชื่อของคนในครอบครัวแล้ว เธอจำอะไรไม่ได้เลย




ทั้ง ๆ ที่ต้องถามหลายเรื่องเอาจากพี่ ๆ เมด แต่กลับยังแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ




แกล้งทำเป็นรู้จักผม ทำเป็นรู้จักท่านพ่อท่านแม่ แถมยังแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ด้วยการบอกว่าตัวเองมาจากอนาคต




ไม่ว่าหน้าตาของเธอจะเป็นยังไง ไม่ว่ารอยแผลบนมือจะเป็นพิมพ์เดียวกับที่ผมจำได้แค่ไหน




นี่ไม่ใช่น้องสาวของผม




มีใครบางคนกำลังสวมร่างน้องสาวของผมอยู่




ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในจะเป็นใคร มีจุดประสงค์อะไรก็ช่าง




มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!




( นิยายรายสัปดาห์ หลังครบ 6 ตอน จะอัพทุกวันศุกร์หนึ่งทุ่มค่ะ )



สารบัญ

ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!-1 เป็นเธอที่เปลี่ยนไป หรือใครที่เปลี่ยนเธอ,ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!-2 เรื่องเก่ายังไม่ทันผ่านพ้นไป เรื่องใหม่ก็พากันถาโถมเข้ามา,ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!-3 ลมสงบก่อนพายุจะเข้าอะไร ทำไมเห็นแต่สึนามิซัดโครมคราม,ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!-4 ใครที่เป็นคนเอาไป คนนั้นแหละต้องเอามาคืน,ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!-5 จากอสูรกายใต้เตียง ดันกลายเป็นลูกเจี๊ยบเปียกๆ มอมๆ,ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!-6 ฉันก็เหมือนเธอ เธอก็เหมือนฉัน พวกเราเหมือนกัน,ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!-7 สดใสดุจแสงสกาว พร่างพราวราวฤดูใบไม้ผลิ

เนื้อหา

2 เรื่องเก่ายังไม่ทันผ่านพ้นไป เรื่องใหม่ก็พากันถาโถมเข้ามา





มีใครไม่รู้อยู่ในร่างน้องสาวผม! 






ผมประคับประคองตัวเองในสภาพเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างกลับห้องมาได้อย่างไรไม่ทราบ ทันทีที่แผ่นหลังสัมผัสกับเตียง ผมก็ตีขากางผ้าห่มดังพร 






ผมขดตัวเป็นก้อนอยู่ในผ้าห่ม พยายามปลอบประโลมหัวใจดวงน้อยๆ ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ 






หลังจากสงบสติอารมณ์ได้พอสมควร ผมก็ค่อยๆ คืบคลานออกมาพร้อมกับหน้าผากแดงเถือก 






พอคิดดูอีกที หรือผมจะด่วนตัดสินเกินไปหน่อย 






ถึงใจจะโน้มเอียงไปทางไม่ใช่ลิเลียนแล้วเกินครึ่ง แต่ลึกๆ แล้วผมก็ยังไม่อยากปักใจเชื่อสักเท่าไหร่ จึงตัดสินใจว่าจะสังเกตการณ์ต่อไปอีกสักสองสามวัน รวมทั้งหาทางถามเกี่ยวกับอนาคตที่เธออ้างถึงด้วย 






ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าสงสัย ต่อให้เธอบอกผมว่าเป็นลิเลียนจากอนาคตอันแสนไกล แต่ผมกลับรู้สึกว่า… เธอดูไม่เหมือนลิเลียนเลยสักนิดเดียว 






ผมรู้ดีว่าคนเรายิ่งเติบโตก็ยิ่งแตกต่างจากตัวเองในอดีตมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทั้งอาหารที่ชอบทาน ชุดที่ชอบใส่ คำพูดคำจา ท่าทางที่แสดงออก กระทั่งนิสัยเล็กๆ น้อยๆ ที่เผลอทำตอนตื่นเต้น จะต่างจากตัวเองในตอนเด็กเป็นคนละคนได้ขนาดนั้นเชียวเหรอ 






ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่แน่ว่าตอนที่ผมไม่อยู่ อาจมีอะไรเปลี่ยนเธอให้กลายเป็นแบบนั้นก็ได้ 






ถ้าเธอคือลิเลียนจริงๆ สิ่งเดียวที่ติดอยู่ในใจของผมก็คงจะเป็นคำถามที่ว่า ทำไมเธอถึงทำเหมือนกับผมเป็นคนแปลกหน้า 






ไหนว่าผมตายไปแล้วไง ถึงกับร้องไห้เพราะผม พยายามห้ามไม่ให้ผมไปที่สนามรบซ้ำแล้วซ้ำอีก 






แต่เห็นคนที่ตายไปแล้วกลับมามีชีวิตอยู่ทั้งที อย่างน้อยเข้ามากอดกันสักหน่อยก็ได้นี่นา 






ทำไมเย็นชากับผมได้ถึงขนาดนั้นล่ะ 






ไม่คิดถึงกันเหรอ 






ถ้าเธอแสดงความรักออกมาบ้าง แม้จะแค่เล็กน้อยก็ตาม 






ผมคงเชื่อโดยไม่ลังเลเลย 






เธอคนนั้น หลังจากย้ำแล้วย้ำอีกว่าห้ามไปแดนเหนือเด็ดขาด ก็กำชับให้ผมรับปากว่าจะไม่บอกเรื่องที่เธอมาจากอนาคตกับใคร โดยเฉพาะท่านพ่อและท่านแม่ 






ทั้งๆ ที่ปกติแล้วเวลามีปัญหาอะไรที่คิดไม่ตก คนแรกที่ลิเลียนแจ้นไปหาจะเป็นหนึ่งในสองท่านนั้นเสมอ 






คนในครอบครัวจะเป็นคนอื่นไปได้ยังไง 






และถึงเธอจะห้ามไม่ให้ผมพูด แต่ลูกสาวเปลี่ยนไปทั้งเนื้อทั้งตัวขนาดนี้ท่านพ่อกับท่านแม่จะไม่สังเกตเห็นเลยเชียวเหรอ ขนาดผมที่ความรู้สึกช้ายังจับความผิดปกติได้เร็วขนาดนี้ 






เป็นไปไม่ได้หรอกที่ทั้งสองท่านจะไม่เอะใจ 






ไม่รู้ว่าลิเลียนคนนี้ เป็นน้องสาวของผมที่มาจากอนาคตจริงๆ หรือเป็นคนแปลกหน้าที่ดูเหมือนเธอราวกับแกะกันแน่ 






ลึกๆ แล้ว ผมยังคงหวัง หวังว่าเธอจะเป็นลิเลียนคนเดิมที่ผมรู้จัก เพียงแต่เปลี่ยนไปเพราะการข้ามเวลามาจากอนาคต หรือด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม 






แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ต่อให้ผมอยากให้เรื่องเหล่านั้นเป็นความจริงมากเพียงไหน ความคาดหวังก็อาจไม่ได้เป็นตามที่ผมคิดฝันเอาไว้เสมอไป 






หากเธอคือลิเลียนจริงๆ สุดท้ายแล้วผมคงทำใจยอมรับว่าน้องสาวของผมเปลี่ยนไปเป็นคนละคนได้ในไม่ช้า ถึงแม้จะมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป ก็แค่เรียนรู้เกี่ยวกับกันและกันใหม่เท่านั้นเอง 






แต่ถ้าหากเธอไม่ใช่… 






ผมก็ไม่อยากจะคิดต่อเลยว่า… ลิเลียนของผม… ตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนกันแน่ 





















ถึงแม้ผมจะยังใจสั่นหวั่นไหวกับความเปลี่ยนแปลงของลิเลียนชนิดแผ่นดินผืนฟ้ากลับตาลปัตร แต่ผมก็จำต้องวางเรื่องนั้นไว้ก่อน แล้วมาจัดการกับเรื่องน่าปวดหัวอีกเรื่องให้เสร็จเรียบร้อยเสียที 






เรื่องน่าปวดหัวอะไรน่ะเหรอ? เนื่องจากผมคงไม่ได้ไปหัวเมืองทางเหนืออย่างที่ตั้งใจไว้ แน่นอนว่าต้องส่งจดหมายแจ้งไปครับ! ถึงแม้ทางนั้นจะส่งจดหมายกลับมาว่าไม่จำเป็นต้องไปแล้วก็ตาม แต่เพื่อรักษามารยาท อะไรที่ควรส่งก็ต้องส่งไปให้เรียบร้อย 






ถ้าจะพูดให้ชัดเจนอีกหน่อยก็คือ ผมต้องเขียนจดหมายส่งให้คุณชายใหญ่แห่งแดนเหนือ พี่ชายของเพื่อนสนิทผมรับทราบว่า ‘ผมคงไปช่วยพี่ไล่จับน้องชายไม่ได้แล้ว ได้โปรดช่วยเหลือตัวเองไปก่อน ผมขอหัวหมุนกับเรื่องน้องสาวตัวเองสักครู่’ 






ใช่ครับ เพื่อนสนิทผมที่ตอนนี้เป็นตายร้ายดีไม่มีใครทราบอยู่ในสนามรบนั่นเอง เอง เองงง… 






คิดดูแล้ว… ที่ชีวิตผมต้องวุ่นวายขนาดนี้ ทั้งหมดทั้งมวลมีต้นเหตุมาจากจดหมายฉบับเดียวของหมอนั่น 





















เมื่อประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังจบการศึกษาจากสถาบัน ผมที่เพิ่งกลับถึงบ้านก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากล 






ตอนที่ได้รับจดหมายผมก็อดแปลกใจไม่ได้ เพราะปกติหมอนั่นเป็นพวกชอบรอให้ผมส่งจดหมายไปแล้วค่อยเขียนตอบกลับมา แต่คราวนี้กลับเป็นฝ่ายส่งมาเอง แถมจดหมายยังล่วงหน้ามาถึงก่อนตัวผมกลับถึงบ้านเสียอีก ทำเอาผมกลั้นขำแทบไม่อยู่ 






พวกเราเพิ่งแยกกันที่สถานีรถไฟประจำเมืองหลวงได้ไม่กี่วัน ส่วนจดหมายนี้ถ้าดูจากความเร็วในการส่ง หมอนั่นน่าจะเอาหย่อนตู้ไปรษณีย์ก่อนที่พวกเราจะขึ้นรถไฟเสียอีก 






ผมน่าจะบอกให้หมอนั่นยื่นให้ผมต่อหน้าให้มันจบๆ จะได้ไม่ต้องเปลืองค่าไปรษณีย์ 






จดหมายเปิดมาด้วยการเล่าชีวิตประจำวันตามปกติ บ่นว่าปิดเทอมฤดูหนาวครั้งก่อนน่าเบื่อแค่ไหน แดนเหนือหิมะกองสูงกี่ชั้น หนึ่งวันต้องใส่เสื้อกี่ตัวถึงจะออกจากห้องได้ รำพึงรำพันว่าไม่อยากกลับบ้านเลย อยากตามผมไปแดนตะวันออกที่หิมะตกแค่ขำๆ อ่านแล้วผมถึงกับเห็นภาพลูกหมาขนทองร้องงี้ดๆ หงิงๆ ลอยมาแต่ไกล 






ตามด้วยความตื่นเต้นของการต้องสอบเข้าวิทยาลัย เขาบอกว่าตัวเองจะสอบเข้าวิทยาลัยการทหาร แล้วก็ยิงคำถามใส่ผมต่ออีกหนึ่งหน้ากระดาษ ว่าผมจะเรียนอะไร ไปสอบด้วยกันไหม อยากหาห้องพักอยู่ด้วยกันหรือเปล่า แค่มองก็สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นทะลุออกมา ผมอ่านจดหมายอย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะไปตาค้างเอาที่ย่อหน้าสุดท้าย 






 [ท่านอาจารย์บอกว่าช่วงหลังๆ มานี้ฉันชักจะหย่อนยานเกินไปหน่อยแล้ว ต้องขัดสนิมซะบ้าง! ก็เลยจะพาฉันไปฝึกที่เทือกเขาวายุคำราม ไม่เคยได้ยินชื่อเลยแฮะ คงจะไม่ได้อยู่ทางตอนเหนือล่ะมั้ง ได้ยินมาว่าในเทือกเขามีหมาป่าเงินครามด้วย! ขนของพวกมันทั้งนุ่มฟูทั้งแวววาวเหมือนหิมะเลย (อาจารย์ว่างั้นน่ะ) ถ้าฉันเจอตัวที่ล่าได้จะเอาขนไปฝากนะ อีกอย่าง เทือกเขานั่นอยู่ห่างไกลความเจริญสุดๆ ฉันน่าจะเขียนจดหมายหานายไม่ได้ไปสักพักใหญ่เลย แต่ถ้ากลับไปถึงแดนเหนือเมื่อไหร่จะรีบเขียนตอบนะ! สุขสันต์วันหยุดยาว! 






จาก เพื่อนซี้ของนาย]  






ผมอึ้งจนทำจดหมายตกกระจายอยู่บนพื้น 






หา? 






หาาาาาาาา? 






วางแผนจะไปที่ไหนกันนะ? เทือกเขาวายุคำราม? 






แล้วเทือกเขาวายุคำรามอยู่ที่ไหน? 






ติ๊กต่อกๆ … อยู่ทางตอนเหนือไง! 






ผมปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันที 






ศิษย์อาจารย์มนุษย์ถ้ำคู่นี้นี่! ไม่อ่านข่าวสารบ้านเมืองกันบ้างเลยหรือไง! หนังสือพิมพ์ก็ออกกันอยู่โครมๆ ว่ากองทัพของจักรวรรดิกำลังสู้รบกับสาธารณรัฐอยู่ที่ชายแดนทางตอนเหนือ! 






กล้าเขียนมาได้ยังไงว่า ‘ไม่เคยได้ยินชื่อเลย ไม่ได้อยู่ทางตอนเหนือหรอกมั้ง?’  






เป็นขุนนางแดนเหนือประสาอะไร! 






กลับออกมาเมื่อไหร่ผมจะบอกพี่ชายใหญ่จับหมอนี่เรียนภูมิศาสตร์ใหม่ให้หมด! 





















อะแฮ่ม เอาเป็นว่า ถึงตอนนั้นผมจะตกใจแทบล้มทั้งยืน แต่ก็ยังไม่ลืมว่าเทือกเขาวายุคำรามอยู่ไกลลิบสุดเขตแดนทางตอนเหนือ แถมยังกันดารถึงขนาดไม่มีกระทั่งถนนหลวงสักสาย ต่อให้ขึ้นรถไฟแล้วไปต่อรถม้า กว่าจะถึงก็ต้องใช้เวลาอย่างต่ำๆ ประมาณสองสัปดาห์อยู่ดี 






ผมจึงแจ้นไปขอท่านพ่อใช้เวทสื่อสารแพงหูฉี่ส่งข่าวไปให้ตระกูลดยุคแห่งแดนเหนือรับทราบ ท่านพี่ใหญ่จะได้เหลาไม้เรียวรอต้อนรับคุณชายรองตัวแสบได้อย่างทันท่วงที 






หลังจากนั้นผมก็รอข่าวคราวด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ 






ผลที่ได้ … นับว่าเหนือความคาดหมายไปไกล 






นอกจากจะหยุดศิษย์อาจารย์ที่ใช้สัญชาตญาณขับเคลื่อนแทนสมองคู่นั้นไม่สำเร็จแล้ว ท่านดยุคแห่งแดนเหนือที่ไปดักจับลูกชายก่อนถึงชายแดน ดันเห็นทักษะการต่อสู้ของลูเธอร์แล้วภูมิอกภูมิใจเสียอีก ถึงขั้นเห็นดีเห็นงามกับท่านอาจารย์ที่เสนอให้หมอนั่นอยู่ฝึกประสบการณ์ต่อในสนามรบ 






ผมได้ยินแล้วลมแทบจับ 






บ้าดีเดือดกันทั้งบ้านจริงๆ ผมนี่เหลือจะเชื่อ 






อนาคตของตระกูลดยุคแห่งแดนเหนือ คงต้องฝากไว้กับคุณพี่ชายใหญ่จริงๆ แล้วล่ะครับ 






เพราะสามัญสำนึกของพ่อลูกคู่นี้น่าจะโดนกินไปหมดแล้ว 






ถึงแม้ว่าตอนนี้สถานการณ์ไม่ถือว่ารุนแรงนัก เพราะทุกฝ่ายต่างพักรบในฤดูหนาว แต่ก็ยังมีการโจมตีไม่หนักไม่เบาอยู่เรื่อยๆ เจอหน้าทีก็ตะลุมบอนกันสักยกเป็นเรื่องปกติ 






แต่เอาลูกชายทั้งคนโยนทิ้งไว้ในที่แบบนี้ มันดีแล้วจริงๆ หรือครับท่าน 






อีกอย่าง เทือกเขาวายุคำรามในหน้าหนาวถือเป็นสถานที่อันตรายอันดับต้นๆ ของทวีปเลยนะครับ! 






แค่ชื่อก็บอกอยู่แล้ว ในฤดูกาลปกติ ที่นั่นอาจมีแค่ลมแรงธรรมดา แต่พอหิมะตกเพิ่มเข้าไป จากลมธรรมดาก็กลายเป็นพายุหิมะที่ปลิดชีวิตคนได้เหมือนใบไม้ร่วง 






หมอนั่นยิ่งหลงทางเก่งด้วย ผมละกลัวจริงๆ ว่าจะเดินมั่วซั่วหายเข้าไปในพายุหิมะ 






สุดท้ายล 






ถึงผมจะรู้ดีว่าหมอนั่นมีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ที่นานปีจะมีสักคน แถมยังมีอาจารย์ที่เป็นอดีตทหารรับจ้างฝีมือฉกาจคอยตามประกบดูแลอยู่ตลอด แต่อย่างที่บอก หมอนั่นเป็นพวกขี้หลงทางแถมยังใจอ่อนเหลวเป็นเต้าหู้ ขืนเข้าไปเป็นทหารในสนามรบทั้งแบบนั้น … คิดแล้วผมก็ยิ่งเป็นห่วงเข้าไปใหญ่ 






ตัวผมที่ตอนนั้นติดแหง 






นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมกับคุณพี่ชายต้องผนึกกำลังกันต่อสู้กับพ่อลูกตระกูลดยุคหรอกครับ แต่นับได้ว่าเป็นหนึ่งในความล้มเหลวยับเยินที่สุดที่เคยเจอ ปกติแล้วพี่ชายใหญ่จะเป็นคนคอยดึงท่านดยุค ส่วนผมรับหน้าที่ดึงลูเธอร์ให้อยู่กับร่องกับรอย 






จากที่ผ่านมาวิธีนี้ถือว่าใช้ได้ผลชะงัดมาตลอด แต่คราวนั้นด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งผมทั้งพี่ชายใหญ่ต่างคนต่างก็ทำสายจูงหลุดมือกันทั้งคู่ ผลลัพธ์จึงออกมาย่อยยับตามสภาพ 






และเมื่อสองสัปดาห์ก่อน พี่ลีรอยใช้ลูกแก้วติดต่อมาหาผมด้วยความร้อนรนว่าลูเธอร์หายตัวไปจากค่ายทหาร เป็นเหตุให้ผมต้องรีบร้อนขอติดสอยห้อยตามกองกำลังเสริมขึ้นไปที่แดนเหนือด้วยความเป็นห่วง 






ตอนได้รับข่าว ผมก็ตีปากตัวเองไปสามที 






ไม่ใช่ว่าไอ้หมอนี่เดินมั่วซั่วหายเข้าไปในพายุหิมะจริงๆ หรอกนะ! 






ระหว่างที่กำลังควบม้าไปแดนเหนือผมก็ได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจ 






… ถ้ายังเป็นเพื่อนกับลูเธอร์ต่อไป อีกหน่อยผมได้หัวล้านก่อนวัยอันควรแน่ 





















ถึงชีวิตจะเต็มไปด้วยมรสุมมากมาย แต่ผมก็ต้องฝ่าฟันไปให้ได้ 






ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากลากคอลูเธอร์กลับมาด้วยตัวเอง จับหมอนั่นพลิกกลับด้านแล้วเขย่าๆ ให้หัวหลุดข้อหาทำคนเป็นห่วงแทบตาย แต่คิดอีกทีผมก็คงทำไม่ลง เพราะยังไงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของลูเธอร์แต่แรก 






ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าพอเรื่องกลายมาเป็นแบบนี้ หมอนั่นต้องมีความผิดฐานไหลตามน้ำอยู่ไม่น้อยก็ตาม 






ไม่สิ ไม่แน่ว่าที่หายไปจากค่าย อาจเป็นหมอนั่นที่หาเรื่องใส่ตัวล้วนๆ ก็ได้ 






ถึงผมยังไม่สบอารมณ์อยู่ แต่กว่าจะได้เจอลูเธอร์อีกทีผมน่าจะหายโกรธแล้ว รอดตัวไปนะ ฮึ่ม 






ผมสูดหายใจ พยายามกดข่มความโมโห กวาดตามองกระดาษบนโต๊ะ ก่อนจะเริ่มจรดปากกาเขียนจดหมาย 






 [ถึง ท่านพี่ลีรอย 






ก่อนอื่น ถึงพี่จะบอกผมว่าไม่ต้องไปแล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังคิดจะไปอยู่… อย่าเพิ่งดุผม! ถึงผมคิดจะไป แต่เอาเข้าจริงคงไปไม่ได้แล้ว เพราะอาการป่วยของลิเลียนทำให้เกิดความโกลาหลบางอย่าง ซึ่งผมไม่สะดวกอธิบายผ่านจดหมาย เอาไว้ถ้าได้เจอพี่ต่อหน้าผมจะเล่าให้ฟัง ดังนั้นเรื่องของลูเธอร์คงต้องฝากให้พี่เป็นคนจัดการแล้วครับ 






ผมคิดว่าพี่น่าจะได้รับอุปกรณ์เวทที่แนบติดไปกับจดหมายฉบับก่อนหน้าของผมแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าในจดหมายฉบับก่อนผมอธิบายครบหรือยัง เอาเป็นว่าผมจะเขียนอธิบายอีกรอบเผื่อไว้ ผมเรียกมันว่า ‘เข็มทิศหมาหลง’ ผมสร้างขึ้นมาหลังจากทำหมอนั่นหล่นหายระหว่างทางไปนับครั้งไม่ถ้วน 






พี่แค่ต้องตามเข็มไปเรื่อยๆ ถ้าเอาตัวคนกลับมาได้แล้ว ฝากพี่เขกหัวหมอนั่นสักที กักบริเวณสักยก แล้วบอกให้เขียนจดหมายส่งมาหาผมด้วยนะครับ 






อีกอย่างหนึ่ง ผมแนบเข็มทิศอีกสองอันใส่ในจดหมายแล้ว เผื่อพี่จะเอาไปใช้กับท่านดยุคแล้วก็ดัชเชส เวลาจะใช้ให้คนที่พี่จะตามหาถ่ายพลังเวทใส่ในเข็มทิศก็พอ ทำหนึ่งครั้งเข็มทิศจะใช้งานได้ประมาณสามเดือน 






ถ้าพี่อยากได้เพิ่มให้ลองไปขอจากล 






ถ้าผมแก้ปัญหาของทางนี้เสร็จเรียบร้อยภายในเวลาอันสั้น (ซึ่งผมคาดหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ดูน่าจะเป็นไปได้ยากเหลือเกิน) และเรื่องของลูเธอร์ยังคาราคาซัง ผมจะเดินทางไปสมทบอีกแรง ระหว่างนี้ถ้ามีปัญหาอะไรติดต่อผมมาได้เสมอนะครับ! 






ด้วยรัก 






จาก อิลเลียน]  






ผมอ่านทวนเนื้อหาจดหมายอีกรอบให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด ก่อนจะเป่าหมึกให้แห้งแล้วพับใส่ซองกระดาษ 






หวังว่าจดหมายจะไปถึงมือของท่านพี่ใหญ่โดยเร็ว และหวังว่าสถานการณ์ทางนั้นจะคลี่คลายโดยไว ผมจะได้ขอยืมตัวลูเธอร์มาช่วยผมหัวหมุนกับเรื่องของลิเลียนที่นี่ 






หลังจากประทับตราเรียบร้อย ผมก็ฝากคุณพ่อบ้านจัดการนำจดหมายส่งให้เหยี่ยวข่าวกรอง 






ถ้าใช้ไปรษณีย์ธรรมดา ไม่แน่ว่าจดหมายของผมเพิ่งจะเหยียบเข้าแดนเหนือ จดหมายของลูเธอร์ก็คงส่งมาถึงนี่แล้ว 






พอจัดการปัญหาใหญ่ที่สุดตรงหน้าเรียบร้อยผมก็ถอนหายใจยาว 






ปัญหาของลูเธอร์ยังไม่จบดี ปัญหาของลิเลียนก็ยังคาราคาซัง แถมยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมยังไม่ได้สะสาง 






ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ผมพยายามโยนเรื่องราววุ่นวายทั้งหลายออกจากหัวแล้วไปพักใจด้วยการเอาหน้าถูไถพุงของคุณหมียักษ์ในห้องลับ 






ผมปิดไฟ คืบคลานขึ้นไปนอนกกอยู่บนพุงกลมๆ ของตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ 






ขอผมอยู่เงียบๆ สักพักเถอะ… 





















ดันนอนไม่หลับซะอย่างนั้น 






ผมห่มผ้านอนซบอยู่บนตัวคุณหมี แต่ในสมองกลับมีเรื่องให้คิดกังวลไม่หยุดหย่อน 






ทั้งเรื่องของลิเลียน เรื่องของลูเธอร์ ไหนจะเรื่องการเตรียมสอบเข้าวิทยาลัยที่กำลังจะถึงนี้อีก 






บ้าเอ๊ย ทำไมชีวิตมันถึงได้วุ่นวายแบบนี้ 






วันหยุดยาวที่ควรจะได้พักผ่อนอย่างมีความสุขของผม ยังไม่ทันได้เริ่มก็กำลังจะจบลงซะแล้ว แงงง 






ขณะที่เพื่อนๆ คนอื่นกำลังใช้ปิดเทอมกันอย่างสงบสุข ดูสิว 






คิดแล้วก็อยากร้องไห้ ฮือ ฮือ ฮือ 






เป็นอิลเลียนช่างยากเย็นเหลือเกิน กระซิก 






“นายน้อยครับ” 






เสียงคุณพ่อบ้านดังขึ้นที่หน้าประตู ผมถอนหน้าออกจากพุงคุณหมี เช็ดน้ำตาปลอมๆ ยืดตัวขึ้นก่อนจะตอบรับ 






“ครับคุณพ่อบ้าน” 






“มีจดหมายจากทางวิทยาลัยครับ” 






วิทยาลัย??? 






ผมมีเครื่องหมายคำถามลอยอยู่เต็มหัว 






“ฝากวางไว้ที่โต๊ะได้ไหมครับ เดี๋ยวผมออกไป” 






ผมพยายามต่อสู้กับความขี้เกียจจนได้รับชัยชนะ ก่อนจะออกไปหยิบจดหมายที่วางบนโต๊ะขึ้นมาดู 






ซองจดหมายสีขาวบริสุทธิ์ถูกประทับด้วยตราสีทอง บนนั้นมีสัญลักษณ์ที่ผมเห็นจนชินตามาตลอดสามปีแสดงอยู่ 






ตราของวิทยาลัยกลางแห่งอ 






ผมเจอเรื่องวุ่นวายพากันประเดประดังเข้ามาจนสมองประมวลผลไม่ไหวแล้วแหง ลืมสิ้นว่าก่อนจะสอบเข้าวิทยาลัยได้ ต้องกรอกแบบฟอร์มยืนยันการเลือกวิทยาลัยก่อน 






อัลเคอเรียเป็นชื่อของทวีปเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างทวีปใหญ่ทั้งสี่ แต่นอกจากเหล่าคนที่เคยไปเรียนก็ไม่ค่อยมีใครเรียกชื่อจริงของทวีปนี้หรอกครับ ทุกคนต่างก็เรียกที่นั่นว่าดินแดนแห่งการศึกษา 






ที่นั่นมีการปกครองโดยใช้วิธีคานอำนาจกันของแต่ละทวีปใหญ่และศาสนจักรอันศักดิ์สิทธิ์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นเขตปลอดสงครามและใช้สำหรับการจัดตั้งสถานศึกษา เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ที่นั่นก็มีทั้งโรงเรียน สถานศึกษา และวิทยาลัยเต็มไปหมด ปัจจุบันจึงเป็นที่รู้กันดีว่าถ้าต้องการส่งเด็กๆ ไปเล่าเรียนสักที่หนึ่ง ก็ต้องคิดถึงอัลเคอเรียเป็นอันดับแรก 






ใครๆ ต่างก็บอกว่า มนุษย์ทุกคนล้วนมีบ้านสองหลัง หลังแรกก็คือบ้านเกิด และหลังที่สองก็คืออัลเคอเรีย 






ซึ่งก็ไม่แปลกครับ เพราะเด็กๆ ที่ทางบ้านมีฐานะหน่อย พอใกล้จะอายุครบสิบปีก็จะถูกส่งไปเรียนในโรงเรียนที่อัลเคอเรีย พอจบจากโรงเรียนตอนอายุสิบห้า ก็เรียนต่อที่สถาบันศึกษาจนอายุสิบแปด 






และหลังจากอายุสิบแปดแล้ว ก็ยังมีคนจำนวนมากที่เรียนต่อในวิทยาลัย และถึงจะจบจากวิทยาลัยจนเข้าทำงานแล้ว ด้วยฐานะศิษย์เก่าของอ 






ถึงกับมีคนคำนวณออกมาว่า ประชากรโลกโดยเฉลี่ย จะใช้เวลาหนึ่งในสามของช่วงชีวิตอยู่ที่อัลเคอเรีย 






ขนาดนั้นเลยนะ 






ผมกรีดซองจดหมายพลางหยิบกระดาษที่ถูกพับไม่รู้กี่ทบใบนั้นขึ้นมา 






หนาจนซองจดหมายแทบปริอยู่แล้วเนี่ย 






‘แบบฟอร์มยืนยันการสอบเข้าและเลือกวิทยาลัย’ 






แค่เห็นชื่อเอกสาร ผมก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ 






วันเวลาที่ผมต้องจมอยู่ในกองหนังสือ มันวนกลับมาอีกแล้ว! 






ต่อให้ตอนนี้ผมจะมีเรื่องให้กังวลอีกเป็นพันอย่าง แต่ไม่ว่ายังไงก็หลีกเลี่ยงเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะถึงแม้ชีวิตจะวุ่นวายแค่ไหน สงครามจะเกิด แผ่นดินจะไหว พายุจะเข้า นักเรียนก็ยังต้องเรียนหนังสืออยู่ดี 






ชีวิตนักเรียนช่างเศร้าซึมเหลือหลาย 






ระบบของอ 






ผมกวาดตามองรายชื่อวิทยาลัย สถานที่ และวันเวลาในการสอบเข้ายาวเป็นพืดในจดหมาย นอกจากวิทยาลัยหลักแล้ว วิทยาลัยเอกชนที่ต้องสอบเข้า ทุกแห่งต้องส่งรายละเอียดและ ‘ค่าเช่าที่’ บางส่วนให้สถาบันกลางเพื่อที่จะได้อยู่บนกระดาษยาวเกือบเมตรแผ่นนี้ ยิ่งจ่ายมากก็ยิ่งได้อยู่ด้านบน 






ด้านบนสุดจะเป็นวิทยาลัยตามด้วยสาขา หมายความว่าวิทยาลัยเหล่านี้มีวิทยาลัยกลางแห่งอ 






นักเรียนต้องเลือกวิทยาลัยที่ต้องการสอบเข้าและส่งจดหมายตอบกลับไปที่วิทยาลัยกลาง และเนื่องจากข้อสอบของแต่ละที่สอบในวันและเวลาที่ต่างกัน จึงมีนักเรียนหลายคนที่เลือกหลาย ๆ วิทยาลัยเพื่อกระจายความเสี่ยง เพราะถ้าสอบไม่ผ่านก็ต้องรอสอบใหม่อีกทีปีถัดไป 






ผมกวาดตามองแค่พอผ่านๆ เพราะมีวิทยาลัยที่ต้องเข้าอยู่แล้ว 






วิทยาลัยเวทมนตร์ สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาศาสตร์ด้านเวทมนตร์ทุกแขนง 






วิทยาลัยทหาร สำหรับผู้ที่ต้องการเข้ากองทัพ หรือศึกษาด้านการต่อสู้และยุทธศาสตร์… อันนี้สินะที่ลูเธอร์จะเข้า 






วิทยาลัยการปกครอง สำหรับขุนนาง นักบริหาร และผู้ที่ต้องการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ การปกครอง และการทูต… นี่ไงที่ผมต้องเข้า 






ในฐานะเชื้อสายดยุคคนหนึ่ง แน่นอนว่าผมจำเป็นต้องเข้าวิทยาลัยการปกครอง 






ทายาทชนชั้นสูงแทบจะทั้งหมดเข้าเรียนที่นั่น แม้ว่าผมจะไม่ได้มีอำนาจทางการเมืองโดยตรง แต่ก็ต้องสร้างคอนเนคชั่นไว้เผื่ออนาคต อีกอย่าง วิทยาลัยการปกครองก็ไม่ได้มีแต่หลักสูตรด้านการปกครองอย่างเดียว มันยังมีสาขาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ การเจรจา และเศรษฐกิจ ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ผมต้องใช้ในอนาคตทั้งสิ้น 






“…ปล่อยไว้เดี๋ยวก็ลืมอีก กรอกเลยแล้วกัน” 






ผมหยิบปากกาเตรียมจะกรอกคำว่า ‘วิทยาลัยการปกครอง’ ลงไปในใบตอบกลับ 






แต่พอปลายปากกาจรดลงบนกระดาษ ผมกลับชะงักไป 






…ลิเลียน 






ถ้าเกิดนะ ถ้าเกิดว่า คนที่ใช้ชีวิตเป็นลิเลียนอยู่ในตอนนี้ ไม่ใช่น้องสาวของผมจริงๆ 






ต้นตอของเหตุการณ์นี้ก็คงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเวทมนตร์ 






ถ้าหากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับลิเลียนเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ แต่ผมไม่มีความรู้เรื่องเวทมนตร์เลยแม้แต่นิดเดียว แล้วผมจะช่วยเธอได้ยังไงล่ะ? 






ผมกลืนน้ำลาย ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นไปมองตัวเลือกแรก 






วิทยาลัยเวทมนตร์ 






การเลือกวิทยาลัยเวทมนตร์ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะบุตรหลานของขุนนางจำนวนไม่น้อยก็เข้าเรียนที่นี่ เพียงแต่ส่วนใหญ่มักเป็นตระกูลสายรอง ทายาทที่ไม่มีสิทธิ์ได้รับสืบทอด หรือถูกครอบครัวส่งมาเพื่อรักษาภาษีความเป็นนักเวทเอาไว้ 






ผมเม้มปาก 






ถ้าผมเรียนที่นั่น อย่างน้อยผมก็น่าจะหาคำตอบได้ว่าลิเลียนกำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่… หรืออาจจะหาทางช่วยเธอได้ 






แต่… 






“…เวทมนตร์เหรอ” 






ถ้าถามว่าบนโลกนี้มีอะไรที่ผมทั้งเกลียดทั้งกลัวที่สุด ผมสามารถตอบได้อย่างไม่ลังเลเลยว่า 






ผมไม่ชอบเวทมนตร์