น้องสาวของผมเปลี่ยนไป อะไรที่ไม่ชอบทำก็กลายเป็นชอบทำ อะไรที่เคยทำก็จำไม่ได้ ราวกับว่า…มีใครบางคนอยู่ในร่างน้องสาวของผม แต่ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในจะเป็นใคร มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!
แฟนตาซี,ครอบครัว,ตลก,ดราม่า,slice of life,ไม่มีนางเอก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!น้องสาวของผมเปลี่ยนไป อะไรที่ไม่ชอบทำก็กลายเป็นชอบทำ อะไรที่เคยทำก็จำไม่ได้ ราวกับว่า…มีใครบางคนอยู่ในร่างน้องสาวของผม แต่ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในจะเป็นใคร มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!
หลังจากน้องสาวที่ป่วยหนักฟื้นขึ้นมา นิสัยของเธอก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย
ของกินที่ชอบก็ลายเป็นไม่ชอบ จากที่ซนเป็นลิงก็กลายเป็นเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ การพูดจา เสื้อผ้าที่ใส่ นิสัยแย่ ๆ ที่ชอบเผลอทำก็เปลี่ยนไปด้วย
ไม่สิ…ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ นอกจากชื่อของเธอเองและชื่อของคนในครอบครัวแล้ว เธอจำอะไรไม่ได้เลย
ทั้ง ๆ ที่ต้องถามหลายเรื่องเอาจากพี่ ๆ เมด แต่กลับยังแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ
แกล้งทำเป็นรู้จักผม ทำเป็นรู้จักท่านพ่อท่านแม่ แถมยังแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ด้วยการบอกว่าตัวเองมาจากอนาคต
ไม่ว่าหน้าตาของเธอจะเป็นยังไง ไม่ว่ารอยแผลบนมือจะเป็นพิมพ์เดียวกับที่ผมจำได้แค่ไหน
นี่ไม่ใช่น้องสาวของผม
มีใครบางคนกำลังสวมร่างน้องสาวของผมอยู่
ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในจะเป็นใคร มีจุดประสงค์อะไรก็ช่าง
มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!
( นิยายรายสัปดาห์ หลังครบ 6 ตอน จะอัพทุกวันศุกร์หนึ่งทุ่มค่ะ )
ถ้าถามว่าบนโลกนี้มีอะไรที่ผมทั้งเกลียดทั้งกลัวที่สุด ผมสามารถตอบว่าเวทมนตร์ได้อย่างไม่ลังเล
จริงอยู่ที่เวลาว่างผมก็ทำอุปกรณ์ฆ่าเวลาขำๆ ตามรีเควสต
มัน หนัก หนา สา หัส มาก!
เป็นนรกของเด็กไม่ชอบเรียนอย่างผม!
นรกขุมที่ลึกที่สุด!!!
ผมต้องอธิบายก่อนว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับเวทมนตร์ก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์ทุกคนจะใช้เวทมนตร์ได้อย่างคล่องแคล่ว
คนส่วนใหญ่ทำได้แค่ควบคุมพลังเวทอย่างง่ายๆ ไปดึง ผลัก หรือทำให้ของลอยขึ้นจากพื้น ใครหลายคนต้องพยายามแทบตายกว่าจะเสกไฟหรือบอลน้ำลูกเล็กๆ กลางอากาศได้
เพราะก่อนจะใช้เวทมนตร์ได้ ต้องมีความรู้เสียก่อน
เวทมนตร์ในโลกนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่พลังวิเศษที่ใครๆ ก็สามารถใช้ได้ ผู้ที่สามารถใช้เวทได้อย่างคล่องแคล่วจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับเวทศาสตร์นั้นอย่างลึกซึ้ง
เวทพื้นฐานที่คนส่วนใหญ่ใช้กันเป็นปกติเป็นแค่การขยายขอบเขตการควบคุมพลังเวทของตัวเองออกไป ให้พวกมันกลายเป็นเหมือนมือล่องหนที่ช่วยผลัก ดึง หรือควบคุมสิ่งของได้ตามต้องการ
แต่เวทมนตร์ส่วนใหญ่มีความซับซ้อนกว่านั้นมาก ถ้าต้องการการสร้างบอลเพลิง หรือเสกน้ำออกมาจากความว่างเปล่า ก็ต้องมีความเข้าใจในกลไกที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านั้นเสียก่อน
ดังนั้นต่อให้ตะโกนว่า บอลเพลิงงงงง ย๊ากกกกกก เหมือนลิเลียนสมัยเด็กๆ ก็ไม่มีอะไรโผล่มาให้หรอกนะครับ!
เวทมนตร์จึงเป็น “ศาสตร์ที่ต้องศึกษาให้เข้าใจ” ไม่ใช่พลังที่ใครอยากจะใช้ก็ใช้ได้ตามใจชอบ
ถ้าอยากจะเสกน้ำ ก็ต้องเข้าใจโครงสร้างของน้ำ การควบแน่นของไอน้ำในอากาศ หรือแม้แต่การดึงโมเลกุลจากสภาพแวดล้อมรอบตัวให้รวมเป็นหยดน้ำ
ถ้าจะจุดไฟ ก็ต้องรู้ก่อนว่าไฟเกิดจากการสันดาป แต่นอกจากนั้นต้องมีอะไรอีก? ออกซิเจน เชื้อเพลิง และต้องทำอุณหภูมิให้ถึงจุดที่ติดไฟให้ได้
แต่ก่อนจะถึงตรงนั้น แล้วทำยังไงอุณหภูมิในจุดจุดหนึ่งถึงจะสูงขึ้นอย่างฉับพลัน?
นักเวทถึงได้หายากนักยังไงล่ะครับ
ต้องเรียนหนักเหมือนไม่ใช่คน ประชากรนักเวทถึงได้ลดลงทุกวันๆ
ถ้าเลือกได้ ผมเองก็ไม่อยากเป็นหนึ่งในนั้นหรอกครับ ฮึก
เวทเหล่านั้นถูกเรียกว่าเวทสายหลัก ซึ่งปัจจุบันเป็นแนวทางสากลสำหรับการฝึกฝนเหล่านักเวทรุ่นใหม่ แต่นอกจากเวทสายหลักแล้ว บนโลกนี้ก็มีคนบางกลุ่มที่สามารถใช้พลังพิเศษบางอย่างได้โดยที่พวกเขาเองยังไม่เข้าใจว่ามันทำงานอย่างไรอยู่เช่นกัน
เราเรียกคนกลุ่มนี้ว่าผู้ใช้เวทสายรอง พวกเขาต่างจากผู้ใช้เวทสายหลักที่ขอเพียงเข้าใจหลักการ ไม่ว่าใครก็สามารถใช้เวทเหล่านั้นได้ กลไกของเวทสายรองเป็นสิ่งที่ยังอยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ เช่น การสื่อใจกับสัตว์ พลังในการมองเห็นวิญญาณ หรือแม้แต่การใช้เสียงเพลงสะกดใจผู้คนให้หลงใหล
แต่คนกลุ่มนี้หายากมากเลยครับ ผมเองก็ยังไม่เคยเจอตัวเป็นๆ
และนอกจากนี้ ยังมี “พระพรของพระเจ้า” ซึ่งเป็นพลังที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของเวทมนตร์ทั่วไปทั้งหมดทั้งมวล
พระพรนี้จะปรากฏขึ้นแบบสุ่ม เกิดได้ทั้งกับเด็ก ผู้ใหญ่ หรือแม้แต่คนชราบางคนก็เพิ่งได้รับพระพรตอนอายุมากแล้วก็มี
พระพรของพระเจ้าไม่ต่างอะไรจากปาฏิหาริย์เลยครับ
มันสามารถใช้ได้ตั้งแต่รักษาบาดแผลเล็กไปจนถึงแผลขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะงอกแขนขาใหม่ ทำให้พืชเติบโต หรือแม้แต่ชำระล้างวิญญาณร้าย พระพรเหล่านี้ไม่ต้องอาศัยความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์หรือเวทมนตร์ใดๆ ทั้งสิ้น ขอเพียงพวกเขาภาวนา พระเจ้าก็จะประทานลงมาให้
แต่พระพรก็มีข้อจำกัดอยู่
หนึ่งก็คือ พระพรไม่ใช่สิ่งที่พบเจอได้ทั่วไป ในประชากรหนึ่งพันคนมีผู้ได้รับพระพรสักคนก็นับว่าโชคดีมากแล้ว ยังไม่นับว่าพลังของผู้มีพระพรส่วนใหญ่ ใช้รักษาแผลขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่สักหนึ่งครั้งพลังก็หมดเกลี้ยง ต้องนอนแบ็บรอให้พลังกลับคืนอีกค่อนวัน
ดังนั้นศาสนจักรอันศักดิ์สิทธิ์จึงแก้ปัญหาการขาดแคลนพระพรด้วยการจับนักบวชทั้งน้อยใหญ่เรียนแพทย์เสียให้หมด แถมยังเปิดรับสมัครคนที่ไม่ได้รับพระพรเข้าไปเรียนอีกเพียบ
เหมือนพยายามประกาศว่า ‘ถึงพระพรจะหายาก แต่หมอต้องมีพอให้คนทั้งโลกใช้!’ อะไรทำนองนั้น
ใช่ครับ วิชาแพทย์เป็นวิชาบังคับของเหล่านักบวช ทุกวันนี้ถ้าเห็นใครใส่ชุดนักบวชเดินอยู่กลางถนน อย่างแรกที่ทุกคนคิดไม่ใช่ ‘โอ้ นี่ผู้มีพระพรนี่นา!’ แต่เป็น ‘โอ้ เด็กตัวแค่นี้ก็ต้องเรียนแพทย์แล้วหรือนี่…’ แทน
แม้แต่นักบวชก็ต้องเรียนหนังสือแล้ว… โลกนี้ช่างอยู่ยาก
แต่เรื่องนี้ก็ส่งผลกระทบในแง่ดีมากต่อสังคม เพราะด้วยความช่วยผลักดันอย่างสุดกำลังของศาสนจักร คนรุ่นใหม่ส่วนมากเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยก็เลือกไปหาหมอเป็นอันดับแรก ไม่เหมือนหลายสิบปีก่อนที่ทุกคนตะเกียกตะกายเพื่อให้ได้รับพระพรกันอย่างเดียว
และอีกข้อจำกัดหนึ่งก็คือ ถ้าผู้ที่ได้รับพรมีการกระทำที่ไม่สมควร เช่นพยายามทำร้ายหรือทำลายชีวิตผู้อื่น พระเจ้าจะริบพรที่ประทานให้กลับคืนสู่พระองค์ทันที
จากที่มีน้อยอยู่แล้ว ยังต้องหารคนออกไปอีก…
ปัจจุบันก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ‘การกระทำไม่สมควร’ นี้พระผู้เป็นเจ้าใช้สิ่งใดมาตัดสินกันแน่ เหล่านักบวชที่ได้รับพระพรจึงต่างทำตัวเป็นเด็กดีเรียบร้อยอยู่กับร่องกับรอยกันทั้งสิ้น
ผมเคยได้ยินคุณลุงหมอเล่าว่า โดยส่วนมากจะตัดสินจากเจตนามากกว่าผลของการกระทำ
แต่ถึงไม่ได้ตั้งใจ ถ้าสุดท้ายการกระทำไม่ยั้งคิดนั้นส่งผลให้เกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นภายหลัง ก็มีสิทธิ์โดนริบได้เหมือนกัน
เหล่านักบวชเวลาจะทำอะไรก็เลยรอบคอบเป็นพิเศษครับ ก่อนจะลงมือต้องคิดแล้วคิดอีก เลยมีชื่อเล่นอีกชื่อที่คนเรียกกันคือพวกเต่า
ฟังดูน่ารักดีนะครับ
จะว่าไป พอพูดถึงพระพรแล้ว ผมรู้สึกเหมือนตัวเองลืมอะไรสักอย่างแต่นึกไม่ออก
อะไรน้า
พระพร… ศาสนจักร…
ศาสนจักร… อันศักดิ์สิทธิ์…
หือ?
ใช่แล้ว สตรีศักดิ์สิทธิ์!
ผมเอามืออุดปาก
ผมลืมคนที่สำคัญที่สุดในสมการนี้ไปได้ยังไง!
เมล
เมล
เมลลิสซ่าหรือเมลลี่ เธอคือสตรีศักดิ์สิทธิ์หนึ่งเดียวของเทพเจ้า พระพรของเธอที่พระองค์ประทานให้มีพลังเหนือกว่าเหล่านักบวชคนอื่นอย่างมหาศาล ว่ากันว่าพลังของเธอไม่ต่างอะไรจากปาฏิหาริย์ของพระเจ้าขนาดย่อมๆ
แต่ก่อนหน้าที่จะเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ เธอเป็นบุตรีของดยุคแห่งแดนใต้ เพื่อนสนิทของท่านพ่อ
เมลลี่เคยอาศัยอยู่กับพวกเราที่แดนตะวันออกหลายปี จนกระทั่งเธอสำแดงพลังศักดิ์สิทธิ์เมื่ออายุครบสิบสอง ถึงได้ย้ายไปยังศาสนจักรอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อฝึกควบคุมพลังมหาศาลของเธอ
เธอเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของลิเลียน
มีใครแจ้งข่าวเรื่องที่ลิเลียนฟื้นแล้วให้เธอไปหรือยังนะ…?
ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ คงต้องไปถามท่านแม่
พอเรื่องของเมลลี่แวบเข้ามาในหัว ผมก็ตัดสินใจว่าตัวเองคงต้องหาข้อสรุปเรื่องของลิเลียนให้ได้โดยเร็วที่สุดแล้ว
เพราะถึงฝูงเต่าจะมีความเนิบนาบร่วมกันเป็นวัฒนธรรมองค์กร แต่อย่างว่าแหละครับ ในหมู่เต่าธรรมดา นานๆ ทีก็มีพวกกลายพันธุ์โผล่มาบ้างเป็นเรื่องปกติ
ผมมั่นใจว่าถ้าเมลลี่รู้เรื่องที่ลิเลียนล้มป่วย พอได้ข่าวว่าเธอฟื้นแล้วสาวน้อยคนนั้นต้องบึ่งมาหาลิเลียนแน่นอน
จะให้เธอเจอกับลิเลียนที่เปลี่ยนไปไม่ได้เด็ดขาด!
ผมอุตส่าห์รักษาสภาพการณ์ให้ดูเป็นปกติที่สุดเพื่อที่จะหาความแตกต่างทั้งหลายระหว่างลิเลียนก่อนเทียบกับหลังป่วยได้สะดวก จะให้ยัยเด็กขี้โวยวายคนนั้นพุ่งเข้ามาเหมือนไต้ฝุ่นแล้วพังทุกอย่างราบเป็นหน้ากลองในม้วนเดียวไม่ได้หรอกนะ!
เมลลี่ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ แต่โดยเนื้อแท้แล้วเธอเป็นคนโผงผาง ไม่ว่าจะทำอะไรก็มือไวใจเร็ว เรียกได้ว่าเป็นพวกต่อยก่อนแล้วค่อยมาขอคืนดีกันทีหลัง ถ้าลิเลียนทำตัวแปลกๆ ใส่เธอเข้าล่ะก็ ต้องโดนเมลลี่เท้าเอวถามว่า ‘นี่เธอเป็นอะไรของเธอเนี่ย! อย่ามาทำตัวแบบนี้ใส่ฉันนะ! มีอะไรก็พูดมาตรง ๆ!’ แหง
แล้วทุกอย่างที่ผมพยายามรักษาให้อยู่ในสภาพปกติเพื่อตะล่อมถามความลับก็จะพังครืนนนน กลายเป็นซากผุๆ พังๆ
ผมยัดจดหมายตอบกลับที่ยังคงโล่งโจ้งใส่ลิ้นชัก
เรียนหรือไม่เรียน คิดตอนนี้ไปจะได้อะไรขึ้นมา ในเมื่อทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับว่าลิเลียนเป็นตัวจริงหรือตัวปลอมกันแน่
ถ้าจะเลือก ค่อยมาเลือกหลังสถานการณ์ของลิเลียนกระจ่างแล้วก็แล้วกัน!
.
.
.
ผมที่สะสางเรื่องวุ่นวายจนหัวหมุนอยู่ในห้องตั้งแต่เช้าจนลืมทานข้าวเที่ยงลูบปลอบท้องที่ร้องโฮกฮากขณะย้ายร่างไปรับประทานอาหารค่ำ
แต่หลังจากเปิดประตู ผมที่เข้ามาในห้องอาหารถึงกับต้องกะพริบตาปริบๆ
นี่ผมเข้าผิดห้องหรือยังไงเนี่ย!
โต๊ะยาวสามเมตรแปดเมตร พื้นด้านล่างปูพรมสีแดงสด เก้าอี้เลี่ยมทอง แชนเดอเลียคริสตัลขนาดมหึมาสะท้อนแสงเป็นประกายระยิบระยับ ไหนจะอาหารเรียงรายแน่นเอี๊ยดไปจนสุดขอบโต๊ะนั่นอีก
นี่… นี่ผมพลาดอะไรไปหรือเปล่า หรือวันนี้ที่บ้านมีงานเลี้ยง ผมต้องกลับไปเปลี่ยนชุดก่อนไหม?
ที่หัวโต๊ะ ท่านพ่อท่านแม่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันที่ห้องอาหารอย่างหาได้ยาก ปกติไม่คนใดคนหนึ่งไปงานเต้นรำของขุนนางบ้านไหนสักบ้าน ก็ไปเป็นเจ้าภาพจัดงานการกุศล หรือไม่ก็มีเรื่องด่วนเข้าจนต้องทานอาหารที่ห้องทำงาน
ส่วนชุดที่ทั้งสองท่านใส่นั้น… ก็ดูเปลี่ยนไปนิดหน่อย ไม่ได้หรูหราประหนึ่งว่าหลังทานอาหารเสร็จจะควงกันไปงานเต้นรำต่อ แต่ก็ไม่ใช่ชุดที่ปกติใส่มาทานอาหารค่ำแน่นอน
ผมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ก่อนเอี้ยวตัวไปกระซิบข้างหูท่านพ่อ
“นี่มันอะไรกันครับ… วันนี้มีใครมาบ้านเราหรือเปล่า ผมต้องกลับไปเปลี่ยนชุดไหม”
สภาพลูกชายพ่ออีกนิดก็จะใส่ชุดนอนอยู่แล้วเนี่ย
ท่านพ่อควงแก้วไวน์ในมือเบาๆ ก่อนจะหันมาค้อนปะหลับปะเหลือกใส่ผม
ท่านไม่ชอบทานไวน์ไม่ใช่หรือครับ หรือความจริงนิสัยแปลกไปของลิเลียนมันจะเป็นโรคติดต่อ!?
“ลูกน่ะอย่ามาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปหน่อยเลย ลูกรู้ตั้งแต่ตอนคุยกับลิเลียนเมื่อเช้าแล้วไม่ใช่หรือไง เสียงโขกเตียงนั่นดังมาถึงห้องพ่อกับแม่เลยนะ!”
ก็แย่แล้ว ผมพูดเล่นน่า
ผมน่าจะรู้อยู่แล้วว่าระดับทั้งสองท่าน มีหรือจะมองไม่ออกว่าลูกสาวทำตัวแปลกไป
อย่าบอกนะว่าที่แต่งห้องอาหารซะอลังการอย่างกับองค์จักรพรรดิจะสเด็จเยือนที่บ้านนี่คือทำเพื่อดูปฏิกิริยาของลิเลียน? ต้องเล่นใหญ่กันขนาดนี้เลยเหรอครับ แชนเดอเลียแยงตาผมแทบบอดแล้วเนี่ย!
ท่านพ่อลูบหน้าผากผมพลางบ่นเบาๆ
“โตขนาดนี้แล้วยังสงบสติอารมณ์ด้วยการเอาหัวไปโขกอะไรสักอย่างอยู่อีก ถ้าพลาดทำเลือดตกยางออกขึ้นมาจะทำยังไง”
ผมหัวเราะแหะๆ ใส่มือที่เปลี่ยนจากลูบหน้าผากมาขยี้ผมจนยุ่งขณะเหลือบมองไปอีกฝั่งของโต๊ะ
ท่านแม่… กำลังยิ้มหวานอยู่ แต่เหมือนสติหลุดออกจากร่างไปแล้วครับ
เข็มกลัดติดหน้าอกเบี้ยว เครื่องประดับไม่ค่อยเข้ากับชุดเหมือนหยิบใส่แบบส่งๆ ถุงมือยาวก็มีอยู่ข้างหนึ่งที่ดึงไม่สุด นั่งตัวแข็งเป็นหิน ตาเหม่อมองไปไหนไม่ทราบ ท่าทางเหมือนวิญญาณล่องลอย
ท่านแม่เป็นถึงขนาดนี้ ผมก็เพิ่งจะเคยเห็นนี่แหละครับ
“ท่านพ่อครับ ท่านแม่ยังไหวอยู่หรือเปล่า…”
“ไม่ค่อย… เมื่อเที่ยงเธอไปหาลิเลียนมา เธอบอกว่าแผลเป็นกับไฝเม็ดเล็กๆ ยังอยู่เหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นน่าจะไม่ใช่การสลับตัว… ส่วนพ่อไปหาลุงหมอของลูกมาแล้ว เขาบอกว่าพระพรที่ใช้ไปตอนรักษาลิเลียนยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ถ้าจะตรวจสอบวิญญาณได้น่าจะต้องรอวันพรุ่งนี้”
ท่านพ่อเหลือบมองท่านแม่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่ง
“แม่ของลูกเพิ่งไปหาลิเลียนมา ตอนแรกว่าจะชวนน้องสาวลูกไปออกกำลังกายด้วยกัน แต่พอเห็นสภาพลิเลียนแต่งองค์ทรงเครื่องเธอก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ แล้ว แถมลิเลียนยังเอาแต่นั่งเรียบร้อย เรียกเธอท่านแม่ ท่านแม่ ทำเอาแม่แกลมแทบจับ อยู่คุยได้แค่พักเดียวก็กลับมาร้องห่มร้องไห้กับพ่อ แถมยังทึ้งหมอนขนเป็ดขาดไปตั้งสามใบ พ่อไม่มีหมอนใช้แล้วเนี่ย!”
อา… วันนี้เป็นวันที่ท่านแม่กับลิเลียนนัดกันไปออกกำลังทุกสัปดาห์นี่นา
ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ท่านแม่ลมแทบจับ
เพราะปกติแล้วคนที่ลิเลียนจะงัดลูกอ้อนออกมาใช้จนหมดหน้าตัก มีแต่ท่านแม่กับเมล
ที่เธออ้อนผมกับท่านพ่อเวลาปกตินั่นไม่ได้ครึ่งที่เธออ้อนท่านแม่เลย กับท่านพ่อเธอแค่เกาะแขน เอาหัวไถๆ แล้วก็ยอมโดนเคราแหลมๆ ทิ่มสักทีก็แจ้นหนีไปแล้ว แต่กับท่านแม่ลิเลียนแทบจะโถมใส่ทั้งตัว ออดอ้อนคลอเคลียตลอดเวลาอย่างกับเป็นลูกหมาตัวใหญ่ๆ
ผมเคยถามอยู่ว่าทำไมชีวิตช่างไม่เท่าเทียม แล้วลิเลียนให้เหตุผลกลับมาว่า เพราะผมกับพ่อไม่ใช่พี่สาวคนสวยน่ะสิ!
ขอโทษได้ไหมล่ะ ผู้ชายก็มีหัวใจเหมือนกันนะ ฮึก
ผมมองดูอาหารค่ำบนโต๊ะที่กระทบแสงแวววาวจากโคมไฟ
จานที่อยู่บริเวณฝั่งที่นั่งลิเลียน ทุกเมนูล้วนแล้วแต่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบ ซึ่งถือเป็นของแสลงอันดับหนึ่งของเธอ
ท่านพ่อท่านแม่ เกิดเป็นลิเลียนตัวจริงขึ้นมาจะโดนลูกสาวแหกอกเอานะครับ
ขอแค่เธอเห็นต้องโวยวายทำนอง ‘แม่จ๋าพ่อจ๋าไม่รักหนูแล้วเหรอ! จะเอาปีศาจกระเทียมมาฆาตกรรมหนูหรือไง! แงงงงงงงง!’ แล้วก็ห้อตะบึงไปอยู่ฝั่งที่ไม่มีกระเทียมอย่างไวแน่นอน
หลังจากผ่านไปอีกสักพักใหญ่ๆ ประตูห้องอาหารก็ถูกเปิดเสียงดังตึง! ก่อนที่ลิเลียนจะวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางร้อนรน
“ขอโทษด้วยนะคะ ข้าเดินเล่นเพลินจนลืมเวลาค่ะ”
พอเห็นลิเลียนที่หอบหายใจหันซ้ายหันขวา ท่านแม่ก็กวักมือเอ่ยด้วยเสียงหวานปานน้ำผึ้ง
“ไม่เป็นไรจ้ะ มานั่งตรงนี้สิจ๊ะ”
ลิเลียนนั่งลงข้างท่านแม่ด้วยท่าทางเกร็งๆ
ขณะนั้นเอง คุณปู่หัวหน้าพ่อบ้านเข้ามากระซิบข้างหูท่านพ่อ
“คุณหนูจำทางมายังห้องอาหารไม่ได้ เดินหลงไปอีกฝั่งหนึ่งของคฤหาสน์ก็เลยมาสายครับ”
ท่านพ่อหลับตา โบกมือเบาๆ ให้คุณปู่พ่อบ้านก่อนจะเริ่มลงมือทานอาหาร
ทั้งห้องอาหารเงียบสงัดไปชั่วขณะ มีแต่เสียงช้อนส้อมกระแทกกับจานดังเคร้งคร้าง
ผมรู้สึกอึดอัดจนทนไม่ไหว จึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“ลิเลียน ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมายังไม่มีอาการผิดปกติตรงไหนใช่หรือเปล่า? ถ้ารู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาให้รีบบอกคุณลุงหมอเลยนะ”
ลิเลียนที่ยังอยู่ในชุดแบบเดียวกับเมื่อเช้าช้อนตามองผม
“ข้าสุขภาพแข็งแรงดีค่ะท่านพี่”
พอพูดจบเธอก็เงียบไปอีกครั้ง
ไม่ชินเลย… ปกติเวลาทานอาหาร มีแต่ลิเลียนนี่แหละที่สรรหาเรื่องราวมาพูดไม่หยุด พอต้องเจอกับห้องอาหารเงียบๆ แบบนี้ทำเอาผมถึงกับไปต่อไม่ถูก
ผมพยายามเค้นสมองหาเรื่องชวนคุยต่อ
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ไปขี่ม้ารับลมกับพี่ดีไหม อยู่แต่ในคฤหาสน์มาตั้งนานแล้ว ก่อนหน้านี้เราอยากให้พี่สอนขี่ม้าไม่ใช่เหรอ?”
พระเจ้าครับ ผมขอสารภาพบาป
ผมเป็นคนขี้โกหกครับ ความจริงลิเลียนต่างหากที่เป็นอาจารย์สอนขี่ม้าของผม
ใช่ครับ ผมให้น้องสาวที่อายุน้อยกว่าห้าปีสอนตัวเองขี่ม้า
ก็ม้ามันตัวใหญ่น่ากลัวนี่นา! ตอนเด็กๆ ผมเคยโดนม้าดีดเข้าให้อยู่หนหนึ่ง หลังจากนั้นท่านพ่อท่านแม่กล่อมให้ตายผมก็ไม่ยอมเรียนขี่ม้าอีก
ม้าดีดเจ็บมากเลยครับ ผมรับไม่ไหว
แต่สุดท้ายผมก็ยอมให้ลิเลียนจนได้ครับ ตอนนี้ก็เลยขี่ม้าคล่องแล้ว อาจารย์ลิเลียนต้องภูมิใจในลูกศิษย์คนนี้แน่นอน
แต่ถ้าไม่ขี่ได้จะดีที่สุดครับ
ว่าแต่นี่ผมพูดอะไรออกไป… ตั้งใจไปล้วงความลับเขาแท้ๆ แต่ดันวกกลับมาแทงตัวเองเลือดอาบเสียอย่างนั้น
ต้องเป็นเพราะการจู่โจมสายฟ้าแลบของท่านพ่อท่านแม่ทำผมอึ้งจนสติหลุดไปแน่ๆ
ลิเลียนดูเหมือนสนอกสนใจขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่หลังจากใคร่ครวญสักพัก เธอก็ส่ายหน้า
ผมที่เกือบเอาคอตัวเองขึ้นไปพาดบนเขียงรีบสะกิดขาท่านพ่อขอความช่วยเหลือ
ดูเหมือนพอมีเสียงพูดคุยกัน ทั้งสองท่านก็เริ่มปรับตัวได้แล้ว หลังจากนั้นจึงเป็นทีของท่านพ่อท่านแม่ที่รับช่วงถามสารทุกข์สุกดิบต่อ
ลิเลียนทานอาหารตรงหน้าอย่างมีความสุข โดยที่ตอบคำถามเป็นระยะๆ
กินกระเทียมได้จริงๆ ด้วย…
ยิ่งมองเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า ผมก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเธอเป็นคนอื่น
นอกจากหน้าตาแล้ว เธอไม่มีอะไรคล้ายกับลิเลียนเลยสักอย่าง ไม่ว่าจะท่าทางการนั่ง ยืน เดิน ยิ่งพอเปลี่ยนทรงผมกับชุดก็ยิ่งดูไม่เหมือนเข้าไปใหญ่
นอกจากเธอจะไม่เอะใจกับการพูดจาและพฤติกรรมประหลาดๆ อย่างท่านแม่ที่พูดคะขากับลิเลียนเสมอเปลี่ยนไปใช้จ้ะจ๋ากับเธอ ท่านพ่อที่บอกว่าไวน์เป็นน้ำที่ไม่อร่อยที่สุดในโลกดันมาแกว่งแก้วไวน์โชว์หราอยู่ตรงหน้า เธอยังไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับห้องอาหารอย่างที่ผมเป็นเลยแม้แต่นิดเดียว
นอกจากนี้เธอยังรู้สถานการณ์บ้านเมืองอย่างคร่าวๆ รู้ว่ามีการรบกัน แต่ดันไม่รู้ว่ากำลังรบกับใคร ทั้งๆ ทั้งที่ก่อนหน้าเธอเป็นคนที่กังวลเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ที่สุด โวยวายให้ท่านพ่อท่านแม่เริ่มกักตุนเสบียงตั้งแต่ช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงเผื่อแบ่งส่งให้กองทัพแดนเหนือในช่วงฤดูหนาว
ตลอดเวลา เธอมักจะเหลือบมองผมเป็นระยะๆ เวลาได้ยินเรื่องเกี่ยวกับผมตอนเด็กก็จะฟังด้วยดวงตาเป็นประกาย แต่เป็นสายตาที่ทำให้ผมอึดอัดอยู่ในใจ
ผมค่อนข้างคุ้นเคยกับมัน เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนมองผมด้วยสายตาแบบนี้
เป็นสายตาเดียวกับที่พวกรุ่นน้องใช้มองผม สายตาที่ชื่นชมชื่นชอบ เหมือนกับมองงานศิลปะสวยๆ หรือเครื่องประดับอัญมณีสูงค่าในตู้โชว์
ไม่เหมือนสายตาที่ใช้มองคนในครอบครัวเลยสักนิด
.
.
.
ในวันถัดมา ตลอดทั้งวันลิเลียนเหมือนพยายามหลบหน้าหลบตาผมอยู่
อันที่จริง เมื่อวานนี้หลังจากที่เธอโพล่งเรื่องมาจากอนาคตขึ้นมา เธอก็ดูเหมือนเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปอยู่หน่อยๆ แล้วถอยออกจากห้องไปพร้อมกับกำชับผมว่าห้ามบอกใครทั้งนั้น
ในเวลานั้นผมที่ในสมองมีแต่เรื่อง ‘ลิเลียนเปลี่ยนไป!’ ‘เธอดูไม่เหมือนลิเลียนเลยสักนิด!’ ‘นี่ไม่ใช่น้องสาวของผม’ ‘หรือเธอจะมาจากอนาคตจริงๆ ?’ ตีกันอุดตลุด ตัดสินใจว่าควรกลับมาตั้งสติก่อน แล้วค่อยกลับไปถามเธอเรื่องอนาคตที่ว่าอีกครั้ง
แต่หลังจากนั้น เพราะเรื่องยุ่งวุ่นวายทำให้ผมลืมไปเสียสนิท
หรือบางที... ผมอาจแค่กลัวคำตอบนั้นจนไม่กล้าถามจริงๆ
วันนี้ ด้วยความร่วมมือร่วมใจของพวกเราสามพ่อแม่ลูกและเหล่าพี่ๆ คนรับใช้ในคฤหาสน์ ในที่สุดพวกเราก็รวบรวมข้อมูลความเปลี่ยนแปลงของลิเลียนมาได้พอสมควร
พวกเรานำข้อมูลทั้งหมดมารวมกัน ตั้งแต่ลิเลียนเริ่มทำตัวแปลกไปหลังจากฟื้นขึ้นมา เรื่องที่ร่างกายของเธอยังมีแผลเป็นอยู่ที่เดิมและแข็งแรงสมบูรณ์ดีทุกประการ รวมทั้งพฤติกรรมต่างๆ ที่เปลี่ยนไปของเธอทั้งหมดที่พวกเราพบ
แน่นอนว่ารวมเรื่องที่เธอบอกว่ามาจากอนาคตด้วย
ในสถานการณ์ปกติ ผมจะไม่ทำแบบนี้หรอกครับ แต่ในครั้งนี้ ความผิดปกติของลิเลียนมันใหญ่หลวงเกินไปจริงๆ
ถ้าเธอคือลิเลียนจากอนาคต ผมยินดียอมรับผิดทุกอย่าง
และถ้าการปากโป้งของผมทำให้เกิดปัญหาตามมา ผมจะพยายามแก้ไขอย่างสุดความสามารถ
แต่ตอนนี้ ผมขอเลือกความปลอดภัยของครอบครัวเป็นอันดับแรก
สุดท้ายพวกเราก็ได้ข้อสรุปที่เป็นไปได้คือ หนึ่ง อาจมีการสลับวิญญาณเกิดขึ้น สอง ลิเลียนอาจมาจากอนาคตจริงๆ แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างเธอจึงทำตัวห่างเหินจากพวกเรา
และอันที่จริง ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ เป็นผลมาจากมาจากสาเหตุที่ทำให้ลิเลียนล้มป่วยครับ
เมื่อสัปดาห์ก่อน ลิเลียนเริ่มล้มป่วยหลังจากเหตุการณ์ปะทุพลังเวท
ถ้าถามว่าการปะทุพลังเวทคืออะไร
ให้เล่าง่ายๆ บนโลกนี้ทุกคนจำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนให้สร้างช่องทางปลดปล่อยพลังเวทออกสู่โลกภายนอกตั้งแต่ยังเด็ก เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมกับพลังเวท โดยที่พลังภายในร่างกายของเด็กๆ จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามอายุไปจนกระทั่งพ้นช่วงวัยเจริญเติบโต
หากไม่มีการสร้างช่องทาง พลังเวทที่สะสมอยู่ในร่างกายจะไม่สามารถปลดปล่อยออกนอกร่างกายได้อย่างปลอดภัย และก่อให้เกิดการปะทุพลังเวทในที่สุด
การปะทุพลังเวทถือเป็นเรื่องใหญ่มากครับ มันเป็นการระเบิดของก้อนพลังมหาศาลที่สะสมมาเป็นระยะเวลานาน ซึ่งสามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์พลังเวทต่าง ๆ ที่อยู่เหนือสามัญสำนึกได้เป็นพะเรอเกวียน
และเมื่อเกิดการปะทุแล้ว หากไม่สร้างบางสิ่งก็ต้องทำลายบางอย่าง และหากพลังนั้นไม่ส่งผลต่อสิ่งที่เป็นรูปธรรม ก็ต้องส่งผลกระทบต่อสิ่งที่เป็นนามธรรมอย่างเลี่ยงไม่ได้
บางครั้งการระเบิดก็เกิดในรูปแบบของพายุพลังเวทที่ทำลายพื้นที่รอบตัวพังพินาศ ทำให้ดอกไม้ใบหญ้าเบ่งบานอย่างผิดวิสัย หรือบางครั้งก็ส่งผลต่อตัวเด็กเอง มีแบบเบาๆ อย่างแค่หมดสติ หรือกระทั่งทำให้เกิดการเสียชีวิตก็มีมาแล้ว
และถึงแม้จะยังไม่เคยมีการบันทึกไว้ แต่ในทางทฤษฎี การปะทุพลังเวทก็สามารถส่งผลต่อวิญญาณได้เช่นเดียวกัน
เหมือนที่เกิดขึ้นกับลิเลียน
ไม่ว่าจะเป็นการสลับวิญญาณเป็นคนอื่น หรือการที่วิญญาณตอนโตย้อนกลับมาสวมร่างของตัวเองตอนเด็ก
สุดท้ายผมกับท่านพ่อท่านแม่ตัดสินใจจะรอคำตัดสินสุดท้ายจากคุณหมอประจำตระกูลผู้เคยเป็นอดีตอัครสังฆราชของศาสนจักรอันศักดิ์สิทธิ์ ให้คุณลุงใช้พระพรตรวจสอบร่างวิญญาณ ว่าวิญญาณดวงนั้นใช่วิญญาณของลิเลียนหรือไม่
โดยปกติแล้วร่างวิญญาณจะมีรูปร่างเหมือนกันกับร่างเนื้อ ถ้าเธอคือลิเลียนจากอนาคต ถึงร่างวิญญาณจะดูโตกว่าตอนนี้แต่ก็ไม่ควรจะต่างกันมาก
แม้จากทั้งตรรกะและเหตุผลจะบอกพวกเราว่าการมีวิญญาณของคนอื่นมาสวมร่างจะมีความเป็นไปได้สูงกว่าการย้อนเวลาก็ตาม แต่พวกเราก็ยังไม่อยากละทิ้งความหวัง
เหมือนกับญาติผู้ป่วยที่ยังขอร้องแพทย์ให้กู้ชีพต่อไปแม้หัวใจจะหยุดเต้นไปแล้วมากกว่าห้านาที
ถึงจะรู้ว่าไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว แต่ก็พยายามยื้อเวลาให้นานที่สุด โดยที่ในใจก็วาดฝันให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นในวินาทีสุดท้าย
ผมมองท่านพ่อกับท่านแม่ที่กุมมือกัน ขณะที่ในหัวนึกย้อนไปถึงต้นตอการปะทุพลังเวท
ถ้าเป็นไปตามกระบวนการปกติ ลิเลียนควรจะใช้พลังเวทได้ตั้งแต่ห้าหรือหกขวบแล้วครับ
แต่ด้วยสถานการณ์พิเศษของเธอที่ครอบครัวเราทราบดี ทำให้หนทางในการเรียนรู้เวทมนตร์ของลิเลียนเต็มไปด้วยอุปสรรคนานัปการ
ไม่ว่าพวกเราจะพยายามด้วยวิธีไหนก็ไม่ประสบความสำเร็จเรื่อยมา จนสุดท้ายเวลาก็ล่วงเลยมาจนกระทั่งหนึ่งสัปดาห์หลังจากลิเลียนอายุครบสิบสามปีเต็ม
ตามที่ท่านพ่อท่านแม่เล่า ในวันนั้นเกิดการปะทุรุนแรงมาก คลื่นพลังเวททำให้คฤหาสน์ทั้งหลังสั่นสะเทือน ครั้งนั้นพวกท่านส่งจดหมายมาด้วยความโล่งใจว่าอย่างน้อยการปะทุของเธอก็ดูจะไม่ส่งผลร้ายแรงอะไร แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าหลังจากนั้นลิเลียนจะหมดสติและมีไข้สูงไม่ยอมลดนานถึงหนึ่งสัปดาห์ ทำเอาทุกคนในคฤหาสน์ใจหายใจคว่ำกันไปหมด
จิตใต้สำนึกของลิเลียนที่ไม่ยอมรับการมีอยู่ของพลังเวททำให้เธอไม่เคยใช้เวทมนตร์ได้สำเร็จเลยสักครั้งเดียว พวกเราทำได้แค่ให้เธอได้อยู่ใกล้ชิดกับเวทมนตร์จนกว่าจิตใจจะไม่เกิดการต่อต้าน แต่จะใช้เวลานานแค่ไหน พวกเราเองก็บอกไม่ได้เช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้พลังเวทของลิเลียนจึงอัดแน่นอยู่ในร่างกายโดยไม่มีช่องทางสู่ภายนอกอย่างที่ควรจะเป็นมาตลอดสิบกว่าปี ทำให้การปะทุของเธอในครั้งนั้นรุนแรงเป็นอย่างมาก
พวกเรากลัวว่าการปะทุพลังเวทของลิเลียนจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่มาตลอด
และสุดท้าย... ความกังวลของเรากลายเป็นจริง
ช่วงดึก หลังจากลิเลียนหลับไปแล้ว พวกเราทุกคนรออยู่ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ ขณะที่ให้คุณหมอไปตรวจสอบร่างวิญญาณของลิเลียน
ผมยืนผินหน้าออกไปทางหน้าต่าง ประสานมือขอพระเจ้าอวยพรให้ลิเลียนอยู่ในใจ
แต่ความจริงก็โหดร้ายอยู่เสมอเลยครับ
เพราะปาฏิหาริย์ไม่เกิดขึ้นจริง