น้องสาวของผมเปลี่ยนไป อะไรที่ไม่ชอบทำก็กลายเป็นชอบทำ อะไรที่เคยทำก็จำไม่ได้ ราวกับว่า…มีใครบางคนอยู่ในร่างน้องสาวของผม แต่ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในจะเป็นใคร มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!
แฟนตาซี,ครอบครัว,ตลก,ดราม่า,slice of life,ไม่มีนางเอก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!น้องสาวของผมเปลี่ยนไป อะไรที่ไม่ชอบทำก็กลายเป็นชอบทำ อะไรที่เคยทำก็จำไม่ได้ ราวกับว่า…มีใครบางคนอยู่ในร่างน้องสาวของผม แต่ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในจะเป็นใคร มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!
หลังจากน้องสาวที่ป่วยหนักฟื้นขึ้นมา นิสัยของเธอก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย
ของกินที่ชอบก็ลายเป็นไม่ชอบ จากที่ซนเป็นลิงก็กลายเป็นเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ การพูดจา เสื้อผ้าที่ใส่ นิสัยแย่ ๆ ที่ชอบเผลอทำก็เปลี่ยนไปด้วย
ไม่สิ…ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ นอกจากชื่อของเธอเองและชื่อของคนในครอบครัวแล้ว เธอจำอะไรไม่ได้เลย
ทั้ง ๆ ที่ต้องถามหลายเรื่องเอาจากพี่ ๆ เมด แต่กลับยังแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ
แกล้งทำเป็นรู้จักผม ทำเป็นรู้จักท่านพ่อท่านแม่ แถมยังแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ด้วยการบอกว่าตัวเองมาจากอนาคต
ไม่ว่าหน้าตาของเธอจะเป็นยังไง ไม่ว่ารอยแผลบนมือจะเป็นพิมพ์เดียวกับที่ผมจำได้แค่ไหน
นี่ไม่ใช่น้องสาวของผม
มีใครบางคนกำลังสวมร่างน้องสาวของผมอยู่
ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในจะเป็นใคร มีจุดประสงค์อะไรก็ช่าง
มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!
( นิยายรายสัปดาห์ หลังครบ 6 ตอน จะอัพทุกวันศุกร์หนึ่งทุ่มค่ะ )
หลังจากที่คุณลุงลูค หรือก็คือคุณหมอใช้พระพรตรวจสอบร่างวิญญาณของลิเลียน ทุกคนในบ้านก็ได้แต่ยอมรับความจริงอย่างเลี่ยงไม่ได้
วิญญาณที่ใช้ร่างของน้องสาวอยู่ไม่ใช่ลิเลียนจริงๆ และไม่ใช่ตัวเธอจากอนาคตเช่นกัน
วิญญาณที่อยู่ในร่างกายนั้นเป็นของคนอื่น
คุณลุงที่ใช้พระพรหมดเกลี้ยงจนดูซูบลงไปหน่อย มีพี่สาวเมดก
ก่อนไปท่านพ่อที่ดูกังวลทำท่าเหมือนจะพาผมไปปลอบด้วย แต่ผมไหวตัวทันดันหลังทั้งคู่ออกจากห้องแล้วปิดประตูกันไว้ก่อน
ถ้าไปด้วยพรุ่งนี้ผมต้องตื่นมาพร้อมกับตาบวมปูดแหงๆ
…อีกอย่าง ทางนี้ก็มีคนที่ต้องการผมอยู่
ผมเหลือบมองอีกฝั่งของห้อง
ทุกคนรวมตัวกันส่งเสียงกระซิกๆ เกาะกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเหมือนลูกเป็ดที่พลัดหลงจากแม่ ภาพที่เห็นทำเอาผมรู้สึกเคว้งคว้างขึ้นมานิดหน่อย
ผมมองหาก้อนที่ดูใหญ่ที่สุดแล้วพาตัวเองเข้าไปใกล้
พี่ๆ ถือผ้าเช็ดหน้ากันคนละผืนสองผืน พอพวกเขามองเห็นผมก็พากันแหวกทางให้ผมเข้าไปหาคุณลุงหมอที่ยืนสูงเด่นอยู่ตรงกลาง
พอคุณลุงเห็นตัว ผมก็โดนกอดหมับเข้าให้
“โฮฮฮ คุณหนูครับบบ ผมผิดเอง… ถ้าผมรู้เรื่องนี้ตั้งแต่คุณหนูเล็กนอนป่วยอยู่ล่ะก็ ฟืดด ผมจะ… จะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเด็ดขาดเลยครับ ฮืออออออ”
ผมรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่ไหล่
คุณลุงตัวโตๆ ร้องไห้แทบขาดใจอยู่บนบ่า ทำเอากระบอกตาผมเริ่มอุ่นไปด้วย
“คุณลุงไม่ผิดนะครับ” ผมพยายามพูดด้วยเสียงมั่นคง “เรื่องแบบนี้ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นทั้งนั้น ตอนนี้ที่สำคัญคือพวกเราต้องเข้มแข็ง แล้วก็พาลิเลียนกลับบ้านให้ได้”
ผมแอบเอาตาสองข้างแหมะกับเสื้อพลางกอดคุณลุงแน่น
ในคฤหาสน์หลังนี้ นอกจากท่านพ่อท่านแม่กับคุณปู่พ่อบ้านแม่บ้าน ก็มีคุณลุงหมอนี่แหละครับที่ช่วยพวกท่านเลี้ยงผมกับลิเลียนมาตั้งแต่แบเบาะ จะเรียกว่าเป็นพี่เลี้ยงของพวกเราก็ไม่ผิด
เพราะว่าตอนเด็กผมเป็นเด็กที่ป่วยกระเสาะกระแสะ สามวันดีสี่วันไข้ ผมจึงสนิทกับคุณลุงหมอมาก เรียกได้ว่าคุณลุงแทบจะอยู่กับผมเป็นเงาตามตัวตลอดเวลา จนกระทั่งลิเลียนที่อายุได้สามสี่ขวบเริ่มเผยแววความซน ทุกครั้งพอออกไปเล่นข้างนอกก็จะได้แผลน้อยใหญ่กลับมาอยู่เสมอ คุณลุงถึงได้ห่างๆ ออกไปบ้าง
แต่ก็ไม่ได้ห่างมากหรอกครับ แค่เปลี่ยนจากจับตาดูเด็กคนเดียวกลายเป็นสองคน เพราะสุดท้ายลิเลียนก็ชอบลากผมออกไปดูเธอก่อวีรกรรมสารพัด และผมก็ยังถูกจำแนกเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทป่วยง่ายอยู่
แต่ถ้าไม่เอาตัวเองออกไปตากหิมะหรือเปิดหน้าต่างให้ลมโกรกตัวเองทั้งคืนผมก็ไม่ได้ป่วยง่ายๆ หรอกนะครับ
ถึงกระนั้นคุณลุงก็ยังคงจับตามองพฤติกรรมพวกผมสองพี่น้องอยู่เสมอ เพราะคนหนึ่งก็ชอบทำงานจนลืมทานข้าว (ผมเอง) ส่วนอีกคนก็เป็นสาวน้อยร้อยแผล (แผลเป็นยิบย่อยบนตัวเธอ ผมเชื่อว่ามีไม่น้อยกว่ายี่สิบ) ถ้าไม่นับที่เธอออกไปหาเรื่องใส่ตัวข้างนอก แม้แต่วันที่อยู่บ้านดีๆ ก็ยังสะดุดขาตัวเองล้มหัวโขกราวบันไดเลือดอาบได้
พอคิดดูแล้วก็ไม่แปลกที่คุณลุงจะต้องคอยเป็นห่วงอยู่ตลอด
“ฟืด… ฟืด แต่คุณหนูเคยกลับมาถามผมเรื่องที่คุณหนูเล็กทำตัวแปลกไป แต่นอกจากผมจะไม่เอะใจ ยังบอกไปว่าคุณหนูสุขภาพแข็งแรงดีอีก…”
คุณลุงหมอน้ำตาร่วงเผาะๆ ผมที่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกได้แต่ลูบหลังพยายามปลอบใจอย่างสุดความสามารถ
พูดเป็นเล่น คุณลุงรักษาลิเลียนที่ไข้สูงชนิดเฉียดตายติดต่อกันมาตั้งสัปดาห์หนึ่งแล้ว จะเหลือพระพรมาใช้ตรวจร่างวิญญาณอีกได้ยังไง
นอกจากนี้ เวลาปกติก็คงไม่มีใครใช้พระพรมาตรวจร่างวิญญาณกันหรอกครับ มีแต่คนที่ทั้งว่างทั้งมีพลังเหลือใช้ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรต่อเท่านั้นแหละ
เรื่องการสลับวิญญาณพวกนี้… ถ้าไม่ใช่เพราะแผลเป็นของลิเลียนยังอยู่ครบ และการจะสลับตัวลิเลียนที่มีคนล้อมหน้าล้อมหลังตอนที่ป่วยหนักอยู่ตลอดเวลาแทบเป็นไปไม่ได้ พวกเราก็คงไม่คิดไปถึงตรงนั้นหรอกครับ
แต่ตอนที่ผมได้ยินเรื่องอนาคต ถึงจะแอบคิดว่าเธอดูไม่เหมือนลิเลียนเลย ถึงขั้นแอบตัดสินไปแล้วว่าเธอไม่ใช่ ลึกๆ ในใจก็อยากจะเชื่อว่าเธอพูดความจริง
แม้ว่าเธอจะทำตัวแปลกไปตั้งมากมาย แต่ผมก็ยังคาดหวังจะให้เป็นลิเลียนที่มาจากอนาคตอยู่ดี
ผมเคยคิดว่าตอนนี้เธอเพิ่งจะอายุสิบสามเอง ไม่รู้ว่าลิเลียนที่ย้อนกลับมาอายุเท่าไหร่แล้ว ถ้าเธออายุยี่สิบหรือสามสิบ จากที่เคยเลือกกินอาจจะกลายเป็นคนที่ทานอะไรก็ได้ไปแล้ว ขนมที่ชอบจะเปลี่ยนไปก็ไม่แปลก
จากที่ทำตัวดื้อตามวัยก็คงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สง่างาม และถ้าเธอที่โตขนาดนั้นแล้วจากบ้านไปทำงานที่ไหนไกลๆ หรือแต่งงานออกไป จะจำเส้นทางของบ้านที่อาศัยในวัยเด็กไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกตินี่
ผมคิดเอาไว้เยอะเลยว่าจะคุยอะไรกับเธอบ้าง ตอนนี้ผมเป็นฝ่ายต้องเรียกเธอว่าพี่จ๋าแทนแล้วหรือเปล่า ท่านพ่อกับท่านแม่เป็นยังไง ในอนาคตเธอมีความสุขดีไหม
ผมยังหวังจนวินาทีสุดท้าย…
.
.
.
หลังจากลูบหัวลูบหางกันอยู่นาน คุณลุงที่ร้องไห้จนตาบวมตุ่ยก็ถูกพี่ๆ คนรับใช้ล้อมหน้าล้อมหลังดันให้กลับห้องไปพักผ่อน มองไกลๆ เหมือนแม่ไก่ตัวใหญ่ที่อยู่ท่ามกลางดงลูกเจี๊ยบส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว
พวกพี่ๆ คนรับใช้นี่ชอบคุณลุงกันจริงๆ เลย
อาจจะเป็นเพราะคุณลุงอยู่ที่นี่มานาน แถมยังคอยเป็นห่วงเป็นใยทุกคนในบ้านอยู่ตลอด ต่อให้วันไหนคุณลุงไม่มีงาน (ความจริงแล้วถือเป็นนิมิตหมายอันดี) เขาก็จะไปเดินวนรอบบ้านคอยช่วยงานพี่ๆ อยู่ตลอด
ถึงปริมาณงานที่ต้องทำจะไม่ได้มากมายอะไรก็เถอะครับ เพราะว่าคฤหาสน์เราไม่ได้หลังใหญ่โตอลังการมาก พี่ๆ ทำงานวันหนึ่งสักสี่ห้าชั่วโมงก็เลิกงานไปพักผ่อนกันตามอัธยาศัยแล้ว
พอผมดันหลังพี่เมดคนสุดท้ายออกจากประตู ห้องโถงโล่งๆ ก็ทำให้ผมใจคอไม่ดีเท่าไหร่
ผมเองก็กลับห้องตัวเองบ้างดีกว่า
ที่โถงทางเดินยังมีแสงไฟสว่างจ้า ผมได้ยินเสียงคุยกันของพี่ๆ ที่ค่อยๆ ห่างออกไป หลังจากสุ้มเสียงสุดท้ายจางหายไปแล้ว ทางเดินที่ยังมีไฟส่องสว่างกลับทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ผมหลับหูหลับตารีบจ้ำเท้าไปตามทางเดิน
แต่ระหว่างทางกลับ ผมที่กำลังจะเดินผ่านประตูห้องของลิเลียนหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง
ผมหยุดยืนตรงหน้าห้อง
…ไม่รู้ทำไม ประตูไม้ธรรมดาบานนี้กลับดูใหญ่โตกว่าทุกวัน
ผมลูบมันเบาๆ
ตอนที่ปลายนิ้วสัมผัสกับเศษกระดาษที่ติดอยู่บนประตูไม้ ผมพลันหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต
เมื่อหลายปีก่อน บนประตูบานนี้จะมีกระดาษแผ่นเล็กแผ่นใหญ่แปะอยู่เต็มไปหมด
เพราะช่วงนั้นลิเลียนชอบวาดรูปเอามากๆ พอวาดเสร็จแผ่นหนึ่งก็จะเอามาแปะหน้าประตูไว้ให้ทุกคนเห็น ส่วนตัวเองก็จะยืดอกอยู่ข้างๆ อย่างภาคภูมิใจ พวกพี่ๆ คนรับใช้ที่เดินผ่านก็จะหยุดดูแล้วชมว่าสวยไม่ขาดปาก พอเธอได้รับคำชมจนอิ่มก็กลับไปหมกตัววาดรูปถัดไป แล้วเอามาแปะให้ทุกคนชมวนเวียนไปอย่างนี้
ตอนนี้รูปพวกนั้นถูกใส่อัลบั้มเก็บไว้อย่างดีในห้องของท่านแม่
ตอนที่ท่านแม่เอาออกมาให้ดู ลิเลียนที่เคยยืดอกภูมิใจกลับอายจนหน้าแดงม้วน เธอพลิกดูภาพเก่าๆ แล้วก็บ่นว่าไม่สวยเลย ทำไมตอนนั้นทุกคนถึงได้ชมซะเว่อร์วัง
ผมกลับมองว่าภาพพวกนั้นสวยจะตายไป
ลิเลียนตัวน้อยตั้งใจวาดรูปพวกนั้นตั้งหลายชั่วโมง พอวาดเสร็จแล้วก็เอาออกมาให้ทุกคนดูด้วยแก้มแดงๆ ตาเป็นประกายวิบวับ
ภาพที่เต็มเปี่ยมด้วยความทุ่มเท ความสุข แล้วก็ความรักมากมายขนาดนั้น จะเป็นภาพที่ไม่สวยไปได้ยังไง
ผมเผลอออกแรงกดเบาๆ
แล้วประตูก็แง้มออก
ทำไมประตูถึงเปิดอยู่… คุณลุงรีบร้อนออกไปจนลืมล็อกประตูเหรอ
เอ๊ะ แต่ตอนที่คุณลุงมาตรวจ ก็ไม่ได้พกกุญแจสำรองจากคุณพ่อบ้านมาด้วยนี่นา
ผมยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าประตู แม้จะรู้ไม่ควร แต่ผมก็ห้ามสายตาตัวเองไม่ให้เผลอมองเข้าไปในห้องไม่ได้
แสงเส้นหนึ่งจากทางเดินลอดผ่านช่องว่างเข้าไปข้างใน เผยให้เห็นห้องที่ทั้งคุ้นตาและไม่คุ้นตาในเวลาเดียวกัน
โต๊ะของลิเลียนที่เคยเต็มไปด้วยชุดที่ถูกถอดวางส่งๆ โดยที่เจ้าตัวอ้างว่า ‘ชุดยังไม่เปื้อนเลย! ใส่แค่แป๊บเดียวเอง เดี๋ยวหนูจะเก็บไว้ใส่ต่อวันพรุ่งนี้!’ ตอนนี้ถูกเก็บกวาดจนสะอาดสะอ้าน บรรดาตุ๊กตาเน่าที่เธอหวงนักหวงหนาต้องนอนกอดไม่ปล่อยทุกคืน ตอนนี้ก็ถูกเก็บเอาไว้บนชั้นอย่างเรียบร้อย
ที่โต๊ะข้างหัวเตียงมีหนังสือปกแข็งหลายเล่มวางซ้อนกันอยู่ ดูลักษณะภายนอกเหมือนกับตำราเรียนในห้องสมุด ผมหรี่ตามองพยายามอ่านข้อความที่อยู่ตรงสันหนังสือ
หนังสือประวัติศาสตร์กับภูมิศาสตร์ แล้วก็มีพวกเกร็ดความรู้…
ผมพยายามไม่เหลือบตามองไปที่เตียง ก่อนจะปิดประตูห้องเบาๆ
วันหลังคงต้องบอกวิญญาณตนนั้นให้ล็อกประตูห้องก่อนนอนแล้ว ไม่แน่ใจว่าได้ล็อกหน้าต่างไปหรือยัง
คิดแล้วผมก็หันรีหันขวาง ก่อนจะแอบแง้มประตูห้องอีกครั้ง
เพราะกลัวว่าคนที่อยู่ข้างในจะตื่น ผมถอดรองเท้าวางไว้ข้างนอกแล้วย่องเข้าไปขยับบานหน้าต่าง
ล็อกแล้ว… คงเป็นคุณเมดที่ปิดให้
ทำไมต้องทำเหมือนเป็นโจรในบ้านตัวเองแบบนี้ก็ไม่รู้…
ผมกลับออกมายืนหน้าห้อง คิดไม่ตกว่าจะทำยังไงกับประตูบานนี้ดี
ถึงข้างในจะเป็นใครก็ไม่รู้ไปแล้ว แต่ร่างกายก็ยังเป็นลิเลียนอยู่ดี นอนไม่ล็อกประตูแบบนี้มันอันตรายนะ
ทำยังไงดีล่ะเนี่ย… ถ้าล็อกจากข้างในตอนปิดประตูก็จะส่งเสียงดัง แล้วคนที่นอนอยู่ก็อาจจะตื่นเอาได้
ผมยืนลุกลี้ลุกลนสักพัก ก่อนตัดสินใจหมุนตัวเดินไปที่ห้องของคุณปู่พ่อบ้านเพื่อเอากุญแจสำรอง
จากนั้นผมก็โดนคุณปู่พ่อบ้านบอกว่าเดี๋ยวผมจัดการเองครับคุณหนู แล้วจับผมส่งกลับห้องตัวเองแบบมัดมือชก
หลังจากเสียงปิดประตูดังตึง พลันรู้สึกราวกับโลกภายนอกถูกตัดขาดออกไป
ผมยืนพิงประตู มองเห็นแสงจันทร์ส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาอย่างเลือนรางท่ามกลางห้องที่เกือบจะมืดสนิท
แสงสีเงินจางๆ ทำให้ผมมองเห็นเศษฝุ่นลอยอยู่ในอากาศ
ไม่ยักกะรู้ว่าในห้องมีฝุ่นเยอะขนาดนี้
หลังคลำทางเข้าไปเปิดโคมไฟที่อยู่บนโต๊ะ ผมก็อาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนให้เรียบร้อย แล้วเดินกลับมาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากลิ้นชัก
ผมอาศัยไฟสีเหลือนวลจากโคมอ่านข้อความบนกระดาษที่ถูกพับอยู่หลายทบซ้ำไปซ้ำมา
แล้วผมก็เริ่มลงมือเขียนจดหมาย
หลังจากมือสั่นจนต้องเขียนใหม่ไปสองรอบ ผมจึงเขียนจดหมายที่ไม่สั้นไม่ยาวฉบับหนึ่งได้สำเร็จ
ผมเป่าหมึกให้แห้งแล้วใส่มันลงไปในซองกระดาษ
จากนั้นถึงได้หันกลับไปมองใบยืนยันการสอบเข้าและเลือกวิทยาลัยที่ยัดไว้ในลิ้นชัก
ผมจ้องมองกระดาษแผ่นนั้นสักพัก ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา
แสงจากโคมสะท้อนกับหน้ากระดาษจนตัวอักษรพร่าเบลอ ทำให้ผมรู้สึกว่ามันเปล่งประกายอย่างน่าประหลาด
หลังจากจ้องมองอยู่พักใหญ่ ในที่สุดผมก็ยกปากกาขึ้น
ครั้งนี้ ผมไม่มีความลังเลอีกแล้ว
เพราะถ้าเวทมนตร์พาลิเลียนไปจากที่นี่ได้…
…ก็ต้องพาลิเลียนกลับมาได้เหมือนกัน