น้องสาวของผมเปลี่ยนไป อะไรที่ไม่ชอบทำก็กลายเป็นชอบทำ อะไรที่เคยทำก็จำไม่ได้ ราวกับว่า…มีใครบางคนอยู่ในร่างน้องสาวของผม แต่ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในจะเป็นใคร มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!
แฟนตาซี,ครอบครัว,ตลก,ดราม่า,slice of life,ไม่มีนางเอก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!น้องสาวของผมเปลี่ยนไป อะไรที่ไม่ชอบทำก็กลายเป็นชอบทำ อะไรที่เคยทำก็จำไม่ได้ ราวกับว่า…มีใครบางคนอยู่ในร่างน้องสาวของผม แต่ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในจะเป็นใคร มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!
หลังจากน้องสาวที่ป่วยหนักฟื้นขึ้นมา นิสัยของเธอก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย
ของกินที่ชอบก็ลายเป็นไม่ชอบ จากที่ซนเป็นลิงก็กลายเป็นเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ การพูดจา เสื้อผ้าที่ใส่ นิสัยแย่ ๆ ที่ชอบเผลอทำก็เปลี่ยนไปด้วย
ไม่สิ…ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ นอกจากชื่อของเธอเองและชื่อของคนในครอบครัวแล้ว เธอจำอะไรไม่ได้เลย
ทั้ง ๆ ที่ต้องถามหลายเรื่องเอาจากพี่ ๆ เมด แต่กลับยังแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ
แกล้งทำเป็นรู้จักผม ทำเป็นรู้จักท่านพ่อท่านแม่ แถมยังแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ด้วยการบอกว่าตัวเองมาจากอนาคต
ไม่ว่าหน้าตาของเธอจะเป็นยังไง ไม่ว่ารอยแผลบนมือจะเป็นพิมพ์เดียวกับที่ผมจำได้แค่ไหน
นี่ไม่ใช่น้องสาวของผม
มีใครบางคนกำลังสวมร่างน้องสาวของผมอยู่
ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในจะเป็นใคร มีจุดประสงค์อะไรก็ช่าง
มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!
( นิยายรายสัปดาห์ หลังครบ 6 ตอน จะอัพทุกวันศุกร์หนึ่งทุ่มค่ะ )
วันถัดมา ผมถูกพี่พ่อบ้านบุกเข้ามาปลุกอย่างหาได้ยาก
ผมหรี่ตามองผ่านซอกผ้าห่ม ฟ้ายังมืดอยู่เลย ช่วยเห็นใจคนที่วางแผนการเรียนต่อจนดึกดื่นอย่างผมทีเถอะ
จริงสิ หน้าหนาวแล้วนี่นา
แต่พระอาทิตย์ยังไม่ลุกออกจากเตียงเลย ทำไมผมต้องตื่นก่อนด้วยล่ะ ฮือออ
หลังพยายามกลิ้งตัวหนีจากอุ้งมือปีศาจอยู่หลายครั้ง ในที่สุดผมก็ถูกแงะออกจากผ้าห่มจนได้
พี่พ่อบ้านจับผมวางบนพื้นเหมือนวางแจกันใบใหญ่ แล้วบอกเรียบๆ ว่า ‘ได้เวลาตื่นแล้วครับคุณหนู’ ผมได้แต่ทำหน้าบี้ ส่งเสียงอือๆ อาๆ พ่อบ้านที่เห็นผมพยักหน้ารับแต่ทั้งตัวยังนิ่งสนิทจึงส่ายหัวเบาๆ แล้วหิ้วผมไปตั้งไว้หน้าห้องน้ำ
ผมพยายามขยับแขนขาที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดไปทำธุระส่วนตัวด้วยความเศร้าซึม
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวแล้ว ผมที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นก็ถูกจับจูงไปหาท่านพ่อ
ก่อนออกจากห้อง ผมเหลือบมองนาฬิกา
อืม… ตื่นสายกว่าปกติไปชั่วโมงหนึ่ง
มิน่าพี่พ่อบ้านถึงต้องมาปลุก
หลังจากเดินสักพัก ก็มาถึงหน้าประตูห้องรับแขก
…พอเปิดประตูเข้าไป ก็พบกับเหล่าคนที่มีดวงตาบวมตุ่ย
ดีนะที่เมื่อคืนผมไหวตัวทัน ไม่อย่างนั้นมีหวังได้กลายเป็นหนึ่งในนี้แน่ๆ
ในห้องมีท่านพ่อ ท่านแม่ คุณลุง และลีอา พี่เมดที่ช่วงนี้คอยดูแลลิเลียนอยู่
ทำไมถึงใช้คำว่าช่วงนี้น่ะหรือครับ เพราะว่าทั้งผมและลิเลียน ต่างก็ยังไม่ถึงวัยที่จะต้องมีเมดหรือพ่อบ้านประจำตัว ทำให้เหล่าพี่ๆ ใช้วิธีเวียนสลับกันมาดูแลในแต่ละเดือนแทน
ผมนั่งลงข้างคุณลุงหมอที่ตาบวมปูดกว่าใครเพื่อน
“ท่านพ่อ เรียกผมมามีอะไรหรือเปล่าครับ”
อยู่กับครบองค์ขนาดนี้ ต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ
ท่านพ่อหันไปมองคุณหมอ เป็นเชิงบอกให้เขาอธิบาย
คุณลุงเหลือบมองผม ก่อนจะค่อยๆ พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“…อย่างที่ผมบอกไปเมื่อคืน ว่ามีวิญญาณดวงอื่นอยู่ในร่างของคุณหนูเล็ก”
คุณลุงเหลือบมองผมอีกรอบ
“… แล้วก็จากที่ผมเห็น วิญญาณนั้นเป็นของเด็กคนหนึ่งครับ”
“เด็ก…?” ผมตกตะลึง
คุณลุงพูดต่อด้วยท่าทางเป็นกังวล
“เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ครับ อายุอานามน่าจะสักเก้าหรือสิบขวบได้ ผมกับตาเป็นสีดำ ตัวผอมบาง แล้วก็…”
คุณลุงชะงักไปครู่หนึ่ง
“บนตัวมีรอยแผลน้อยใหญ่เต็มไปหมดเลยครับ”
เด็กผู้หญิง? มีแผลเต็มตัว?
ผมรู้สึกตัวเย็นเฉียบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ร่างวิญญาณไม่ควรมีบาดแผลนี่นา…
วิญญาณไม่ใช่ร่างกาย มันเป็นภาพสะท้อนของจิตใต้สำนึก และคนปกติ… ถ้าไม่ใช่ว่ามีแผลเป็นหรือสูญเสียส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายไป
…ไม่มีทางเห็นตัวเองมีแผลอยู่ตลอดเวลาแน่
เว้นเสียแต่ว่า
จะอยู่กับมันตลอดเวลา จนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
หมายความว่าเด็กคนนั้น…
…ต้องได้รับบาดแผลซ้ำๆ จนกลายเป็นเรื่องปกติ
หัวใจผมหดเกร็ง
ไม่รู้ว่าเธอต้องผ่านอะไรมาบ้าง
…เด็กคนนั้นอายุน้อยกว่าลิเลียนแค่ไม่กี่ปีเอง
ถ้าเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับน้องสาวของผมละก็… แค่คิดผมก็เจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น… แล้วที่เธอบอกผมว่ามาจากอนาคตล่ะครับ”
“เรื่องนั้น… ผมเองก็ไม่แน่ใจครับ เรายังไม่รู้ว่าเธอเป็นใครมาจากไหนกันแน่ แต่การที่เธอพยายามห้ามคุณหนูไม่ให้ไปแดนเหนือถึงขนาดนั้น ไม่แน่ว่าเธออาจจะมีข้อมูลอะไรบางอย่างเกี่ยวกับสงครามก็ได้นะครับ”
คุณลุงมองผม
“การข้ามมาจากอนาคตอาจเป็นแค่ข้ออ้าง แต่เดิมสิ่งที่เธอต้องการมีเพียงอย่างเดียว คือห้ามไม่ให้คุณหนูไปที่สนามรบไม่ใช่หรือครับ”
ผมพลันนึกขึ้นได้
ถ้าเป็นแบบนั้น ทุกอย่างก็ฟังดูสมเหตุสมผลขึ้นมา
เธอพูดถึงเรื่องมาจากอนาคตผ่านๆ แค่ครั้งเดียว แต่พยายามขอร้องไม่ให้ผมไปที่แดนเหนือซ้ำแล้วซ้ำอีก
“เธออาจจะโกหกเรื่องที่มาจากอนาคตก็จริง แต่ถ้าการโกหกของเธอสามารถหยุดยั้งอันตรายที่เกิดกับคุณหนูได้ ผมก็ยินดีให้เธอโกหกครับ”
คุณลุงกอดผมเอาไว้
ที่หางตา ผมเห็นท่านพ่อท่านแม่พยักหน้าเชิงเห็นด้วยกับคุณลุง
ผมกอดตอบ แต่ในใจก็ยังสับสนว่า ถ้าอย่างนั้นผมควรทำยังไงต่อไป
จากเดิมที่เราคิดจะสืบต่อไปว่าเธอเป็นใครมาจากไหน อาจจะค่อยๆ หาคำตอบทีละน้อย หลอกให้เธอคายความลับออกมา
แต่การทำแบบนั้นกับเด็กคนหนึ่ง… และอาจจะเป็นเด็กที่มีเจตนาดีต่อผม มันสมควรแล้วจริงๆ หรือ
ทุกคนเงียบไปสักพัก ก่อนที่คุณลุงจะพูดขึ้น
“ผมถึงได้อยากเสนอว่า… เราลองคุยกับเธอตรง ๆ ดีไหมครับ”
“เด็กตัวเล็กๆ จู่ๆ ก็โผล่มาอยู่ในร่างกายของคนอื่น สภาพแวดล้อมก็ไม่คุ้นตา การที่เธอจะพยายามปิดบังว่าตัวเองไม่ใช่เจ้าของร่างกาย ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้นะครับ”
“ส่วนพฤติกรรมอื่นๆ ที่หาคำตอบไม่ได้ ผมเชื่อว่าเธอต้องให้คำตอบได้ดีกว่าที่เรางมหากันเองแบบนี้แน่นอน”
คุณลุงลูบหัวผมเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ดึงเชิงกันไปกันมาแบบนี้ มีแต่จะสร้างความเจ็บปวดให้กับทุกฝ่ายนะครับ”
ผมนั่งนิ่ง คิดตามคำพูดนั้น
ก็จริงอย่างที่คุณลุงว่า…
“และอีกอย่าง เราก็ทราบกันแล้วว่าเรื่องทั้งหมดเป็นผลพวงจากการปะทุพลังเวทของคุณหนูเล็ก”
คุณลุงส่งยิ้มบางๆ ให้ผม
“ถ้าจะให้พูดตามตรง เด็กคนนั้นเองก็เป็นเหยื่อของการปะทุครั้งนี้เหมือนกัน”
“เราอาจไม่รู้ว่าเธอมาจากที่ไหน… แต่ตอนนี้ เธอติดอยู่ที่นี่”
“และในฐานะคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เราคือคนที่ต้องรับผิดชอบให้เธอปลอดภัยไม่ใช่หรือครับ”
นั่นก็ใช่…
ถ้าผมเป็นเธอ แล้วตื่นขึ้นมาในที่ที่ไม่รู้จัก
ไม่มีใครรู้ว่าตัวเองเป็นใคร
ร่างกายที่ใช้เองก็ไม่ใช่ของผม…
แถมยังถูกหวาดระแวง ถูกจ้องจับผิดในทุกๆ ฝีก้าว
ถ้าเป็นผมจะกลัวมากขนาดไหน
ผมสูดหายใจ
ถ้าอย่างนั้น…
ผมเองก็คิดว่า ควรแก้ปัญหาด้วยการคุยกันอย่างตรงไปตรงมาจริงๆ
.
.
.
“แล้ว… เรื่องลิเลียนล่ะครับ”
หลังจากลังเลอยู่นาน ในที่สุดผมก็ถามคำถามที่สำคัญที่สุด
เสียงของผมแผ่วเบาราวกับกลัวคำตอบที่จะได้รับ
ถึงแม้ดูจากสีหน้าคลายกังวลของทั้งสองท่านแล้วพอจะเดาได้ว่าคงมีข่าวดี แต่ผมก็ยังไม่กล้าเชื่อจนกว่าจะได้ยินกับหู
“เมื่อเช้านี้… หลังจากพระพรฟื้นกลับมาได้นิดหน่อย ผมลองอธิษฐานถึงพระเจ้าดูครับ”
ผมเคยได้ยินการอธิษฐานถึงพระเจ้ามาบ้าง
ว่ากันว่ามันเป็นเหมือนกับการทำนายอย่างหนึ่งที่มีความแม่นยำเป็นอย่างมาก และมีข้อจำกัดเพียงแค่ข้อเดียว คือไม่สามารถถามถึงอนาคตได้
เพียงแต่มีสาเหตุที่น้อยคนจะใช้การอธิษฐานอันแสนสะดวกนี้
“พระเจ้า… ไม่ตอบสนองต่อการอธิษฐานมาหลายปีแล้วนี่ครับ”
ผมนึกภาพออกเลยว่า คุณลุงต้องดิ้นรนอย่างสิ้นหวังถึงขนาดไหน ถึงได้ลองใช้แม้กระทั่งวิธีนี้
ไม่ใช่แค่สิบหรือห้าสิบปี แต่เป็นหลายร้อยปีมาแล้วที่พระเจ้าไม่มีการตอบสนองใดๆ ต่อการอธิษฐานของเหล่านักบวช
ปัจจุบัน เป็นที่รู้กันดีว่าต่อให้ใช้พระพรทั้งหมดที่มีอธิษฐานไปก็ไร้ประโยชน์ พระเจ้าไม่มีทางให้คำตอบใดกลับมา
แต่ว่าในครั้งนี้…
“ท่านตอบเรื่องลิเลียนเหรอครับ!”
ผมผุดตัวลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น
คุณลุงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ดึงผมให้นั่งลงแล้วลูบหัวเบาๆ
สัมผัสนั้นอ่อนโยนจนผมอยากร้องไห้ แม้จะยังไม่ทันได้ฟังประโยคถัดไปก็ตาม
“ถึงแม้จะไม่ทราบว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน…”
“…แต่วิญญาณของคุณหนูเล็กยังปลอดภัยดีครับ”
ตอนที่ได้ยินคำนี้ น้ำตาของผมก็เอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
อาจเป็นเพราะความโล่งใจ หรือเพราะความกดดันหนักอึ้งที่โถมทับอยู่บนไหล่ตลอดเวลาที่ผ่านมาถึงคราวพังทลาย
ความทุกข์ทั้งหมดที่ผมแบกเอาไว้ สุดท้ายก็ร่วงหล่นลงมาเป็นหยาดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่า
ทั้งๆ ที่ไม่ว่าจะตอนที่ผมรู้สึกว่าลิเลียนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ตอนที่ผมวาดหวังว่าเธอมาจากอนาคตแม้ลึกๆ ในใจจะรู้ดีว่าไม่ใช่
หรือแม้แต่ตอนที่ผมต้องยอมรับความจริงว่าวิญญาณที่อยู่ข้างในไม่ใช่เธอ
ผมก็ยังไม่มีน้ำตาเลยสักหยดเดียว
แต่พอได้ยินคำว่า ‘เธอยังปลอดภัยดี’
…ผมกลับทำได้เพียงร้องไห้ออกมา
ไม่สามารถกักเก็บความรู้สึกท่วมท้นที่พยายามซ่อนเร้นเอาไว้ในส่วนลึกได้อีกต่อไป
ราวกับปราสาททรายที่ถูกคลื่นซัดจนพังทลาย
พอมองผ่านม่านน้ำตาที่พร่ามัว ก็เห็นท่านพ่อท่านแม่ขยับเข้ามาใกล้
ผมอยากหนีไปแอบร้องไห้คนเดียวที่ไหนสักแห่ง แต่ร่างกายกลับไม่เชื่อฟังเอาเสียเลย
ถึงเมื่อวานผมจะหลบเลี่ยงไปได้
แต่สุดท้าย ผมที่สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กๆ ก็ถูกทั้งสองคนปลอบอยู่ดี
.
.
.
ในที่สุด ผมที่ร้องไห้จนตาบวมถูกคุณลุงลูบหัวลูบหลังปุปุ สบายตัวสบายใจจนแทบจะหลับไปอีกรอบพลันนึกอะไรขึ้นได้
ว่าแต่ ตอนที่คุยกันเรื่องวิญญาณของเด็กคนนั้นในร่างลิเลียน
ทำไมท่านพ่อท่านแม่ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย?
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ให้คุณลุงพูดม้วนเดียวตั้งแต่ต้นจนจบจริงๆ เหรอ
ผมหันกลับไปมองใบหน้ายิ้มอ่อนโยนของท่านแม่ และท่านพ่อที่ถอนหายใจมองผมเหมือนมองเด็กทึ่มสักคน
ความอ่อนล้าพลันปลิวหายไปหมด ผมเบิกตาโตเท่าไข่ห่าน
นี่ นี่หรือว่าทุกคนจะคุยกันจบไปแล้ว!
แล้วทำไมถึงไม่มีใครไปปลุกผม!
ท่านแม่ที่นอกจากขอบตาแดงๆ แล้ว ที่เหลืออยู่ในสภาพสวยสง่าต่างจากเมื่อวานราวฟ้ากับเหวเท้าคางมองผมยิ้มๆ
“แหม แม่ก็ไม่คิดว่าอิลลี่ของเราจะตื่นสายขนาดนี้นี่จ้ะ”
พูดแล้วก็เอาพัดเคาะเหม่งผมไปหนึ่งที
แว่วเสียงท่านพ่อหัวเราะในลำคอเบาๆ
ผมทำหน้ามุ่ยใส่ผู้ปกครองขี้แกล้งทั้งสอง แล้วหันกลับมาซุกอกคุณลุงเหมือนเดิม
มีแต่คุณลุงหมอนี่แหละที่รักผมที่สุด!
“พวกเราคุยกันคร่าวๆ แล้วก็จริง แต่ความคิดเห็นของคุณหนูเองก็สำคัญมากนะครับ”
คุณลุงลูบหัวผมเบาๆ ก่อนจะหันไปมองผู้ใหญ่ที่ทำตัวเป็นเด็กทั้งสองด้วยความเหนื่อยใจสุดขีด
…ผมไม่ได้โกรธหรอกครับ
ผมรู้อยู่แล้วว่าถ้าเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่ายังไงก็ต้องให้ท่านพ่อท่านแม่เป็นคนตัดสินใจขั้นสุดท้าย
ตัวผมเองยังไม่มีทั้งวุฒิภาวะและประสบการณ์มากพอที่จะตัดสินใจเรื่องแบบนี้หรอกครับ
แต่ที่โดนล้อก็ยังเคืองอยู่ดี ฮึ่ม
แถมยังร้องไห้น้ำตาร่วงเผาะๆ ให้ทุกคนเข้ามาปลอบอีก
แต่ผมจะร้องไห้แล้วยังไง ตื่นสายแล้วยังไงล่ะ! เมื่อคืนเจอเรื่องหนักหนาสาหัสขนาดนั้น ต่อให้ผมนอนยาวจนถึงเช้าวันพรุ่งนี้ก็ไม่มีสิทธิ์บ่นผมหรอก!
อีกอย่าง ต่อให้ผมจะทำตัวเป็นเด็กแค่ไหน ก็ทำอยู่แค่ในบ้านเท่านั้นแหละน่า!
ผมพูดได้ แล้วก็ไม่อายด้วย
ผมถือคติที่ว่าตอนยังมีโอกาสให้อ้อน ให้งอแง ให้ตื่นสายหรือทำตัวเป็นเด็กดื้อ ก็ควรจะทำให้เต็มที่
ถึงผมจะไม่ค่อยอยากให้ใครเห็นตอนตัวเองร้องไห้โฮจริงจังแบบไม่ได้แกล้งทำก็เถอะ
แต่ในเมื่อในบ้านไม่มีใครว่าอะไรที่ผมทำตัวเป็นเด็ก แถมยังดีอกดีใจที่ผมทำแบบนี้ ผมก็จะทำต่อไป
ผมไม่รีบโตหรอกครับ
ไม่เคยได้ยินเหรอว่ายิ่งโตไวก็ยิ่งเหี่ยวไว
ผมไม่อยากเป็นต้นไม้เหี่ยวๆ ตั้งแต่อายุยังไม่แตะเลขสองหรอกนะ!
แต่ถึงพูดแบบนั้น ต่อหน้าลิเลียนก็ยังต้องเก็บอาการหน่อย เพราะผมอยากให้น้องเห็นผมเป็นพี่จ๋าที่พึ่งพาได้นี่นา
ผมผละออกจากคุณลุง เหลือบซ้ายแลขวา รู้สึกเหมือนมีใครหายไป
จริงสิ! พี่ลีอาล่ะ!
“ว่าแต่ พี่ลีอาไปไหนแล้วละครับ”
ท่านพ่อแกว่งน้ำส้มในมือ
“เธอเป็นตัวแทนพวกพ่อบ้านแม่บ้านมาฟังข้อสรุปของพวกเราน่ะ พอเห็นลูกน้ำตาหยดติ๋ง เธอก็วิ่งออกไปบอกพ่อบ้านให้เตรียมผ้าเย็นแล้ว”
ผมตัวแข็งค้าง
แบบนี้ทุกคนก็รู้กันหมดแล้วน่ะสิ!
ท่านพ่อโยกหัวผมซ้ายทีขวาทีแล้วขยี้ๆ ปิดท้าย
“ดูตาปูดๆ ของลูกซะก่อน คิดว่าจะปิดบังใครเขาได้หรือไง ฮึ เจ้าปีศาจขี้แย”
ว่าแล้วก็หยิกแก้มผมซ้ำอีกที
ความอดทนของผมขาดผึง
ผมตัดสินใจแล้ว
ผมจะเอาน้ำผลไม้สุดที่รักของพ่อไปซ่อนให้หมด
ปีศาจขี้แยเหรอ งั้นก็กินน้ำเปล่าไปสักอาทิตย์เถอะ เจ้าปีศาจเฒ่า!
.
.
.
หลังออกจากห้องรับแขก ผมก็เก็บท่าทางง้องแง้งงอแงแล้วกลับมามีมาดงามสง่าสมเป็นคุณชายอีกครั้ง
ถึงทุกคนจะรู้กันหมดแล้ว แต่ผมก็ยังอยากรักษาภาพลักษณ์เสี้ยวสุดท้ายเอาไว้อยู่
สรุปแล้วท่านพ่อท่านแม่ก็ตัดสินใจเปิดอกคุยกับเด็กที่อยู่ในร่างของลิเลียนหลังอาหารเย็นวันนี้ครับ
ตอนนี้ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง
ส่วนผมหลังจากรับผ้าเย็นมาจากคุณพ่อบ้านแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังห้องสมุด
จริงสิ ยังไม่ได้คุยกับท่านพ่อเรื่องการเรียนต่อเลย
ถึงผมจะรู้อยู่แล้วว่าท่านจะตอบว่าอะไรก็เถอะ
ถ้าผมบอกไป ท่านพ่อก็คงจะโบกมือปัดๆ แล้วบอกว่า ‘ลูกเขียนจดหมายส่งไปขนาดนั้นก็แปลว่าลูกมั่นใจแล้วนี่ จะมาถามความเห็นอะไรจากพ่ออีก เอาเวลาไปเตรียมสอบไม่ดีกว่าเรอะ’ แหง
พอเข้าไปในห้องสมุด ผมก็มองหารถเข็นแล้วลากไปตามชั้นวาง
ตอนที่หยิบหนังสือเป็นตั้งๆ ใส่ลงไป ก็เหมือนหนังสือหนักๆ พวกนั้นทับหัวใจดวงน้อยๆ ของผมจนแหลกสลาย
ไม่อยากเรียนหนังสือเลยอ่า ฮือออ
หลังจากอ้อยอิ่งอยู่นานสองนาน สุดท้ายผมก็พยายามฮึบแล้วพาตัวเองออกมาจากห้องสมุดจนได้
ผมลากรถเข็นกลับไปที่ห้องทั้งน้ำตา รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมูที่กำลังพาตัวเองขึ้นไปพาดอยู่บนเขียง
แล้วผมก็ขังตัวเองไว้กับอสุรกายทรงสี่เหลี่ยมทั้งหลายจนถึงตอนเย็น…