น้องสาวของผมเปลี่ยนไป อะไรที่ไม่ชอบทำก็กลายเป็นชอบทำ อะไรที่เคยทำก็จำไม่ได้ ราวกับว่า…มีใครบางคนอยู่ในร่างน้องสาวของผม แต่ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในจะเป็นใคร มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!
แฟนตาซี,ครอบครัว,ตลก,ดราม่า,slice of life,ไม่มีนางเอก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ผู้สวมร่าง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!น้องสาวของผมเปลี่ยนไป อะไรที่ไม่ชอบทำก็กลายเป็นชอบทำ อะไรที่เคยทำก็จำไม่ได้ ราวกับว่า…มีใครบางคนอยู่ในร่างน้องสาวของผม แต่ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในจะเป็นใคร มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!
หลังจากน้องสาวที่ป่วยหนักฟื้นขึ้นมา นิสัยของเธอก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย
ของกินที่ชอบก็ลายเป็นไม่ชอบ จากที่ซนเป็นลิงก็กลายเป็นเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ การพูดจา เสื้อผ้าที่ใส่ นิสัยแย่ ๆ ที่ชอบเผลอทำก็เปลี่ยนไปด้วย
ไม่สิ…ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ นอกจากชื่อของเธอเองและชื่อของคนในครอบครัวแล้ว เธอจำอะไรไม่ได้เลย
ทั้ง ๆ ที่ต้องถามหลายเรื่องเอาจากพี่ ๆ เมด แต่กลับยังแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ
แกล้งทำเป็นรู้จักผม ทำเป็นรู้จักท่านพ่อท่านแม่ แถมยังแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ด้วยการบอกว่าตัวเองมาจากอนาคต
ไม่ว่าหน้าตาของเธอจะเป็นยังไง ไม่ว่ารอยแผลบนมือจะเป็นพิมพ์เดียวกับที่ผมจำได้แค่ไหน
นี่ไม่ใช่น้องสาวของผม
มีใครบางคนกำลังสวมร่างน้องสาวของผมอยู่
ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในจะเป็นใคร มีจุดประสงค์อะไรก็ช่าง
มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย!
( นิยายรายสัปดาห์ หลังครบ 6 ตอน จะอัพทุกวันศุกร์หนึ่งทุ่มค่ะ )
ในที่สุดก็ถึงเวลาชี้ชะตา
ผมที่ต่อยตีอยู่กับหนังสือกองมโหฬารตลอดทั้งบ่าย แล้วสุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับปีศาจพวกนั้น สบโอกาสหนีตายออกจากห้องมาหาท่านพ่อท่านแม่
พอเห็นนอกหน้าต่างที่กลายเป็นสีดำสนิท ผมถึงค่อยนึกอะไรขึ้นได้
…ตายละ ดูเหมือนผมจะลืมทานข้าวเย็น
มิน่าช่วงโพล้เพล้ได้ยินเสียงแว่วๆ มาจากแถวประตูห้อง พี่พ่อบ้านต้องมาเรียกผมไปทานข้าวแน่เลย
ผมมัวแต่ตะลุมบอนกับหนังสืออยู่ก็เลยไม่ได้ยิน
เดี๋ยวต้องโดนคุณลุงดุอีกแล้วแหง
พอคิดแล้วก็หิวขึ้นมาเลย แอบไปหาอะไรทานก่อนดีไหมนะ…
ไม่ได้สิ! เรื่องของเด็กในร่างลิเลียนสำคัญกว่า!
ผมใช้มือปลอบใจท้องที่ส่งเสียงขลุกขลัก บอกมันว่าโอ๋ๆ นะ เดี๋ยวจบเรื่องแล้วจะไปหาของอร่อยมาให้ ก่อนจะลูบหัวฟูๆ ของตัวเองให้เรียบร้อย แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องรับแขก
พอเปิดประตูเข้าไป ก็เจอกับภาพหมีอ้วนสามตัวมะรุมมะตุ้มรอบเจ้านกกระทาที่กำลังสั่นงันงก… ไม่ใช่สิ นั่นมันคุณลุงกับท่านพ่อท่านแม่นี่
ทำไมถึงเห็นเป็นหมียืนสุมหัวจ้องนกตัวกระจิริดไปได้นะ
ผมขยี้ตาสองที
ต้องเป็นเพราะอ่านหนังสือหนักเกินไปแน่ๆ
ดูเหมือนทุกคนจะคุยกันมาสักพักหนึ่งแล้ว เพราะบรรยากาศในห้องนั้นดูชวนให้ประหม่าชอบกล
ว่าแต่ผมก็มาตรงเวลานัดทุกครั้งนะ ทำไมเหมือนตัวเองเป็นฝ่ายมาสายทุกทีเลย
ทันทีที่ผมยื่นหัวเข้าไป บรรยากาศนิ่งค้างในห้องพลันกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ผมไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น แต่เด็กสาวในชุดผ้าไหมที่นั่งตัวสั่นระริกอยู่บนโซฟา ในที่สุดก็ทนต่อไปไม่ไหว น้ำตาร่วงใส่กระโปรงจนเปียกปอนเป็นด่างดวง
พอเห็นใบหน้าของลิเลียนร้องไห้สะอึกสะอื้น ใจผมก็อ่อนยวบเหมือนมันบดที่ถูกแช่ในสตูร้อนๆ จนเปื่อยนิ่มไปหมด
พอเห็นน้ำตาเม็ดแรกหยดลงมา ท่านพ่อกับท่านลุงก็พากันถอยกรูดไปอยู่หลังโซฟา ปล่อยให้ท่านแม่รับมือกับเด็กร้องไห้แต่เพียงลำพัง
ผมก้าวไปยืนข้างๆ ทั้งสอง
อะไรครับ ผมเข้าไปช่วยปลอบไม่ได้หรอกนะ! เรื่องปลอบใจคน ผมเองก็ไม่ได้ดีเด่ไปกว่าท่านพ่อเท่าไหร่หรอกครับ
เป็นได้แค่ตุ๊กตาแข็งทื่อตัวหนึ่ง ใครจะร้องไห้ใส่ก็ร้องไป ใครจะเอาไปกอดก็เชิญหยิบไป แต่ผมพูดอะไรกับใครไม่ได้ทั้งนั้น
ว่าแต่ ทำไมแถวนี้ถึงมีนักปลอบเด็กชำนาญการกำลังอู้งานอยู่หนึ่งรายล่ะครับ
ผมมองหน้าท่านลุงเงียบๆ
ท่านลุงที่รู้ตัวว่าถูกจ้อง หันกลับมาหัวเราะแหะๆ ใส่ผม
“คุณหนู… ถ้าผมเข้าไปช่วย เดี๋ยวจะอดใจไม่ให้ร้องตามไม่ไหวเอานะครับ…”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็เอาผ้าเช็ดหน้าซับหัวตาไปหนึ่งที
…เข้าใจได้ ก็ท่านลุงมีจุดอ่อนเป็นลูกหมาเศร้าๆ เปียกๆ นี่นะ
เด็กคนนั้น ไม่ว่าจะมุมไหนก็กระแทกใส่จุดเปราะบางของท่านลุงเข้าอย่างจัง ถ้าลิเลียนอยู่แถวนี้ คงพูดว่าถ้าคุณลุงเข้าไปปลอบ มีหวังโดนตีติดคริติคอลฮิตจนเลือดหมดหลอดนอนพังพาบอยู่บนพื้นแหงๆ
ว่าแล้วผมก็หันกลับไปมองฝั่งลูกหมาตากฝนที่ว่า
เด็กสาวนั่งห่อไหล่น้ำตาร่วงเปาะแปะ ดวงตากับจมูกขึ้นสีแดงก่ำ ในคอมีเสียงสะอื้นฮักดังลอดออกมาเบาๆ
แว่วเสียงท่านแม่ที่ยอบกายอยู่ข้างโซฟาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“หนูคงตกใจมากเลยใช่ไหมคะ ไม่เป็นไรเลยนะถ้าหนูจะรู้สึกกลัว”
แต่พอได้ยินดังนั้น เธอกลับร้องไห้หนักขึ้นอีก เด็กสาวใช้มือปิดหน้า พยายามกลั้นเสียงสะอื้นสุดชีวิต แต่สุดท้ายก็กลั้นเอาไว้ไม่อยู่
ท่านแม่แตะไหล่ของสาวน้อยเบาๆ
เธอตัวแข็งทื่อไปแวบหนึ่ง แต่ก็ค่อยๆ กลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง
พอเห็นว่าเธอไม่มีท่าทีต่อต้าน ท่านแม่จึงค่อยๆ เอื้อมมือไปลูบหลังปลอบใจเงียบๆ
ภายในห้องมีเพียงเสียงร้องไห้กระซิกๆ ผมรู้สึกเหมือนขอแค่ตัวเองขยับสักหน่อย ก็จะเผลอทำเสียงดังจนทุกคนต้องหันมอง
ตอนที่พยายามทำตัวให้เหมือนรูปปั้นอยู่นั้นเอง คุณลุงก็สะกิดไหล่ผมเบาๆ
ผมสะดุ้งโหยง เกือบหลุดร้องออกมาเสียงดัง
ผมหันกลับไปทำตาเบิกโพลงใส่คนร้าย
ตกใจหมดเลย!
คุณลุงที่เม้มปากกลั้นหัวเราะอยู่ ตบหัวผมเบาๆ เป็นเชิงปลอบใจ แล้วยื่นผ้าขนหนูมาให้ ก่อนจะพยักพเยิดไปทางโซฟา
ผมมองตาม
เด็กคนนั้นที่น้ำตาเปื้อนเต็มหน้า กำลังขยับมือยุกยิกอยู่บนกระโปรงเหมือนกำลังชั่งใจว่าจะยกชายขึ้นมาเช็ดดี หรือจะทนอยู่แบบนั้นต่อไปดี
ผมที่ถูกยัดผ้าขนหนูใส่มือลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากโดนท่านลุงทั้งผลักทั้งดันอยู่หลายที ในที่สุดผมก็ปิดโหมดแปลงร่างเป็นก้อนหินของตัวเอง แล้วแอบย่องเอาผ้าขนหนูไปพาดไว้ตรงพนักพิงโซฟาเงียบๆ
ตอนที่เงยหน้าขึ้น ท่านแม่ก็หันมาเจอเข้าพอดี
เธอไม่ได้พูดอะไร แต่ยิ้มบางๆ และส่งสายตาชมว่า ‘เก่งมาก’ มาให้ ก่อนจะหันกลับไปปลอบสาวน้อยต่อ
ผมกลับมายืนที่เดิมด้วยใบหน้าร้อนๆ บนหัวมีควันลอยโขมงเหมือนขนมปังเพิ่งยกออกมาจากเตา
.
.
.
หลังจากโอ๋เอ๋กันอยู่นาน ในที่สุดสาวน้อยก็ใจเย็นพอที่จะพูดคุยได้เป็นปกติ
แต่พออ้าปาก เธอก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ต่ออีกยกทันที
“หนูขอโทษนะคะ”
เธอพูดด้วยเสียงสั่นๆ
ผมมองเด็กสาวที่ทำตัวหดลีบเล็กกอดผ้าขนหนูอยู่บนโซฟา แล้วภาพนกกระทาก็แวบเข้ามาในหัวอีกครั้ง
“หนูไม่ได้ตั้งใจค่ะ รู้ตัวอีกทีหนูก็มาอยู่ที่นี่แล้ว… หนูไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะคะ”
ท่านแม่นั่งอยู่ข้างๆ คอยกุมมือเธอเอาไว้
เด็กสาวพยายามสูดน้ำมูก แต่ทำอยู่นานก็ไม่สำเร็จจึงทำท่าจะยกมือเช็ด ท่านแม่ที่เห็นจึงรีบยื่นผ้าขนหนูผืนใหม่ไปให้
เธอยกมันขึ้นปิดหน้า มีเสียงปิ๊ดปิ๊ดดังลอดออกมา เหมือนไม่อยากทำเสียงดัง
สั่งฟืดออกมาเลยก็ได้นะ พวกเราไม่มีใครว่าอะไรหรอก
…ผมพูดแบบนี้ออกไปได้ไหมนะ จะทำเจ้านกกระทาตกใจจนขนพองหรือเปล่า
สุดท้ายผมดูบรรยากาศโดยรอบแล้วก็ไม่ได้พูดออกไป
“หนูอยากเล่าให้น้าฟังไหมคะ พวกเราอาจจะช่วยหนูได้นะ ถ้ายังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไรค่ะ”
ท่านแม่พูดเสียงนุ่ม
ผมอยากรู้จริงๆ ว่าก่อนผมมาถึงพวกเขาคุยอะไรกัน
เธอก้มหน้าก้มตาตอบเสียงเบา
“หนูชื่อโฟร์ค่ะ… ตอนนี้เรียนอยู่ปอหก ที่บ้านมีคุณพ่อ…”
ปอหกนี่คืออะไร…
เหมือนมอหกไหม?
แค่ประโยคแรกในหัวผมก็มีแต่คำถามลอยเต็มไปหมด
ท่านแม่ไม่ได้ถามว่าปอหกคืออะไรกันแน่ แค่พยักหน้าน้อยๆ
ผมลอบคิดในใจ ไม่แน่ว่าต้นตอของแผลทั้งหลายก็อาจจะมาจาก ‘คุณพ่อ’ คนนี้
ท่านแม่ก็คงคิดเหมือนกัน เธอจึงหันมาสบตากับท่านพ่อแวบหนึ่ง
เด็กสาวเงียบไป เหมือนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อดี
ท่านแม่นั่งเงียบๆ เว้นช่วงให้เธอพักหายใจครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อยู่กับคุณพ่อเนอะ งั้นตอนนี้หนูอายุกี่ขวบแล้วคะ”
“อายุสิบสองค่ะ อีกไม่กี่เดือนจะสิบสาม…”
…ถ้าจำไม่ผิด ท่านลุงบอกว่าวิญญาณของเธอเหมือนเด็กอายุประมาณเก้าขวบสิบขวบนี่
ห่างจากสิบสองสิบสามมากเลยนะ…
ผมแอบเม้มปากให้กับความคิดในหัว
เด็กสาวขยับตัวยุกยิก ก่อนจะหลับตาปี๋ สูดหายใจเฮือกใหญ่แล้วเงยหน้ามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ
“คุณน้าไม่ต้องอ้อมก็ได้ค่ะ คุณน้าอยากรู้ว่าหนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงไม่ใช่เหรอคะ”
เธอมองตาท่านแม่
ท่านแม่อึ้งไป เหมือนไม่อยากเชื่อว่าเธอจะพูดออกมาตรงๆ
เด็กคนนั้นกระชับแขนที่กอดผ้าขนหนูให้แน่นขึ้น
“…หนูรู้นะว่ามีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น แล้วหนูก็รู้ด้วยว่าเพราะหนูอยู่ที่นี่ พี่สาวก็เลยไม่อยู่ พวกคุณน้าก็เลยเสียใจ”
เธอพูดออกมารวดเดียวทั้งน้ำตาคลอ
เธอก้มหน้ามองพื้น คำพูดเริ่มตะกุกตะกักขึ้นเรื่อยๆ
“หนูไม่ได้ตั้งใจนะ หนู… หนูไม่ได้อยากให้พี่สาวหายไป… หนูไม่ได้อยากโกหก หนูแค่ไม่อยากให้พวกคุณน้ารู้ว่าหนูไม่ใช่พี่สาว…”
เสียงของเธอขาดห้วง มือน้อยๆ ขยำกระโปรงจนเป็นรอยยับย่น ยิ่งพูด เสียงก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ
เด็กสาวกำมือแล้วผุดลุกขึ้น
“หนูไม่ได้อยากทำร้ายใครเลยนะ!”
เธอเผลอตะโกนออกมา พอรู้ตัวก็รีบเอาสองมือปิดปาก
ดวงตาสองข้างค่อยๆ มีน้ำเอ่อคลอ
เธอเม้มปากแน่น พยายามอดทนจนหน้าแดงก่ำ แต่สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ
น้ำตาเม็ดโตไหลลงมาตามแก้ม ก่อนจะหยดลงบนพื้นไม่ขาดสาย
“หนูขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้จะตะโกน… ฮึก…หนูไม่รู้จะทำยังไง… หนูขอโทษ…”
“หนูผิดเองค่ะ…”
เสียงของเธอสั่นเครือ
“หนูอยู่ที่ไหน… ก็มีแต่เรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นตลอด…”
ทั้งห้องมีเพียงเสียงร้องไห้ของเธอดังก้อง
ผมเม้มปาก ไม่รู้ว่าควรวางตัวยังไงดี ส่วนท่านแม่ที่ถูกเสียงร้องไห้เรียกสติกลับมา ค่อยๆ เข้าหาเด็กคนนั้นอย่างระมัดระวัง
เธอเว้นระยะห่างจากเด็กสาว ย่อตัวพูดด้วยท่าทางใจเย็น
“…ต้องมาอยู่ในร่างคนไม่รู้จักแบบนี้ มันไม่ยุติธรรมกับหนูเลยใช่ไหมคะ? หนูรู้ไหมว่าหนูเข้มแข็งมาก แล้วก็เก่งมากๆ เลยที่อดทนแล้วก็ผ่านมาได้ ไม่มีใครคิดว่านี่เป็นความผิดของหนูเลยนะ”
เด็กสาวเอาแต่ส่ายหน้า
เธอพูดด้วยเสียงกระท่อนกระแท่น
“ทุกอย่างเป็นความผิดของหนู… ถ้าไม่ใช่เพราะหนู… พี่สาว…”
เธอสะอึกสะอื้นจนยืนไม่อยู่ ท่านแม่ที่อยู่ใกล้ค่อยๆ ประคองให้เธอนั่งบนโซฟาอีกครั้ง บนใบหน้ามีแต่ความอ่อนโยนเข้าอกเข้าใจ
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าท่านแม่ทำได้ยังไง
จ้องมองใบหน้าของลูกสาวที่ร้องไห้จนแดงก่ำไปหมด แต่เด็กที่อยู่ข้างในนั้นไม่ใช่ลูกสาวที่คอยดูแลทะนุถนอม และเด็กน้อยที่เข้ามาก็ไม่ใช่คนที่เธอจะใจร้ายใส่ได้ลง
หรือว่านี่คือพลังของพวกผู้ใหญ่กันนะ
“น้องโฟร์คะ รู้ไหมว่าทำไมน้าถึงคิดว่าหนูไม่ผิดเลย… หนูไม่ได้เป็นคนทำให้พี่สาวหายไป พี่สาวเป็นคนที่หายตัวไปก่อน …ส่วนหนูเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง… ที่บังเอิญหลงทางเข้ามาอยู่ในนี้”
ท่านแม่ลูบหลังเธอเบาๆ
“แล้วแบบนี้ พวกน้าจะโกรธหนูได้ยังไงคะ”
ท่านแม่คลี่ยิ้มอ่อนโยนให้เธอ แต่ไม่รู้ทำไม พอเด็กสาวเห็นแบบนั้น กลับยิ่งร้องไห้หนักขึ้นไปอีก
ผมมองเด็กคนนั้นที่สะอื้นเหมือนจะขาดใจแล้วอดคิดตามคำพูดของท่านแม่ไม่ได้
ต่อให้เธอไม่เข้ามาในร่าง ถ้าวิญญาณของลิเลียนถูกการปะทุดีดออกไปจริงๆ สุดท้ายก็คงมีคนอื่นมาเข้าร่างลิเลียนอยู่ดี
ผมมองเด็กสาวที่ร้องไห้จนกระเซอะกระเซิงแล้วอดคิดขึ้นมาไม่ได้…
…บางที ในเรื่องร้ายๆ ก็ยังมีเรื่องดีอยู่
อย่างน้อย...
คนที่เข้ามาในร่างของลิเลียนก็เป็นเด็กดีคนหนึ่ง
…แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมยังคาใจ
แล้วทำไม… ตอนนั้นเธอถึงได้บอกผมว่ามาจากอนาคต?
.
.
.
หลังจากบ่อน้ำตาแตกยกสองเสร็จแล้ว เด็กคนนั้นก็พิงโซฟาด้วยทางเหนื่อยอ่อน
ท่านแม่คอยปลอบเธอเงียบๆ อยู่ด้านข้าง
เด็กสาวกะพริบตาถี่ๆ ไล่น้ำตาเม็ดสุดท้าย ก่อนจะพูดด้วยเสียงเบาหวิว
“หนูไม่ร้องไห้แล้วค่ะ”
“หนูคิดว่าหนูพร้อมแล้ว หนูเล่าให้คุณน้าฟังได้นะคะ”
พอสงบสติอารมณ์ได้จริงๆ แล้ว เด็กสาวก็พูดด้วยน้ำเสียงมั่นคงต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ
แต่เธอทั้งชื้นเหงื่อทั้งเปื้อนน้ำตา แถมหน้ายังแดงเหมือนเพิ่งโดนเอาออกจากหม้อนึ่ง ทำให้เกิดความรู้สึกไม่เข้ากันอย่างบอกไม่ถูก
ผมไม่มีอะไรจะพูด
พอโดนน้ำตารดจนอิ่ม ก็เติบโตแตกหน่อเป็นผู้ใหญ่ได้ในชั่วข้ามคืนเหรอ นี่เธอเป็นถั่วงอกหรือไง
ตั้งแต่เธอเริ่มปล่อยโฮจนจบ ยังผ่านไปไม่ครบชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ!
ทำไมถึงได้จัดการอารมณ์ไวขนาดนี้???
ตอนเธอพูดจบ ท่านแม่ก็ได้แต่มองด้วยความจนใจ
คนหนึ่งเป็นลูกหมามอมๆ ที่หลงอยู่ในทะเลแล้วโดนคลื่นกระแทกซ้ายขวาหน้าหลังจนล้มคว่ำไม่เป็นท่า ส่วนอีกคนคือมนุษย์แปลกหน้าที่พาตัวเองไปช่วยลูกหมาออกมา แต่เผลอแวบเดียวเจ้าตัวน้อยก็เอาขาสั้นๆ พาตัวเองไปโดดลงน้ำอีกแล้ว
ทั้งที่ร้องไห้จนแทบเป็นลม ท่านแม่ก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่าไว้ค่อยคุยวันอื่นก็ได้ เธอกลับส่ายหน้าจะลุยต่อท่าเดียว
ทำไมถึงได้หัวแข็งขนาดนี้เนี่ย!
ระดับความหัวดื้อเลเวลสูงขนาดนี้ ผมบอกเลยว่าแม้แต่ลิเลียนก็สู้ไม่ได้
ลับหลังเด็กสาว ท่านแม่ลอบถอนใจแบบไร้เสียง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนซ้ำอีกครั้ง
“ถ้าหนูไม่อยากพูด หนูบอกพวกน้าได้เลยนะคะ พวกเราจะไม่บังคับหนู ถ้าหนูเหนื่อยแล้ว อยากพักแล้ว เราก็หยุดได้ตลอดนะ”
ผมว่าท่านแม่พูดประโยคนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว
เด็กสาวพยักหน้าเบาๆ แต่ไม่ได้นำพา
เธอสูดหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่อง
“หนู… รู้ตัวอีกที หนูก็ตื่นขึ้นมาในร่างนี้ค่ะ”
เธอขยับมือยุกยิก
“อันที่จริง หนูก็เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาบ้าง… แบบว่า ตื่นขึ้นมาในร่างของคนอื่น กลายเป็นคุณหนูในตระกูลขุนนาง อะไรแบบนี้”
เธอจ้องมองถ้วยชาที่เย็นชืดไปนานแล้ว ก่อนจะแอบมองท่านพ่อท่านแม่ที่ยังตั้งใจฟังอยู่
แต่ว่า ‘ได้ยินมา’ เหรอ…
ปกติไม่น่าจะมีใครเขาตื่นมาอยู่ในร่างขุนนางกันบ่อยๆ นะ
“ตอนแรกหนูคิดว่าเป็นแค่ความฝันค่ะ… ไปอยู่ในร่างอื่นอะไรพวกนี้ มันมีแต่ในเรื่องแต่งนี่คะ แถมทุกคนยังใจดีมากๆ หนูก็เลยคิดว่า ในเมื่อเป็นความฝัน ถ้าหนูจะลองทำตัวเหมือนเป็นเจ้าหญิงสักวันก็คงไม่เป็นไร”
เธอเล่าถึงตอนที่ฝึกพูดจาเหมือนคุณหนูในเรื่องแต่งที่เคยได้ยินมา ลองใส่ชุดสวยงามที่แขวนอยู่ในตู้ ตอนที่เจอกล่องต่างหูเข้าแล้วคุณเมดเล่าว่าเธอไม่เคยใส่เลยสักชิ้น ตอนที่เธอลองเจาะหู แล้วก็ขอให้คุณเมดทำผมให้
พอทำทั้งหมดนั้นเสร็จแล้ว เธอก็ส่องกระจก
แล้วก็ได้เห็นตัวเองแต่ตัวดีๆ ไม่มีผมเผ้าปรกหน้าปรกตาเป็นครั้งแรก
“พอนึกดูแล้ว… หนูไม่ควรทำแบบนั้นเลยใช่ไหมคะ”
เธอกำมือที่วางบนตัก
“ตอนที่มองตัวเองในกระจก… หนูรู้สึกเหมือนตัวเองทำเรื่องไม่ดีมากๆ ลงไปค่ะ”
เธอน้ำตาคลอ
ท่านแม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ค่อยๆ กุมมือของเธอหลวมๆ เหมือนเธอเป็นฟองสบู่ที่ใกล้แตกเต็มที แล้วถามด้วยเสียงแผ่วเบา
“ทำไมหนูถึงคิดว่าเป็นเรื่องไม่ดีล่ะคะ”
ดวงตาของเธอเลื่อนลอยเหมือนกำลังคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่าง ผมรู้สึกเหมือนตัวเองสัมผัสได้ถึงพายุอารมณ์ปั่นป่วนอยู่ในดวงตาคู่นั้น
เธอเงียบไปสักพัก ก่อนจะหลับตาลงแล้วพูดต่อ
“…เพราะว่านี่คือพี่สาวนี่คะ…”
“...ไม่ใช่หนู...”
ผมไม่รู้ว่าทำไมการส่องกระจกครั้งเดียว ถึงทำให้เธอสั่นคลอนได้ขนาดนั้น
แต่ผมรู้สึกได้ถึงความเศร้าเสียใจท่วมท้นของเธอ
หลังจากนั้นเธอก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่
พวกเรารอให้เธอใช้เวลากับตัวเอง ต่างคนต่างนั่งๆ ยืนๆ มองพื้น เพดาน ถ้วยน้ำชาไปพลาง
หลังเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็กะพริบตาเหมือนเพิ่งได้สติกลับมา
“แล้วพอเวลาผ่านไป… หนูก็รู้สึกว่าว่าหนู หนูเคยได้ยินเกี่ยวกับที่นี่มาก่อน”
เสียงของเธอเริ่มสั่นขึ้นมานิดหน่อย แต่ไม่ได้มีท่าทีเหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง
“ในนิทานที่หนูอ่าน มีนางเอกชื่อลิเลียนอยู่ค่ะ”
…นิทาน?
ผมยืดหลังตรง
คำแปลกๆ โผล่ออกมาแล้ว
“ในนิทานเล่าถึงชีวิตประจำวันเล็กๆ น้อยๆ ของนางเอกที่เป็นดัชเชสคนหนึ่งค่ะ… หนูยังอ่านไม่จบ แต่ในนิทานที่หนูอ่านถึง มีฉากเล่าอดีตของนางเอกอยู่นิดหนึ่งค่ะ”
เธอมองผมแล้วทำท่าทางลังเล
ผมพยายามระงับสมองส่วนที่ไม่ยอมอ่านบรรยากาศที่กำลังกระโดดโลดเต้นตะโกนว่า ‘ลิเลียนได้เป็นดัชเชส!’ อย่างสุดความสามารถ แล้วพยายามพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้
“…มันเกี่ยวกับที่…โฟร์…พยายามห้ามพี่ไม่ให้ไปแดนเหนือหรือเปล่า”
ผมไม่รู้จะแทนเธอด้วยคำว่าอะไรไปชั่วขณะ
เด็กสาว… โฟร์พยักหน้ารับ
“นิทานเล่าว่า ตอนที่นางเอก… พี่ลิเลียนอายุสิบสาม เธอเสียพี่ชายไปในสงครามที่แดนเหนือค่ะ… แต่ไม่ได้บอกว่าทำไม…”
เธอช้อนตามองผม
“เพราะว่าทุกคนใจดีกับหนูมากๆ … หนูก็เลย ก็เลยพยายามห้ามไม่ให้พี่ชายไปค่ะ… แต่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงพี่ชายถึงจะเชื่อ… หนูเลยบอกไปว่ามาจากอนาคต”
...มาจากอนาคตก็ไม่ได้น่าเชื่อไปกว่ากันเท่าไหร่นะที่จริงแล้ว
หัวสมองของผมหมุนติ้ว ผมคิดว่าตัวเองเห็นภาพอะไรรางๆ แล้ว แต่ยังไม่กล้าฟันธงชัดเจน
“หลังจากนั้น… หนูก็ไม่อยากให้ใครรู้ว่าหนูไม่ใช่พี่สาว… หนูคิดว่าตัวเองทำได้ดีแล้ว เพราะว่าทุกคนยังใจดีกับหนูเหมือนเดิม…”
เธอเหลือบมองพวกเรา
“ความจริงหนูไม่ได้เรื่องเลย… ที่ทุกคนดีกับหนู เป็นเพราะทุกคนเป็นคนใจดีมากๆ กันอยู่แล้ว …ใช่ไหมคะ?”
…เธอประเมินพวกเราสูงเกินไปแล้ว
แต่เธอเป็นเด็กคนหนึ่งแท้ๆ ทำไมถึงพูดจาใจร้ายกับตัวเองแบบนั้นล่ะ
โฟร์หยุดนิ่งไปอีกครั้ง เหมือนกำลังต่อสู้กับความคิดว่าจะพูดหรือไม่พูดดี แต่สุดท้ายเธอก็สุดหายใจลึกๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมา
เธอทำปากอ้าหุบในอากาศ ก่อนจะเม้มปากแน่น แล้วตัดสินใจพูดออกมา
“ที่จริง…”
“… หนูมาจากโลกอื่นค่ะ”
ในที่สุดเรื่องราวก็ปะติดปะต่อ
ผมควรจะสังเกตเห็นตั้งนานแล้ว
ทั้งเรื่องนิทานที่เธอพูดถึง
เรื่องที่เธอบอกว่าตัวเองอยู่ปอหก ทั้งๆ ที่อัลเคอเรียไม่ได้นับปีการศึกษาแบบนั้น
ที่เธอใช้ข้าวของแปลกๆ หลายอย่างในบ้านได้เหมือนเป็นเรื่องปกติ ทั้งๆ ที่หลายอย่างก็เป็นสิ่งที่ลิเลียนขอให้ผมประดิษฐ์ให้เป็นพิเศษ
เรื่องที่เธอไม่แม้แต่จะตั้งคำถามกับคำศัพท์แปลกๆ ของผมหรือท่านพ่อท่านแม่เลยสักครั้งเดียว แถมยังดูเข้าใจความหมายของคำพวกนั้นดี
ที่แท้…
เธอเองก็มาจากต่างโลก
…
เหมือนกับลิเลียนของผม