ความรู้ดั่งเครื่องประดับงามกว่าทรัพย์ประดับกายสิ่งอื่นหมุนเวียนมลายวิทยานั้นมิรู้เลือน
ชาย-ชาย,รัก,ไทย,ย้อนยุค,วาย,วายพีเรียด,ชาย-ชาย,ชายรักชาย,ชายชาย,ย้อนยุค,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
สุดหทัยวิทยาความรู้ดั่งเครื่องประดับงามกว่าทรัพย์ประดับกายสิ่งอื่นหมุนเวียนมลายวิทยานั้นมิรู้เลือน
วิทยา
นักเรียนแพทย์จบใหม่จากต่างแดน
เดินทางจากหัวเมืองเข้าสู่พระนครพร้อมจดหมายฝากฝังตนเองจากอาจารย์ของเขาถึง
พระยาเอกชาติ
ขุนนางสูงศักดิ์ผู้ที่จะสามารถส่งวิทยาเข้าไปทำงานในกรมการแพทย์ของวังหลวงได้
เพราะความถูกชะตา และเห็นแก่ผู้ใหญ่ที่ฝากฝังนายแพทย์หนุ่ม
เขาจึงคอยช่วยวิทยาอยู่เสมอ
ไม่ทันได้ตั้งตัว ความรู้สึกที่มีต่อนายแพทย์หนุ่มจากหัวเมืองก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไป
จนตัวเขาเองไล่ตามความรู้สึกของตนแทบไม่ทัน
.
.
เมื่อรู้แน่ชัดถึงความรู้สึก ชายหนุ่มสูงศักดิ์จึงไม่คิดจะรั้งรอเวลาให้ยาวนาน
การเอ่ยให้อีกฝ่ายได้เข้ามาอยู่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นจึงเป็นประตูด่านแรก
ที่จะเผยความรู้สึกของคนทั้งสอง...
ว่าตรงกันหรือไม่
รุ่งอรุณแห่งพระนครคลี่คลายม่านหมอกบาง ๆ เผยให้เห็นรั้ววังหลวงตั้งตระหง่านกลางสายหมอกอ่อน เสียงกลองประโคมแว่วก้องเป็นสัญญาณเริ่มต้นวันใหม่ ภายในวังหลวง ข้าราชบริพารสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย เดินขวักไขว่ไปตามระเบียบของราชสำนัก
วิทยายืนอยู่หน้าประตูตำหนักใหญ่ที่ใช้เป็นสถานที่ประชุมคณะหมอหลวงและแพทย์จากต่างประเทศ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างพยายามรวบรวมสติ มือที่จับปึกกระดาษบันทึกความรู้แพทย์สั่นน้อย ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้เข้าร่วมประชุมระดับนี้ ถึงแม้เขาจะได้ร่ำเรียนและฝึกประสบการณ์จากคำสั่งสอนของอาจารย์แพทย์ทั้งจากต่างแดนและจากหัวเมืองบ้านเกิดเขามาสักพักใหญ่อีกทั้งยังเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีแล้ว แต่เขาก็ยังอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้
เมื่อเดินเข้ามาด้านใน ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เขาต้องหันมองซ้ายขวาอย่างตื่นตะลึง ห้องประชุมกว้างขวาง พื้นไม้ขัดมันสะท้อนแสงโคมทองเหลืองที่แขวนประดับอยู่เหนือศีรษะ ตรงกลางมีโต๊ะตัวยาวที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับบรรดาหมอหลวง ขุนนางฝ่ายแพทย์ และคณะแพทย์ฝรั่งผู้ทรงคุณวุฒิ ทุกคนแต่งกายอย่างภูมิฐาน บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นยาสมุนไพรอ่อน ๆ ที่ลอยมาตามลม
เสียงสนทนาเริ่มดังขึ้นในทันทีที่มีการกล่าวเปิดการประชุม หัวข้อสำคัญในวันนี้คือการพิจารณานำศาสตร์แพทย์ตะวันตกมาใช้ร่วมกับการแพทย์แผนไทย หลายฝ่ายเห็นว่าเป็นแนวทางที่ดี แต่อีกหลายฝ่ายยังคงไม่เห็นด้วยและตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของศาสตร์จากต่างแดน
“แพทย์แผนไทยของเรามีมาแต่โบราณ รักษาผู้คนมานับร้อยปี เหตุใดเราต้องรับศาสตร์ของพวกตะวันตกมาให้ยุ่งยาก” ขุนนางอาวุโสท่านหนึ่งกล่าวขึ้น น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความกังขา
“แต่เราต้องยอมรับว่า แพทย์แผนตะวันตกมีวิธีวินิจฉัยโรคที่ละเอียดขึ้น อีกทั้งยังมีเครื่องมือที่สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ดีกว่า” แพทย์ฝรั่งคนหนึ่งกล่าวโต้กลับถ้าสำเนียงแปลกหูหากแต่ฟังรู้เรื่องชัดเจนทุกถ้อยคำ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ
วิทยานั่งฟังการอภิปรายอย่างตั้งใจอยู่ที่เก้าอี้เสริมหลังห้องร่วมกับนักเรียนแพทย์จบใหม่อีกสองสามคนที่ได้รับโอกาสเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ด้วยเช่นกัน เขาเข้าใจเหตุผลของทั้งสองฝ่าย แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมองก็คือชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่า สวมอาภรณ์ของขุนนางชั้นสูงด้วยท่วงท่าผึ่งผาย ดวงตาคมกริบของเขาดูลึกลับและอ่านยาก ไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมาแม้แต่คำเดียว
พระยาเอกชาติ ขุนนางผู้มีอิทธิพลต่อวงการแพทย์ของราชสำนัก ชื่อของเขาถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งในหมู่หมอหลวงในฐานะผู้สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงของระบบการแพทย์
วิทยาเผลอจ้องความสง่าน่าเกรงขามนั้นนานเกินไป และในเสี้ยวนาทีต่อมาพระยาเอกชาติก็หันมาสบตากับเขาพอดี ดวงตาคู่นั้นเย็นชาและเฉยเมย ทำให้วิทยารู้สึกเหมือนถูกจับตามองโดยพยัคฆ์ผู้สงบนิ่ง
“วิทยา”
พระยาเอกชาติเอ่ยขึ้น เสียงทุ้มต่ำแต่ทรงอำนาจ ทำให้วิทยาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบค้อมศีรษะลง
“ขอรับ เอ่อ...กระผมวิทยาขอรับ” วิทยาขานรับคำเรียกของท่านเจ้าคุณก่อนจะลุกขึ้นยืนแนะนำตัวกับผู้อาวุโสในห้อง พระยาเอกชาติพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เจ้าเองก็ศึกษาวิชาแพทย์แผนตะวันตกมา เจ้าคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้?”
วิทยากลืนน้ำลายลงคอ ไม่คิดว่าตนเองจะถูกถามความเห็นต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ แต่เขาก็ตอบด้วยเสียงมั่นคง
“กระผมเชื่อว่า ทั้งศาสตร์ตะวันตกและแผนไทยล้วนมีข้อดีในตนเอง หากสามารถประยุกต์ใช้ร่วมกันได้ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุดขอรับ”
พระยาเอกชาติเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่กล่าวอะไรต่อ เขาเพียงมองวิทยาด้วยสายตาที่ดูเหมือนกำลังประเมินอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปสนใจการอภิปรายของหมอหลวงและขุนนางท่านอื่น
แม้ว่าท่านจะไม่ได้กล่าวอะไรเป็นพิเศษ แต่วิทยากลับรู้สึกได้ว่า...สายตานั้นไม่ได้ปฏิเสธคำตอบของเขาเสียทีเดียว ชายหนุ่มจากหัวเมืองนั่งลงค่อย ๆ สงบจิตใจ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเพียงแค่เขาถูกเรียกชื่อและมอบโอกาสให้ออกความคิดเห็นทั้งยังไม่รู้สึกถึงการไม่ยอมรับในความเห็นของเขาจากท่านเจ้าคุณถึงทำให้หัวใจเขาพลันรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาได้
ราวกับว่าตัวเขากำลังถูกยอมรับทีละน้อยในสายตาคนเก่งมากประสบการณ์และยังเป็นที่ยอมรับไปทั่ววังหลวงอย่าง พระยาเอกชาติ
ภายหลังการประชุมสิ้นสุดลง วิทยาก้าวออกจากวังหลวงด้วยความรู้สึกที่ยังคงค้างอยู่ในใจ แม้จะได้รับโอกาสให้แสดงความคิดเห็นต่อหน้าขุนนางและหมอหลวง แต่ท่าทีของเหล่าผู้สูงศักดิ์ก็ยังคงคลุมเครือ การจะนำแพทย์แผนใหม่เข้ามาแทนที่ศาสตร์โบราณย่อมมิใช่เรื่องง่าย วิทยาถอนหายใจยาวขณะเดินไปตามแนวทางเดินอันยาวไกลสู่ลานวัง
ทันใดนั้น เสียงล้อเกวียนบดไปกับพื้นหินก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เขาเหลียวกลับไปมองและพบรถม้าคันงามหยุดลงใกล้ตัว พระยาเอกชาตินั่งอยู่ภายใน มองเขาผ่านหน้าต่างรถด้วยสายตาเรียบนิ่งแต่แฝงแววพินิจพิเคราะห์
“ขึ้นมาเถิด ข้าจะไปส่ง” พระยาเอกชาติกล่าวเรียบ ๆ
วิทยาตะลึงไปชั่วขณะ มิคาดว่าจะได้รับการปฏิบัติด้วยไมตรีจากขุนนางใหญ่เช่นนี้ เขารีบประนมมือไหว้ก่อนกล่าวอย่างสุภาพ
“ขอบพระคุณท่านเจ้าคุณขอรับ กระผมเดินกลับเองดีกว่าขอรับ ไม่รบกวนท่านเจ้าคุณดอกขอรับ”
“เจ้าจะให้พระยาเช่นข้าต้องเอ่ยชวนถึงสองคราหรือ” พระยาเอกชาติกล่าวขึ้น พลางเลิกคิ้วเล็กน้อย
เมื่อได้ยินดังนั้น วิทยาจึงมิอาจปฏิเสธได้อีก เขาก้าวขึ้นไปนั่งในรถอย่างสำรวม กลิ่นเครื่องหอมจาง ๆ จากภายในรถม้าช่วยให้บรรยากาศดูผ่อนคลายขึ้น ความเงียบเกิดขึ้นเพียงครู่เดียวก่อนที่พระยาเอกชาติจะเอ่ยขึ้น
“เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับการประชุมในวันนี้”
วิทยาชะงักเล็กน้อย ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง “กระผมเห็นว่าการนำแพทย์แผนตะวันตกมาใช้ในราชสำนักเป็นก้าวที่สำคัญต่อบ้านเมืองขอรับ ศาสตร์การแพทย์พัฒนาไปไกล หากมิเปิดรับวิทยาการใหม่ ประชาชนอาจเสียโอกาสในการรักษาโรคภัยที่หมอแผนไทยมิอาจเยียวยาได้”
พระยาเอกชาติพยักหน้าช้า ๆ ดวงตาสีนิลฉายแววพิจารณา “เจ้ามีความเชื่อมั่นในศาสตร์ใหม่มากนัก”
“ขอรับ” วิทยาตอบโดยไม่ลังเล “กระผมมิได้ปฏิเสธการแพทย์แผนไทย แต่เชื่อว่าทั้งสองศาสตร์สามารถเกื้อหนุนกันได้ หากเลือกใช้ให้เหมาะสม”
พระยาเอกชาติแค่นยิ้มเล็กน้อย “เจ้ากล้าหาญและมีความคิดดี เจ้ามิใช่เพียงคนหนุ่มที่มีความรู้อย่างเดียว แต่ยังกล้าแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมที่เต็มไปด้วยขุนนางและหมอหลวง เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากพูดผิดเพียงคำเดียว อาจส่งผลเสียต่อตัวเจ้าได้”
“กระผมตระหนักถึงเรื่องนั้นดีขอรับ” วิทยากล่าวเสียงเรียบ “แต่กระผมคิดว่าหากมิอาจแสดงความเห็นตามความจริง ย่อมมิอาจเรียกได้ว่าทำเพื่อส่วนรวม”
พระยาเอกชาติหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะมองเขาด้วยสายตาที่ดูอ่อนลง “ดี...เจ้าเป็นคนหนุ่มที่น่าสนใจนัก”
วิทยาก้มศีรษะเล็กน้อยด้วยความนอบน้อม แต่ภายในใจกลับรู้สึกประหลาดกับท่าทีของพระยาเอกชาติ เขาคิดว่าขุนนางผู้นี้เป็นคนเย็นชา แต่ยามนี้กลับสัมผัสได้ถึงความเมตตามากล้นที่ซ่อนอยู่ใต้ท่าทีสุขุมนั้น
เมื่อรถม้ามาหยุดลงที่หน้าที่พักของวิทยา เขาก้มศีรษะทำความเคารพก่อนจะกล่าวคำขอบคุณ “ขอบพระคุณท่านเจ้าคุณที่เมตตากระผมขอรับ”
ก่อนที่วิทยาจะก้าวลงจากรถ พระยาเอกชาติก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “อาจารย์ของเจ้าบอกข้าว่าเจ้าเรียนได้ดีนัก จากนี้ไป เจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม ข้าจะให้เจ้าลองเข้าไปทำงานในแผนกการแพทย์ของวัง เพื่อให้เจ้าได้พิสูจน์ตนเอง หากเจ้าทำได้ดี ชีวิตเจ้าจะก้าวขึ้นไปอีกขั้น”
วิทยาเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตื่นตะลึง ดวงตากลมโตส่องประกายความมุ่งมั่นระคนดีใจ
“กระผมจะตั้งใจให้ดีที่สุดขอรับ”
พระยาเอกชาติพยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนรถม้าจะเคลื่อนออกไป ทิ้งให้วิทยายืนอยู่หน้าที่พักด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของเขาจริง ๆ ในพระนคร...เส้นทางที่คงจะเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายข้างหน้า แต่ก็นำไปสู่โอกาสที่เขารอคอยมาชั่วชีวิต ซึ่งโอกาสเหล่านั้นเขาได้รับมาจากบุคคลที่เขารู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาดที่สุดในบรรดาคนที่เขารู้จักในพระนคร