อารยธรรมมนุษย์ล่มสลายจากสงครามกับอสูรเมื่อหลายสิบปีก่อน พวกมันกลับมาอีกครั้งในยามที่มนุษย์แทบจะไร้อาวุธต่อกร มีเพียงสิ่งนั้นที่เป็นความหวัง
ไซไฟ,sci-fic,ไซไฟ,ยูริ,yuri,อนาคต,หุ่นยนต์,สัตว์ประหลาด,ไคจู,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาวอารยธรรมมนุษย์ล่มสลายจากสงครามกับอสูรเมื่อหลายสิบปีก่อน พวกมันกลับมาอีกครั้งในยามที่มนุษย์แทบจะไร้อาวุธต่อกร มีเพียงสิ่งนั้นที่เป็นความหวัง
แม้พวกอสูรจะพ่ายแพ้กลับไป ทว่าอารยธรรมของมนุษย์ทั้งหมดก็ถูกทำลาย เหล่าผู้รอดชีวิตอาศัยอยู่ในกลุ่มเล็กๆ กระจัดกระจายกันอยู่ไม่กี่สิบกลุ่มทั่วโลก
แมรี่ เด็กสาวจากกลุ่มอื่นที่เพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน เธอถูกอสูรไล่ล่า ดีที่ได้ เจนนิเฟอร์ ยัยเนิร์ดบ้าเครื่องจักรขับหุ่นยนต์มาช่วยไว้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวการต่อสู้และความรักของทั้งสอง
นิยายเรื่องใหม่ของราชาวาฬ ลงวันเว้นวันตอนหกโมงเย็น!
บทนำนี้คือเรื่องสั้น "ผู้ปกป้อง" ที่เคยเผยแพร่ใน "เรื่องเล่าของราชาวาฬ" ผมนำมาเขียนต่อเป็นนิยายเรื่องยาวครับ โดยบทนำนี้จะได้รับการแก้ไขเล็กน้อยให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่องของนิยาย
สงครามกับพวกอสูรต่างดาวจบไปนานหลายสิบปีแล้ว อารยธรรมมนุษย์ที่ชะลอการเติบโตก็ค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมา ถึงแม้จะยังไม่เจริญเหมือนครั้งก่อนถูกรุกราน แต่พวกเราก็พอจะมีเครื่องอำนวยความสะดวกอยู่บ้าง บางส่วนเป็นมรดกตกทอดจากยุครุ่งเรือง บางส่วนก็มีผู้ประดิษฐ์ขึ้นมา เรื่องของพลังงานที่เคยเป็นปัญหาใหญ่ พอมีมนุษย์เหลือเพียงหนึ่งในสิบจากเมื่อก่อน ในตอนนี้ก็ไม่ค่อยจะมีปัญหาอะไรนัก ปัญหาใหญ่ที่สุดที่เราต้องเผชิญในตอนนี้คืออสูรต่างดาวที่ยังเหลืออยู่ เป็นพวกกระจอกไม่มีสติปัญญา พวกมันเป็นเหมือนงูที่มีแค่สองขาหน้า แต่ปากมันใหญ่และมีฟันเต็มไปหมดเหมือนจระเข้ เคลื่อนที่ได้เร็วพอๆ กับมอเตอร์ไซค์ ตามตัวมีเกล็ดหนา มีเพียงอาวุธครั้งสงครามเท่านั้นที่จัดการมันได้ ถึงอย่างนั้น ช่วงสี่ห้าปีมานี้ก็ไม่มีสถิติการเห็นอสูรชั้นต่ำพวกนี้แล้ว
ชุมชนของพวกเรามีจำนวนผู้คนไม่มากนัก เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้รอดชีวิตที่มีอยู่ไม่กี่สิบกลุ่มทั่วโลก พยายามใช้ชีวิตพร้อมกับการฟื้นฟูเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อให้ความเป็นอยู่สบายขึ้น เรามีเครือข่ายติดต่อกับมนุษย์ที่ยังเหลืออยู่ทั่วโลก และมีการสร้างโรงเรียนขึ้นเพื่อรวบรวมองค์ความรู้และพยายามสร้างเทคโนโลยี แบ่งออกเป็นแผนกต่างๆ ฉันเองก็เป็นนักเรียนคนหนึ่งในโรงเรียนนี้ แต่ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องเลือกแผนก บอกตามตรงฉันเองก็ยังเลือกไม่ถูกเหมือนกัน ถึงจะยังมีแผนกให้เลือกไม่มากนักก็เถอะ ฉันเป็นคนที่ชอบทำอาหาร แต่พวกงานศิลปะอย่างการวาดภาพหรือการปั้นก็น่าสนใจดี
ที่เนินเขาหลังโรงเรียน มีหุ่นยนต์รบประเภทใช้คนขับอยู่ตัวหนึ่ง อันที่จริงแล้วคงจะต้องเรียกว่าซากหุ่นยนต์ เพราะมันเป็นของที่ใช้หลังสงคราม ร่างกายโลหะขึ้นสนิม สีซีดจางจนต้องตั้งใจมองถึงจะเห็นว่ามันเคยมีสีเขียว ที่ไหล่ขวาถูกสลักเป็นตัวอักษรว่า Protector หรือก็คือผู้ปกป้อง ถัดจากคำนั้นคือตัวเลขที่รางเลือนเสียจนมองไม่เห็นว่าเป็นเลขอะไร ส่วนที่ไหล่ซ้ายมีรอยขูดขีดเป็นตัวอักษรที่ฉันอ่านไม่ออก ถึงเอาแอปแปลภาษาในโทรศัพท์ขึ้นมาส่องก็แปลไม่ได้ ถ้าไม่เป็นเพราะมันรางเลือนมากจากกาลเวลา คงเพราะภาษาที่เขียนนั้นไม่มีอยู่ในระบบ ห้องคนขับเปิดอยู่เผยให้เห็นโครงกระดูกของผู้ที่เคยขับเคลื่อน ไม่มีใครใส่ใจจะทำพิธีศพให้กับเขา ไม่มีใครรู้ว่าเขาชื่ออะไร ถึงจะมีป้ายชื่อโลหะห้อยอยู่ที่คอ แต่มันก็ถูกกระสุนจนเสียรูปร่าง เลยไม่รู้ว่าผู้ปกป้องคนนี้มีชื่อว่าอะไร บางทีอาจจะมีเอกสารของเขาอยู่ตามเสื้อผ้า แต่ก็ไม่เคยมีใครไปสำรวจเหมือนกัน
ฉันเคยไปเที่ยวที่ป่าห่างจากที่นี่หน่อย ที่นั่นมีซากหุ่นอยู่เหมือนกัน แต่หุ่นเหล่านั้นมีมอสและเถาวัลย์ขึ้นปกคลุมจนแทบมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน บางทีก็มีคราบตะไคร่ เชื้อรา หรือมีพวกสัตว์เข้ามาอยู่ เมื่อเทียบกันแล้วพี่ Protector ของเราค่อนข้างสะอาด แล้วก็ไม่มีสัตว์อยู่อีกด้วย ถึงลือกันว่าเขาเป็นหุ่นยนต์ผีสิง บางคนถึงกับบอกว่าตอนกลางคืนเคยเห็นแสงสว่างส่องออกมาเหมือนกับหุ่นยนต์ตัวนี้ยังใช้งานได้
ฉันหัวเราะ มันจะเป็นไปได้อย่างไร แหล่งพลังงานก็ไม่มี
จนวันนั้นที่มีกิจกรรมที่โรงเรียนนานจนต้องกลับบ้านค่ำ ฉันเห็นแสงสว่างส่องออกมาจากในป่า
เฮ้ย หรือว่าหุ่นยนต์จะมีผีสิงจริงๆ
วันนั้นเพื่อนๆ กลับไปหมดแล้ว ไม่มีใครเดินไปเป็นเพื่อน แต่ฉันก็อยากรู้อยากเห็นจนทนไม่ไหว เอาโทรศัพท์มาเปิดไฟฉายแล้วเดินไปดูคนเดียว
ถึงไฟฉายของโทรศัพท์จะสว่างพอมองเห็น แต่ป่าหลังโรงเรียนตอนกลางคืนก็ค่อนข้างน่ากลัว เงาต้นไม้ที่วูบไหว เสียงของสัตว์ต่างๆ มันทำให้ฉันคิดไปต่างๆ นานา
รู้แบบนี้ไม่น่ามาเลย หรือไม่งั้นก็ต้องชวนเพื่อนมาด้วย
แต่ตอนนี้ก็เดินมาได้ไกลเกินกว่าจะกลับแล้ว ฉันก้าวช้าลงตามปริมาณความฟุ้งซ่านที่อยู่ในหัว
นกฮูกกับค้างคาว สัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ แต่เมื่อค้างคาวบินกันพึ่บพั่บ และนกฮูกจ้องตาเขม็งจากกิ่งไม้ กลับให้ความรู้สึกที่ใจไม่ดี
เสียงแสกสากดังออกมาจากด้านหลัง ฉันพยายามรวบรวมสติ เอาโทรศัพท์ส่องไปยังที่มาของเสียงนั้น
มันเป็นอย่างที่ฉันกลัว อสูรต่างดาวไล่ตามมา แสงไฟจากโทรศัพท์สาดส่องไปที่ใบหน้าของมัน พร้อมจินตนาการเติมเต็มรูปร่าง ฉันว่าถึงคืนนั้นจะมืด ภาพจำของอสูรก็ยังตราตรึง
ฉันก้าวขาไม่ออก เคยนึกว่ามันเป็นแค่การเปรียบเปรย แต่ถึงสมองจะสั่งการให้ขาขยับเพื่อหนีเอาชีวิตรอด แต่ขาเจ้ากรรมก็ไม่ยอมขยับแม้แต่นิดเดียว
ฉันยืนจ้องตากับมันอยู่อย่างนั้น พยายามรวบรวมความกล้า
ฟึ่บ
รู้สึกเหมือนต้วเองลอยขึ้นสูงจากพื้นแล้วนอนหงายพร้อมเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว จมูกของฉันสัมผัสกับเสื้อช็อปที่มีกลิ่นของน้ำมันเครื่อง หลายวินาทีผ่านไปกว่าริมฝีปากของฉันจะเปล่งเสียงออกมาได้
“ใครน่ะ”
“เจนนิเฟอร์”
“เจนนิเฟอร์ เลอกู้ด ยัยเพี้ยนที่เอาแต่ขลุกอยู่ที่แผนกเครื่องยนต์น่ะนะ แล้วหายไปไหนตั้งหลายวัน คนเค้าลือกันว่าเธอถูกอสูรกินไปแล้ว” เมื่อกี้อยากจะพูดแทบแย่ปากไม่ยอมขยับ พอพูดได้คำพูดกลับไหลออกมาเหมือนเขื่อนแตก
“ยังไม่ถูกกินอย่างที่เห็น แต่เธอน่ะเกือบจะถูกกินแล้ว มาทำไมมันอันตราย ถ้าฉันไม่ใช้เจ็ตแพ็กมาช่วยเธอ เธอคงตายไปแล้ว”
“แล้วเธอล่ะมาทำไม”
“หุ่นยนต์หลังโรงเรียนมันยังสภาพดีอยู่ ฉันอยากให้มันกลับมาใช้ได้ พอซ่อมเซนเซอร์เสร็จ มันเจออสูรอยู่แถวนีั ฉันก็เลยต้องรีบซ่อมให้เสร็จเพราะมีแต่หุ่นนี่ที่จะสู้มันได้”
“อันตรายขนาดนี้ทำไมเธอไม่บอกพวกผู้ใหญ่”
“ขืนบอกไปเค้าก็ไม่ให้ฉันมาซ่อมหุ่นน่ะสิ”
ในท่านอนหงายลอยตัวอยู่กลางอากาศ ฉันมองไม่เห็นอะไรนอกจากร่างกายของเจนนิเฟอร์ แต่ฉันก็รู้ว่ายัยผมบลอนด์นั่นคงจะยิ้มดื้อๆ ด้วยหน้าเลอะคราบน้ำมันตามสไตล์นางที่คนเค้าเอือมกันทั้งโรงเรียน
เปรี้ยง!
“โอ๊ย!”
“มาถึงหุ่นแล้ว!”
เราทั้งสองกระแทกกับผนังโลหะ ไม่มีเวลาให้คร่ำครวญหรือใส่ใจกับพลขับเก่าที่ยังนั่งอยู่ เจนนิเฟอร์รีบปิดห้องคนขับแล้วเดินเครื่อง หุ่นยนต์ส่งเสียงน่ากลัวเหมือนมันจะพังได้ตลอดเวลา
“ไม่ใช่ว่ามันพังไปนานแล้วหรอกเหรอ”
“ตอนแรกก็ใช่แต่ฉันซ่อมมันจนใช้ได้แล้ว”
“เธอเนี่ยนะ”
“อ๋อไม่ใช่ฉันหรอก คนขับเก่าคงลุกขึ้นมาซ่อมเองมั้ง” เจนนิเฟอร์ประชดแต่ปากของเธอยิ้ม พลางกดปุ่มต่างๆ ที่ฉันไม่มีวันจะเข้าใจ
ระหว่างนี้เจ้าอสูรก็พยายามทำลายหุ่นตลอดเวลา ทั้งใช้ปากที่ใหญ่โตกัด และใช้กรงเล็บที่ขาทั้งสองข้างข่วน บางครั้งเล็บก็เข้าไปในรูกระสุนที่มีอยู่เดิม จังหวะที่มันพยายามดึงเล็บออกเพื่อจะฟาดเข้ามาใหม่นั้นดูน่าสยอง
“ถึงฉันจะซ่อมแล้วแต่สภาพพี่แกก็เป็นอย่างนี้ ถ้าไม่รีบจัดการตอนนี้อาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
หุ่นยนต์ยักษ์ชกอสูรจนกระเด็นไปแล้วใช้ไอพ่นพุ่งตัวหนีไปด้านหลัง อสูรต่างดาวพุ่งตามมาอย่างไม่ลดละ
“ปืนที่แขนต้องใช้เวลาชาร์จซะด้วยสิ”
แสงสีฟ้าวาบเรืองขึ้นที่ปลายกระบอกปืนใหญ่ที่แขนซ้าย มือขวาเอื้อมหยิบมีดยักษ์ที่ติดตั้งอยู่ที่ขาเข้าต่อสู้กับอสูรร้าย เจนนิเฟอร์บังคับหุ่นยนต์ได้คล่องเหมือนเธอใช้งานมันมาทั้งชีวิต ในขณะที่ฉันได้แต่มองอย่างตกตะลึงเท่านั้น
“อ๋อ ที่โรงเรียนมีเครื่องทดลองขับอยู่น่ะ” เธอยังมีแก่ใจจะหันมาอธิบาย ฉันก็เคยเห็นมาบ้างเหมือนกัน ที่โรงเรียนมีห้องพิพิธภัณฑ์สงครามอยู่เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์และผู้เสียสละ พวกเราทุกคนเคยเล่นเครื่องนี้เหมือนเล่นเกมเอาสนุก ไม่เคยมีใครคิดว่าจะมาขับจริงจัง
กำลังชาร์จปืนใหญ่ 10% 20% 30% 40% 50% 60%
70%
72%
การชาร์จไม่สำเร็จ พลังงานไม่เพียงพอ
เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงมาที่แก้มของเจนนิเฟอร์
“ปัญหาพลังงาน แก้ไม่ตกจริงๆ ด้วยสินะ” เธอฝืนยิ้มแต่ร่างกายเริ่มสั่น ฉันสัมผัสได้ถึงความกลัว
“อุ๊บ” ด้วยความเก่าแก่ของหุ่นผู้ปกป้อง มันไม่อาจทนทานต่อแรงของอสูรร้ายได้นาน แขนขวาที่ถือมีดของมันขาดร่วงลงสู่พื้น
เจนนิเฟอร์ใช้ไอพ่นกระโดดหนีอีกครั้ง
“แขนขาดไปก็ดีเลย จะได้ไม่ต้องเอาพลังงานไปใช้กับแขน!”
เริ่มชาร์จปืนใหญ่อีกครั้ง 10% 20% 30% 40% 50% 60%
70%
75%
แคร้ง!
อสูรร้ายตามมาทันแล้ว ด้วยสัญชาตญาณ มันจู่โจมเข้าที่ด้านขวาที่ไร้การป้องกัน หุ่นผู้ปกป้องโซเซไปมา กระจกห้องคนขับถูกฟาดใส่เพิ่มรอยร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ
80%
90%
การชาร์จเสร็จสมบูรณ์
แซ้ด
ลำแสงสีฟ้าสว่างจ้าพุ่งเข้าตัดขาซ้ายกับช่วงอกของมันจนแหว่งไป แต่ด้วยความอึดของเผ่าพันธุ์อสูร นอกจากมันจะยังไม่ตายแล้วมันยังใช้ขาข้างเดียวที่เหลือกระโดดพุ่งตรงเข้ามาโจมตีอย่างไม่ลดละ เลือดสีม่วงสาดกระเซ็นเข้ามาในห้องโดยสาร พร้อมกับกระจกหน้าที่เปื้อนเลือดจนแทบมองไม่เห็นอะไร
ฉันเหลือบมาดูเจนนิเฟอร์ แขนทั้งสองของเธอที่จับคันบังคับนั้นสั่นไหว เหงื่อไหลโซมทั่วร่างกาย แต่เธอกลับยังยิ้มไม่หยุด
ปลดอาวุธปืน หยิบมีดที่ขาซ้าย
การต่อสู้ด้วยมีดในทัศนวิสัยที่เลวร้ายดูจะไม่ค่อยมีหวังนัก ผู้ปกป้องเหวี่ยงแขนข้างที่เหลืออยู่สะเปะสะปะ โดนบ้างไม่โดนบ้างแต่ที่ไม่โดนดูเหมือนจะเยอะกว่า
เพล้ง
กระจกหน้าแตกกระจาย
อสูรพุ่งเข้ามาภายใน ภายใต้แสงสว่างในห้องโดยสาร ฉันมองเห็นฟันเรียวแหลมในปากของมันครบทุกซี่ ลิ้นสองแฉกตวัดไปมา
ตายแน่แล้ว
ฉัวะ
มีดยักษ์ปักที่กลางหลังของมัน อสูรร้ายร้องลั่นดิ้นทุรนทุราย โครงกระดูกพลขับเก่ากระจัดกระจายไปทั่ว ฉันกับเจนนิเฟอร์ถอยไปขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง สักพักมันก็สิ้นใจ
“ฆ่ามันได้แล้วนะเจนนิเฟอร์”
“ครั้งสุดท้ายฉันกลัวจนขยับไม่ได้ ฉันไม่ได้ทำนะ”
“หรือว่า”
เราทั้งสองมองลงไปที่พื้น กะโหลกของพลขับเก่าเหมือนกับจะจ้องมองมาด้วยเบ้าตาที่กลวงโบ๋นั้น
หุ่นผู้ปกป้องหยุดเคลื่อนไหว ไฟทุกดวงในกายดับลง มันนั่งนิ่งลงกับพื้น พลังงานของมันหมดแล้ว
เจนนิเฟอร์ยื่นมือที่เปื้อนเหงื่อและเลือดอสูรมาให้ฉัน
“กลับกันเถอะ แมรี่” เธอยิ้ม
เราสองคนปีนออกจากห้องโดยสารแล้วเดินกลับบ้านในกลางดึกของคืนนั้น โดยไม่ได้สังเกตสมุดประจำตัวพลขับที่ตกอยู่ที่พื้น
สมุดประจำตัวของร้อยเอก ปีเตอร์ เลอกู้ด