อารยธรรมมนุษย์ล่มสลายจากสงครามกับอสูรเมื่อหลายสิบปีก่อน พวกมันกลับมาอีกครั้งในยามที่มนุษย์แทบจะไร้อาวุธต่อกร มีเพียงสิ่งนั้นที่เป็นความหวัง

Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว - 2 บทที่ 2 : สปาร์ก โดย ราชาวาฬ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ไซไฟ,sci-fic,ไซไฟ,ยูริ,yuri,อนาคต,หุ่นยนต์,สัตว์ประหลาด,ไคจู,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ไซไฟ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

sci-fic,ไซไฟ,ยูริ,yuri,อนาคต,หุ่นยนต์,สัตว์ประหลาด,ไคจู,พล็อตสร้างกระแส

รายละเอียด

Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว โดย ราชาวาฬ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อารยธรรมมนุษย์ล่มสลายจากสงครามกับอสูรเมื่อหลายสิบปีก่อน พวกมันกลับมาอีกครั้งในยามที่มนุษย์แทบจะไร้อาวุธต่อกร มีเพียงสิ่งนั้นที่เป็นความหวัง

ผู้แต่ง

ราชาวาฬ

เรื่องย่อ

แม้พวกอสูรจะพ่ายแพ้กลับไป ทว่าอารยธรรมของมนุษย์ทั้งหมดก็ถูกทำลาย เหล่าผู้รอดชีวิตอาศัยอยู่ในกลุ่มเล็กๆ กระจัดกระจายกันอยู่ไม่กี่สิบกลุ่มทั่วโลก

แมรี่ เด็กสาวจากกลุ่มอื่นที่เพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน เธอถูกอสูรไล่ล่า ดีที่ได้ เจนนิเฟอร์ ยัยเนิร์ดบ้าเครื่องจักรขับหุ่นยนต์มาช่วยไว้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวการต่อสู้และความรักของทั้งสอง

 

นิยายเรื่องใหม่ของราชาวาฬ ลงวันเว้นวันตอนหกโมงเย็น!

สารบัญ

Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-0 บทนำ : ผู้ปกป้อง,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-1 บทที่ 1 : วิชาหุ่นยนต์,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-2 บทที่ 2 : สปาร์ก,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-3 เครื่องซิม,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-4 แมรี่ ไอออนฮาร์ท สปาร์ก อิคิมัส!,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-5 อสูรเมือก,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-6 อาคารร้าง,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-7 ดาบสะบั้นเศียร,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-8 โซเมน,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-9 การประชุมผู้บริหาร,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-10 แผนกินเนื้อ,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-โปรไฟล์อสูร 01 อสูรงู,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-11 กล่องดำ,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-12 บุรุษปริศนา,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-13 แมรี่ของฉัน,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-14 คราวหน้าขอไรเฟิลนะเจน!,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-15 ชิลลี่กับเป็บเปอร์,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-16 ระบบไฮบริด,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-17 แผนกคหกรรม,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-18 ลองไรเฟิล,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-19 หุ่นยนต์ปริศนา,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-20 HOPE System,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-โปรไฟล์อสูร 02 อสูรลิง,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-บทคั่น สูญสิ้น,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-21 เครื่องบินกระดาษ,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-22 จดหมายของแคทเธอรีน,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-23 ผู้ถอดรหัส,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-24 จูบแรก,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-25 โอวี่,Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาว-26 ผู้ปกป้องทั้งห้า

เนื้อหา

2 บทที่ 2 : สปาร์ก

 

 “ไม่รู้อสูรตัวนั้นมันมาได้ยังไง ฉันนึกว่าพวกมันตายหมดโลกไปแล้ว” ฉันนั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติกที่เจนจัดแจงไปหามาให้ ลงเอยก็ไม่ได้ช่วยซ่อมอะไรอยู่ดี เพราะทำไม่เป็น แม้แต่ประแจยังไม่รู้เลยว่ามันมีเบอร์อะไรบ้าง

 เสียงกุกกักที่ดังอยู่ตลอดเวลาเมื่อสักครู่นี้เงียบลง เป็นเพราะเจนนิเฟอร์วางอุปกรณ์ทุกอย่างลง แล้วหันหน้ามาทางฉัน เธอทำหน้าจริงจังแบบที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน

 “แมรี่ ฟังแล้วอย่าตกใจนะ ฉันว่าพวกอสูรมันกำลังจะกลับมา”

 “หา เธอรู้ได้ยังไง” ก็รู้สึกเซอร์ไพรส์ในสิ่งที่เจนนิเฟอร์พูดอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ตกใจขนาดนั้น เพราะสงครามอสูรที่สูญเสียไปมากมันเกิดและจบลงก่อนที่ฉันจะเกิดซะอีก สมัยเด็กๆ มีอสูรบ้างแต่ก็เป็นเหมือนตัวเมื่อคืนนี้ คือคล้ายๆ สัตว์ร้ายธรรมดาเฉยๆ ไม่ได้ถือว่าจัดการยากอะไร

 “พอดแคสต์ที่ฉันฟังเป็นประจำเขาพูดถึงรอยแยก ว่ารอยแยกมันกำลังจะเปิดขึ้นอีก” ไม่พูดเปล่า เจนนิเฟอร์หยิบโทรศัพท์หน้าจอแตกๆ ของนางมาเปิดให้ฉันดู เป็นรายการพอดแคสต์แบบบ้านๆ ที่น่าจะมีความน่าเชื่อถือต่ำมาก

 “แล้วเธอเชื่อด้วยเหรอ”

 “เชื่อไม่เชื่อก็ต้องเตรียมการไว้ก่อน อย่างน้อยอสูรที่เราเจอเมื่อคืนก็ไม่ใช่เรื่องโกหก” 

 “เจน แค่เจอตัวเมื่อคืนนี้ยังเกือบตาย แล้วถ้าตัวที่เก่งกว่านี้มา เธอจะสู้มันได้ยังไง” ฉันก็พูดไปอย่างที่คิด แต่เจนนิเฟอร์กลับจ้องตาฉันด้วยแววตาที่จริงจังยิ่งกว่าเดิม

 “ฉันไม่ใช่คนที่จะมางอมืองอเท้าให้พวกอสูรมันฆ่าตายหรอกนะ” สาบานได้ว่าฉันเห็นประกายตาสว่างวาบ “ฉันจะต้องปกป้องทุกๆ คนให้ได้”

 “เจนนิเฟอร์ แมรี่ มาช่วยกันหน่อย” เสียงของทาคุมิดังมาแต่ไกล “ผมเข็นรถไม่ไหว”

พวกเรามองไปทางต้นเสียง เห็นอาจารย์ทาคุมิพยายามดันรถเข็นที่มีอะไหล่แขนหุ่นยนต์อย่างสุดแรง แต่มันแทบจะไม่เขยื้อน “ไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” พลังงานคงไม่เคยหมดไปจากตัวยัยนี่เลย เธอรีบวิ่งไปที่รถเข็นอย่างรวดเร็ว มือหนึ่งจูงฉันลากไปด้วย

“ดีนะที่มีอะไหล่รุ่นคล้ายๆ กันอยู่พอดี น่าจะใส่กันได้” ทาคุมิพูดยิ้มๆ

“ถึงไม่ได้เดี๋ยวฉันโมคอนเนคเตอร์นิดหน่อยก็ได้เอง สภาพแขนนี้ดูดีมากเลยนะคะ สนิมแทบไม่เคยเกาะเลย โอ้โหดูนี่ ฝาปิดอะไร” ดูท่าทางเจนนิเฟอร์จะตื่นเต้นมาก ฉันเลยบอกว่าไว้ค่อยรื้อดูตอนไปถึงเวิร์กช็อปแล้วก็ได้ ตอนนี้มาช่วยกันเข็นก่อน

“จริงสินะ” นางว่า “นี่ก็เริ่มหิวแล้วด้วย” ทันทีที่พูดจบ ท้องก็ร้องให้ได้ยินเสียง ฉันกับอาจารย์ทาคุมิอดยิ้มออกมาไม่ได้ ยัยบ๊องเจนนิเฟอร์

 

……………

 

“อะนี่ ครูเลี้ยง” หลังจากพักเหนื่อยที่ต้องเข็นรถแสนหนักแล้ว ทาคุมิก็กดน้ำร้อนใส่บะหมี่ถ้วยมาให้ อันที่จริงบะหมี่แบบนี้ก็หาไม่ได้ง่ายนักที่นี่ อาจารย์มีทั้งกาแฟ ทั้งบะหมี่ถ้วย เงินเดือนคงจะไม่น้อยเลย

“อ๋อ ของนี่เป็นของกลุ่ม 35 ที่ปิดตัวไปแล้วน่ะ เขาเพิ่งปันส่วนมาให้เมื่อเดือนที่แล้ว” ทาคุมิเล่าว่าเป็นเพราะช่วงหลังๆ ไม่มีเด็กเกิดใหม่เลย ทำให้กลุ่ม 35 ที่มีแต่คนอายุมากเป็นส่วนใหญ่ค่อยๆ ทยอยจากไป จนมีจำนวนน้อยเกินกว่าจะรักษากลุ่มไว้ได้ สมาชิกที่เหลืออยู่จึงต้องกระจัดกระจายไปอยู่ตามกลุ่มต่างๆ รวมถึงกลุ่มของเรา กลุ่ม 16

“ยังดีที่กลุ่มเรามีเด็กเกิดใหม่บ้าง แต่ก็ถือว่าน้อยมาก มลภาวะหลังสงครามมันส่งผลต่อร่างกายมนุษย์ ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะสูญพันธุ์ก็ได้” ทาคุมิพูดด้วยแววตาเศร้าๆ เขาอายุสี่สิบกว่า นั่นหมายความว่าอาจารย์อาจจะทันได้เห็นโลกยามสงบสุขก่อนจะเกิดสงคราม ตอนนั้นมนุษย์คงจะมีอยู่เต็มโลก ฉันนึกภาพนั้นแทบไม่ออกเลย

“ฉันว่ามันเป็นเรื่องของอนาคต คิดถึงมันไปก็ไม่มีประโยชน์” เจนนิเฟอร์พูดทั้งที่มีบะหมี่อยู่เต็มปาก “รีบกินให้เสร็จแล้วมาติดตั้งแขนให้ผู้ปกป้องกันดีกว่า” ในหัวสมองคงจะมีแต่หุ่นยนต์สินะ

“เรียกแต่ผู้ปกป้องๆ ไม่มีชื่อที่ดีกว่านี้เหรอ” ฉันพูด แค่ตั้งชื่อฉันคงทำได้ล่ะน่า จะได้มีส่วนร่วมกับเจ้าหมอนี่บ้าง

“จริงด้วย ไม่เคยนึกถึงเลย” เจนนิเฟอร์ว่า หันมาทางฉันตาเป็นประกาย “แมรี่ช่วยตั้งชื่อให้หน่อยสิ”

“อืม ชื่ออะไรดีน้า” บัดดี้เหรอ ไม่อะ ชื่อนี้มันธรรมดาไป นิฟ ฟังดูดี แต่มันฟังคล้ายๆ ริฟต์ที่แปลว่ารอยแยก ไม่อยากตั้งชื่อแบบนั้น หรือว่า…

“แมรี่ก็คงชอบเจ้าหุ่นตัวนี้เหมือนกันสินะ ตั้งใจตั้งชื่อมากเลย” ฉันเอานิ้วชี้กดริมฝีปากของนางไว้ คนกำลังใช้สมาธิ

“ชื่อสปาร์กเป็นไง” ฉันว่า หันไปดู ทั้งเจนนิเฟอร์และทาคุมิดูอึ้งๆ หรือว่าชื่อนี้จะไม่ดีกันนะ

“เจ๋งมากเลยแมรี่! คิดชื่อนี้ได้ยังไง” ยัยเจนทำท่าจะหอมแก้ม ฉันรีบเอามือยันไว้

“ผมเคยดูหนังสมัยก่อน สปาร์ก หมายถึงวิญญาณของสิ่งมีชีวิตโลหะด้วยนะ ชื่อนี้มีความหมายดีมาก” ทาคุมิเสริมยิ้มๆ แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูนาฬิกา “จะติดตั้งแขนก็เร็วๆ เข้า วันนี้เหลือเวลาอีกไม่มาก”

“ค่า”

เป็นอีกครั้งที่ฉันช่วยอะไรสองคนนี้ไม่ค่อยได้มาก นอกจากจะช่วยหยิบข้าวของให้เท่านััน ดูพวกเขาจะมีความสุขอยู่ในโลกที่ฉันไม่เข้าใจ ศัพท์เทคนิคต่างๆ พรั่งพรูออกมาจากปากของอาจารย์และลูกศิษย์ อันที่จริงไม่จำเป็นต้องมีฉันก็ได้ไหม

“อาจารย์ทาคุมิ ดูนี่สิ!” อยู่ๆ เจนนิเฟอร์ก็ร้องเสียงดัง ทั้งฉันและทาคุมิรีบหันไปที่จุดที่นางชี้ “ที่แขนใหม่เนี่ยมันมีฝาปิดตรงนี้ พอเปิดออกมาก็มีไอพ่นอยู่ด้วย!”

“มันมีหมัดจรวดอย่างงั้นเหรอ” ทาคุมิก็ดูจะตาเป็นประกายไปอีกคน

“น่าทึ่งขนาดนั้นเลยเหรอ” ฉันอดใจที่จะถามไม่ได้

“ก็ใช่น่ะสิ!” ทั้งสองประสานเสียงพร้อมกัน “หมัดจรวดน่ะมันเป็นความคลาสสิกของหุ่นยนต์!”

“เอ… แต่ที่ฉันจำได้ ตอนที่เราสู้กับอสูรตัวนั้น เธอยังพูดว่าสปาร์กมีปัญหาเรื่องพลังงาน”

“จริงด้วย” ความลิงโลดเมื่อสักครู่นี้หายไปทันที ยัยเจนนี่เป็นคนที่เดาง่ายเหมือนกันแฮะ “แล้วทำยังไงดีล่ะ” เพราะรู้ว่าฉันคงช่วยอะไรไม่ได้ ก็เลยหันไปขอความช่วยเหลือจากทาคุมิแทน

“หุ่นรุ่นนี้ใช้พลังงานแบบไหนล่ะ” ทาคุมิเอามือลูบคาง ทำท่าครุ่นคิด

“แท่งแบตเตอรี่ค่ะ รอบหนึ่งใช้งานได้ไม่กี่ชั่วโมง”

“เอางี้ ถ้าเราติดโมดูลพลังแสงอาทิตย์เข้าไป คุณคิดว่าโหลดน้ำหนักมันจะเกินไหม”

“ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ สมดุลการทรงตัวก็อาจจะเสียไปด้วย แต่ถ้าเราอยากแก้ไขปัญหาเรื่องพลังงานก็อาจจะต้องลองดู”

“ผมว่าเรามีโมดูลพลังแสงอาทิตย์เก็บอยู่ แต่วันนี้เริ่มดึกแล้ว เราค่อยลองติดตั้งกันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”

ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูนาฬิกา สองทุ่มแล้ว เวลาผ่านไปเร็วขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ทั้งๆ ที่นั่งดูเป็นส่วนใหญ่แท้ๆ แต่กลับไม่รู้สึกเบื่อ หรือว่าวิชาขับหุ่นยนต์จะไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิดนะ

เจนนิเฟอร์กับฉันบอกลาอาจารย์ทาคุมิแล้วเดินกลับหอด้วยกัน ฉันถามว่านางอยู่ห้องไหน ถึงคนที่นี่จะรู้จักกันหมด แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจขนาดจะจำห้องของเจน ปรากฏว่าช่างซ่อมหุ่นยนต์คนนี้อยู่ห่างออกไปอีกฟาก ฉันเลยตัดสินใจว่าจะเดินไปดูห้องเจนไว้เผื่อมีอะไรจะได้ไปหากันได้ ทีแรกก็ห่วงนิดหน่อยว่าตอนเดินกลับจะมีคนมองหรือเปล่า แต่หลังสองทุ่มก็ไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำแล้ว คนส่วนใหญ่เข้าห้องนอนกันไปแล้ว เอ๊ะ ฉันจะต้องกลัวคนมองทำไมนะ

“ห้องเธอก็อยู่ไกล ยังอุตส่าห์จะมาตามฉันไปเรียนอีกนะ”

“ก็เธอเป็นเพื่อนคนแรกของฉันนี่” คำพูดนั้นทำให้ฉันต้องหันกลับมามองหน้าเจน ปกติเห็นทำตัวเหมือนไม่ใส่ใจใคร แต่จริงๆ แล้วก็คงอยากมีเพื่อนอยู่เหมือนกันสินะ

“เป็นเพื่อนกันตอนไหนไม่ทราบ” กะว่าจะแค่แหย่เล่น แต่ดูเจนสลดลงอย่างเห็นได้ชัด “ล่อเล่นน่า” ใช้มือขวาตบหลังเธอเบาๆ

“ฮี่ๆ” เปลี่ยนสีหน้าไวเชียวนะ ยังกับเด็กๆ

“เอาเถอะฉันก็ยังไม่ค่อยสนิทกับใครด้วยล่ะนะ” ไม่อยากทำตัวเด่น แต่ก็ไม่อยากคบใครเหมือนกัน เรื่องตอนก่อนจะมาอยู่ที่นี่มันทำให้ฉันยังเข็ดกับการมีเพื่อน

“ฉันเห็นเธอตั้งแต่ย้ายมาที่นี่ใหม่ๆ แล้วล่ะแมรี่” อยู่ๆ ยัยนี่ก็เปิดใจซะงั้น “แต่ดูเธอหยิ่งๆ น่ะ ไม่พูดกับใคร ไม่เข้าหาใครด้วย”

“อือ จริงๆ ก็ไม่อยากให้ใครมายุ่งน่ะ”

“เขาว่าเธอไปก่อคดีไว้ตอนอยู่ที่เก่า เลยถูกย้ายโรงเรียนมาที่นี่”

ฉันอึ้งไปหน่อย ข่าวลือ คนจะพูดอะไรก็พูดได้

“ฉันไม่อยากพูดถึงมัน” น้ำเสียงคงดูจริงจังจนเจนตกใจ 

“ไม่เป็นไรนะ ฉันเห็นเธอก็รู้ว่าเธอต้องเป็นคนดีอยู่แล้ว”

“อย่าตัดสินอะไรง่ายๆ แบบนั้น เจนนิเฟอร์ แต่ก็ขอบใจนะ” ฉันพยายามยิ้มให้ กับพอดีกับที่มาถึงหน้าห้องของเจน

“ทุกคนก็บอกแบบนั้น ให้ดูคนให้ดี แต่ฉันเชื่อว่าฉันมองคนไม่ผิด” เจนว่าพลางยิ้มกว้างก่อนจะควักกุญแจออกมาไขห้อง

 

…………

 

ค่ำคืนนั้น

“ช่วยด้วย ช่วยด้วย” เสียงเด็กผู้หญิงร้องอยู่ริมถนนในคืนฝนตก ฉันกำลังกลับจากโรงเรียน ชายร่างสูงพอสมควรสวมหน้ากากป้องกันเชื้อโรคสีดำ ในเสื้อคลุมฮูดสีดำแขนยาว เขากำลังใช้แขนล็อกตัวเธอไว้ไม่ให้หนี ในมือมีมีดอยู่

“หุบปาก” เขาพูดลอดไรฟัน ในขณะที่ฉันยังลังเลทำอะไรไม่ถูก ใจหนึ่งก็ไม่อยากเข้าไปยุ่ง อีกใจก็คิดว่าถึงยังไงก็ต้องช่วยเด็กคนนี้ไว้ ความกลัวทำให้ฉันก้าวขาไม่ออก สองแขนกอดกระเป๋าหนังสือไว้แน่น พยายามรวบรวมความกล้าที่จะวิ่งหนีไป แล้วค่อยใช้โทรศัพท์เรียกคนมาช่วย เราเป็นผู้หญิงที่ไม่ได้เรียนการต่อสู้มา บุ่มบ่ามเข้าไปเลยไม่ได้

…แต่กว่าขาเจ้ากรรมจะขยับได้มันก็ไม่ทันการ ฉันหันไปที่จุดนั้นอีกที มีเพียงร่างของเด็กคนนั้นนอนอยู่ที่พื้น ผู้ชายคนนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย เลือดของเธอไหลรวมกับน้ำฝนกลายเป็นสีจางๆ 

“...ช่วย ด้วย” เธอพูดด้วยเสียงเบาๆ มือข้างหนึ่งจับมือฉันไว้ ฉันพยายามโทรศัพท์หาคนมาช่วยด้วยมืออีกข้างที่สั่นเทา ศูนย์การแพทย์ที่อยู่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปห้ากิโลเมตร

“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร ฉันโทรให้คนมาช่วยแล้ว” คำพูดนั้นทั้งปลอบใจเด็กคนนั้นและตัวเอง ทั้งที่ไม่มีความมั่นใจใดๆ สายตาจ้องมองไปยังถนน จับตาดูรถทุกคันที่ผ่านมาว่าคันไหนจะเป็นรถพยาบาล พวกเขามาถึงในเวลาไม่นานนัก แต่ว่ายังเร็วไม่พอที่จะช่วยชีวิตของเธอ คนร้ายใช้มีดแทงเข้าหัวใจ… ถึงยังไงก็ไม่มีทางรอด

ภายในรถพยาบาลคันนั้นเหมือนฉันไม่ได้นั่งอยู่ที่นั่น มีความเคลื่อนไหวต่างๆ มากมายแต่ฉันรู้สึกเหมือนกำลังดูผ่านวิดีโอ สัมผัสต่างๆ ทำงานช้ากว่าที่ควรจะเป็น ที่บ้านส่งข้อความมาหาหลายครั้ง แม้แต่โทรมา แต่ฉันก็ไม่รู้สึกตัว

เพราะวันนั้นไม่มีใครอื่นที่อยู่ที่นั่น ฉันจึงต้องเข้าสู่ขบวนการยุติธรรม แม้จะได้รับการตัดสินว่าบริสุทธิ์และไม่มีแรงจูงใจ แต่สังคมที่มีผู้คนไม่มากนักก็สามารถจะพูดกันไปได้ร้อยแปดพันอย่าง สายตาของพวกเขาตัดสินฉัน พวกเขาคิดว่าฆาตกรสวมหน้ากากอาจไม่มีจริง ท้ายที่สุดที่บ้านก็ตัดสินใจให้ย้ายมาอยู่ที่กลุ่มนี้ แต่ข่าวลือก็ยังไม่วายจะตามมา บางครั้งฉันก็คิดว่าคืนนั้นไม่น่าเดินผ่านไปตรงนั้นเลย

…เอาเถอะ เวลาก็ผ่านมาได้หลายเดือนแล้ว ฉันพยายามไม่คิดถึงเรื่องตอนนั้นอีก แล้วใช้ชีวิตต่อไป…

…เด็กผู้หญิงคนนั้นกำลังจ้องมองฉันอย่างไม่วางตา 

“เธอช่วยฉันไว้ไม่ได้!” สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “ถ้าเธอพยายามมากกว่านี้ฉันก็คงไม่ตาย!”

“ฉันพยายามแล้ว! ฉันพยายามแล้ว!”

ฉันผุดลุกขึ้นมานั่ง เหงื่อไหลโซมกาย เวลาเพียงตีสอง หัวใจยังเต้นรัวเร็ว ดวงตาเบิกโพลง มันมีน้ำตาไหลออกมาด้วย

“ฉันพยายามแล้ว…”

คำพูดนั้นไม่แน่ใจว่ากำลังบอกเด็กคนนั้น หรือว่าบอกตัวเองกันแน่ ถ้าหากคืนนั้นฉันตรงเข้าไปช่วยเลยล่ะ ถ้าหาก…

ฉันได้แต่ซุกหน้าอยู่กับเข่าแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเท่านั้น