อารยธรรมมนุษย์ล่มสลายจากสงครามกับอสูรเมื่อหลายสิบปีก่อน พวกมันกลับมาอีกครั้งในยามที่มนุษย์แทบจะไร้อาวุธต่อกร มีเพียงสิ่งนั้นที่เป็นความหวัง
ไซไฟ,sci-fic,ไซไฟ,ยูริ,yuri,อนาคต,หุ่นยนต์,สัตว์ประหลาด,ไคจู,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาวอารยธรรมมนุษย์ล่มสลายจากสงครามกับอสูรเมื่อหลายสิบปีก่อน พวกมันกลับมาอีกครั้งในยามที่มนุษย์แทบจะไร้อาวุธต่อกร มีเพียงสิ่งนั้นที่เป็นความหวัง
แม้พวกอสูรจะพ่ายแพ้กลับไป ทว่าอารยธรรมของมนุษย์ทั้งหมดก็ถูกทำลาย เหล่าผู้รอดชีวิตอาศัยอยู่ในกลุ่มเล็กๆ กระจัดกระจายกันอยู่ไม่กี่สิบกลุ่มทั่วโลก
แมรี่ เด็กสาวจากกลุ่มอื่นที่เพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน เธอถูกอสูรไล่ล่า ดีที่ได้ เจนนิเฟอร์ ยัยเนิร์ดบ้าเครื่องจักรขับหุ่นยนต์มาช่วยไว้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวการต่อสู้และความรักของทั้งสอง
นิยายเรื่องใหม่ของราชาวาฬ ลงวันเว้นวันตอนหกโมงเย็น!
“ยินดีต้อนรับสู่พอดแคสต์ ‘อสูรรายสัปดาห์’ กับผม ‘โอวี่’ มาจัดรายการคนเดียวอีกเช่นเคยนะครับ วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของรอยแยกกัน หลายๆ คนคงจะรู้แล้วว่ารอยแยกคือบริเวณที่อสูรจะออกมา แต่มันอยู่ที่ไหนกันล่ะ เราไปดูที่รอยแยกเลยได้ไหม คำตอบมีทั้งได้ และไม่ได้”
“อะ คงจะงงกันล่ะสิ ที่ว่าได้ก็คือ ตอนที่พวกอสูรมันออกมาจากรอยแยกมันไม่ได้ล่องหนหรือว่ามีอันตรายแต่อย่างใด ยกเว้นพวกที่มีกัมมันตภาพรังสีล่ะนะ แต่อสูรเทียร์สูงแบบนั้นน่ะมีน้อยมาก เพราะงั้น ถ้าหากว่ารู้ว่ารอยแยกมันอยู่ที่ไหน ก็ไปดูอสูรมันออกมาได้เลย”
“แต่ที่ว่าไม่ได้ คือ รอยแยกเนี่ยมันไม่ใช่สิ่งถาวร มันไม่ใช่รอยแยกแผ่นดินอะไรแบบนั้น แต่มันคือ รอยแยกมิติ หรือที่บางคนอาจจะเรียกว่า พอร์ทัล ซึ่งมันจะเกิดขึ้นที่ไหนเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้ อย่างน้อยก็ไม่มีใครรู้ในตอนนี้ มันจะเกิดขึ้น อสูรจะออกมาตามคำสั่งของพวกเทียร์สูง แล้วพอร์ทัลก็จะปิดลง เหมือนไม่เคยมีมันมาก่อน ง่ายๆ แบบนั้นเลย ยุคสงครามพวกมันก็ออกมาจากพอร์ทัลแบบนี้แหละ แล้วก็พ่ายแพ้ไปแล้ว แต่ในตอนนี้ อย่างที่หลายๆ คนคงจะได้สัมผัสกันแล้ว พวกมันออกมาอีกแล้ว ในตอนที่หุ่นรบที่เคยใช้สู้กับพวกมันก็น่าจะไม่มีที่ใช้งานได้อีกแล้ว ถ้าจะถามผมนะ ผมว่าคราวนี้มนุษย์เราเสร็จแน่”
“ยังไงก็ขอให้ทุกๆ คนทั้งที่ฟังและไม่ได้ฟังพอดแคสต์อสูรรายสัปดาห์ปลอดภัยกันนะครับ วันนี้ผมลาไปก่อน พบกันใหม่สัปดาห์หน้า โอวี่ครับ”
……………
“เปิดเบาๆ หน่อยไม่ได้เหรอ ฉันจะนอน” ฉันบ่นเพื่อนผมบลอนด์ในตอนดึกสงัด “อีกอย่างพวกอสูรได้ยินเสียงมันอาจจะมาอีกก็ได้”
“ไม่หรอกน่า พวกมันจะมากันเป็นระลอก ระลอกนี้หมดไปแล้ว อีกหลายวันเลยล่ะกว่าจะมากันใหม่” เจนตอบแต่เธอก็กดปิดพอดแคสต์ให้ แล้วหันมาเอากิ่งไม้เขี่ยกองไฟเล่นไปพลางๆ
“ไม่นึกเลยว่าพวกเราจะรอดมาได้” ฉันยังเห็นภาพการวิ่งป่าช้าแตกที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้อยู่ในหัว พลันถอนหายใจที่ยังรอดออกมาจากกองเมือกนั้นได้ ในหัวฉายภาพซ้ำถึงเหตุการณ์นั้น
“วิ่ง!” ฉันจับข้อมือเจนออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ไม่ใส่ใจหรือต้องบอกว่าการต้องเอาชีวิตรอดมันทำให้ไม่รู้สึกถึงความแสบที่โดนกรดของอสูรเมือกกัด ฉันสะบัดรองเท้าที่หมดสภาพออก วิ่งด้วยเท้าเปล่าเปลือยกับเจนด้วยฝีเท้าที่เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อสูรงูและลิงไล่ตามมาตามสัญชาตญาณ ทว่าพื้นที่ส่วนนี้ที่เป็นโคลนของบึงถ่วงให้พวกมันเคลื่อนที่ได้ช้าลง แน่นอนว่าเราสองคนก็เช่นกัน บางครั้งฉันกับเจนก็ล้มลงไปในโคลนจนเนื้อตัวเลอะเทอะไปหมด อสูรทั้งสองตัวใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เราสองคนเริ่มเหนื่อยหอบ ดูเหมือนเจนจะเหนื่อยมากกว่าฉัน เธอหอบหนัก ฉันพยายามหันไปรอบๆ เพื่อหาทางหนีทีไล่ เสียงอสูรคำรามข่มขวัญมาแต่ไกล วิ่งหนีแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ ฉันควักโทรศัพท์เปื้อนโคลนออกมาจากกระเป๋า พยายามจะใช้โทรหาทาคุมิ แต่โคลนที่จับบนหน้าจอนอกจากจะทำให้มองหน้าจอไม่เห็นแล้ว ยังทำให้ระบบสัมผัสใช้การไม่ได้อีกด้วย เครื่องของเจนก็เป็นแบบเดียวกัน พวกเราต้องเอาชีวิตรอดด้วยตัวเอง
หรือเราจะขึ้นต้นไม้ การขึ้นต้นไม้ไม่น่าจะเป็นความคิดที่ดีเมื่อทั้งลิงทั้งงูต่างก็ปีนต้นไม้ได้หมด ทางรอดน่าจะเป็นที่กำบังอย่างพวกถ้ำหรือว่าโพรงไม้มากกว่า แต่ก็ไม่เห็นของแบบนั้นเลย
“นั่น!” เจนสะกิด ความเหนื่อยทำให้เธอพูดอะไรมากไม่ได้ มือข้างหนึ่งของเธอชี้ออกไปด้านหน้า ฉันพยายามเพ่งมองไปตามนิ้วนั้น แสงสว่างที่เริ่มน้อยลงทำให้เห็นได้ไม่ชัดเจน แต่ในที่สุดฉันก็เห็นได้เป็นเงามืด
“อาคารร้าง!” ฉันหันมาสบตาเธอ แววตาดีใจของเราทั้งสองปรากฏขึ้นได้ชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อยจากระยะทางที่มองเห็น แต่ถ้าทำไม่ได้ก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น
ไม่มีเวลาให้ลังเลอีกแล้ว ฉันจูงมือเจนที่เริ่มวิ่งช้าลงออกวิ่งอย่างสุดแรงเกิดอีกครั้ง ไม่รู้ว่าฉันไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ในที่สุดเราสองคนก็มาถึงหน้าอาคารร้างจนได้ มันดูเหมือนโกดังเก็บหุ่นเก่าสมัยสงคราม
“ทางเข้าๆ!” แรงของพวกเราไม่มีทางจะเปิดประตูเหล็กบานใหญ่ขึ้นสนิมตรงหน้าได้เลย แม้จะพยายามทั้งดึงทั้งลากมันก็ไม่ขยับ อสูรลิงมาถึงก่อนเพื่อนของมัน แขนเรียวยาวตะปบใส่เจน ฉันกระโจนเข้ากอดเธอกลิ้งหลบ กรงเล็บของมันกระแทกเหล็กเสียงดังลั่น พวกเรากระเสือกกระสนต่อไป
ต้องหาทางเข้าไปให้ได้ มันต้องมีทางเข้าอื่นอยู่สิ
ฉันพยายามเพ่งมองอาคารเก็บหุ่นร้างท่ามกลางความมืด มันมีหน้าต่างเล็กๆ อยู่รอบๆ น่าจะพอปีนเข้าไปได้ แต่ส่วนใหญ่หน้าต่างพวกนี้ถูกปิดอยู่
“เจน ช่วยกันดูหน่อย มันต้องมีหน้าต่างสักบานที่เปิดอยู่สิน่า”
คนข้างๆ ฉันพยักหน้าแล้วช่วยกันเพ่งหาหน้าต่างที่เปิดอยู่ พร้อมกับค่อยๆ ย่องออกห่างจากอสูรลิงที่ตอนนี้มันก็มองไม่เห็นและได้แต่ตะปบไปมามั่วๆ แต่ก็ยังเรียกไม่ได้ว่าปลอดภัยเพราะถ้าอสูรงูเพื่อนของมันมาถึงเมื่อไหร่ เหมือนจะเคยได้ยินมาว่างูมันสัมผัสความร้อนจากร่างกายเหยื่อได้
ในที่สุดก็มองเห็นหน้าต่างที่เปิดอยู่เพียงบานเดียว ความยากคือหน้าต่างบานนี้ดันเป็นบานที่อยู่สูงกว่าบานอื่นๆ ทั้งฉันทั้งเจนลองกระโดดดูแล้วแต่ก็ไม่ถึง แล้วก็เริ่มเจ็บเท้าที่เริ่มพองเพราะวิ่งแบบไม่ใส่รองเท้ามาไกล ยังไม่นับว่ามันโดนกรดของอสูรเงือกกัดมาแล้วอีกด้วย
“เธอปีนขึ้นมาเหยียบบ่าฉันสิ” เจนว่า “แล้วก็เข้าไปหาเชือกหรืออะไรก็ได้มาให้ฉันปีนเข้าไป”
“แล้วถ้าไม่มีเชือกล่ะ” ฉันกระซิบถามเสียงสั่น “มันอาจจะไม่มีก็ได้”
“แมรี่ ถ้าเธอไม่เข้าไป เราสองคนจะตายอยู่ตรงนี้นะ” เจนใช้มือทั้งสองจับไหล่แล้วมองตาฉัน “เชื่อฉันสิ มันต้องมีของที่ช่วยพวกเราได้แน่” ไม่รู้ว่าเจนเป็นคนที่มีบุคลิกผู้นำหรืออะไร คำพูดแค่นั้นทำให้ฉันรู้สึกเชื่อ “อื้อ” ฉันพยักหน้าตกลง เจนหันหลังให้ฉันปีนขึ้นไปบนบ่าของเธอ ฉันเอื้อมมือจนสุดแขน ในที่สุดปลายนิ้วก็สัมผัสกับขอบหน้าต่างจนได้
“ฮึบ” ฉันพยายามออกแรงดึงตัวเองขึ้นไป มันยากกว่าที่คิด เหมือนแขนเล็กๆ สองข้างของฉันจะแบกน้ำหนักตัวเองไม่ไหว รู้อย่างนี้ออกกำลังกายซะบ้างก็ดีหรอก
“ฉันช่วย” ช่างเครื่องอเนกประสงค์ว่า ก่อนจะใช้สองมือดันก้นฉันขึ้นไป เสียงปึงปังจากกรงเล็บของอสูรลิงดังขึ้นเรื่อยๆ พวกเราต้องรีบแล้ว
พลั่ก ฉันตกลงมากระแทกพื้น โชคดีที่กระดูกไม่หัก เพียงแต่รู้สึกเจ็บจากการฟกช้ำ เดินกะเผลกออกรีบหาเชือกไปช่วยเจนนิเฟอร์ท่ามกลางแสงสว่างที่มีน้อยเต็มทน พยายามไม่ใส่ใจกับเสียงกรงเล็บฟาดที่อยู่ภายนอก
เอ๊ะ ถึงเราจะหาเชือกเจอ เราจะโยนกลับออกไปทางหน้าต่างได้เหรอ หน้าต่างอยู่สูงขนาดนั้น
อย่าบอกนะว่ายัยเจนรู้เรื่องนี้อยู่แล้วแต่หลอกเราให้เข้ามาในนี้
อย่าเพิ่งคิดเรื่องไร้สาระ ตอนนี้ต้องหาเชือกให้เจอก่อน
ฉันลองหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงอีกครั้ง โคลนที่ติดอยู่แห้งไปแล้ว ใช้นิ้วปัดมันก็หลุดออกไป
โทรศัพท์ใช้ได้แล้ว
ฉันลังเลอยู่เสี้ยววินาทีว่าจะโทรหาอาจารย์ทาคุมิก่อนดีไหม แต่ตอนนี้การช่วยเจนต้องมาก่อน ไฟฉายจากโทรศัพท์สว่างขึ้นทันที
ฟึ่บ
เหมือนมีอะไรเคลื่อนไหวผ่านหน้าไป ฉันหันแสงไฟไปตามสิ่งนั้น ไม่เห็นอะไร หรือเราจะคิดไปเอง ฉันใช้โทรศัพท์ส่องไปรอบๆ ถึงที่นี่จะเป็นอาคารหุ่นยนต์เก่า แต่ก็มีซากหุ่นอยู่ในนี้เพียงตัวเดียว กับชิ้นส่วนต่างๆ ที่กระจัดกระจาย ระเกะระกะอยู่ตามพื้น
มันมีสายไฟอยู่ด้วย น่าจะใช้แทนเชือกได้
ฉันลองลากสายไฟดู สายไฟแรงสูงสำหรับชาร์จพลังงานให้หุ่นยนต์นี้ทั้งใหญ่และหนัก ลากมันไปตามพื้นคงได้ แต่จะโยนมันออกทางหน้าต่างคงทำไม่ได้แน่ ต้องหาวิธีอื่น
หุ่นยนต์ไง ถ้าเราไปขับหุ่นยนต์ก็น่าจะโยนสายไฟออกไปได้ หรือเปิดประตูให้เจนเข้ามาก็อาจจะได้
ฉันวิ่งไปที่หุ่นยนต์ตัวนั้น ได้แต่เชื่อว่ามันยังใช้งานได้ กดปุ่มเปิดหน้าจอ ไม่น่าเชื่อว่ามันสว่างขึ้นราวกับปาฏิหาริย์
[โปรดระบุอัตลักษณ์]
หน้าจอปรากฎขึ้นมาอย่างนั้น ฉันทุบมันแล้วกรีดร้องอย่างสิ้นหวัง น่าจะเป็นเรื่องที่อยู่ในสามัญสำนึกว่าหุ่นทุกตัวต้องมีระบบป้องกันการแฮกหรือขโมย ที่เราใช้งานสปาร์กได้คงเป็นเพราะเจนจัดการเรื่องนี้แล้ว
เสียงฝีเท้าดังออกมาจากด้านหลังเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหยุดลง ฉันรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ค่อยๆ หันโทรศัพท์ไปทางต้นเสียง
เด็ก เด็กผู้หญิงคนนั้น เป็นไปไม่ได้
“เธอยังมีชีวิตอยู่เหรอ” ฉันถามออกไปโง่ๆ
“พี่หมายความว่ายังไง” สิ่งที่ตามมาคือความเงียบนานหลายวินาที ฉันทำอะไรไม่ถูก
ปึง ปึง ปึง ปึง
เจนนิเฟอร์! เสียงนั้นเรียกสติฉัน เด็กน้อยตรงหน้ามีท่าทีหวาดกลัว
“พวกอสูร พวกมันมาอีกแล้ว พี่ช่วยหนูด้วย”
ช่วยอย่างงั้นเหรอ คนอย่างฉันเนี่ยนะ
[เธอช่วยฉันไว้ไม่ได้]
ไม่ ฉันทำไม่ได้ ไม่สำเร็จหรอก