อารยธรรมมนุษย์ล่มสลายจากสงครามกับอสูรเมื่อหลายสิบปีก่อน พวกมันกลับมาอีกครั้งในยามที่มนุษย์แทบจะไร้อาวุธต่อกร มีเพียงสิ่งนั้นที่เป็นความหวัง
ไซไฟ,sci-fic,ไซไฟ,ยูริ,yuri,อนาคต,หุ่นยนต์,สัตว์ประหลาด,ไคจู,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาวอารยธรรมมนุษย์ล่มสลายจากสงครามกับอสูรเมื่อหลายสิบปีก่อน พวกมันกลับมาอีกครั้งในยามที่มนุษย์แทบจะไร้อาวุธต่อกร มีเพียงสิ่งนั้นที่เป็นความหวัง
แม้พวกอสูรจะพ่ายแพ้กลับไป ทว่าอารยธรรมของมนุษย์ทั้งหมดก็ถูกทำลาย เหล่าผู้รอดชีวิตอาศัยอยู่ในกลุ่มเล็กๆ กระจัดกระจายกันอยู่ไม่กี่สิบกลุ่มทั่วโลก
แมรี่ เด็กสาวจากกลุ่มอื่นที่เพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน เธอถูกอสูรไล่ล่า ดีที่ได้ เจนนิเฟอร์ ยัยเนิร์ดบ้าเครื่องจักรขับหุ่นยนต์มาช่วยไว้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวการต่อสู้และความรักของทั้งสอง
นิยายเรื่องใหม่ของราชาวาฬ ลงวันเว้นวันตอนหกโมงเย็น!
สามวันหลังจากที่ตกลงจะเปลี่ยนระบบพลังงานของสปาร์กเป็นไฮบริด ทั้งเจนนิเฟอร์กับอาจารย์ทาคุมิก็ยังยุ่งอยู่กับสปาร์กจนไม่มีเวลาจะสอนพื้นฐานการซ่อมหุ่นให้ฉันเพิ่มเติม แต่ตอนนี้ฉันก็มีความรู้พอจะแก้ปัญหานิดๆ หน่อยๆ ของสปาร์กได้แล้ว ช่วงเวลาสามวันนี้จึงเป็นช่วงที่ฉันว่าง ยังไปฝึกกับเครื่องซิมทุกวัน แต่การฝึกซ้อมก็ไม่ได้กินเวลามากขนาดนั้น ในแต่ละวันฉันจึงเหลือเวลาว่างอีกหลายชั่วโมง ก็เลยตัดสินใจไปดูที่แผนกคหกรรม
ตั้งแต่เปิดประตูเข้ามาที่แผนก กลิ่นที่แตกต่างจากกลิ่นน้ำมันและเหล็กของแผนกช่างยนต์ก็โชยเข้าจมูก กลิ่น เนย น้ำตาล และส่วนผสมต่างๆ ของอาหารและขนม ถึงจะจากที่นี่ไปสักพัก แต่ฉันก็ยังชื่อนชอบการทำอาหารอยู่ดี
ถึงจะมีคนเลือกเรียนคหกรรมเป็นสิบ แต่พอไปถึงมีผู้ที่กำลังเรียนอยู่เพียงสองคน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะเราจะเลือกมาเรียนหรือไม่มาก็ได้ ไม่มีการบังคับ หากเนื้อหาการเรียนไม่น่าสนใจพอก็ไม่มีคนมาเรียนเป็นเรื่องปกติ ฉันจำได้ว่าคนที่ผิวสีแทนชื่อว่าชมพู่ กับคนผมแดงชื่อซิลเวีย พวกเธอยังจำฉันได้จึงเอ่ยทักทาย และถามถึงเรื่องของการขับหุ่นยนต์
“น่าทึ่งมากเลยน้า” ชมพู่ว่า “ดูแมรี่ไม่น่าจะไปขับหุ่นได้เลย แถมเก่งอีกต่างหาก คนพูดถึงเธอกันทั่ว”
“จริง” ซิลเวียพูดพร้อมกับตีไข่ขาวแล้วใส่น้ำตาล เธอกำลังทำเมอแรงค์เพื่อที่จะเอาไปทำมาการอง “ยัยเจนนิเฟอร์ เห็นบ๊องๆ ซ่อมหุ่นจนเอามาปกป้องคนในกลุ่มได้ พวกเราต้องมองเธอใหม่แล้ว”
ได้ยินอย่างนั้นฉันอดดีใจแทนเจนไม่ได้ บอกตามตรงว่าก่อนที่จะได้มารู้จักกับเจน ฉันก็คิดว่ายัยนั่นเป็นคนบ๊องบ้าเครื่องจักรเหมือนกัน
“แล้ววันนี้ไม่ต้องอยู่ที่แผนกช่างยนต์เหรอ”
“พวกนั้นซ่อมหุ่นกันยุ่งมาก ฉันไม่อยากไปกวนใจน่ะ” ฉันพูดพลางเข้าไปช่วยทำมาการอง มันเป็นขนมที่อร่อยแต่มีขั้นตอนการทำยุ่งยาก และถ้าทำไม่ดีก็อาจจะเสียได้ ที่วันนี้คนไม่มาเรียนกันเยอะก็น่าจะเพราะไม่อยากมาทำนั่นเอง แต่สำหรับซิลเวียและฉัน การทำมาการองไม่ใช่ปัญหาเลย ซิลเวียชอบกินมาการองมากเป็นพิเศษจนทุกคนรู้กันทั่ว และเธอยังทำมาการองบ่อยมากอีกด้วย ส่วนชมพู่นั้น ถึงเธอจะถนัดการทำอาหารคาวมากกว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่าพอมาทำเบเกอรี่แล้วจะไม่เป็นเลย ยิ่งช่วงก่อนที่ฉันจะไปเรียนที่แผนกช่างยนต์ ชมพู่บอกว่าจะลองทำขนมให้มากขึ้นด้วย
“แล้ววันนี้แดนนี่ไม่มาเหรอ” ฉันพูดถึงอาจารย์แผนกคหกรรมที่เป็นชายข้ามเพศ แต่แทบดูไม่ออกว่าไม่ใช่ผู้หญิงแท้ๆ แดนนี่เป็นคนทำอาหารทุกประเภทได้เก่งมาก แม้แต่อาหารไทยที่ตอนนี้แทบจะหาคนรู้วิธีทำไม่ได้แล้ว แดนนี่ก็ทำได้อร่อย เผลอๆ จะอร่อยกว่าให้ชมพู่ทำเสียอีก
“ตอนแรกก็มา แต่พอเห็นมีแค่สองคนก็เลยปล่อยให้ทำกันเองน่ะ” ซิลเวียตอบพลางยักไหล่ ถึงแดนนี่จะไม่มาเธอก็ไม่กังวลอะไร
หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง ฉัน ชมพู่ และซิลเวียช่วยกันทำไปด้วย พูดเรื่องสัพเพเหระไปด้วย ในที่สุดมาการองรสต่างๆ ก็พร้อมอบ แดนนี่กลับมาในช่วงนี้ ทักฉันที่หายไปนาน แล้วก็เอ่ยปากชวนให้มาลงวิชาคหกรรม
“ครูว่าเธอมีฝีมือทางนี้นะแมรี่ ทิ้งไปเลยมันน่าเสียดาย” ใบหน้าเรียวสวยนั้นพูดระหว่างที่ดูมาการองในเตาอบผ่านกระจกที่ฝาเตา “อยากกินอาหารฝีมือเธออีก”
“ก็ไม่ได้ทิ้งนี่คะ” ฉันตอบ ถึงยังไงฉันก็ยังชอบทำอาหารอยู่ “เพียงแต่ตอนนี้ฉันต้องช่วยแผนกช่างยนต์ก่อน”
“อื้อ ครูจะรอวันที่เธอกลับมานะ” แดนนี่ส่งประกายแห่งความสดใสมาให้ นอกจากจะดูไม่รู้ว่าเป็นผู้ชายแล้ว ยังดูไม่รู้ว่าเธออายุเท่าไหร่อีกด้วย ถ้าดูด้วยตาล่ะก็ ยังไงอายุก็ไม่มีทางเกินยี่สิบแน่นอน
ไม่นานมาการองสีต่างๆ ก็อบเสร็จดูน่ากิน แต่ละชิ้นสวยงาม มีที่แตกบ้างแต่น้อยมาก ฉันหยิบรสช็อกโกแลตชิ้นหนึ่งขึ้นมาชิม ก็อาจจะเป็นการชมตัวเอง แต่ไม่เห็นว่าทำไมจะชมไม่ได้ ความหวานกำลังดีไม่แสบคอ ถ้าเจนได้กินล่ะก็ แป๊บเดียวคงหมดสิบอันแน่ๆ
“ขอเอากลับไปให้เพื่อนกินหน่อยได้ไหม” ฉันขอซิลเวียกับชมพู่
“เพื่อนหรือว่าแฟน” ซิลเวียแซวตรงๆ ฉันรู้สึกถึงความร้อนที่ใบหน้า หัวใจเต้นแรง ทั้งชมพู่ทั้งเจนหัวเราะ “ก็เอาไปสิจ๊ะ ทำตั้งเยอะแยะ” ไม่พูดเปล่า เธอหาถุงมาใส่ให้ เลือกชิ้นสวยๆ ให้อีกด้วย
“ขอบใจมากนะ” ฉันพูด หน้ายังไม่หายแดง ในหัวก็นึกถึงแต่หน้าเจนตอนได้รับมาการอง ยัยนั่นต้องดีใจมากแน่ๆ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อฉันเอาไปให้เธอถึงเวิร์กช็อป เจนกำลังพักจากงานซ่อม เธอมีท่าทีเหนื่อยล้าแต่อารมณ์ดี ถือขวดน้ำเปล่าไว้ในมือ ฉันไม่ลืมเตือนให้เธอไปล้างมือก่อนที่จะกินขนม
“อื้อหือ อร่อยมาก!” เจนนิเฟอร์กินมาการองอย่างรวดเร็ว เศษขนมสีต่างๆ ติดอยู่ตามปากและแก้มเหมือนเด็กๆ “ทำได้ไงเนี่ยแมรี่ สุดยอด!”
“เหลือไว้ให้ทาคุมิบ้างนะ” ฉันยิ้มอย่างหุบไม่ได้ มองมุมนี้เจนก็น่ารักอยู่เหมือนกันนะ
“เออ จริงด้วย! ถ้าไม่เตือนกินหมดเลยนะเนี่ย อร่อยขนาดนี้” เจนยังชมฉันไม่ขาดปาก
“แล้วใกล้จะเสร็จหรือยังล่ะ” ฉันหมายถึงงานเปลี่ยนระบบพลังงานของสปาร์กให้เป็นไฮบริด
“ยังเลย มันต้องรื้อระบบกันเยอะ แต่ฉันว่าคุ้มนะ ทำครั้งเดียวก็ไม่ต้องห่วงเรื่องพลังงานของสปาร์กอีกแล้ว” เจนว่า ก่อนใช้หลังมือเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก
“ทาคุมิไม่อยู่เหรอ” ฉันถามหลังจากมองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นอาจารย์เพียงคนเดียวของแผนกนี้ ซึ่งปกติเขาแทบจะไม่ทิ้งที่นี่ไปไหนเลย
“ตานั่นทำงานจนเบลอไม่ไหว ฉันเลยไล่ไปนอนแล้วน่ะ” เจนมองไปทางที่พักของอาจารย์ชาย จะว่าไปฉันรู้ว่าสองคนนี้สนิทกันมาก แต่ไม่รู้ว่ามาสนิทกันได้ยังไง รู้แต่ว่าถ้าไม่มีทาคุมิ เจนก็คงไม่มีใครมาสุงสิงด้วยเลย และไม่มีใครที่มีความรู้พอจะแนะนำเจนได้ด้วย
“เธอสนิทกับทาคุมิได้ยังไง ฉันก็เคยลงเรียนคหกรรมแต่ไม่เห็นสนิทกับแดนนี่เหมือนที่เธอสนิทกับทาคุมิ” ฉันเอ่ยปาก ช่วงเวลาพักของเจนมีน้อย ถ้าอยากรู้คงต้องถามตอนนี้เลย
“โธ่แมรี่ เธอก็รู้ว่าฉันชอบพวกเครื่องยนต์มากขนาดไหน นอกจากตอนที่ไปซ่อมสปาร์กในป่า ฉันก็แทบจะไม่ไปไหนเลยนอกจากที่นี่ ทาคุมิก็เหมือนกัน เขาแทบจะไม่ออกไปที่ไหนเลย เพื่อนอาจารย์มีหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“อือ” ฉันพอจะนึกภาพออก พวกเนิร์ดที่ชอบขลุกอยู่แต่กับของที่ตัวเองชอบ นี่ถ้าไม่มีเจนกับฉันก็ไม่รู้หมอนั่นจะมีลูกศิษย์หรือเปล่า แต่ถึงจะไม่มีลูกศิษย์โรงเรียนก็ต้องจ้างไว้อยู่ดีเพราะความรู้ของทาคุมินั้นแทบจะหาใครมาแทนไม่ได้ “มีเธอมาเรียนวิชาหุ่นยนต์ก็ดีแล้ว ทาคุมิจะได้ไม่เหงา”
“แต่ถึงจะสนิทกันขนาดนี้ ทาคุมิก็ยังมีความลับบางอย่างอยู่” เจนบอก เธอว่าเธอเองก็ไม่ได้อยากรู้ความลับของอาจารย์ แต่แค่หาเรื่องชวนคุยกับฉันเฉยๆ เพราะไม่อยากให้คืนนี้จบลง
“อยากจะคุยกับแมรี่จนเช้าเลย คุยกับเธอแล้วสบายใจ” เจนนิเฟอร์หันมายิ้ม แต่ฉันเห็นเธอสภาพอิดโรยเต็มทน คงเป็นเพราะการดัดแปลงสปาร์กนั่นแหละ
“ฉันก็อยากคุยนะ แต่ดูตาเธอสิ จะปิดอยู่แล้ว”
“เปล่าสักหน่อย!” ช่างเครื่องของฉันพยายามจะเถียง แต่ก็ต้องยอมจำนนเมื่อเสียงหาวหวอดตามมา เจนได้แต่หัวเราะแหะๆ
“ไปนอนเถอะคนเก่ง เดี๋ยวไปส่งให้ก็ได้” ฉันยิ้ม
“อือ คงไม่ไหวแล้วจริงๆ” เจนพูดก่อนจะหาวอีกครั้งแล้วยื่นมือมาให้ฉันจับ “จูงมือไปส่งด้วยได้ไหม”
“ขี้อ้อนจังนะเรา ได้สิ” แล้วเราสองคนก็เดินจูงมือกันไปจนถึงห้องของเจน ถึงอย่างนั้นยัยคนง่วงนอนก็ยังจะอิดออดไม่อยากให้ฉันกลับ
“อยู่ด้วยกันก่อนสิ” เธอส่งสายตาอ้อนผ่านช่องประตูที่แง้มอยู่
“พรุ่งนี้ก็ได้เจอกันแล้ว ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้” ฉันทำเป็นใจแข็งรีบปิดประตู เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าถ้าประตูบานนี้เปิดต่อไปอีกนิดเดียวฉันก็คงใจอ่อนเหมือนกัน
……………..
สองวันต่อมา สปาร์กเวอร์ชันใหม่ก็เสร็จสิ้น ดูแวววาวแต่งเติมด้วยโซลาร์เซลล์เป็นแถบๆ ที่แขน ขาท่อนบน และแบ็คแพ็ค ส่วนขาท่อนล่างได้รับการดัดแปลงใหม่ให้เป็นแบบสายพานซึ่งเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นโดยไม่เสียสมดุล เจนกับทาคุมิให้เหตุผลว่าตอนแรกอยากจะเปลี่ยนเป็นล้อ แต่ก็เปลี่ยนใจเนื่องจากเคลื่อนไหวได้เร็วมากก็จริง แต่สมดุลจะมีน้อยเกินไป
“และนี่” สองคนดูภูมิใจเมื่อผายมือไปที่สิ่งหนึ่งบนรถเข็น มันอยู่ใต้ผ้าใบสีเขียวอ่อน
“อะไรล่ะเนี่ย อย่าบอกนะว่าทำอาวุธประหลาดๆ มาอีกแล้ว” ฉันพูด แววตาสองคนนี้ดูไม่ค่อยน่าไว้วางใจ แต่เมื่อยังทำท่าอยากอวดกันอยู่ ฉันก็เลิกผ้าใบนั้นออก ด้านล่างเป็นปืนไรเฟิลพร้อมกล้องเล็งอย่างที่เคยขอไว้
“เยี่ยมมาก!” ฉันหันมาชมพร้อมยกนิ้วโป้งให้ทั้งสองมือ “แบบนี้จะได้ซุ่มยิงซะที”
“ติดกล้องที่มีกำลังขยายสูงสุดไว้ให้เลยนะ อยู่ตรงนี้ซูมดูป่าหลังโรงเรียนชัดกิ๊ก” เจนนิเฟอร์อวดจนฉันตื่นเต้น
“ถ้างั้นมาลองกันเลย” พูดก็พูดเถอะตั้งแต่ขับสปาร์กมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันอยากจะเข้าไปนั่งที่ที่นั่งคนขับมากที่สุด เท้าสายพานที่เปลี่ยนมาใหม่ไม่ทำให้การทรงตัวแตกต่างไปจากเดิมเลย ฝีมือของสองคนนี้ดีมากจริงๆ ฉันพยายามจะนอนลงเพื่อที่จะลองเล็งปืนไรเฟิล ตามที่เคยได้ยินมาว่าใช้ท่านอนยิงจะให้ผลดีที่สุด ถึงสปาร์กจะไม่มีหัว แต่มันก็มีกล้องอยู่ด้านบน ถ้านอนก็ยังเล็งยิงได้ แต่…
“เท้ามันใหญ่ไปอะ นอนลำบาก” ฉันบ่นเมื่อพบว่านอนไม่ได้
“อันนี้มันเน้นการเดินทางไกลน่ะ ไม่ได้เน้นซุ่มยิง” เจนนิเฟอร์บอก “ถ้าอยากนอนยิงต้องเปลี่ยนเท้า”
แบบนี้ถ้าอยากเปลี่ยนชิ้นส่วนนอกสถานที่ก็มีแต่ต้องเอาชิ้นส่วนไปด้วยสินะ รถของทาคุมิก็คงจะขนชิ้นส่วนไปไม่ได้ด้วยสิ
“อือ ไม่เป็นไร” ฉันว่าพลางเปลี่ยนเป็นท่านั่งคุกเข่าแทน หยิบปืนออกมาทำท่าเล็งยิงตามที่ระบบมีท่าไว้ให้แล้ว “โอ้โหซูมได้ไกลขนาดนี้เลย”
“ก็บอกแล้ว” เจนกับทาคุมิยิ้มแก้มแทบปริ ส่วนฉันอยากลองความแรงของกระสุนใจแทบขาด แต่ไว้ค่อยลองระหว่างการเดินทางก็แล้วกัน