อารยธรรมมนุษย์ล่มสลายจากสงครามกับอสูรเมื่อหลายสิบปีก่อน พวกมันกลับมาอีกครั้งในยามที่มนุษย์แทบจะไร้อาวุธต่อกร มีเพียงสิ่งนั้นที่เป็นความหวัง
ไซไฟ,sci-fic,ไซไฟ,ยูริ,yuri,อนาคต,หุ่นยนต์,สัตว์ประหลาด,ไคจู,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาวอารยธรรมมนุษย์ล่มสลายจากสงครามกับอสูรเมื่อหลายสิบปีก่อน พวกมันกลับมาอีกครั้งในยามที่มนุษย์แทบจะไร้อาวุธต่อกร มีเพียงสิ่งนั้นที่เป็นความหวัง
แม้พวกอสูรจะพ่ายแพ้กลับไป ทว่าอารยธรรมของมนุษย์ทั้งหมดก็ถูกทำลาย เหล่าผู้รอดชีวิตอาศัยอยู่ในกลุ่มเล็กๆ กระจัดกระจายกันอยู่ไม่กี่สิบกลุ่มทั่วโลก
แมรี่ เด็กสาวจากกลุ่มอื่นที่เพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน เธอถูกอสูรไล่ล่า ดีที่ได้ เจนนิเฟอร์ ยัยเนิร์ดบ้าเครื่องจักรขับหุ่นยนต์มาช่วยไว้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวการต่อสู้และความรักของทั้งสอง
นิยายเรื่องใหม่ของราชาวาฬ ลงวันเว้นวันตอนหกโมงเย็น!
วันรุ่งขึ้นเจนนิเฟอร์มาปลุกถึงห้องแต่เช้า ทั้งที่บอกไปแล้วว่าถ้าทำงานหนักก็ไม่ต้องมาปลุก แต่เธอบอกว่าตื่นเต้นที่จะได้ไปที่พิกัดนั้นจนนอนไม่หลับ
“เผื่อใจไว้ด้วยนะ ไม่รู้ว่าเรื่องที่เราจะได้ไปเจอมันจะเป็นเรื่องดีหรือเปล่า” ฉันพูด มองตาสีฟ้านั้นด้วยความเป็นห่วง
“อื้อ” เจนนิเฟอร์พยักหน้าอย่างจริงจัง “ฉันก็กลัว แต่ถ้าเราไม่ไปที่นั่น เราก็จะไม่ได้รู้อะไรเลย”
“เก็บกระเป๋าเสร็จแล้วหรือยัง” ฉันถาม ไม่อยากพูดถึงเรื่องอดีตให้เธอกังวลต่อ “ฉันเก็บเสร็จตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ” หยิบเป้ใบเล็กให้เธอดู ที่จริงก็อาจจะเป็นทริปแบบไปเช้าเย็นกลับได้อยู่หรอก แต่ก็เตรียมเผื่อไว้ต้องค้างคืนเท่านั้น
“เก็บเสร็จแล้วเหมือนกัน วางไว้หน้าประตูห้องเธอน่ะ”
“ถ้างั้นก็ไปกันเลย” ฉันว่า ก่อนจะตรวจความเรียบร้อยในห้องอีกครั้งแล้วล็อกประตู กระเป๋าของเจนวางอยู่หน้าห้องจริงๆ แต่จะดูใหญ่กว่าของฉันมากเลย
“จะไปอยู่กี่เดือนเนี่ย” ฉันแซวขำๆ
“ไม่ใช่นะแมรี่” เจนจัดแจงรูดซิปกระเป๋าให้ดู ฉันแทบไม่เห็นเสื้อผ้าในนั้นเลย มีชุดเก่งของเธอ 1 ชุดอยู่ในถุงซิปล็อค นอกนั้นคืออุปกรณ์ประหลาดกับสายไฟเต็มไปหมด
“มันคืออะไรเนี่ย หนักหรือเปล่า เอาไปถ้าไม่ได้ใช้แบกกันเก้อเลยนะ” ฉันบ่น
“อื้อ เจ้านี่ยังทดลองค้างอยู่น่ะ มันอาจจะเวิร์กก็ได้” พูดพลางเธอก็ยกกระเป๋าขึ้นพาดไหล่ พลางนิ่วหน้าด้วยความหนัก ฉันได้แต่ยิ้มอ่อน
“แล้วมันคืออะไรกันแน่ล่ะ”
“อธิบายไม่ถูกอะ มันอาจต้องใช้ถ้าเกิดฉุกเฉิน”
“จ้าๆ งั้นก็ไปขึ้นสปาร์กกันเถอะ ป่านนี้ทาคุมิรอแย่แล้ว”
อาจารย์คนเดียวของแผนกช่างยนต์ยืนรออยู่ที่ทางออกกลุ่มทิศที่จะไปยังพิกัด รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อสีเขียวคันเก่งของเขาและสปาร์กจอดอยู่ข้างกาย ทาคุมิยังตรวจสอบความเรียบร้อยของสปาร์กเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะออกเดินทาง
“อ้าว มากันแล้วเหรอ ถ้ายังไม่ได้กินอะไรก็ไปเอาขนมปังในรถมากินก่อนได้นะ” เขาพูดโดยไม่ละสายตาจากหน้าจอแท็บเล็ตในมือ “ยังปรับค่าตรงนี้ได้อีกนิดหน่อย” ประโยคหลังนี้ดูเขาจะพูดกับตัวเอง
“ทานกันมาบ้างแล้วค่ะ เดี๋ยวเรารีบออกเดินทางกันเถอะ จะได้ไม่ไปถึงค่ำ” ฉันตรวจดูสปาร์กจากภายนอกด้วยสายตา ยังคงดูเหมือนใหม่ ปืนไรเฟิลกระบอกยักษ์เหน็บอยู่ที่หลัง เจนนิเฟอร์บอกว่าติดตั้งไว้ด้วยแม่เหล็กจะได้หยิบใช้ได้สะดวก ดูจะเป็นความคิดที่ดีทีเดียว ไม่นานทาคุมิก็เก็บแท็บเล็ตลงในกระเป๋าแล้วเดินไปขึ้นรถของตนเอง เขาบอกให้เจนนิเฟอร์ไปนั่งที่รถด้วย
“คราวนี้ต้องเดินทางไกล ไปนั่งอัดกันอย่างนั้นเดี๋ยวจะเป็นตะคริวซะก่อน แมรี่จะได้นั่งสบายๆ ด้วย”
เจนทำหน้ามุ่ย “ก็ฉันอยากอยู่ในสปาร์กด้วยนี่นา” เธอบ่นแต่ก็ยอมไปขึ้นรถยนต์แต่โดยดี ฉันเข้ามานั่งในห้องโดยสารของสปาร์กที่ได้รับการทำความสะอาดจนใหม่เอี่ยมอ่อง จนต้องลูบวัสดุที่มันวาวนั้นอย่างอดใจไม่ได้ หน้าจอปรากฏแผนที่พร้อมจุดแดงกะพริบที่พิกัด ทาคุมิคงเปิดเตรียมไว้ให้แล้ว
[ถ้าพร้อมก็ออกตัวเลยนะ] เสียงเขาดังมาทางวิทยุ
[ค่ะ]
“แมรี่ ไอออนฮาร์ท สปาร์ก อิคิมัส!”
………………….
สปาร์กที่เปลี่ยนเท้าเป็นแบบสายพานเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วจนฉันยังแปลกใจ หุ่นยนต์ยักษ์ไม่ได้วิ่งสลับขาทีละข้างเหมือนมนุษย์อีกต่อไป หากแต่เป็นการย่อตัวแล้วให้สายพานเคลื่อนที่ไปในลักษณะเหมือนกับคนเล่นสกี รูปร่างที่เหมือนมนุษย์อาจทำให้มีแรงต้านลมจนเคลื่อนที่เร็วเท่ากับรถยนต์ได้ยาก แต่ด้วยเครื่องยนต์ของสปาร์กที่มีกำลังล้นเหลือ มันก็ทำความเร็วได้ไม่แย่เกินไปนัก ข้อเสียถ้าหากจะมีก็คงเป็นการเลี้ยวที่ยากขึ้นนิดหน่อย ไม่กี่ชั่วโมงพวกเราก็มาได้ไกลเกินครึ่งทาง ฉันมองเห็นทาคุมิกับเจนนิเฟอร์จากกล้องหลัง เจนดูตื่นเต้น แต่บางครั้งก็ดูกังวลใจ เอาเถอะ เป็นฉันก็คงรู้สึกแบบเดียวกัน
[พักกันก่อนเถอะ ขับไปรวดเดียวเลยมันจะล้าเปล่าๆ] ทาคุมิส่งข้อความมา
[ได้ค่ะ] ฉันส่งข้อความไป พวกเราหาที่แวะพักกัน เป็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ทาคุมิบอกว่ามันคือต้นโอ๊ค ข้างๆ นั้นมีกำแพงอิฐเก่าที่ถูกทำลาย แต่ยังเห็นปูนที่เคยฉาบไว้เป็นบางส่วน พวกเราพากันไปนั่งตรงที่ร่มเงาของต้นโอ๊คยังมาถึง ทาคุมิยังเตรียมผ้าใบเก่าๆ มาปูนั่งด้วย
“หลังจากที่อารยธรรมของมนุษย์หายไปเกือบหมด ธรรมชาติก็ฟื้นฟูกลับมา” เขาว่าอย่างนั้น ในมือยังถือแซนด์วิชที่ฉันทำเผื่อใส่ตู้เย็นเอาไว้ให้ตั้งแต่เมื่อวาน “ตอนที่ผมยังเด็กๆ สิ่งแวดล้อมแย่มาก ต้นไม้ใหญ่แบบนี้แทบหาไม่เจอ” ทาคุมิมองไปข้างหน้า แต่ฉันว่าสายตาของเขาคงมองเห็นโลกในอดีต “ว่าแต่แซนด์วิชนี่อร่อยนะ ฝีมือคุณเหรอแมรี่”
“ค่ะ ทำแบบง่ายๆ” ฉันถ่อมตัว แต่ก็ไม่ได้ทำยากอะไรมาก เน้นว่าอิ่มท้อง มีสารอาหารที่มีประโยชน์
“อะอ่อยอ้าก!” ช่างเครื่องของฉันมีอาหารอยู่เต็มปากจนพูดไม่ได้ ได้แต่ยกนิ้วโป้งสองข้าง เธอกินอะไรก็อร่อยหมดแหละเจน คิดอย่างนั้นแต่ฉันก็อดยิ้มไม่ได้ เวลามีคนชอบอาหารที่เราทำนี่มันรู้สึกดีจริงๆ
หลังจากที่อิ่มกันแล้วก็ออกเดินทางต่อ ไม่นานสองข้างทางก็เปลี่ยนจากทิวทัศน์ป่าไม้ตามธรรมชาติเป็นซากสิ่งก่อสร้างที่หลงเหลือจากสงคราม ไม่อยากเชื่อว่าไม่กี่สิบปีก่อนหน้านี้ ที่นี่จะเคยเป็นเมืองที่ศิวิไลซ์ ตอนนี้มันกลายเป็นเพียงสิ่งปรักหักพัง ธรรมชาติเริ่มเข้าแทรกแซงตามที่ทาคุมิว่า รากไม้ชอนไชเข้าไปตามซีเมนต์จนมันแตกออกเผยให้เห็นโครงเหล็กภายใน แม้แต่เหล็กที่แข็งแกร่ง เมื่อต้องลมฝนนานวันก็ขึ้นสนิมป่นเป็นผง สัตว์เล็กๆ อย่างนกหรือกระรอกเข้ามาอยู่อาศัย ฉันว่าฉันเห็นแรคคูน หรือแม้แต่หมีด้วย แต่เมื่ออยู่ในสปาร์ก ต่อให้เป็นเสือก็คงไม่น่ากลัวเท่าไหร่ สิ่งที่น่ากลัวคงมีแค่อสูรเท่านั้น เราเดินทางมาจนสุดที่หน้าผา มีหินก้อนใหญ่อยู่ฝั่งตรงข้าม หน้าจอบอกว่าหินก้อนนั้นอยู่ห่างออกไปประมาณ 50 เมตร
[เราคงต้องหาทางอ้อมไป] ทาคุมิส่งวิทยุมา
[เดี๋ยวก่อนค่ะ ฉันอยากลองปืนไรเฟิล]
[มันจะไม่ห่างไปหน่อยเหรอ]
[ไม่หรอกค่ะ ท้าทายดี]
สปาร์กหยิบปืนไรเฟิลขึ้นประทับ ฉันใช้กล้องเล็งของปืน มองเห็นเป้าหมายชัดเหมือนมันอยู่ใกล้ๆ ไรเฟิลนี้บรรจุกระสุน 20 นัด การลั่นไก 1 ครั้ง จะยิงกระสุน 2 นัด ฉันขยับก้านควบคุมเพื่อล็อกเป้าอย่างมั่นใจ เครื่องหมายสี่เหลี่ยมวางอยู่ใจกลางก้อนหินรูปวงรี นิ้วกดปุ่มลั่นไกอย่างตื้นเต้น
ปัง
เสียงปืนไม่ดังอย่างที่คิด อาจเป็นเพราะเจนติดตั้งระบบเก็บเสียงให้ด้วย ฉันไม่ได้ขอไว้แต่เธออาจจะคิดว่าถ้าซุ่มยิงการเก็บเสียงอาจเป็นสิ่งจำเป็น บทจะรอบคอบก็ทำได้นี่นาเจน หินก้อนนั้นเป็นรอยโหว่ขนาดใหญ่ทันที ฉันเก็บปืนไรเฟิล รู้สึกมั่นใจกว่าเดิมมาก
[ติดกล่องเก็บเสียงให้ด้วยเหรอเจน] ฉันถามเธอไปทางวิทยุ
[ใช่! ฉันว่ามันเหมาะกับการซุ่มยิง ถ้ายิงเงียบๆ พวกอสูรก็จะได้ไม่รู้ตัว] เจนนิเฟอร์ตอบกลับมาอย่างร่าเริง
[ในสถานการณ์จริง พวกอสูรมันไม่ได้เป็นเป้านิ่งเหมือนก้อนหินนะ ถ้ายิงไปแล้วไม่โดนจะกลายเป็นทำให้พวกมันตื่นตัวได้] ทาคุมิเตือนให้ระวัง ซึ่งฉันก็ตอบรับคำเป็นอย่างดี และจะต้องเตือนตัวเองด้วยเมื่อเป็นสถานการณ์จริง
[ออกเดินทางกันต่อเลยค่ะอาจารย์ เจน]
ฉันพูดอย่างนั้นก่อนที่สปาร์กและรถยนต์อีกคันหนึ่งจะออกจากจุดนั้น