อารยธรรมมนุษย์ล่มสลายจากสงครามกับอสูรเมื่อหลายสิบปีก่อน พวกมันกลับมาอีกครั้งในยามที่มนุษย์แทบจะไร้อาวุธต่อกร มีเพียงสิ่งนั้นที่เป็นความหวัง
ไซไฟ,sci-fic,ไซไฟ,ยูริ,yuri,อนาคต,หุ่นยนต์,สัตว์ประหลาด,ไคจู,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Spark hope ประกายหวังพิฆาตพันธุ์ต่างดาวอารยธรรมมนุษย์ล่มสลายจากสงครามกับอสูรเมื่อหลายสิบปีก่อน พวกมันกลับมาอีกครั้งในยามที่มนุษย์แทบจะไร้อาวุธต่อกร มีเพียงสิ่งนั้นที่เป็นความหวัง
แม้พวกอสูรจะพ่ายแพ้กลับไป ทว่าอารยธรรมของมนุษย์ทั้งหมดก็ถูกทำลาย เหล่าผู้รอดชีวิตอาศัยอยู่ในกลุ่มเล็กๆ กระจัดกระจายกันอยู่ไม่กี่สิบกลุ่มทั่วโลก
แมรี่ เด็กสาวจากกลุ่มอื่นที่เพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน เธอถูกอสูรไล่ล่า ดีที่ได้ เจนนิเฟอร์ ยัยเนิร์ดบ้าเครื่องจักรขับหุ่นยนต์มาช่วยไว้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวการต่อสู้และความรักของทั้งสอง
นิยายเรื่องใหม่ของราชาวาฬ ลงวันเว้นวันตอนหกโมงเย็น!
รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา หลายสิบปีก่อน
พวกอสูรรุกรานประเทศญี่ปุ่นอย่างหนักเป็นที่แรก จนชาวญี่ปุ่นถูกสังหารเกือบหมด ที่เหลือรอดก็ต้องอพยพกระเซ็นกระสายไปตามประเทศต่างๆ ไม่ใช่ว่าทุกประเทศอยากเป็นที่พักพิงให้กับพวกเขา เพราะทุกแห่งหนบนโลกต่างต้องรับมือกับอสูรร้ายเหมือนๆ กัน เพียงแต่ว่าญี่ปุ่นโชคร้ายเป็นที่แรกเท่านั้น
“อย่าออกไปเล่นไกลนักนะ แล้วถ้ามีสัญญาณเตือนอสูรต้องรีบกลับมาเข้าใจไหม” แม่ของควาเม เมนซาห์ เจ้าหนูอายุสิบขวบกำชับลูก อันที่จริงเธอก็ไม่ค่อยอยากให้ลูกออกไปเล่นกลางแจ้งนัก แต่ด้วยความที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ต้องวุ่นวายกับงานบ้านทั้งวัน หากต้องคอยจับตาดูเด็กผู้ชายวัยกำลังซนด้วยก็คงไม่ต้องทำอะไรกันพอดี อีกอย่างพวกอสูรก็ไม่ค่อยจะมารุกรานที่นี่ด้วย สัปดาห์หนึ่งจะมีสัญญาณเตือนสักครั้ง หรือไม่ก็ไม่มีเลย
เด็กน้อยควาเมพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง เขาไม่ใช่เด็กเลี้ยงยาก
“แล้วก็นี่ ช็อกโกแลตบาร์ ลุงโจเอามาฝากเมื่อเช้า” แม่ของเขาหยิบขนมให้ ควาเมวิ่งตื๋อจากไป ทิ้งให้เธอในชุดผ้ากันเปื้อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ หวังว่ากองทัพจะจัดการกับอสูรต่างดาวจนพวกมันพ่ายแพ้จากไปเสียที
ควาเมวิ่งออกจากบ้านไปไม่ไกลนัก เขาได้พบกับดอกไม้ประหลาดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันมีลักษณะคล้ายแมงมุมสีแดง ขึ้นอยู่ข้างๆ แท่งปูนสลักตัวอักษรที่เขาอ่านไม่ออกแต่รู้ว่าไม่คล้ายกับตัวอักษรที่เห็นในบ้าน ดอกไม้นั้นเหมือนมีมนตร์สะกดให้เด็กน้อยเดินเข้าไปใกล้ เขาจับที่ก้านของมัน พอดีกับที่มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“อย่าเด็ดดอกฮิกังบานะนะ!” เสียงเล็กๆ ของเด็กผู้หญิงผิวขาวไว้ผมหน้าม้า เธอดูเป็นคนเอเชียแต่พูดภาษาอังกฤษได้คล่อง “คุณพ่อบอกว่ามันจะช่วยปกป้องไม่ให้พวกอสูรมาทำร้ายคุณปู่ได้”
“คุณปู่เธออยู่ที่นี่เหรอ” ควาเมถามอย่างงุนงง เขาไม่เห็นใครอีกนอกจากเด็กผู้หญิงตรงหน้า
“อื้อ คุณปู่ไปสวรรค์แล้ว แต่คุณพ่อบอกว่าบางทีคุณปู่จะกลับมานอนที่นี่น่ะ คุณพ่อบอกว่าคนที่ไปสวรรค์แล้วจะกลับไปนอนที่บ้านไม่ได้ เราคิดถึงคุณปู่เหมือนกันแต่ไม่เคยเห็นท่านกลับมาที่นี่สักที” เธออธิบายยาวเหยียด “อ๋อ เราชื่อเนซึโกะ เธอชื่ออะไร”
“ควาเม” เขาตอบสั้นๆ เนซึโกะหยิบดอกฮิกังบานะที่ร่วงอยู่ที่พื้นให้กับเขา “ถ้าดอกนี้ล่ะก็น่าจะใช้ได้นะ ไม่ได้เด็ดจากต้น” เธอยิ้ม เขายิ้มตอบ
เย็นวันนั้นเขานำดอกฮิกังบานะดอกนั้นกลับไป ยังไม่ทันจะเข้าประตูบ้าน เขาก็ได้ยินเสียงแม่กำลังคุยอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง นั่นคือลุงโจ หัวหน้าชุมชน
“ลุงโจ!” ควาเมรีบถอดรองเท้าแล้วเข้าไปหาชายร่างใหญ่วัยสี่สิบ ถึงลุงโจจะเป็นอีกคนหนึ่งที่เข้ามาจีบแม่ แต่เขาก็ใจดี ควาเมรู้สึกถูกชะตากับลุงโจมากกว่าใคร
“อ้าว ไอ้หนู กลับมาแล้วเหรอ มาหาลุงก่อนสิ” ชายร่างใหญ่อ้าแขนกอดเขาก่อนที่จะสังเกตเห็นดอกไม้สีแดงในมือ
“นี่มัน… ดอกฮิกังบานะ” สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป
“มีอะไรเหรอโจ” แม่ของเขาถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอกแอนนี่ ก็แค่ดอกไม้ของคนญี่ปุ่นน่ะ เค้าลือกันว่ามันเป็นดอกไม้แห่งความตาย แต่ฉันไม่เชื่อเรื่องนั้นหรอก” ลุงโจตอบอย่างนั้นแต่กลับกระซิบกับควาเมว่า “เพื่อความปลอดภัย เดี๋ยวเราเอาดอกไม้นี่ไปทิ้งข้างนอกจะดีกว่า”
ควาเมทำตามที่ลุงโจบอก เขาเองก็เป็นเด็กผู้ชายที่ไม่ได้ชื่นชอบดอกไม้มากขนาดนั้น เพียงอยากจะหามาเอาใจแม่ ไม่นานเด็กน้อยก็ลืมเรื่องดอกไม้นี้ไป
ด้วยความที่บ้านอยู่ใกล้กัน ควาเมสนิทกับเนซึโกะอย่างรวดเร็ว พวกเขาไปเล่นด้วยกันแทบจะทุกวัน เนซึโกะสอนภาษาญี่ปุ่นอย่างง่ายๆ ให้กับเขาเพื่อไว้อ่านหนังสือการ์ตูนที่พ่อสะสมไว้
“ดูนี่นะ ตัวนี้อ่านว่าคิโบ แปลว่าความหวัง” เธอชี้ไปที่ตัวอักษร 希望 ในหนังสือการ์ตูน
“โห ตัวนี้เขียนยากชะมัด ใครจะไปจำได้”
“ดูดีๆ สิ มันมีคันจิง่ายๆ หลายตัวประกอบกัน ลากเส้นตามฉันนะ”
“ไม่อยากเรียนแล้วอ่า ภาษาญี่ปุ่นยาก!”
“นี่ควาเม การ์ตูนสนุกๆ มีคำว่าความหวังหลายเรื่องเลยนะ ถ้าอ่านคำว่าความหวังออก รับรองได้อ่านสุดยอดการ์ตูนแน่นอน”
“เหรอๆ” ถึงจะอิดออด แต่ควาเมก็พยายามเขียนคำว่าความหวังจนได้
………….
หลายเดือนต่อมา
ลุงโจแต่งงานกับแม่ เขาก็ยังเป็นลุงโจที่ใจดีคนเดิม แต่ที่ต่างออกไปคือลุงโจห้ามไม่ให้เขาออกไปเล่นกับเนซึโกะอีก
“คนญี่ปุ่นมันมาแย่งที่ของเรา” ลุงว่า “แล้วยังมาปลูกดอกไม้อัปมงคลนั่นด้วย”
ควาเมไม่เข้าใจ แต่ด้วยความที่เขาเป็นเด็กที่เชื่อฟังจึงไม่ออกไปหาเนซึโกะ จนกระทั่งครั้งหนึ่งที่เขาคิดถึงเพื่อนจนทนไม่ได้ แอบหนีออกจากบ้านไปพบเนซึโกะ เมื่อกลับบ้าน เขาเห็นลุงโจยืนจังก้าอยู่หน้าประตูบ้าน สีหน้าไม่เหมือนลุงโจที่เขาเคยรู้จัก
“ควาเม ลุงเคยห้ามแล้วใช่ไหม” เสียงเย็นยะเยือกที่มาพร้อมกับการข่มอารมณ์ของพ่อบุญธรรมดังขึ้น เขาไม่ได้ตวาดด้วยความโกรธ แต่กลับทำให้เด็กชายเสียวสันหลัง
“ครับ” ควาเมก้มหน้า แม้จะเป็นกฎของบ้าน แต่คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เขากับเนซึโกะเป็นเพื่อนกัน แล้วทำไมต้องกีดกันไม่ให้ได้พบกันด้วย
“คงรู้นะว่าต้องทำยังไง” เสียงนั้นดังขึ้นอีก เขารีบพยักหน้า ถึงลุงโจจะไม่เคยใช้กำลังให้เห็น แต่รูปร่างที่ใหญ่โต และแววตาที่น่าหวาดหวั่นก็ทำให้เขาไม่กล้าขัดขืน
“อดข้าวเย็น แล้วก็กักบริเวณหนึ่งเดือนครับ” ควาเมเดินขึ้นบันไดไปอย่างเซื่องซึม เขาไม่มีเพื่อนคนอื่นอีก
“ถ้าลุงจับได้ว่าแอบไปหาคนญี่ปุ่นอีก ลุงจะไปคุยกับพ่อเขา ไม่ให้ได้เจอกันอีกเลย” โจตะโกนสำทับ “ข้าวยากหมากแพง คนญี่ปุ่นก็ยังมาแย่งที่ แล้วยังเอาดอกไม้อัปมงคลนั่นมาด้วย”
ดอกไม้มันก็แค่ดอกไม้ จะอัปมงคลได้ยังไง เขาได้แต่เถียงในใจท่ามกลางเสียงท้องร้อง ลำพังแค่อาหารในชีวิตประจำวันก็ได้กินน้อยอยู่แล้ว ยิ่งต้องมาอดข้าวเย็น ก็เท่ากับได้กินน้อยลงไปอีก
ผ่านมาได้ครึ่งเดือน เขาได้ยินเสียงอะไรกระทบหน้าต่างเบาๆ
มันคือเสียงของเครื่องบินกระดาษ! เนซึโกะขว้างมันมา ควาเมมองไปข้างล่างอย่างดีใจ เด็กสาวทำท่าบุ้ยใบ้ให้เขารีบไปแกะเครื่องบินเพื่ออ่านข้อความ
“ต่อไปเราจะคุยกันด้วยวิธีนี้นะ” เธอเขียนมาอย่างนั้น “ฉันเห็นลุงเธอออกไปข้างนอกทั้งวัน เขาคงไม่รู้หรอก”
ตั้งแต่วันนั้นพวกเขาพับเครื่องบินกระดาษมากมายเหลือเกิน ลุงโจไม่เคยพูดถึงเพื่อนชาวญี่ปุ่นของควาเมอีก เขาอาจจะจับไม่ได้ แต่ถึงจับได้ก็ไม่มีเวลาจะมาห้าม เพราะทั้งเขา ทั้งแม่ ต้องทำงานตัวเป็นเกลียวเพื่อหารายได้ แม้อสูรจะไม่ค่อยมาบุกฟลอริดา แต่ในภาวะสงครามที่กินเวลาหลายเดือนก็ทำให้ข้าวยากหมากแพงทีเดียว
“ฉันไม่เข้าใจเลย จะคนญี่ปุ่นหรือคนอเมริกาก็เพื่อนกันทั้งนั้น ยิ่งตอนนี้พวกอสูรทำลายไปแล้วหลายประเทศ เรายิ่งควรจะร่วมมือกันถึงจะถูก” ข้อความของเนซึโกะดูเป็นผู้ใหญ่กว่าวัย แม้เธอจะมีอายุมากกว่าควาเมหลายปี แต่ก็ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นผู้ใหญ่ยิ่งกว่านั้น
“ใช่ ฉันก็แค่อยากไปเล่นกับเนซึโกะอีก” ข้อความซื่อๆ ถูกส่งกลับไป แต่เด็กทั้งสองไม่รู้เลยว่าเวลาที่พวกเขาจะได้เล่นด้วยกันมีเหลืออีกไม่มากแล้ว
วันหนึ่ง มีกองร้อยที่เรียกตัวเองว่า Protector เข้ามาคุยกับผู้นำชุมชน พวกเขาบอกว่าจากสถิติ ฟลอริดาเป็นที่ที่อสูรบุกโจมตีน้อยที่สุด จึงเหมาะสำหรับการซุ่มสร้างหุ่นยนต์ที่ติดตั้งระบบใหม่ที่เชื่อว่าจะกำราบอสูรให้สิ้นซากได้ ระบบที่มีชื่อว่า HOPE
“พวกอสูรเทียร์สูงจะปิดการทำงานหุ่นยนต์ที่พวกเราใช้ได้ HOPE System สร้างขึ้นมาเพื่อต่อต้านสิ่งนี้” ปีเตอร์ เลอกู้ด หัวหน้าหน่วย Protector อธิบาย “และยิ่งไปกว่านั้น มันจะเพิ่มพลังให้กับหุ่นยนต์ของเราอย่างมากด้วย”
เขายังกล่าวต่อไปว่า “เพราะอย่างนั้น พวกเราจำเป็นต้องขอยืมพื้นที่ของพวกคุณเพื่อสร้างฐานทัพ สร้างหุ่นยนต์ที่เราจะกำจัดพวกมัน แล้วคืนสันติภาพให้กับโลกของเรา”
“อสูรมันไล่ล่าหุ่นยนต์ของทหาร พวกคุณมาสร้างฐานที่นี่ พวกมันก็ต้องตามมา” ลุงโจพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ “กับแค่สถิติแค่นั้นมันไม่ได้รับประกันอะไรเลย”
“พูดอีกก็ถูกอีก” ชาวบ้านที่เหลือเห็นด้วย “ใครจะรับประกันความปลอดภัยของพวกเรา”
“พวกเราจะรับประกันความปลอดภัยให้เอง” ปีเตอร์บอก “แล้วยังมีอาหาร น้ำ แล้วก็เงินค่าตอบแทนให้ด้วย”
ชาวบ้านบางคนเริ่มมีสีหน้าลังเล “แบบนี้ค่อยคุยกันได้หน่อย”
“พวกเราจะยอมก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขที่เหมาะสม” ลุงโจพูดในที่สุด
“ดูสัญญานี่ก่อนได้เลย” ปีเตอร์หยิบกระดาษออกมาจากซองสีน้ำตาล “ถ้าเงื่อนไขยังไม่พอใจ พวกเรายินดีเพิ่มให้จนกว่าจะพอใจ ขอย้ำว่าเราจำเป็นต้องใช้ที่นี่จริงๆ”
มีเสียงฮือฮาดังมาจากกลุ่มชาวบ้าน ลุงโจรับสัญญาไปดูพร้อมกับหัวหน้าชุมชนคนอื่นๆ สีหน้าของลุงโจดูดีขึ้นทันทีเมื่อเห็นข้อความในสัญญา แต่เขายังไม่ตอบตกลง
“เดี๋ยวพวกผมขอไปคุยกันก่อน แล้วจะให้คำตอบทีหลัง” เขาว่าอย่างนั้น
“ได้เลยครับ” ปีเตอร์ยิ้ม จับมือกับลุงโจ ก่อนที่จะกลับไป
…………
พวกลุงโจแก้ไขสัญญาเพิ่มข้อได้เปรียบของฝ่ายชาวบ้านอีกเล็กน้อย ทางฝ่าย Protector ก็ตอบตกลง พวกเขาเริ่มสร้างฐานทัพอย่างรวดเร็ว โดยมีทั้งส่วนที่อยู่บนดินและฐานทัพใต้ดินซึ่งประชาชนทั่วไปก็มาหลบภัยได้ด้วยหากมีอสูรเข้ามา คลื่นพลังของอสูรเทียร์สูงมีพลังทำลายล้างสูงมาก การเข้ามาหลบอยู่ใต้ดินจะปลอดภัยที่สุด หน่วย Protector ให้พลเรือนเข้ามาฝึกซ้อมการหลบภัยทุกคน ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงได้เห็นหุ่นยนต์ที่กำลังทดลองติดตั้ง HOPE System โดยทุกตัวจะมีตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นอยู่ที่ไหล่ขวา
“มันคือคำว่าคิโบ แปลว่าความหวัง” ปีเตอร์ประกาศเสียงดัง “หุ่นยนต์ห้าตัวนี้จะเป็นความหวังของพวกเราที่จะชนะสงคราม”
“ว่าแต่ทำไมต้องเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยล่ะ” ใครคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม “ทำไมไม่ใช้ภาษาอังกฤษ”
“เรื่องนั้นเป็นเพราะเราให้เกียรติกับ ดร. คาสึมิ โฮโจ ผู้คิดค้น HOPE System น่าเสียดายที่เธอจากไปก่อนที่จะสร้างสำเร็จ” ปีเตอร์ตอบ ในดวงตาของเขาเหมือนมีประกายขึ้นวูบหนึ่งเมื่อเอ่ยชื่อ ดร. คาสึมิ “แต่ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ทางเราระดมทั้งนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรชั้นนำของโลกมาสานต่อแล้ว HOPE System จะต้องใช้งานได้แน่นอน”
ควาเมมองไปยังตัวอักษร 希望 นั้น ไหล่ของหุ่นยนต์สะท้อนแสงไฟนีออน หุ่นยนต์ทั้งห้าตัวนี้ดูน่าเกรงขาม น่าจะเป็นความหวังได้อย่างแท้จริง
ทว่าไม่นานหลังจากนั้น อสูรร้ายเริ่มบุกจู่โจมที่ฟลอริดามากขึ้น จนสถิติเดิมแทบจะไร้ความหมาย ปีเตอร์และหน่วย Protector ของเขาทำตามที่ได้รับปากไว้คือการปกป้องพลเรือนอย่างสุดความสามารถ กระนั้นแม้จะเป็นทหารที่เก่งที่สุดก็ยังไม่อาจรักษาไว้ได้ครบทุกชีวิต จำนวนของทหารและพลเรือนลดลง แม้จะยังไม่มาก แต่นั่นก็เริ่มบั่นทอนขวัญกำลังใจ จนทำให้หลายๆ คนเริ่มตั้งคำถามกับการมีอยู่ของฐานทัพนี้
“เมื่อไหร่ไอ้หุ่นยนต์นี่มันจะสร้างเสร็จซะที! ไหนบอกว่าใช้มือดีมีความสามารถที่สุดของโลกแล้ว!” ลุงโจระเบิดอารมณ์ใส่หน้าปีเตอร์ในวันหนึ่ง
“พวกเราพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว” ปีเตอร์พยายามควบคุมอารมณ์ เขาเองก็เพิ่งสูญเสียลูกน้องมือดีไปคนหนึ่ง
“พยายามให้มากกว่านี้!” ลุงโจทุบโต๊ะอย่างโกรธเกรี้ยวก่อนจะเดินจากไป บางคนพูดกันว่ามันเป็นความผิดของเขาที่เห็นแก่ผลประโยชน์จนยอมให้พวกทหารเข้ามาสร้างฐานทัพ เหมือนกับว่าตอนนั้นทุกคนไม่ได้ตาลุกวาวกับผลตอบแทนที่ได้เห็น
ปีเตอร์ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ สายตาของเขามองไปที่ตัวอักษรความหวังเหมือนกับว่าเขาก็ตั้งคำถามกับมันเช่นกัน
……………
และแล้ววันที่ควาเมไม่อาจลืมก็มาถึง
สัญญาณเตือนอสูรดังลั่นในขณะที่เขาแอบมาเล่นกับเนซึโกะ เด็กทั้งสองคนรีบวิ่งไปยังที่หลบภัยใต้ดินทันทีโดยไม่รอผู้ใหญ่ เพราะทุกคนในชุมชนถูกสอนมาอย่างนั้น วันนั้นทุกอย่างสับสนวุ่นวาย พวกเขาดูเหล่าอสูรถล่มบ้านเมืองที่เคยอยู่จนราบผ่านหน้าจอกล้องวงจรปิดในฐานทัพ หน่วย Protector พยายามเข้าต่อสู้ ทว่าด้วยจำนวนที่ต่างกันมาก แม้ทหารแต่ละนายจะมีฝีมือ แต่สถานการณ์ก็ดูจะเป็นรอง
“แม่ล่ะ แม่อยู่ไหน”
จิตใจของควาเมไม่อาจอยู่เป็นสุขเมื่อพบว่าแม่ของตนไม่ได้อยู่ในฐานทัพด้วย เขาจ้องมองจอภาพนับร้อยบนผนังอย่างไม่วางตา สายตาไล่เรียงไปทีละจอภาพอย่างร้อนใจกว่าจะพบกล้องที่จับภาพบริเวณละแวกบ้านก็กินเวลาไปหลายนาที แต่เขาก็ยังมองไม่เห็นแม่ ภาพที่เห็นมีเพียงฝุ่นที่คละคลุ้ง การโจมตีของอสูรจำนวนมากกว่าครั้งไหนๆ ทหารของหน่วย Protector ไม่ได้มีหุ่นยนต์ขับกันทุกคน ส่วนใหญ่จะเป็นทหารราบ มีเพียงปืนกลเป็นอาวุธคู่กาย พวกเขาค่อนข้างเป็นรองฝ่ายอสูรที่มีเขี้ยวเล็บแหลมคม ตลอดจนคลื่นพลังเป็นอาวุธ สุดท้ายพวกเขาก็ต้องถอยร่น
ดูเหมือนว่าทหารนายหนึ่งจะได้รับการติดต่อทางวิทยุสื่อสาร เขาพูดวิทยุด้วยสีหน้าเคร่งเครียด กล้องวงจรปิดไม่ได้ถ่ายทอดเสียง แต่ก็พอจะเดาได้ว่าพวกเขาได้รับคำสั่งให้ล่าถอยจากสัญญาณมือที่เขาใช้บอกพวกพ้อง
แล้วแม่ของผมล่ะ ช่วยแม่ของผมด้วย
ควาเมคิดในใจ ไม่กล้าผละจากตรงนั้นไปที่ไหน ที่สุดเขาก็ได้เห็นภาพแอนนี่ที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่นและบาดแผล เธอคงต้องพยายามมากกว่าจะหลุดออกมาจากซากปรักหักพังของบ้านตัวเอง จังหวะนี้เหล่าอสูรรุกหนักยิ่งขึ้นอีก ชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นหนีตายไปตามสัญญาณมือของทหาร แอนนี่ก็พยายามจะทำอย่างนั้นด้วย แต่เธอเดินขากะเผลก อาจเป็นเพราะความบาดเจ็บที่เธอได้รับ
ช่วยแม่ผมด้วยสิ แม่จะเดินไม่ไหวแล้ว
ไม่มีอะไรที่เด็กสิบขวบจะทำได้นอกจากการจ้องจอภาพ ท่ามกลางเหตุการณ์ชุลมุน เหล่าทหารไม่สามารถช่วยพลเรือนได้ทั้งหมด เมื่อพวกเขาเห็นว่าคนส่วนใหญ่หนีพ้นไปจากบริเวณนั้นแล้วก็ปาระเบิดควันเพื่ออำพรางจากพวกอสูร ควันสีขาวที่คละคลุ้งบดบังสายตา รวมถึงกล้องที่ถ่ายอยู่
ถึงอย่างนั้นควาเมก็ไม่อาจไปไหนได้ เขาจะหยุดดูจอภาพนี้ได้ก็ต่อเมื่อแน่ใจว่าแม่ปลอดภัยแล้วเท่านั้น
ทว่าความหวังนั้นไม่มีวันเป็นจริง
ควันสีขาวจางลง ในที่สุดควาเมก็มองเห็นร่างในชุดผ้ากันเปื้อนของผู้เป็นแม่
แต่เธอกำลังดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อท้องของเธอถูกเล็บดำยาวมหึมาของอสูรแทงทะลุ!
ดวงตาของเธอเบิกกว้าง มือเอื้อมไขว่คว้าเบื้องหน้า อาจเป็นการไขว่คว้าชีวิตของตนเอง ไขว่คว้าโอกาสที่จะได้พบหน้าลูกอีกครั้ง
อสูรยกแขนข้างนั้นขึ้นเขย่าเพื่อให้เล็บแทงลึกลงไปอีก สีหน้าของแอนนี่ดูเจ็บปวด อสูรร้ายยกร่างของเธอขึ้นดูชั่วเสี้ยววินาที ก่อนที่มันจะใช้กรงเล็บอีกข้างแทงซ้ำเข้าที่ด้านล่างของแผลเก่า!
ร่างของแอนนี่กระตุก แขนที่ไขว่คว้าเมื่อสักครู่ตกลงมาอยู่ข้างกาย ดวงตายังเบิกกว้างแต่มองไม่เห็นสิ่งใด อสูรสะบัดมือ ทิ้งร่างของเธอแน่นิ่งอยู่กับพื้น
“แม่ แม่!” ควาเมน้ำตาไหลพราก เขายังจ้องมองจอภาพนั้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา พอได้สติ เด็กชายก็จะวิ่งออกจากที่หลบภัยไปหาแม่ของตนแต่ถูกห้ามไว้
“ผมจะไปช่วยแม่ของผม! แม่ถูกอสูรทำร้าย คุณเห็นไหม!”
“ออกไปไม่ได้ครับมันอันตราย!” นายทหารที่ดูแลห้ามเขาและคนอื่นๆ ที่อยากจะออกไปช่วยคนในครอบครัวของตน แม้ทุกคนจะร้องไห้โวยวายขอร้อง เขาก็ไม่อาจจะปล่อยให้พลเรือนที่รอดชีวิตต้องไปเผชิญอันตรายได้
“ฉันบอกแล้ว ให้ทหารมาตั้งฐานทัพ พวกอสูรจะตามมา” ชาวบ้านคนหนึ่งพูดออกมา เริ่มเกิดการวิวาทระหว่างฝ่ายที่เห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยกับการสร้างฐานทัพ ลุงโจพยายามห้ามในตอนแรกแต่ก็ไม่สำเร็จ ทุกคนเริ่มทำร้ายกันเองชุลมุน
“โอ๊ย!” เนซึโกะร้อง เธอถูกลูกหลง
“ฮึ พวกคนญี่ปุ่น มาขออาศัยเราอยู่แท้ๆ แต่พวกมันกลับนำลางร้ายมาด้วย ดอกไม้แห่งความตาย มันพาพวกอสูรมา!” ถึงเขาจะไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเธอ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นคนญี่ปุ่น เขากลับพูดอย่างนั้น
“ไม่ใช่ดอกไม้แห่งความตายนะ! ฮิกังบานะคือดอกไม้ที่จะปกป้องคุณปู่!”
“นังนี่ พูดจายอกย้อน อยากโดนอีกหรือไง!” เขาง้างมือเตรียมจะตบ
ปัง! เสียงปืนดังขึ้นจากนายทหารคนหนึ่ง เขายิงขึ้นฟ้า
“หยุดเดี๋ยวนี้! อยู่ในความสงบ! ไม่อยากเชื่อเลยว่าในสถานการณ์อย่างนี้ พวกคุณจะทำแบบนี้ได้”
“ก็เป็นเพราะพวกแกน่ะแหละ ถ้าไม่มีพวกแก อสูรก็ไม่มาที่นี่!” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับเสียงเห็นด้วยจากคนที่เหลือ ฝ่ายทหารได้แต่อึกอักอับจนคำพูด เพราะสิ่งที่ชาวบ้านพูดนั้นล้วนเป็นความจริง
…………….
ประตูฐานทัพเปิดออก หุ่นยนต์ของหน่วย Protector เข้ามา บางตัวเสียหาย แขนหรือขาขาดไป พลขับของหุ่นตัวหนึ่งเปิดห้องโดยสารออกมา สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก
“คุณรุสวิกก์!” ทหารคนหนึ่งทักก่อนจะพยายามปฐมพยาบาลให้ แต่กลับถูกปัดมือออก
“ผมมีข่าวร้ายจะแจ้งกับทุกคน ตอนนี้พวกอสูรมีจำนวนมากเกินไป ผมได้รับคำสั่งจากปีเตอร์ให้พาพลเรือนหลบหนี”
“แล้วคุณปีเตอร์ล่ะครับ”
“เขาเสียสละถ่วงเวลาไว้ให้น่ะ ทุกคนครับ! รีบไปขึ้นเครื่องบิน แล้วทำตามแผนอพยพที่เราเคยฝึกซ้อมกัน!”
“แล้วคนที่ยังอยู่ข้างนอกนั่นล่ะ ทุกคนยังมาที่นี่กันไม่ครบนะ”
“เสียใจด้วยครับ ทุกคนที่อยู่ข้างนอกนั่นเสียชีวิตหมดแล้ว”
“ไม่จริง แม่ผมยังไม่ตาย!” ควาเมตะโกนขึ้นอย่างไม่อาจจะยอมรับความจริง “แม่ของผมน่ะ…”
“ไอ้หนูเสียใจด้วยนะ” รุสวิกก์วางมือลงบนบ่าของเขา แต่นั่นไม่ทำให้ควาเมรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“พวกคุณ…” ริมฝีปากขมุบขมิบอย่างไร้เสียง ก่อนจะกลายเป็นเสียงตะโกนดังลั่น “พวกคุณช่วยแม่ผมไม่ได้!”
น้ำตาแห่งความโกรธแค้นไหลออกมาไม่หยุด “โฮปอะไรกัน คิโบอะไรกัน นี่มันไม่ใช่ความหวัง! มันคือความสิ้นหวังต่างหาก!” เขาถอยหลังไปสองสามก้าว ชี้นิ้วมาที่ทหารด้วยมือที่สั่นเทา “ฉันจะจำเอาไว้ ทั้งพวกแก ทั้งพวกอสูร ฉันไม่มีวันลืมแน่!”
รุสวิกก์ถอนหายใจ ในฐานะที่เป็นทหารในสงคราม เขาต้องพบกับผู้สิ้นหวังและโกรธแค้นแบบควาเมจำนวนนับไม่ถ้วน แม้ไม่อยาก แต่ความสูญเสียก็เป็นสิ่งที่ต้องเกิด
“ขอย้ำ ให้ทุกคนรีบไปขึ้นเครื่องบินตามแผนอพยพที่เคยซ้อมกัน”
“แล้วหุ่นยนต์ที่ติดตั้ง HOPE System ล่ะ จะทิ้งพวกมันไปอย่างนี้เหรอ เท่ากับชุมชนของพวกเราต้องถูกทำลายอย่างสูญเปล่างั้นเหรอ” ใครคนหนึ่งถามขึ้น
“ไม่ พวกเราจะหลบหนีไปที่ฐานทัพสำรอง จากนั้นจะทิ้งพิกัดไว้ให้นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะอีกท่านหนึ่งที่เรานัดหมายให้เขาเดินทางไปที่นั่นแล้ว นักวิทยาศาสตร์ท่านนั้นจะกลับมาทำงานต่อเมื่อพวกอสูรจากไปแล้ว” รุสวิกก์อธิบายยาวแต่รวดเร็ว เขาโบกมือให้พลเรือนรีบวิ่งไปที่เครื่องบิน ทุกคนต่างรีบหนีเอาชีวิตรอด
“โอ๊ย” เนซึโกะถูกผลักล้ม ควาเมเข้ามารับไว้
“ปล่อยคนญี่ปุ่นไว้ที่นั่นแหละ รีบขึ้นมา!” ลุงโจตะโกน “ดูที่เท้าของมันสิ จนป่านนี้ยังเอาดอกไม้อัปมงคลนั่นมาด้วยอีกนะ!” เขาชี้ไปที่ถุงเท้าของเนซึโกะ มันเป็นลายดอกฮิกังบานะ!
“ลุงโจมีเหตุผลหน่อยสิครับ! นั่นมันก็แค่ถุงเท้า! เขาบังเอิญใส่มา!”
“ควาเม แกจะขึ้นมาหรือไม่ขึ้น ที่บนนี้มันจะไม่พออยู่แล้วนะ!”
“ไม่!” เป็นครั้งแรกที่เขาขัดขืนลุงโจ น้ำตาแห่งความไม่เข้าใจไหลออกมา “เนซึโกะก็เป็นคน เธอต้องรอดเหมือนกับพวกเรา!”
“คุณรุสวิกก์ ก่อนหน้านี้เครื่องบินถูกทำลาย มันรับพลเรือนได้ไม่พอ!”
“ให้พวกเขาขึ้นไปให้ได้มากที่สุด คนที่เหลือ มาขึ้นเครื่องบรรทุกหุ่นยนต์กับพวกผม!”
“ไปเร็วเนซึโกะ!” ควาเมจูงมือเนซึโกะออกวิ่ง แต่เครื่องบินลำสุดท้ายก็เต็มไปแล้ว
“ไม่เป็นไร เขาบอกให้ไปขึ้นเครื่องบินบรรทุกหุ่นยนต์ได้”
“ควาเมไปเถอะ เราจะรอคุณพ่อ”
“แต่คุณพ่อของเธอ…” ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เข้ามายังฐานทัพใต้ดินไม่ทัน
“ไปเถอะควาเม!” เด็กสาวผลักเพื่อนของเธอไปด้านหน้า รุสวิกก์รับไว้
“เธอก็ต้องรีบมาขึ้นเครื่องด้วย ไม่รู้ว่าปีเตอร์จะต้านไว้ได้อีกนานแค่ไหน!” เขาสั่งเสียงดัง ทว่าเด็กสาวยังปฏิเสธ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ทั้งสองคนรีบไปเถอะ”
รุสวิกก์เห็นแววตาที่แน่วแน่ของเธอ เขารู้ว่าไม่มีทางห้ามเด็กหญิงคนนี้ได้
“ขอให้เธอโชคดี”
ประตูเครื่องบินปิดลง ทุกเครื่องออกบินผ่านรันเวย์ทางด้านหลัง ควาเมลอบมองทางหน้าต่าง เขาเห็นเนซึโกะยืนอยู่กับชาวบ้านที่ยอมเสียสละอีกไม่กี่คน เด็กหญิงส่งยิ้มให้เขาทั้งน้ำตา
“แม่ เนซึโกะ!” เสียงตะโกนดังลั่นอยู่ภายในใจ เด็กชายได้แต่มองที่ที่เคยเป็นบ้านค่อยๆ ลับตา
………………
หลายปีต่อมาหลังสงครามสิ้นสุด ที่ที่เคยเป็นฐานทัพใต้ดินของหน่วย Protector
ชายหนุ่มคนหนึ่งเปิดประตูลงมาในที่รกร้าง เขาใส่ชุดยุทธวิธีรัดกุม ในมือถือปืนพก
“เนซึโกะ…” เขาพึมพำ สายตามองไปเห็นฮิกังบานะต้นเล็กขึ้นอยู่ แม้จะเป็นฐานใต้ดิน แต่มันก็ยังพยายามขึ้นด้วยแสงริบหรี่ที่ลอดผ่านเข้ามา ควาเมเดินไปที่ดอกไม้นั้น ใช้มือจับก้านของมัน แต่แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืน
“นายอยู่ตรงนี้เพราะจะปกป้องเนซึโกะใช่ไหม”
ท่ามกลางโครงกระดูกนับสิบโครงที่กระจัดกระจายกันอยู่บริเวณนั้น เขาแยกแยะสิ่งที่เคยเป็นร่างของเพื่อนรักออกด้วยถุงเท้าลายดอกไม้ ควาเมเข้าไปอุ้มเธออย่างไม่นึกรังเกียจ ก่อนจะเริ่มขุดหลุมที่พื้น
แม้ชายหนุ่มจะขุดหลุมฝังเนซึโกะเป็นคนแรก แต่เขาก็ใช้เวลาคืนนั้นกลบฝังผู้เสียสละที่อยู่ที่นั่นทั้งหมด เขาทรุดตัวลงนั่ง ดวงตาจ้องมองไปที่หุ่นยนต์ยักษ์ตัวสุดท้ายที่หลงเหลือ หุ่นยนต์ที่ไม่เคยแม้แต่จะได้ใช้งาน
“แกมันไม่ใช่ความหวัง!” เขาประกาศลั่น “นับจากนี้แกคือความสิ้นหวัง!”
น้ำตาแห่งความโกรธแค้นไหลออกมาอีกครั้ง หุ่นยนต์ยักษ์ที่เคยเป็นประกายแห่งความหวัง ต่อจากนี้มันคือเงื้อมมือมัจจุราชที่จะมอบความสิ้นหวังให้กับผู้ที่ได้พบเห็น
นั่นคือคำตอบที่ควาเมจะมอบให้กับโลกใบนี้
บทนี้คือเรื่องสั้นที่ร่วมกิจกรรมรถแห่ชวนเขียนครั้งที่ 10 ของกลุ่มนักเขียนรถแห่ เป็นเรื่องราวในอดีตของควาเม "ตัวร้าย" ของเรื่องครับ น่าจะทำให้เข้าใจตัวละครนี้ได้ดียิ่งขึ้น (ผู้เขียน)