"ภีม ชายหนุ่มผู้มุ่งมั่นหาเงินจนลืมหัวใจ แต่เมื่อพรจากพระแม่ลักษมีพ่วงสามหนุ่มสุดป่วนมาด้วย ชีวิตที่เคยแน่วแน่กลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย และคำถามสำคัญ — สิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ คืออะไรกันแน่?

พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน - ตอนที่ 1 พระแม่ครับ โปรดประทานพรให้ผมเถอะ โดย Julie juice @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ตลก,รัก,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน,พล็อตสร้างกระแส,วายบันเทิง,คู่กัด,ปากร้าย,ปากแข็ง,ตกหลุมรัก,ตลก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ตลก,รัก,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส,วายบันเทิง,คู่กัด,ปากร้าย,ปากแข็ง,ตกหลุมรัก,ตลก

รายละเอียด

พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน โดย Julie juice @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"ภีม ชายหนุ่มผู้มุ่งมั่นหาเงินจนลืมหัวใจ แต่เมื่อพรจากพระแม่ลักษมีพ่วงสามหนุ่มสุดป่วนมาด้วย ชีวิตที่เคยแน่วแน่กลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย และคำถามสำคัญ — สิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ คืออะไรกันแน่?

ผู้แต่ง

Julie juice

เรื่องย่อ

##เมื่อชีวิตมันติดบั๊ก##

ภีมวัจน์ เจ้าหนุ่มไรเดอร์สุดแกร่ง x เจียหยาง หนุ่มลูกครึ่งสุดร้าย และหนุ่มๆ รอบตัว ที่ชวนปวดหัวในแต่ละวัน
เอริค ฮาเกน  นักธุรกิจหนุ่มสายเนียน และ ฮารุ หนุ่มรุ่นน้อง ตัวดีที่รู้ทันทุกอย่าง!)

"ก็แค่หาเงินเลี้ยงปากท้อง… แต่ทำไมดันไปติดบั๊กหมาป่าเจ้าเล่ห์ เจ้าหมาโกลเด้นจอมปลอมเจ้าแผนการ และเสือที่พร้อมจะขย้ำได้ตลอดเวลา?"

ภีมวัจน์ เจ้าหนุ่มนักสู้ชีวิต สายหาเช้ากินค่ำ ผู้ใช้ชีวิตแบบ "ไม่กินบุญใคร" เช้าเป็นพนักงานบริษัท เย็นขับไรเดอร์หาเงินเสริม อุดมการณ์ชัดเจน "ผมไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร" แต่แล้วชีวิตก็เหมือนโดนโกงเมื่อเจอ หลี่เจียหยาง หนุ่มลูกครึ่งสุดเพอร์เฟกต์ที่ดูเหมือนจะ "มีแต่ให้" ...แต่แปลกที่เจ้าตัวกลับมองเขาด้วยสายตาล้อเลียนทุกครั้ง

???? จากไรเดอร์ส่งอาหาร สู่ของหวาน(?) ของใครบางคน
“คุณไรเดอร์ครับ เหนื่อยมั้ย?”
“...อะไรของนาย?”

??”? บั๊กแรก: เสือร้ายจอมขี้แกล้ง ??”?
เจียหยาง ลูกครึ่งจีน-เยอรมัน หล่อ รวย แถมขี้แกล้งระดับเทพ(?) ชอบหาเรื่องปั่นประสาทภีมทุกครั้งที่เจอ “ฉันอยากเลี้ยงแมวส้ม” เขาพูดเปรยๆ ก่อนจะเหลือบมองภีมที่กำลังทำหน้าเหมือนจะข่วนใส่!

??”? บั๊กสอง: หมาป่าจอมเจ้าเล่ห์ ??”?
เอริค ฮาเกน มหาเศรษฐี/นักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งนอร์เวย์ เจ้าของบริษัทที่ภีมต้องคอนซัลต์งานให้ ดันสนใจหนุ่มไรเดอร์คนนี้เข้าอย่างจัง... “เธอนี่เหมือนลูกจิ้งจอกจริงๆ นะ ระแวงไปหมด” ภีมขมวดคิ้ว เอริคแค่ยิ้มมุมปาก “แต่ฉันชอบจิ้งจอกนะ”

??”? บั๊กสาม: หมาโกลเด้นท์ผู้รู้ทันทุกอย่าง ??”?
ฮารุ เพื่อนสนิทตัวดีของภีมที่ไม่เคยพลาดสังเกตอะไร! ผู้คอยดูแลใส่ใจตลอด แต่แท้จริงแล้วกลับซ่อนความคลั่งรัก และความรักที่ยึดติด “ให้ผมเป็นหมาน้อยของภีมได้มั๊ยครับ? ผมอยากมีภีมเป็นเจ้าของของผมคนเดียว”

??”? แค่พล็อตเบสิค แต่บั๊กเยอะจนคาดไม่ถึง ??”?
✔️ ฮาแตกทุกซีน กับมุกจิกกัดสุดเฉียบของภีมที่รับมือกับพวกตัวร้าย(?)
✔️ เคมีระหว่างคนซื่อตรง vs คนเจ้าเล่ห์ มันคือสงครามประสาทที่ไร้ผู้ชนะ
✔️ หักมุมยิ่งกว่าถนนในเมือง ชีวิตภีมแค่จะหาเงิน แต่ทำไมมันกลายเป็นละครวายไปได้!?

???? เตรียมตัวให้พร้อมกับนิยายวายสุดปั่น! ที่พระเอกสู้ชีวิต…แต่ชีวิตติดบั๊ก!
#หนุ่มไรเดอร์สายลุย #แต่จะดันโดนหมาป่าจับกิน #ปากร้ายจิกกัด #หักมุมตลอดเรื่อง   

สารบัญ

พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 1 พระแม่ครับ โปรดประทานพรให้ผมเถอะ,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 2 ชีวิตต้องสู้ เพราะกู้มาเยอะ,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 3 ตู้เจ้ากรรม นำพานายเวรมาพานพบ ,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 4 ถึงจะโสด ก็ได้โปรดอย่าจีบ,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 5 พี่พร้อมจะโอนเพราะน้องมันโดนใจ,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 6 เมื่อเงินมา งานก็เดิน,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 7 ป.ปลาตากลม กับคนทำความสะอาด,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 8 ฟัดจ์บราวนี่เนื้อนุ่มๆ หรือจะสู้ลุงที่ทำไข่เจียวอุ่นๆ,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 9 วิบากของลูกจิ้งจอก กับหมาป่าจอมกลับกลอก,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 10 OK Goodboy มาทำให้ใจพี่ ม่วนจอยหน่อยได้มั้ย?,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 11 ถ้าอยากกินข้าว อย่าห้าวกับพี่,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 12 ข้อเสนอ ที่ทำให้เผลอใจเต้น ,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 13 อย่าท้าทายพี่ฝรั่ง ถ้ายังไม่รู้จักกันดีพอ,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 14 เจ้าเหยื่อผู้น่าสงสาร กับการหยอกของเหล่าไฮยีน่าขี้เล่น ,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 15 ก๋วยเตี๋ยวแค่ถ้วยเดียว แต่มันเปรี้ยวไปถึงใจ ,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 16 แผนการล่า ของหมาป่าตัวโต

เนื้อหา

ตอนที่ 1 พระแม่ครับ โปรดประทานพรให้ผมเถอะ

 

โอม ศรี คเณศายะ นะมะฮา 

โอม ศรี มหาลักษมี เจ นะมะฮา 

เสียงสวดบูชาภาวนาอย่างหนักแน่น ออกมาจากริมฝีปากปากบางๆ ของชายหนุ่มผู้อยู่ในชุดชมพูสดทั้งตัว ร่างสูงโปร่ง ราวๆ 177 เซนติเมตร

ยืนตระหง่าน อยู่หน้าองค์จำลองของพระแม่ลักษมีผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตาอารี ณ ที่สถิตย์องค์จำลอง งดงามงามตระหง่านอยู่ด้านบนของตึกเกษร

ราวกับท่านกำลังสดับรับฟังคำขอและเสียงสวด ภาวนาของมนุษย์ผู้แสวงหาความหวังและที่พึ่งพิงทางใจ

บริเวณพื้นที่ ดังกล่าว คราคร่ำไปด้วยผู้คนไม่น้อย เหล่าบรรดาผู้มีจิตศรัทธาต่างมาตามความปรถนาของตนที่แตกต่างกันไป

บ้างก็แต่งกายด้วยชุดสีชมพูตามความเชื่อ บางคนก็ถือพานดอกไม้ ขนมหวาน นม คุมธีมสีชมพู ที่เป็นเครื่องสักการะ 

ตามความปราถนาของแต่ละคนอันหลากหลายในการมาเคารพบูชา 

แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของผู้คนในขณะนี้ คือหนุ่มน้อยรูปร่างสมส่วน กล้ามเนื้อกระชับแบบ lean muscular 

ไม่ใหญ่โตจนเกินไป 

ใบหน้าคมคายตามแบบชาวเอเชีย ผิวขาวแลดูสุขภาพดี ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเรียวรีคล้ายตาเหยี่ยว 

แฝงความขี้เล่นแต่แฝงด้วยความมุ่งมั่น คิ้วเข้มของเขาขมวดเป็นปมในขณะที่ริมฝีปากก็ยังคงสวดมนต์อย่างตั้งอกตั้งใจ

ดวงตาหยีหางตาชี้ขึ้น คล้ายนักร้องดังเกาหลี เจนนี่ Blackpink เวอร์ชั่นผู้ชายยังไงยังงั้น

เขา ดูราวกับคนที่มีบุคลิกเหวี่ยงวีนอยู่ตลอดเวลา แต่แววตาของเขาตอนนี้กลับจ้องแน่วแน่ไปที่กระดาษบทสวดในมือ 

กระดาษที่ถูกขยำจนยับย่นด้วยลายมือยุ่ง ๆ ของตนเอง

ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งพนมมือไว้เหนือพานที่เต็มไปด้วยเครื่องสักการะสีชมพู 

กระดาษบทสวดที่ถูกแรงลมพัดไหวไปมา

จนต้องจิกนิ้วแน่นราวกับกลัวมันจะปลิวหาย ลมพัดโชยอ่อน 

พาให้เส้นผมสีน้ำตาลออกส้มของเขาปลิวไหวไปตามแรงลม

ทว่าจุดที่สะดุดตาที่สุดคือที่คาดผมโบว์ใหญ่สีชมพูสด ซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนศีรษะ 

มันใหญ่เกินขนาดศีรษะของเจ้าตัวไปมาก

ทำให้ภาพลักษณ์ของเขายิ่งโดดเด่นขึ้นไปอีก

เมื่อร่างสูงโปร่งนั้นตั้งจิตภาวนาจนครบ และเอ่ยคำอธิษฐานตามข้อความที่จดมา เขายกพานขึ้นสูงเสมอศีรษะ 

น้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง 

 “ข้าแต่พระแม่ลักษมีผู้งดงามและมีเมตตา ลูกชื่อ ภีมนะครับ ภีมวัจน์ ภีมะโยธิน 

ขอพระแม่ลักษมีโปรดเมตตาประทานพร ประทานโชคลาภเงินทองแก่ตัวลูก ทั้ง เงิน และงาน ให้ลูกด้วยเถิด” 

จากนั้น เขาอ่านกระดาษในมืออย่างตั้งใจ และภาวนาในใจตามคำอ่านในกระดาษนั้น

“ขอให้เจอเนื้อคู่มีบุญสัมพันธ์กัน หรือเนื้อคู่ที่ศีลเสมอกัน และถ้ายังไม่ถึงเวลาที่จะได้เจอ 

ขอให้พระแม่อวยชัยให้มีโชค มีลาภและประสบความสำเร็จในด้านการงานและการเงิน” 

แต่แล้วจู่ ๆ คิ้วเข้มก็ขยับขึ้นเล็กน้อย ก่อนเจ้าตัวจะเบิกตากว้าง 

“เอ๊ย!!ผิดๆ เอาใหม่ครับ ลูกอยากได้เงินกับงานครับพระแม่จะทางไหนก็ได้ 

ส่วนเนื้อคู่..ยังไม่เอาครับ เวรล่ะอ่านผิด เปลี่ยนทันมั้ยว๊ะเนี่ย!!”

 เขาสะบัดหัวไปมา “ซินแสบอกให้จดอะไรก็จดมาตามคำแปลภาษาจีน ที่ได้รับมา ดันลืมกรองไปอีก 

ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง พร้อมถอนหายใจยาว ก่อนจะก้มลงกราบพระแม่ลักษมีอีกครั้งด้วยหัวใจเต็มเปี่ยม

ไปด้วยความหวังและความขบขันในความเปิ่นของตัวเอง

เจ้าเด็กหนุ่มตาชี้สวมโบใหญ่ ยกถาดทูลถวายเหนือหัว ภายในใจที่ภาวนาไปด้วยความหวังเปล่งประกาย 

เขาเองก็ไม่รู้หรอกว่า พระองค์จะรับฟังคำขอของคนที่ไม่เคยศรัทธาอะไรเลยอย่างเขามั้ย?

ดวงตาสีเข้มจ้องไปที่องค์จำลองของพระแม่อย่างฝากความหวังทุกอย่างไว้ที่ท่าน และเขาเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า

การยืนสวดภาวนาตามคำบอกของซินแสที่ได้รับมานั้น จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ นิ้วเรียวปักธูปในมือลงกระถาง 

และทำตามขั้นตอนของสถานที่ ก่อนจะพาร่างสูง เดินออกมาพลันก็ได้ยินเสียงใครบางคนทักมาจากด้านหลัง

 

 “เอ่อ..น้อง คะ น้องคือ พี่รบกวนสอบถามได้มั้ย” หญิงสาว 1 ใน 2 คนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เอ่ยทักด้วยแววตาระยิบระยับ

“พี่รบกวนสอบถามได้มั้ยว่าซื้อโบว์นี่ที่ไหน?” เธอถามพลางชี้ไปที่โบว์ชมพูขนาดใหญ่บนหัวเขา

 “เอ่อ..พี่ขอจับ เอ๊ย!! ขอไอจีได้มั้ยคะ”

1 ใน 2 คนนั้น ออกอาการตื่นเต้นดีใจ ที่ได้คุยตรงนี้ เธอขยับเข้าใกล้ ยกมือพนมบูชาไปทางองค์พระแม่ลักษมีด้วยความตื่นเต้น

“ศักดิ์สิทธิ์จริงค่า ตรงตามเรฟเป๊ะเลย ตาขวางๆชี้ๆ แบบนี้แหล่ะ ใช่เลย!!”

เจ้าหนุ่มน้อยยืนนิ่ง ก่อนยกมุมปากยิ้มร้าย

“ขอโทษด้วยครับพี่สาว สำหรับผมแล้ว ... 

นอกจาก เงิน, งาน และ สิ่งสำคัญอีกอย่าง โบกี้ ไลออน แล้ว อย่างอื่นผมไม่สนหรอกครับ” 

“ขอโทษด้วยน๊า!! ขอให้เจอคนที่ดีนะครับ” เขาบอกลาอย่างไร้เยื่อใย เขาโค้งศีรษะให้เหล่าสาวๆเล็กน้อย พร้อมเอ่ยลาอย่างไร้เยื่อใย

ใช่แล้วล่ะ สำหรับ ภีม ภีมวัจน์ ภีมะโยธิน ชีวิตนี้ถวายเป็นทาสเงินไปแล้ว (และแน่นอน ว่า โบกี้ด้วย)

เรื่องเป็นไง มาไงน่ะหรอ?...

 +++++++++++++++++++++++++++++++

 

ย้อนกลับไปในชีวิตประจำวันของภีมแล้ว เขาก็เป็นพนักงานบริษัทต๊อกต๋อยเหมือนคนทั่วไปแหล่ะ

ติดจะดีที่ได้ภาษา เรียนจบมาก็ได้งานทำแบบชีวิตปุถุชนคนทั่วไป 

แค่ไปทำงานเช้า - เย็นกลับ และโดน เหล่าสามเจ๊ ไฮยีน่า แก๊งสาวประเภทสองหุ่นล่ำหน้าหนวด

ชื่นชอบแต่งหญิง 3 ผู้มีตำแหน่งใหญ่พอตัวในบริษัทโขกสับอย่างสนุกสนานในแต่ละวัน

เสียงหัวเราะแหลมๆ ของสามเจ๊ดังระงมไปทั่วออฟฟิศ เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นเป็นจังหวะ

ผสมกับเสียงพิมพ์คีย์บอร์ดรัว ๆ ของเพื่อนร่วมงาน บางครั้งก็มีเสียงโทรศัพท์แผดดังขึ้นมาเป็นระยะ

บรรยากาศที่วุ่นวายและแสนคุ้นเคยทำให้ภีมได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะฝังตัวเองลงไปในกองเอกสารที่ต้องสะสาง

ในชีวิตการทำงาน เขาเป็นเกือบน้องเล็กในออฟฟิศ หากนับยัยนีน่า น้องเล็กสุดในออฟฟิศ ที่ชอบมองภีมแปลกๆ

แต่ก็ไม่ค่อยพูดอะไร ไม่นับเป็นปัญหาชีวิตสักเท่าไหร่ 

 

ทว่า...ชีวิตมันไม่ได้สวยหรูจริงดังคำพระท่านว่า “ชีวิตคือความไม่แน่นอน”

เมื่อวันหนึ่ง ภีมได้รับจดหมายจากธนาคารขึ้นชื่อแห่งหนึ่ง ซองกระดาษสีขาวสะอาดหมดจดแต่แฝงไปด้วยความหนักอึ้ง

เขาเปิดออกด้วยมือที่เริ่มสั่นเล็กน้อย และทันทีที่ดวงตาคมจับจ้องลงไปบนตัวอักษรสีดำ

ความรู้สึกหนักอึ้งก็กระแทกเข้ากลางอกอย่างรุนแรง

มันเป็นเอกสารการทวงถามหนี้ “บ้าน” ที่เคยเป็นความทรงจำของครอบครัว หัวใจเขาเต้นกระตุกราวจะหลุดจากอก

หนี้บ้านที่พ่อเคยแบกรับไว้ และบัดนี้ ผู้แบกหนี้นั้นไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว

การขาดส่งมาระยะหนึ่งทำให้เกิดการทวงถาม และหนี้บ้านที่เขา "ลูกชายคนโตของบ้านภีมโยธิน" ต้องแบกรับต่อไป

ทั้งที่ไม่มีแม้แต่ชื่อเขาหรือคนในครอบครัวเป็นเจ้าของ

 

ดวงตาคมจ้องมองไปที่กระดาษแผ่นนั้น ความรู้สึกจุกแน่นในอกคล้ายมีก้อนหินหนักกดทับ

น้ำตารื้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องโกหก 

มันไม่ใช่แค่ความคับแค้นใจ แต่เป็นความเสียใจลึก ๆ ที่กรีดลงกลางใจ

เขาไม่โทษใครเลย ถ้าจะโทษก็โทษตัวเอง ที่ไม่ได้ใส่ใจไถ่ถามครอบครัว 

เขาแค่คิดง่าย ๆ ว่าขอแค่เรียนจบ มีงานทำ ใช้ชีวิตตัวเองให้ดี และมีสติ ตามคำที่พ่อบอก

นอกจากนั้นก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร

"เพี๊ยะ!!"

ฝ่ามือทั้งสองข้างฟาดเข้าที่พวงแก้มตัวเอง เสียงดังสะท้อนในห้องพักเงียบ ๆ จนแก้มขึ้นรอยแดง

ภีมพ่นลมหายใจออกแรง ๆ สะบัดหัวแรง ๆ เหมือนจะสะบัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป

"สู้ดิ่ว่ะ!! ไอ้ภีม แกผ่านสมรภูมิรังไข่มาเกิดได้ เรื่องแค่นี้..... แม่ง ขี้ๆ"

มันคือเสียงเรียกแรงฮึดในใจของเขา แววตาไหววูบแต่กลับเปล่งประกายขึ้นมาใหม่อย่างแน่วแน่

และตั้งแต่นั้น เวลาในชีวิตประจำวันของเขามันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว จากคนที่ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย

กลับกลายเป็นคนที่มีมุมมองชีวิตและทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน งาน และของกิน!

 

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

 

           เสียงเครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซค์ฟีโน่สีฟ้าค่อย ๆ ชะลอความเร็ว 

ก่อนจอดนิ่งหน้าบ้านจัดสรรสไตล์โมเดิร์นแห่งหนึ่ง ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำทอแสงสีส้มเรื่อสะท้อนกระจกใสบานใหญ่ของตัวบ้าน

ไรเดอร์หนุ่มบนรถ พาดขาตั้งแล้วหยิบถุงออเดอร์ขึ้นมา ก่อนเดินตรงไปที่หน้าประตู 

หากแต่ผู้รับอาหารกลับเป็นสตรีสาวสองร่างใหญ่ ผิวสีน้ำผึ้งที่กล้ามเนื้อแน่นเปรี๊ยะราวกับนักเพาะกาย เธอแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างพิถีพิถัน 

ผมยาวสลวยเป็นเงา ขนตางอนเด้ง หนวดเคราถูกตกแต่งอย่างประณีต

ทุกอณูของร่างแสดงถึงความมั่นใจเต็มเปี่ยม ดวงตาคมกริบราวนักล่ากวาดมองไรเดอร์หนุ่มอย่างพินิจ ราวกับสิงโตกำลังประเมินเหยื่ออันโอชะ

ภีมวัจน์ ตอนนี้เขาอยู่ในบทบาทของเด็กส่งอาหารประจำวัน 

เดินมาหยุดยืนตรงหน้าหญิงสาวร่างใหญ่ ยื่นถุงกระดาษให้ด้วยสีหน้าราบเรียบ “นี่ครับ ของที่สั่ง”

แต่แทนที่เธอจะรับถุงไปเฉย ๆ มือเรียวที่ทำเล็บสวยสะอาดกลับเอื้อมมาจับมือเขาไว้แน่น

ก่อนบีบเบา ๆ ราวกับกำลังเช็คความกระชับของกล้ามเนื้อภายใต้เสื้อแจ็กเก็ตไรเดอร์

 

“ขอบคุณนะคะคุณไรเดอร์” เสียงหวานหยดย้อยถูกเปล่งออกมาพร้อมรอยยิ้มมีเสน่ห์ 

“แหม...หุ่นดี๊ดี ลีนจังเลยนะคะ” เธอทอดเสียงอ่อนหวานเกินจำเป็น ดวงตาคมกริบเปล่งประกายบางอย่างที่ทำให้เจ้าหนุ่มร่างสูงโปร่งแทบหลุดขำ

เขาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะค่อย ๆ เปิดหมวกกันน็อค เผยให้เห็นโครงหน้าคมเข้ม 

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่หางตาชี้ขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มขบขันผุดขึ้นตรงมุมปาก

“เจ๊…” เขาหัวเราะในลำคอ “นี่ผมเอง”

“ห๊ะ!?” หญิงสาวร่างใหญ่เบิกตากว้าง

“ผมเอง ภีมไง น้องภีมของเจ๊!!” เขาเอ่ยพลางหัวเราะเบา ๆ

เจ๊ต้อยติ่ง—เจ้าของบ้าน—นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกรี๊ดลั่นจนเพื่อนบ้านแทบต้องโผล่ออกมามอง

“อร๊ายยย!! แกกก อิภีมหรอ!! ทำมายยย มาเป็นไรเดอร์!?”

ภีมกลั้นขำ “แหม!! ทำไงได้ล่ะเจ๊ ชีวิตต้องสู้เพราะกู้มาเยอะ

ถ้าเจ๊อยากสงเคราะห์น้องนุ่ง ก็ทิปผมหนัก ๆ หน่อยนะคร๊าบบ!!” เขายักไหล่ขำ ๆ ก่อนยกขายาวๆขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ เตรียมไปรับงานต่อ

“ผมไปล่ะ!! เจ๊ก็เพลา ๆ ลงบ้างนะ ก่อนที่ไรเดอร์แถวนี้จะหนีกันหมด

ผมก็ว่าล่ะ ทำไมไรเดอร์แถวนี้ถึงส่งงานมาให้ผมที่เป็นเด็กใหม่” เสียงกลั้วหัวเราะของเขาลอยมาตามลม

พร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง

“กรี๊ดดด กลับไปเลยย่ะ อิเด็กเปรต!” เจ๊ต้อยติ่งตะโกนไล่หลัง พลางหัวเราะหอบ ๆ อย่างอารมณ์ดี

เธอส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนพึมพำกับตัวเอง “อะไรของมันนะ… หรือว่ามันทำเป็นงานอดิเรก?” เธอเลิกคิ้วครุ่นคิด แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรนัก

 

 

 +++++++++++++++++++++++++

แต่...แล้ว ดูท่าเธอคงต้องหยุดความคิดนี้ลง เพราะไม่ว่าจะบังเอิญหรืออะไรก็ตาม เธอไปไหนก็เหมือนมีไอ้เด็กเปรตนี่ตามหลอกหลอนทุกที่

เดินเที่ยวถนนคนเดิน ก็เจอมันใส่ชุดมาสค็อตลูกกบ ยืนแจกใบปลิวจนเธอต้องควักเงินช่วยซื้อลูกโป่ง

ไปกินข้าวบนห้างกับหนุ่มใหม่ที่นัดเจอในทินเดอร์ ก็ดันเจอมันเดินแจกใบปลิวร้านอาหารแล้วทักขึ้นมาหน้าตาเฉย

“อ้าว! เจ๊ รับใบปลิวหน่อยดิ เมื่อวานไม่ใช่คนนี้นี่”

ตกดึกไปตลาดซื้อบัวลอย ก็ดันเจอมันอีก! มันจ้องเธอเขม็งเหมือนจะจับผิดว่ามากับใคร

และล่าสุด... จุดที่ทำให้เจ๊ต้อยติ่งปรี๊ดแตกที่สุดคือคืนที่เธอไปเที่ยวผับ และได้ (เหยื่อ) รายใหม่มาหมาด ๆ

ทุกอย่างกำลังเป็นไปตามแผน นัดแนะกันเรียบร้อย เธอเดินเข้าเซเว่นเพื่อซื้อของสำหรับกิจกรรมเข้าจังหวะบางอย่าง แม้จะเป็นสาวสองสุดมั่น แต่ก็อดรู้สึกเขินไม่ได้

“รับขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มมั้ยครับ?”

(เสียงมันคุ้น ๆ จังวะ!)

เธอชะงัก กำของในมือแน่น ก่อนค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองพนักงานแคชเชียร์ตรงหน้า

“อ้าว! เจ๊!! ออกศึกเหรอครับวันนี้ ถึงว่าสวยเชียว”

(X บหาย! อิภีมมมมม อิผี! อิเด็กเปรต!!) เจ๊ต้อยติ่งหน้าเสียไปสามวิ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นอยากพุ่งข้ามเคาน์เตอร์ไปบีบคอมันแทน

ภีมมองเธอด้วยหางตาชี้ ยกมุมปากราวกับเจ้ากรรมนายเวรโดยแท้ เหตุการณ์มันเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ราวกับเป็นคำสาป!

หลายวันมานี้ เจ๊ต้อยติ่งค่อนข้างจะหงุดหงิดเป็นพิเศษ ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ แต่เพราะผู้ชายไม่เคยจะตกถึงท้อง!

เธอหมดความอดทนแล้วกับไอ้เด็กรุ่นน้องที่วนเวียนอยู่รอบตัวไม่ต่างจากดวงจันทร์ที่โคจรรอบโลก!

ร่างบึกใหญ่ของสาวสองเดินตรงไปที่โรงอาหารบริษัท ค้นหาตัวการที่ทำให้เธอขัดใจมาหลายวัน และหาได้ไม่ยากเลย

เพราะหมอนี่มักมีออร่าสดใสแผ่กระจายไปทั่ว

แต่วันนี้...ไม่ใช่

ไอ้เด็กเปรตของเธอ—ภีม—กำลังก้ม ๆ เงย ๆ กินข้าวอยู่ในมุมหนึ่งของโรงอาหาร 

เธอย่างสามขุมเข้าไปใกล้ ก่อนจะฟาดมือลงบนไหล่มันอย่างแรง

“บอกมานะอิภีม! มันเรื่องอะไรกัน ทำไมช่วงนี้ฉันเจอแกทุกที่!?”

อารมณ์กำลังเดือดได้ที่ แต่พอร่างหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา เจ๊ต้อยติ่งถึงกับไปไม่เป็น

“ว๊ายย! อิภีม! ทำไมแกเหลือสภาพแค่นี้!?”

เธอยกมือทาบอก หัวใจสะเทือนราวกับเห็นโอเอซิสกลางทะเลทรายถูกเปลี่ยนเป็นหลุมอุกกาบาต

ครั้งหนึ่ง เจ้าหนุ่มน้อยหน้าใส ขวัญใจแม่ยกในออฟฟิศที่เป็นทั้งอาหารตาและโอเอซิสทางใจ

กลับกลายเป็นหนุ่มหน้าตอบ ขอบตาคล้ำ ผมยุ่งเหมือนไม่ได้หวีมาหลายวัน จากที่เคยลีนมัสเซิลแบบสุขภาพดี

ตอนนี้กลายเป็นผอมแห้งจนแทบปลิวลม

แถมในมือยังถือบะหมี่ถ้วยคัพ กินไปอย่างไร้วิญญาณ บนโต๊ะมีขวดเครื่องดื่มชูกำลังวางอยู่สองขวด!

นี่มัน… มลพิษทางสายตาอย่างแรงสำหรับเธอ!

“เกิดอะไรขึ้นกับแกเนี่ย!?” เจ๊ต้อยติ่งแทบจะลมจับ

“พอ! หยุดเดี๋ยวนี้! ชั้นไม่ปล่อยให้ความสดใสหนึ่งเดียวในออฟฟิศกลายเป็นมลพิษทางสายตาแบบนี้เด็ดขาด! กุบ่ยอม!!!”

ภีมตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะยกมือปิดปาก ทำท่าสะอึกสะอื้น แบบน่าสงสารสุดๆ.

“ก็.....ชีวิตมันเหนื่อยอ่ะครับเจ๊” ภีมถอนหายใจพลางทำหน้าตาน่าสงสาร แววตาหม่นเศร้าราวลูกแมวถูกทิ้ง

ฉากนี้ทำเอาเจ๊ต้อยติ่งถึงกับใจอ่อนเป็นน้ำ หล่อนควักแบงค์พันสีเทาใหม่เอี่ยมออกมา

กลิ่นกระดาษเงินใหม่หอมฟุ้งสะกิดจมูกคมสันของเด็กหนุ่มตรงหน้า

“เอ๊า!! เล่ามาให้หมด ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่เล่า ฉันจะเอาแบงค์เทานี่ไปซื้อชานมไข่มุกแทนแล้วนะยะ” 

เจ๊ต้อยติ่งพูดพลางโบกแบงค์ในมือไปมาเป็นเชิงล่อลวง

ภีมที่ตอนแรกยังซึมเศร้า ตาวาววับขึ้นมาทันที ราวกับลูกหมาที่เพิ่งเห็นของเล่นชิ้นใหม่

เจ๊ต้อยติ่งนึกสนุก หล่อนขยับมือไปซ้ายที ขวาที ถือธนบัตรให้อีกฝ่ายตบตะปบเหมือนแมวไล่จับของเล่น

ภีมขมวดคิ้วพยายามจับแบงค์ในมือหล่อน แต่เจ๊กลับยิ่งแกล้งโยกหนี

“นี่มัน!!!....” เจ๊ต้อยติ่งเบิกตากว้าง ปิดปากเก็บอาการราวกับไฮยีน่าเห็นเหยื่อ “โคตรสนุกเลยนี่หว่า”

ก่อนจะยอมใจอ่อน ปล่อยให้ภีมตะปบแบงค์ในมือไปได้สำเร็จ เจ้าตัวรีบกำไว้แน่นราวกับกลัวมันจะหายไปในพริบตา

“ตกลงมันเรื่องอะไรกันยะ” เจ๊ต้อยติ่งยืนเท้าเอวมองลูกน้องคนโปรดที่ตอนนี้กำลังยิ้มแป้น

ภีมเงยหน้าขึ้นมองเจ๊ต้อยติ่งพร้อมรอยยิ้มแสนซน ดวงตาวิบวับอย่างมีแผนในใจ

“โอเค ผมบอกก็ได้ แต่เจ๊ต้องเลี้ยงข้าวผมด้วย” เจ้าภีมพูดเสียงใส ดวงหน้าขาวเรียวเผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มน่าหมั่นไส้

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความมูเตลู ที่กำลังจะเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล...

 +++++++++++++++++++++++++

ช่วงเย็นวันนั้น หลังเลิกงานได้ไม่นาน เจ๊ต้อยติ่งก็ส่งไลน์ไปนัดแนะกับซินแสคนโปรดที่ศาลเจ้าแห่งหนึ่ง

หล่อนตัดสินใจพาเจ้าตัวแสบไปพบซินแสด้วยตัวเอง เพราะหากปล่อยไว้นานกว่านี้

ชีวิตมันอาจจะเป็นภัยต่อตัวมันเอง และลามมาถึงชีวิตส่วนตัวของเธอด้วย!

เสียงเครื่องยนต์ของรถโฟล์กสวาเกนสีขาวคำรามแผ่วเบา เคลื่อนตัวไปตามถนนยามค่ำคืน

ในขณะที่คนขับ เจ้าของรถคันงาม เจ๊ต้อยติ่ง สาวประเภทสองผู้มีหัวใจร้อนรุ่มสุมทรวง นั่งทำหน้าตาจริงจัง

ส่วนคนนั่งข้าง—เจ้าภีม เจ้าเด็กแสบที่เธอเวทนาเหมือนน้องชายแท้ ๆ กลับนั่งไขว่ห้างเอนพิงเบาะอย่างสบายอารมณ์

มือข้างหนึ่งยกขึ้นเสยผมยุ่ง ๆ อย่างเกียจคร้าน ก่อนจะปรายตามองหญิงสาวข้างตัวด้วยสายตาข้องใจ

“เจ๊ นี่เราจะไปไหนกันครับ?” เขาถามเสียงขุ่น

“ไปหาซินแส”

“ซินแส...เจ๊!! นี่ผมไม่คิดว่าชีวิตมันถึงจุดที่ต้องให้ซินแสมาดูดวงอะไรให้ขนาดนี้นะครับ” ภีมทำตาโต เสียงสูงขึ้นเป็นเชิงโวยวาย

“ไม่ต้องพูดมาก ดูสารรูปสารร่างแกซะก่อน! ใต้ตาดำเป็นหมีแพนด้า นั่งกินบะหมี่ถ้วยอย่างน่าอนาถ นี่มันถึงเวลาแล้ว!

 ชั้นทนไม่ได้หรอกนะยะ” 

เธอฉะฉานรัว ๆ อย่างเหลืออด ขณะขับรถฝ่าการจราจรที่เริ่มเบาบางลง

คนโดนดุทำหน้าสลดลงเล็กน้อย “แต่...เจ๊ คือมันต้องถึงขั้นนี้เลยเหรอครับ?”

เจ๊ต้อยติ่งเบี่ยงพวงมาลัยเลี้ยวเข้าซอยเล็ก ๆ เสียงล้อบดถนนแผ่วเบา

“ก็ต้องถึงขั้นนี้แล้วล่ะค่ะ ลู๊ก! ชีวิตแกดูไม่ได้ขนาดนี้ เจ๊เวทนา!!! เจ๊สงสาร!!!” 

น้ำเสียงอ่อนลงนิดหน่อย แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความประชดประชัน

“โห!! ร้ายอ่ะ ถ้าไม่ใช่เจ๊ต้อยติ่งพูดนี่เป็นคนอื่น ผมต่อยร่วงไปแล้วนะนี่” ภีมว่าเสียงฉุน

“เอ๊า!! อิเด็กเปรตนี่ กล้าพูดงี้กับเจ๊เหรอ?” หล่อนย้อนเสียงสูงอย่างรู้ทันนิสัยกันดี

“ก็เจ๊พูดเหมือนผมเป็นหมาข้างถนนอ่ะ ใจคอไม่คิดจะปลอบใจกันหน่อยเหรอ?” เขาเริ่มอ้อน

“เสียใจย่ะ ชั้นไม่ได้เป็นนักบุญนะยะ ชั้นรำคาญย่ะ! จะไปทางไหนก็เจอแต่แกเนี่ย! 

เดี๋ยวเป็นพนักงานออฟฟิศ เดี๋ยวขับไรเดอร์ เดี๋ยวพ่อค้าตลาดนัด แล้วเมื่อคืนนี้เจ๊ออกไปซื้อบัวลอยตลาดนัด ก็ยังจะเจอแกอีก!”

“ก็ผมหาเงิน—”

“หุบปากไปเลยนะแกน่ะ! ผัวก็ไม่มี บุญก็ไม่ได้ทำ ผู้ชายดี ๆ ไม่ตกถึงท้องเจ๊ซักคน 

เพราะต้องมาเจอแกทุกวันเนี่ย!!! แต้มบุญชั้นจะหมดเพราะแกแหล่ะ อิภีม! อิผี!” เจ๊ต้อยติ่งโวยวายจนเสียงแทบแหลมปี๊ด

“แกก็รีบหาผัวดี ๆ ซักคนมาเปย์ซะทีเหอะ” เธอทิ้งท้ายอย่างหงุดหงิด

ภีมหัวเราะในลำคอ ยกมุมปากยิ้มอย่างมั่นใจ “ไม่มีทางอ่ะเจ๊! ผมไม่มีทางไปสนใจเรื่องพวกนั้นหรอก”

“แหม!!! ทำเป็นหยิ่ง หรือว่าแกมันเป็นทาสแค่เงินกับงาน จนลืมความสุขในชีวิตไปแล้ว?”

“ก็ถูกนะ...แต่ต้องเพิ่มไปอีกอย่าง” ภีมทำท่าคิด

“อะไรของแกอีก?”

“เงิน...งาน และน้องโบกี้ ไลออน! นอกจากสามอย่างนี้ ผมไม่มีทางมองใครหรอก!”

เขาตอบอย่างหนักแน่น “ความสุขของติ่ง ที่คิดถึงแต่ต้องทน เพราะเรา 2 คนไม่ได้เป็นอะไรกัน~”

ไม่วายร้องเพลงพลางยกมือปิดปากทำท่ากลั้นสะอื้นอย่างเวอร์วัง

เจ๊ต้อยติ่งถึงกับเบ้ปาก “โอ๊ยยย อิเด็กบ้า แกจะถวายชีวิตให้นักร้องไปถึงไหนห๊ะ!?” หล่อนโวยลั่นรถ

ก่อนจะถอนหายใจพรืดอย่างหมดความอดทน ในขณะที่รถโฟล์กสวาเกนสีขาวคันงามค่อย ๆ ชะลอจอดหน้าศาลเจ้า ที่หมาย

 

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

ณ ศาลเจ้าจีน แห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของเมืองใหญ่ ท่ามกลางตึกสูงระฟ้า 

แต่กลับมีความเงียบสงบราวกับโลกอีกใบ พื้นที่รอบศาลกว้างขวาง และปูด้วยกระเบื้องหินอ่อนสีขาวสะอาดตา

แวววาวสะท้อนแสงอาทิตย์อ่อน ๆ ที่ลอดผ่านใบไม้ลงมาเป็นลวดลายประณีต 

ตัวอาคารศาลเจ้าสร้างจากไม้เก่าแก่อย่างดี 

และแกะสลักด้วยลวดลายดอกบัวและลายเมฆพริ้วไหว

 สีของไม้เข้มขรึมตัดกับริ้วผ้าสีชมพูและสีทองที่ประดับอยู่รอบเสา

ด้านหน้าเป็นบันไดหินทอดยาวขึ้นไปสู่ตัวศาล ด้านข้างของศาลเจ้านั้น เรียงรายไปด้วยกระถางธูปขนาดใหญ่

ที่มีธูปปักอยู่มากมาย ควันสีขาวลอยคลุ้งในอากาศ ส่งกลิ่นหอมอบอวลชวนให้รู้สึกสงบ

 บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นสูงตระหง่าน

มีโต๊ะไม้สำหรับวางพานสักการะ ดอกไม้สด พวงมาลัย และเครื่องบูชาอื่น ๆ ซึ่งเต็มไปด้วยสีสันสดใส

พื้นที่บริเวณภายในศาล เป็นที่ประดิษฐานขององค์จำลองขององค์เทพเจ้าผู้ประทานพรหลายองค์

รูปเคารพของท่านประดับด้วยเครื่องประดับทองคำ ผ้าคลุมสีแดงสด และพวงดอกไม้หลากสี

โถงกลางห้องมีโคมไฟกระจกทรงโบราณห้อยระย้า สะท้อนแสงไฟสลัวให้อารมณ์และความรู้สึกขลังและศักดิ์สิทธิ์ 

ส่วนมุมหนึ่งของศาลเจ้า มีตู้ไม้เล็ก ๆ สำหรับเขียนคำขอพร ผู้คนที่มาเยือนส่วนมากก็มักจะเขียนความหวังของตนลงในกระดาษ 

แล้วพับเก็บใส่ในกล่องไม้ ก่อนจะยกมือไหว้ขอพรด้วยหัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและศรัทธา

+++++++++++++++++++++++++

เจ๊ต้อยติ่ง สาวสองร่างบึกในชุดกระโปรงเข้ารูปแบรนด์ดัง เธอพาภีมเดินลัดเลาะเข้ามาด้านหลังศาล

โซนที่ผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่านนัก เสียงสวดมนต์เบา ๆ คลออยู่ในอากาศเหมือนเสียงกระซิบจากเทพเจ้า

ภีมก้มหน้าก้มตา เดินหลบ ๆ ซ่อน ๆ อย่างกับกลัวโดนเทพเจ้าจับได้ว่ามาขอพรเรื่องเงินแบบโต้ง ๆ เกินไป

ใบหน้าขาวซีดของเขาขยับเข้าหาตัวเองยิ่งกว่าเดิมทุกครั้งที่มีใครเดินผ่าน

 จนเจ๊ต้อยติ่งต้องหยุดเดิน หันกลับมาจับไหล่เขาแล้วเขย่าเบา ๆ

“อิเด็ก! จะหลบทำไม กลัวอะไร๊!?” เจ๊เลิกคิ้วสูง มองภีมเหมือนแม่ไก่ที่จับลูกเจี๊ยบหนีเที่ยว

“ผมกลัวโดนเทพเจ้าหักเงินเดือนอ่ะครับเจ๊” ภีมกระซิบตอบ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

“พูดบ้าอะไรของแก น่ะ ห๊ะ อิภีม! เทพเจ้าไม่ใช่ HR นะเว้ย!” เจ๊ต้อยติ่งหัวเราะลั่น จนภีมต้องรีบดึงแขนให้เดินต่อ

บริเวณด้านหลังศาลเป็นพื้นที่เงียบสงบ เจ๊ต้อยติ่งพาภีมมาหยุดตรงหน้าห้องเล็ก ๆ 

บรรยากาศขรึมขลังเหมือนในหนังจีนโบราณ 

กลิ่นธูปลอยอบอวลเบา ๆ

และที่นั่น — ภีมถึงกับกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความแปลกใจ

ซินแสซ่งเฟย คนโปรดของเจ๊ที่ว่ามาจากฮ่องกง กลับดูหนุ่มและหล่อเกินคาด

 ใบหน้าคมคายประหนึ่งนักแสดงซีรีส์จีนยุคใหม่ 

ผิวขาวสะอาดไร้ที่ติ แต่สิ่งที่สะดุดตาจริง ๆ คือดวงตาข้างซ้ายของเขาที่ขุ่นขาวราวกับถูกหมอกบัง

ภีมเหลือบมองอย่างลังเล แล้วก็หันไปกระซิบกับเจ๊เบา ๆ

“เจ๊ หมอนี่มัน ซินแสจริง ๆ เหรอครับ? ผมนึกว่าพระเอกหนังจีน…”

เจ๊ต้อยติ่งหัวเราะคิก ก่อนจะดันหลังภีมให้ไปนั่งตรงข้ามซินแสโดยไม่ถามความสมัครใจ

ซินแสซ่งเฟยมองภีมด้วยแววตาลึกซึ้ง นิ้วเรียวเคาะโต๊ะเบา ๆ เป็นจังหวะ

 ก่อนจะพูดภาษาจีนแต้จิ๋วคล่องปรื๋อ

ภีมนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น ดวงตาเบิกกว้าง “...เจ๊ มันพูดว่าอะไรอ่ะ?”

“โอ๊ย อิผี! แล้วก็ไม่บอกแต่แรก!” เจ๊ต้อยติ่งควักโทรศัพท์ออกมา เปิดแอปแปลภาษาอย่างรวดเร็ว

ข้อความแปลปรากฏขึ้นบนหน้าจอ:

“ปีนี้ดวงเจ้าชงกับองค์ไท้ส่วย เงินไหลออก งานมีอุปสรรค หากจะดีขึ้น 

ควรไปไหว้พระแม่ลักษมี พรเจ้าจะเป็นจริง”

ภีมถอนหายใจเฮือกใหญ่ อย่างน้อยก็ยังมีทางแก้ เขาพยักหน้าเบา ๆ 

กับตัวเองอย่างตั้งใจว่าคงต้องไปไหว้พระแม่ลักษมีจริง ๆ

แต่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ซินแสหนุ่มก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่แววตามีแววซุกซนอย่างน่าประหลาด

“แต่...ระวังให้ดี... นอกจากเงินกับงานแล้ว...”

เขาหยุดเว้นจังหวะสั้น ๆ ก่อนยิ้มมุมปากเล็กน้อย แล้วเอ่ยประโยคที่ทำให้ภีมแทบช็อกคาเก้าอี้

“...เจ้าจะได้สามี...”

“เชี่ยยยย!!” ภีมเผลอลืมตัวสบถออกมาเสียงดัง พร้อมกับดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความเร็วแสง 

ดวงตาเบิกกว้างเหมือนเห็นผี เจ๊ต้อยติ่งขำจนตัวงอ ส่วนซินแสก็แค่ยิ้มบาง ๆ ราวกับคำทำนายเมื่อครู่นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร

ภีมหันไปกระซิบเสียงสั่นกับเจ๊ “เจ๊...แอปมันแปลผิดรึเปล่าวะ?”

เจ๊ต้อยติ่งยังหัวเราะไม่หยุด พลางเช็ดน้ำตา “ไม่ผิดหรอกค่าา อิเด็ก! นี่แหละของจริงย่ะ!”

ภีมยืนค้าง ดวงหน้าเหยเกเหมือนคนกำลังจะเป็นลม เขารู้สึกเหมือนโลกหมุนคว้าง ร่างกายหนักอึ้งเหมือนมีหินก้อนใหญ่ทับอก...

แต่สิ่งที่หนักกว่านั้น —

คือความคิดที่ว่าต่อจากนี้...ชีวิตเขาจะเป็นยังไงต่อไปกันแน่!?