"ภีม ชายหนุ่มผู้มุ่งมั่นหาเงินจนลืมหัวใจ แต่เมื่อพรจากพระแม่ลักษมีพ่วงสามหนุ่มสุดป่วนมาด้วย ชีวิตที่เคยแน่วแน่กลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย และคำถามสำคัญ — สิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ คืออะไรกันแน่?
ตลก,รัก,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน,พล็อตสร้างกระแส,วายบันเทิง,คู่กัด,ปากร้าย,ปากแข็ง,ตกหลุมรัก,ตลก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน"ภีม ชายหนุ่มผู้มุ่งมั่นหาเงินจนลืมหัวใจ แต่เมื่อพรจากพระแม่ลักษมีพ่วงสามหนุ่มสุดป่วนมาด้วย ชีวิตที่เคยแน่วแน่กลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย และคำถามสำคัญ — สิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ คืออะไรกันแน่?
##เมื่อชีวิตมันติดบั๊ก##
ภีมวัจน์ เจ้าหนุ่มไรเดอร์สุดแกร่ง x เจียหยาง หนุ่มลูกครึ่งสุดร้าย และหนุ่มๆ รอบตัว ที่ชวนปวดหัวในแต่ละวัน
เอริค ฮาเกน นักธุรกิจหนุ่มสายเนียน และ ฮารุ หนุ่มรุ่นน้อง ตัวดีที่รู้ทันทุกอย่าง!)
"ก็แค่หาเงินเลี้ยงปากท้อง… แต่ทำไมดันไปติดบั๊กหมาป่าเจ้าเล่ห์ เจ้าหมาโกลเด้นจอมปลอมเจ้าแผนการ และเสือที่พร้อมจะขย้ำได้ตลอดเวลา?"
ภีมวัจน์ เจ้าหนุ่มนักสู้ชีวิต สายหาเช้ากินค่ำ ผู้ใช้ชีวิตแบบ "ไม่กินบุญใคร" เช้าเป็นพนักงานบริษัท เย็นขับไรเดอร์หาเงินเสริม อุดมการณ์ชัดเจน "ผมไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร" แต่แล้วชีวิตก็เหมือนโดนโกงเมื่อเจอ หลี่เจียหยาง หนุ่มลูกครึ่งสุดเพอร์เฟกต์ที่ดูเหมือนจะ "มีแต่ให้" ...แต่แปลกที่เจ้าตัวกลับมองเขาด้วยสายตาล้อเลียนทุกครั้ง
???? จากไรเดอร์ส่งอาหาร สู่ของหวาน(?) ของใครบางคน
“คุณไรเดอร์ครับ เหนื่อยมั้ย?”
“...อะไรของนาย?”
??”? บั๊กแรก: เสือร้ายจอมขี้แกล้ง ??”?
เจียหยาง ลูกครึ่งจีน-เยอรมัน หล่อ รวย แถมขี้แกล้งระดับเทพ(?) ชอบหาเรื่องปั่นประสาทภีมทุกครั้งที่เจอ “ฉันอยากเลี้ยงแมวส้ม” เขาพูดเปรยๆ ก่อนจะเหลือบมองภีมที่กำลังทำหน้าเหมือนจะข่วนใส่!
??”? บั๊กสอง: หมาป่าจอมเจ้าเล่ห์ ??”?
เอริค ฮาเกน มหาเศรษฐี/นักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งนอร์เวย์ เจ้าของบริษัทที่ภีมต้องคอนซัลต์งานให้ ดันสนใจหนุ่มไรเดอร์คนนี้เข้าอย่างจัง... “เธอนี่เหมือนลูกจิ้งจอกจริงๆ นะ ระแวงไปหมด” ภีมขมวดคิ้ว เอริคแค่ยิ้มมุมปาก “แต่ฉันชอบจิ้งจอกนะ”
??”? บั๊กสาม: หมาโกลเด้นท์ผู้รู้ทันทุกอย่าง ??”?
ฮารุ เพื่อนสนิทตัวดีของภีมที่ไม่เคยพลาดสังเกตอะไร! ผู้คอยดูแลใส่ใจตลอด แต่แท้จริงแล้วกลับซ่อนความคลั่งรัก และความรักที่ยึดติด “ให้ผมเป็นหมาน้อยของภีมได้มั๊ยครับ? ผมอยากมีภีมเป็นเจ้าของของผมคนเดียว”
??”? แค่พล็อตเบสิค แต่บั๊กเยอะจนคาดไม่ถึง ??”?
✔️ ฮาแตกทุกซีน กับมุกจิกกัดสุดเฉียบของภีมที่รับมือกับพวกตัวร้าย(?)
✔️ เคมีระหว่างคนซื่อตรง vs คนเจ้าเล่ห์ มันคือสงครามประสาทที่ไร้ผู้ชนะ
✔️ หักมุมยิ่งกว่าถนนในเมือง ชีวิตภีมแค่จะหาเงิน แต่ทำไมมันกลายเป็นละครวายไปได้!?
???? เตรียมตัวให้พร้อมกับนิยายวายสุดปั่น! ที่พระเอกสู้ชีวิต…แต่ชีวิตติดบั๊ก!
#หนุ่มไรเดอร์สายลุย #แต่จะดันโดนหมาป่าจับกิน #ปากร้ายจิกกัด #หักมุมตลอดเรื่อง
ชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาวแบบคนจีนฮ่องกง
กำลังเบื่อหน่ายขั้นสุดกับเรื่องที่ดูงี่เง่าที่สุดในบรรดาเรื่องทั้งหมดที่เคยเจอมา
เสียงเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย หลังรับโทรศัพท์จากปลายสาย
"เฮ้ย ไอ้หยาง แกไปดูคอมฯ ให้แผนกจัดซื้อหน่อยดิ เห็นบอกว่ามีปัญหาอีกแล้ว"
"หืม... กู? อีกแล้ว?" ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มออกโทนช็อกโกแลตเมื่อกระทบแสง
เสยผมที่ปรกลงมาบังนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน บ่นอย่างเหนื่อยหน่าย ขณะยกแก้วกาแฟใบโปรดขึ้นละเลียดจิบเบา ๆ
"เฮ้ออ! กะจะกินกาแฟให้อร่อยสักหน่อย แม่ง... หมดอารมณ์เลยว่ะ"
เสียงทุ้มต่ำแฝงความรำคาญ เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงราว 180 เซนติเมตรขึ้นไป
คิ้วเข้มขมวดชนกัน รับกับใบหน้าคมเข้มสไตล์เยอรมันผสมฮ่องกงอย่างลงตัว ดั้งโด่งชัด โหนกแก้มเด่นเล็กน้อย ซ่อนไว้ใต้กรอบแว่นบาง
"ทำไงได้ ก็ทางนั้นเขารีเควสมึงมา มึงมันหน้าตาของแผนกไอทีเลยนี่" เพื่อนร่วมงานบ่นขณะสายตายังไม่ละจากหน้าจอสี่เหลี่ยม
"ก็เพราะงี้อ่ะ กูเบื่อ... มีแต่พวกตัวผู้ตัวเมียวิ่งเข้าใส่ ไม่มีอะไรน่าสนใจบ้างรึไงวะ ไม่หน้ากู ก็เงินกูเนี่ย"
เจ้าหนุ่มลูกครึ่งฮ่องกง-เยอรมัน เสยผมสีน้ำตาลเข้มที่ปรกหน้าอย่างหงุดหงิด
"เออ มึงมันหล่อเลือกได้... ลองเป็นอย่างพวกกูดิ ทุกวันนี้แทบจะไม่คุยกับคนเป็นแล้ว จะได้ AI เป็นเมียแล้ว
ไอ้ Xบหาย เจียหยาง" เพื่อนร่วมงานบ่นไปพลาง มือยังไม่หยุดเคาะแป้นพิมพ์
"เออ เอาเหอะมึงอ่ะ อย่าให้ติดไวรัสกับโดนแฮ็กละกัน กูขี้เกียจแก้" ว่าแล้วก็โบกมือง่าย ๆ เดินหนีออกมาจากแผนก
และปัญหาที่ว่า... มันแทบไม่มีอะไรเลย — แค่ปลั๊กคอมฯ หลวม
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
"แกล้งโง่ หรือว่าโง่จริง ๆ วะ" หลี่เจียหยาง หนุ่มลูกครึ่งฮ่องกง-เยอรมัน ผู้มีหน้าตาในระดับเป็นดาราได้สบาย ๆ
แต่เจ้าตัวกลับไม่เคยใส่ใจ กลับรู้สึกรำคาญเสียด้วยซ้ำ เพราะหน้าตานี้มักดึงเรื่องยุ่งยากรำคาญใจมาให้เสมอ
ตั้งแต่สมัยเรียนก็โดนกล่าวหาว่าแย่งแฟนเพื่อน (ทั้งที่ผู้หญิงพวกนั้นเสนอตัวให้เขาเองแท้ ๆ) บ้างก็หวังในเงิน
บางครั้งก็แค่วันไนท์สแตนด์ แต่ก็ไม่เคยจบแค่นั้น อย่างครั้งนี้ก็เหมือนกัน... ถูกจีบตามเคย
เจ้าหนุ่มหน้าคมกำลังจะกลับห้องเซิร์ฟเวอร์ พร้อมเพื่อนอีกกลุ่มที่เดินสวนกันพอดี
แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงแว่ว ๆ ของใครบางคน ที่สบถออกมาอย่างหงุดหงิด...
"เทวดาประจำตัวชั้นน่าจะฝึกงานไม่ผ่านโปรนะ ชีวิตแม่งติดบั๊กดีชิบเป๋ง"
อืม... ก็ด่าได้แปลกใหม่ดีนะ
สายตาคมๆ ของผู้ล่าอย่างหลี่เจียหยาง เหลือบไปเห็นเจ้าร่างบาง ผมสีน้ำตาลเข้มโทนแดงๆ ส้ม
เจ้านั่นกำลังดูจะท้าทายกับระบบอย่างน่าขำ และกำลังทำสงครามกับ ตู้ขายของอัตโนมัติอย่างบ้าระห่ำ
ไหนจะไอ้ท่าทางก้มๆ เงยๆ นั่นอีก พยายามเขย่า ตู้ขายของอัตโนมัตินั่นแบบหมดความอดทน เรียกได้ว่าระบายความหงุดหงิดในใจแทนเราไปเลยแฮะ
เสียงเพื่อนร่วมงานที่เดินผ่านมาด้วยทัก
“มีอะไรปล่าววะ หยาง?”
ชายหนุ่มหน้าคม ยกมุมปากยิ้ม
“ไม่อะไร กูว่ากูหิวน้ำว่ะ พวกมึงไปก่อนเห่อะ เดี๋ยวกูตามไป กูว่า กูมีอะไรต้องจัดการนิดหน่อย” ก่อนปรายตาคมกริบไปทางนั้น
เพื่อนร่วมงานถามพาซื่อ “อะไรวะ จัดการอะไรล่ะน่ะ?”
หลี่เจียหยาง ปรายหางตาหันไปมอง เจ้าหนุ่มน้อยร่างบาง ผมสีออกน้ำตาลแดงๆ ส้มๆ ที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่
“เหยื่อ.. เอ๊ย!! ตู้ขายของอัตโนมัติน่ะ มึงไปก่อนเลยไป” เขาโบกมือไล่
เพื่อนร่วมงาน เหล่มองตามอย่างรู้งาน “กุล่ะเบื่อมึงจริง เออๆ แล้วแต่มึงเลย เล่นเบาๆ หน่อยละกัน
ใครว๊ะนั่น!! แม่งโคตรซวยเลย เจอคนอย่างมึงเนี่ย”
พูดพลางมองเจ้าภีมผู้น่าสงสาร และโบกมือให้กับ หลี่เจียหยาง อย่างส่งๆ และเดินกลับห้องเซิฟเวอร์
“อย่าให้เสียงดังมากนะมึง แม่งขี้เกียจเคลียร์กับ HR คราวที่แล้วตอนมึงไปจัดกับเด็กบัญชี
เดือดร้อนพวกกูต้องแก้หน้าว่า ระบบแม่งบัค ติดหนังอย่างว่า เสียงดังซะแก้ไม่ได้ ไอ้ เxร” เพื่อนเดินไปและโบกมือให้เขาอย่างหนื่อยหน่าย
“ขอบใจนะ ไอ้ Xส” ก่อนจะ ชูนิ้วกลางโบกมือสบายๆ ให้เพื่อนไป 1 ดอก
++++++++++++++++++++++++++++
ชายหนุ่มลูกครึ่งเยอรมันผสมฮ่องกง สาวเท้าเดินเข้าไปอย่างใจเย็น
เขาเป็นคนรูปร่างสูงสมส่วน ออกกำลังกายบ่อยแต่ไม่ล่ำจนเกินไป เขายืนเอนตัวพิงไหล่กับผนังอีกฝั่ง
ยืนกอดอกกว้าง ก่อนใช้สายตาคมพินิจดูคนตรงหน้า ก้ม ๆ เงย ๆ ราวกับเสือที่กำลังจะเล่นสนุกกับเหยื่อ
อืม... ภาพตรงหน้า มันดูเพลินตาแบบแปลก ๆ
ก็อยากจะมองนาน ๆ แต่เหมือนเจ้าตัวจะรู้ตัวซะแล้วซิ เสียดายจัง
“มองบ้าอะไรของนาย? โรคจิตเร๊อะ?”
เสียงเจ้าภีมหันขวับ ตาขวางมองจิกใส่ เงยหน้าสบตาเจ้าหนุ่มหน้าคม ส่วนผสมลงตัวระหว่างฮ่องกงกับเยอรมันพอดี
หลี่เจียหยางเลิกคิ้วเข้ม อมยิ้มบาง ๆ อย่างอารมณ์ดี
“ก็... แค่ดูคนทะเลาะกับตู้ มันตลกดี... แต่มุมเมื่อกี้ โคตรดีย์เลยนะ” ปากร้ายซะด้วยแฮะ เขาคลี่ยิ้มและคิดในใจ
“ไอ้โรคจิต! ไม่ช่วยก็หุบปากไปเลย!” ภีมหงุดหงิดสุดขีด แทบจะพุ่งไปจับคอเสื้ออีกฝ่ายเขย่าแล้ว
“.....”
หลี่เจียหยางยืนเงียบ ๆ มองเจ้าภีมทะเลาะกับตู้ต่อไปเหมือนดูโชว์ฟรี
“ถ้าตู้มันพัง นายต้องจ่ายตังค์นะ” เขาเปรยขึ้นลอย ๆ
“ห๊ะ!!! แต่ตังค์ผมหยอดไปแล้วอ่ะ! แถมไม่ได้ของด้วย อ๊ะ!! เดี๋ยวนะ นี่ไง มีเบอร์คอลเซ็นเตอร์โทรแจ้งตู้เสียด้วยนี่!” ภีมพูดพลางใช้นิ้วเรียวไล่ตามป้าย
“นี่!!” ภัมหันขวับไปมองเจียหยางที่ยืนดูสนุกอย่างออกนอกหน้า ด้วยสายตาขวางๆ
“นาย... โทรไปคอลเซ็นเตอร์ให้หน่อยสิ ชั้นลืมเอาโทรศัพท์มาอ่ะ น่าจะอยู่บนโต๊ะ” ภีมหันมาบอกเจ้าคนกวนประสาท
หลี่เจียหยางยกมุมปากยิ้มร้าย คิดในใจ (เอาล่ะสิ กะจะเนียนขอช่องทางติดต่อชั้นล่ะซิ?
อืม... ลองเล่นตามน้ำดูซะหน่อยก็ได้ ปากร้ายดี... เก็บไว้เล่นแก้เบื่อคงไม่เป็นไร เบื่อเมื่อไหร่ ก็แค่......เท)
ภีมหันกลับมามอง... “อะไรอีกล่ะ! โทรให้หน่อยไม่ได้รึไง? วางท่าอยู่ได้ เจ้าบ้านี่!”
เจ้าหัวส้มกำลังหงุดหงิดจนแทบระเบิด ยิ่งเจ้าคนวางท่านั่น ยิ่งน่าหมั่นไส้เลเวลอัปไปอีก
ชายหนุ่มร่างสูง ควักโทรศัพท์ราคาแพง ออกมาจากกระเป๋ากางเกงสแลคซ์ที่ดูราคาแพง
“โทรให้ก็ได้ แต่ค่าบริการผมแพงน๊าา เจ้าเด็กน้อย” เขาว่า พร้อมเอาคางเกยกับโทรศัพท์
รอยยิ้มร้ายพร้อมสายตาวาวโรจน์เหมือนกำลังสนุกกับการยั่วโมโห
“พอแล้วๆ จะโทรให้ก็โทร! ถ้านายจะไม่ช่วยก็ไม่ต้องโทรมันแล้ว!” เจ้าหนุ่มตาชี้ขี้หงุดหงิดสะบัดหน้าใส่
“เอ๊า!!! งอนผมซะงั้น แล้วผมผิดอะไรเนี่ย?” เขาขำเบา ๆ กับท่าทางที่ดูเหมือนเจ้าแมวเอาแต่ใจ
“ใครจะไปงอนนาย! สำคัญตัวเองมากไปแล้วมั๊งครับคุณ! ไม่โทรให้ก็ไม่เป็นไร จะได้รู้ว่าสังคมมันมีแต่คนแล้งน้ำใจ
เพราะแบบนี้แหละ มันถึงดูแย่!” ภีมทำท่าจะเดินหนีออกมา
แต่ยิ่งไม่สนใจ ก็ยิ่งเหมือนแมวไปอีกแฮะ... เจียหยางแอบคิดพลางหัวเราะในลำคอ
“โอเคๆ ผมโทรให้ก็ได้” หลี่เจียหยางพ่นลมหายใจแรงออกจากจมูก พลางหัวเราะเบาๆ
ก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้เจ้าเด็กตาชี้ที่ยืนกอดอก ใช้สายตาจ้องเขม็งไปที่ตู้ขายของอัตโนมัติด้วยท่าทีหงุดหงิด
ชายหนุ่มกดเบอร์โทรออกตามที่แปะอยู่หน้าตู้ฯ ให้ตามคำขอ... หรืออาจจะเป็นคำบังคับกันแน่
“สวัสดีครับ เอ่อ... ผมจะแจ้งเรื่องตู้ขายของอัตโนมัติมีปัญหาครับ ยังไงหรอครับ?
อ๋อ... ลูกค้าไม่ได้รับสินค้าหลังจากหยอดเงินแล้วครับ”
ระหว่างที่คุยโทรศัพท์ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเขาไม่ละไปจากคนตรงหน้า
เขาลอบใช้สายตามองสำรวจอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างเงียบเชียบ เจ้าตัวดูจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
“ครับ ได้ครับ เดี๋ยวสักครู่นะครับ” เขาตอบปลายสาย ก่อนจะหันไปถามเจ้าเด็กหัวส้ม
“นี่!! เขาจะส่งพนักงานมารีเซตตู้ให้ คุณจะรอมั้ย หรือจะให้โอนเงินคืนเข้า Wallet?”
ภีม์วัจน์หันขวับมาทางเจ้าหนุ่มลูกครึ่งหน้าตาเกินต้าน แต่แววตาที่มองไปกลับดูว่างเปล่า จนคนที่มั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองยังแอบชะงัก
“ไม่อ่ะ พอดีผมรีบน่ะสิ เพราะจะเข้าไปทำงานแล้ว เอางี้ นายบอกเบอร์ Wallet นายไปเลย ผมจะไม่รอแล้ว”
ภีมยืนเท้าเอว น้ำเสียงหนักแน่น
หลี่เจียหยางเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเล็กน้อย เพราะ
"เหยื่อ" ที่เขาเล็งไว้กลับไม่มีทีท่าจะสนใจเขาเลยสักนิด? หรือตอนนี้หน้าตาเราติดบั๊กว๊ะ เขาลอบคิด
“งั้นเดี๋ยว... แล้วนายจะเอาไง?” หลี่เจียหยางถามกลับ โทรศัพท์ยังอยู่ในมือ ยังคาสายกับ สาวคอลเซ็นเตอร์
ภีมแบมือขาว ออกมาตรงหน้าเขา “เอางี้!! เอาเงินนายมาให้ผมก่อน 100 นึง”
“ห่ะ!?” เจียหยาง งงเป็นไก่ตาแตก เมื่อเจ้าเด็กหัวส้มตรงหน้าแบมือขอเงินแบบดื้อๆ อย่างไม่ไว้หน้าเลยสักนิด
“แล้วนายก็บอกเบอร์ wallet นายไปแทน เร็วๆ เอาตังค์มาก่อน” อีกฝ่ายแบมือขออย่างคะยั้นคะยอ ด้วยสายตาเอาเรื่อง
หลี่เจียหยางเลยต้องควักกระเป๋าเงินแบรนด์หรูใบเล็กออกจากกระเป๋ากางเกงตัวเอง
เขาธนบัตรฉบับละ 500 บาท ออกมา 1 ใบ ยื่นให้ เจ้าเด็กหน้าเหวี่ยง ด้วยความจำใจ ขณะที่ยังคุยกับคอลเซ็นเตอร์
“ไม่เอา เอาแค่ 100 เดียว จะให้เยอะทำไมเนี่ย?
แล้วก็รอตรงนี้แป๊บนะ นายอย่าเพิ่งไปไหนล่ะ”
ภีมบ่นพึมพำ มือเล็กคว้าธนบัตร 100 บาทจากมือใหญ่ ก่อนจะเตรียมตัววิ่งออกไปทันที
“เดี๋ยวๆๆ เดี๋ยวก่อน!!” เจียหยางเรียกไว้ แล้วกระตุกอะไรบางอย่างออกจากด้านหลังเสื้อของภีม
“เอ๊ะ?” ภีมหันกลับมา ก่อนจะเห็นกระดาษโพสต์อิทสะท้อนแสงขนาดกลางในมือของเจียหยาง
แต่เขาไม่ได้สนใจนัก เพราะตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่า —
ถ้าไม่ได้น้ำให้สามสาวไฮยีน่าในแผนก เขาคงโดนแกล้งหนักแน่
“รอก่อน!! แป๊บนึง เดี๋ยวชั้นมา” เจ้าร่างบางตะโกนพลางวิ่งหายลับตาไปลงบันไดหนีไฟอีกฝั่งด้วยว่าไม่รอลิฟต์ (แต่นี่มันชั้น 5 นะเฮ้ย!!)
หลี่เจียหยาง ยืนพิงร่างงามกับ ตู้ขายของอัตโนมัติ สายตาคมกริบมองตามแผ่นหลังเล็กๆ ที่วิ่งลับไป
พลางหมุนโพสต์อิทในมือเล่นอย่างใช้ความคิด
‘เอาไงดีน๊ะ...’ เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ อย่างนึกสนุก
ลองเล่นเกมนี้แก้เบื่อดูสักพักก็ไม่เห็นเป็นไร...ยังไงเหยื่อก็อยู่ตรงหน้าแล้ว
++++++++++++++++++++++++++++++++
ขณะที่ยืนรออย่างใจเย็น เหล่าสาวๆ ออฟฟิศ 2-3 คนที่เดินผ่านมา พากันเริ่มหยุดมอง
พวกหล่อนเริ่มทักทายเขาอย่างสนอกสนใจ แต่หลี่เจียหยางกลับไม่แม้แต่จะเหลือบมอง
เขาแค่ยกยิ้มมุมปาก สายตายังจับจ้องไปในทิศที่เด็กหัวส้มวิ่งหายไปเมื่อครู่...
“แผนกไอที เดี๋ยวนี้คัดหน้าตาด้วยหรอเนี่ย? มาสคอตของไอทีนี่ เจียหยางเลยนะคะ” หนึ่งในเสียงสาวๆ ออฟฟิศ กลิ่นน้ำหอมฟุ้งเดินมาทัก
“หืมม!! มาสคอตเลยหรอครับ ผมดูน่ารักขนาดนั้นเลย?” หลี่เจียหยางกดโทรศัพท์เล่นแก้เบื่อ รอภีมกลับมา โดยไม่ละสายตาจากหน้าจอ
สาวออฟฟิศหนึ่งในสามคนนั้นบีบเสียงให้ดูน่ารัก “แหม ~ ก็จะว่าน่ารักก็ดีนะ เพราะปกติพวกผู้ชายแผนกไอทีน่ะ
เจอแต่พวกเนิร์ดใส่แว่น แนวแบบคุณน่ะ หนึ่งในร้อยเลยนะคะ คุณหลี่”
“ถ้าแผนกไอทีมีผู้ชายสไตล์คุณเจียหยางเยอะๆ นี่ สงสัยคงต้องเรียกแผนกนี้กันแทบทั้งวันเลยมั้งเนี่ย?”
สาวออฟฟิศอีกคนแอ๊บเสียงใส และหัวเราะ
“นั่นสิ!! คอมพิวเตอร์ฉันเองก็เริ่มจะรวน คงต้องรบกวนคุณเจียหยางไปดูให้บ้างแล้ว”
อีกคนพูดเสียงเล็กๆ ดูก็รู้ว่าโกหก
“โอ๊ะ!!! คอมฯ รวนจริงหรอครับ? ต่ต้องดูเป็นเคสๆ ไปนะ รวนจริงๆ หรือรวนเพราะเจ้าของ
แต่...ถ้าประเด็นหลัง ค่าแรงผมแพงนะครับ คุณผู้หญิง” เขายิ้มยียวนกลับ
“บ้าหรอ!!” สาวๆ หัวเราะกันสนุก ใช้มือเรียวๆ ที่ทำเล็บงามๆ ตีเข้าที่ไหล่กว้างของเขาเบาๆ
“ถ้ามีค่าแรง ฉันว่าฉันจ่ายไหวอยู่นะ งั้นขอไลน์ส่วนตัวคุณได้มั้ยคะ? เผื่อครั้งหน้าคอมฯที่บ้านเสีย”
สาวออฟฟิศคนหนึ่งพูด พร้อมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เตรียมพร้อม
“ขอไลน์ได้ที่ แผนกไอทีได้เลยครับคุณ ไปสแกน QR หน้าห้อง หรือขอจากแอดมินในกรุ๊ปไลน์บริษัทเอาก็ได้”
หลี่เจียหยางพูดพร้อมรอยยิ้มธุรกิจ
“แต่...ฉันอยากได้ไลน์ส่วนตัวของคุณเจียหยางนี่นา เราคุยกันไม่ได้หรอคะ?” สาวออฟฟิศบีบเสียงเล็กออดอ้อน
“อืม...คงไม่ได้ครับ พอดีผมไม่ค่อยมีเวลาได้เล่นโซเชียลส่วนตัวซักเท่าไหร่
เอาเป็นว่าถ้าคอมฯมีปัญหาจริงๆ ก็ติดต่อแผนกมาได้เลยนะครับ” เขาโบกมือให้สบายๆ
เขายกข้อมือที่สวมนาฬิกาสมาร์ตวอชขึ้นดูเวลา
สาวๆ เดินกลับไปแล้ว ในขณะที่เจียหยางเองก็เริ่มเบื่อขึ้นมา หรือว่าโดนหลอกให้รอ?
แต่ยังไม่ทันได้คิดไปไกล เจ้าร่างบางก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับมา พร้อมถุงใส่ของจากร้านสะดวกซื้อ
เขาวิ่งกลับมาไล่ๆ เวลา พร้อมกับพนักงานร้านสะดวกซื้อของตู้ ที่ขึ้นลิฟต์เพื่อมาเติมของและจะรีเซ็ตตู้พอดี
ภีมหอบตัวโยน หอบหายใจลึก ก้มตัวลงเอามือดันหัวเข่า หน้าแดงไล่ไปถึงต้นคอ ด้วยความที่เป็นคนผิวขาวและผิวบาง
เลือดเลยสูบฉีดจนแดงยันหู
เขาหอบหายใจหนัก ก่อนจะค่อยๆ ยืดตัวขึ้น คว้าอะไรบางอย่างออกมาจากถุง...
“อ่ะนี่ เอานี่ไปซิ!!” ภีมพูดพลางยื่นขวดน้ำอัดลมเมล่อนโซดายี่ห้อหนึ่งให้กับหลี่เจียหยาง ยังหอบหายใจแรงอยู่
“โอย!! เหนื่อย...” ปากบางบ่น พลางใช้มืออีกข้างปาดเหงื่อที่ไหลซึมตามกรอบหน้าและซอกคอเรียว
ขนตายาวแพหนา หลี่เจียหยางลอบมองอย่างเพลินตา เผลอตัวกลืนน้ำลายเบาๆ ราวกับเห็นของหวานตรงหน้า
“อะไรเนี่ย?” เขาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนเหลือบตามองกระป๋องน้ำในมือ
แล้วรับมันมาแบบงงๆ พร้อมกับเศษเงินทอนที่ภีมกำมาแน่นตลอดทางจนชุ่มเหงื่อ แล้วยื่นคืนให้เขา
“คืนให้นาย ส่วนอันนี้...” ภีมชูน้ำอัดลมในมือ “ไม่คืนนะ คิดซะว่าฉันเลี้ยงน้ำตอบแทนละกัน”
พูดจบก็แกะกระป๋องน้ำเมล่อนโซดาเปิดออกดื่มหน้าตาเฉย
“ห่ะ!? อะไรนะ เอาใหม่ซิ เอาดีๆ?” หลี่เจียหยางขมวดคิ้ว งุนงงกับสถานการณ์ตรงหน้า
“คุณบอกว่าคุณเลี้ยงน้ำผม?” เขาพูดพร้อมชี้ไปที่ภีมแล้วกลับมาชี้ตัวเอง
“ด้วยเงินผมน่ะนะ?”
เจ้าภีมพยักหน้า เหงื่อไหลย้อยลงมาตามกรอบหน้า
เจ้าตัวเปลี่ยนมือที่ถือน้ำเมล่อนโซดา รวมกับถุงน้ำของเหล่าเจ๊ๆ ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างเสยผมหน้าม้าที่ปรกหน้า
เผยให้เห็นหน้าผากเนียนใส คิ้วเข้ม และดวงตาชี้เฉี่ยวเหมือนเหยี่ยวสีน้ำตาลอ่อน
ใบหน้าที่ดูเหวี่ยงโดยธรรมชาติ ตอนนี้กลับจ้องตรงมาที่เจ้าหนุ่มลูกครึ่งฮ่องกงอย่างไม่สะทกสะท้าน
และในจังหวะนั้นเอง พอเห็นหน้าเจ้าภีมชัดขึ้น... เจียหยางกลับรู้สึกว่า "โดนใจ" ยังไงก็ไม่รู้
“ก็เงินนั่นมันเข้า wallet นาย ก็เหมือนเงินฉันเข้าบัญชี wallet นายแล้วนี่ไง”
ภีมพูดพลางยักไหล่ ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้
หลี่เจียหยางกุมขมับ “เดี๋ยวนะ... เดี๋ยวก่อน”
เขากำลังประมวลผลกับความบ้าบอของบทสนทนานี้
“เดี๋ยวนะ ค่าน้ำแร่ที่คุณหยอดไปเมื่อกี้น่ะ... เท่าไหร่?” เขายิ้มกลั้นขำแทบสำลัก
“12 บาท” ภีมตอบสั้นๆ และกำลังกระดกเมล่อนโซดาต่อจนหมดกระป๋องต่อหน้าเจ้าเสือร้าย
“แล้วคุณ เอาเงินผมไป...?” หลี่เจียหยางเลิกคิ้วเข้มขึ้น เว้นจังหวะรอฟังคำตอบ
“100 นึง” ภีมตอบง่ายๆ พลางยักคิ้วกวนๆ
“ไปล่ะ ขอบใจนะ ส่วนเงินทอน ผมก็คืนให้แล้วนี่ไง”
เจ้าภีมตัดบท พูดจบก็สะพายถุงร้านสะดวกซื้อเดินตัวปลิวลิ่วออกไป
และทิ้งหลี่เจียหยางยืนหัวเราะเบาๆ อย่างปลงๆ กับสถานการณ์
“เฮ้ย!! เดี๋ยวก่อน...” เขาเรียกตามหลัง “นี่คุณไถเงินผมใช่มั้ยเนี่ย?”
หลี่เจียหยางส่ายหัวอย่างขำขัน นี่อาจเป็นเรื่องบ้าบอที่สุดตั้งแต่เขาโตมา แต่กลับเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่า...
การถูกหลอกแบบนี้ มันก็น่ารักดีเหมือนกันนะ และมันเป็นเรื่องบ้าบอที่สุดตั้งแต่เคยเจอมาเลย
ภีมกำลังจะก้าวไปข้างหน้า แต่ยังหันกลับมาบอกเสียงห้วนๆ
“พูดอะไรของคุณ ผมไม่เห็นจำได้ว่าไถเงินนายเลยนะ ก็ผมขอนายแล้ว แถมนายจะให้แบงค์ 500 ด้วยนี่ อะไรของนายเนี่ย?
ผมต้องไปทำงานแล้ว เสียเวลามากพอแล้ว ขอบใจนะ”
เจ้าตัวพูดจบก็ยกข้อมือดูนาฬิกา ก่อนเร่งฝีเท้าเดินหนี อย่างไม่ใส่ใจ
“ได้ใช่มั้ย?”
เสียงทุ้มลอยตามหลังมา พร้อมกับก้าวยาวๆ ของเจียหยางที่ตามติดไม่ปล่อย
“อะไรอีกล่ะ?” ภีมเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมแพ้
“งั้นแปลว่า... ได้จริงๆ สินะ?”
ชายหนุ่มลูกครึ่งฮ่องกง-เยอรมันยิ้มมุมปาก
ก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบกระดาษโพสอิทสีสะท้อนตาขนาดพอดีมือขึ้นมา
เขา พลิกโชว์ต่อหน้าภีม ให้เห็นข้อความในนั้น
“ก็เห็นมันแปะอยู่บนหลังคุณ ผมเพิ่งดึงมันออกตอนคุณวิ่งออกไปเมื่อกี้นี้” หลี่เจียหยางพูดพร้อมยักคิ้ว เขายิ้มร้าย
“ห่ะ?” ภีมชะงักกึก เท้าชะลอเองโดยอัตโนมัติ
ก่อนจะเบือนหน้ากลับไปมองโพสอิทสีเหลืองสะท้อนแสงในมือของหลี่เจียหยาง
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกกว้างราวกับโลกหยุดหมุน
ข้อความบนโพสอิทเขียนด้วยลายมือที่เขาคุ้นเคย — ลายมือของเพื่อนสุดแสบในออฟฟิศ...
“จีบได้ ยังโสดอยู่ ต้องการคนดูแล งอแงเลี้ยงง่าย”