"ภีม ชายหนุ่มผู้มุ่งมั่นหาเงินจนลืมหัวใจ แต่เมื่อพรจากพระแม่ลักษมีพ่วงสามหนุ่มสุดป่วนมาด้วย ชีวิตที่เคยแน่วแน่กลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย และคำถามสำคัญ — สิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ คืออะไรกันแน่?

พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน - ตอนที่ 9 วิบากของลูกจิ้งจอก กับหมาป่าจอมกลับกลอก โดย Julie juice @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ตลก,รัก,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน,พล็อตสร้างกระแส,วายบันเทิง,คู่กัด,ปากร้าย,ปากแข็ง,ตกหลุมรัก,ตลก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ตลก,รัก,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส,วายบันเทิง,คู่กัด,ปากร้าย,ปากแข็ง,ตกหลุมรัก,ตลก

รายละเอียด

พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน โดย Julie juice @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"ภีม ชายหนุ่มผู้มุ่งมั่นหาเงินจนลืมหัวใจ แต่เมื่อพรจากพระแม่ลักษมีพ่วงสามหนุ่มสุดป่วนมาด้วย ชีวิตที่เคยแน่วแน่กลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย และคำถามสำคัญ — สิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ คืออะไรกันแน่?

ผู้แต่ง

Julie juice

เรื่องย่อ

##เมื่อชีวิตมันติดบั๊ก##

ภีมวัจน์ เจ้าหนุ่มไรเดอร์สุดแกร่ง x เจียหยาง หนุ่มลูกครึ่งสุดร้าย และหนุ่มๆ รอบตัว ที่ชวนปวดหัวในแต่ละวัน
เอริค ฮาเกน  นักธุรกิจหนุ่มสายเนียน และ ฮารุ หนุ่มรุ่นน้อง ตัวดีที่รู้ทันทุกอย่าง!)

"ก็แค่หาเงินเลี้ยงปากท้อง… แต่ทำไมดันไปติดบั๊กหมาป่าเจ้าเล่ห์ เจ้าหมาโกลเด้นจอมปลอมเจ้าแผนการ และเสือที่พร้อมจะขย้ำได้ตลอดเวลา?"

ภีมวัจน์ เจ้าหนุ่มนักสู้ชีวิต สายหาเช้ากินค่ำ ผู้ใช้ชีวิตแบบ "ไม่กินบุญใคร" เช้าเป็นพนักงานบริษัท เย็นขับไรเดอร์หาเงินเสริม อุดมการณ์ชัดเจน "ผมไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร" แต่แล้วชีวิตก็เหมือนโดนโกงเมื่อเจอ หลี่เจียหยาง หนุ่มลูกครึ่งสุดเพอร์เฟกต์ที่ดูเหมือนจะ "มีแต่ให้" ...แต่แปลกที่เจ้าตัวกลับมองเขาด้วยสายตาล้อเลียนทุกครั้ง

???? จากไรเดอร์ส่งอาหาร สู่ของหวาน(?) ของใครบางคน
“คุณไรเดอร์ครับ เหนื่อยมั้ย?”
“...อะไรของนาย?”

??”? บั๊กแรก: เสือร้ายจอมขี้แกล้ง ??”?
เจียหยาง ลูกครึ่งจีน-เยอรมัน หล่อ รวย แถมขี้แกล้งระดับเทพ(?) ชอบหาเรื่องปั่นประสาทภีมทุกครั้งที่เจอ “ฉันอยากเลี้ยงแมวส้ม” เขาพูดเปรยๆ ก่อนจะเหลือบมองภีมที่กำลังทำหน้าเหมือนจะข่วนใส่!

??”? บั๊กสอง: หมาป่าจอมเจ้าเล่ห์ ??”?
เอริค ฮาเกน มหาเศรษฐี/นักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งนอร์เวย์ เจ้าของบริษัทที่ภีมต้องคอนซัลต์งานให้ ดันสนใจหนุ่มไรเดอร์คนนี้เข้าอย่างจัง... “เธอนี่เหมือนลูกจิ้งจอกจริงๆ นะ ระแวงไปหมด” ภีมขมวดคิ้ว เอริคแค่ยิ้มมุมปาก “แต่ฉันชอบจิ้งจอกนะ”

??”? บั๊กสาม: หมาโกลเด้นท์ผู้รู้ทันทุกอย่าง ??”?
ฮารุ เพื่อนสนิทตัวดีของภีมที่ไม่เคยพลาดสังเกตอะไร! ผู้คอยดูแลใส่ใจตลอด แต่แท้จริงแล้วกลับซ่อนความคลั่งรัก และความรักที่ยึดติด “ให้ผมเป็นหมาน้อยของภีมได้มั๊ยครับ? ผมอยากมีภีมเป็นเจ้าของของผมคนเดียว”

??”? แค่พล็อตเบสิค แต่บั๊กเยอะจนคาดไม่ถึง ??”?
✔️ ฮาแตกทุกซีน กับมุกจิกกัดสุดเฉียบของภีมที่รับมือกับพวกตัวร้าย(?)
✔️ เคมีระหว่างคนซื่อตรง vs คนเจ้าเล่ห์ มันคือสงครามประสาทที่ไร้ผู้ชนะ
✔️ หักมุมยิ่งกว่าถนนในเมือง ชีวิตภีมแค่จะหาเงิน แต่ทำไมมันกลายเป็นละครวายไปได้!?

???? เตรียมตัวให้พร้อมกับนิยายวายสุดปั่น! ที่พระเอกสู้ชีวิต…แต่ชีวิตติดบั๊ก!
#หนุ่มไรเดอร์สายลุย #แต่จะดันโดนหมาป่าจับกิน #ปากร้ายจิกกัด #หักมุมตลอดเรื่อง   

สารบัญ

พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 1 พระแม่ครับ โปรดประทานพรให้ผมเถอะ,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 2 ชีวิตต้องสู้ เพราะกู้มาเยอะ,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 3 ตู้เจ้ากรรม นำพานายเวรมาพานพบ ,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 4 ถึงจะโสด ก็ได้โปรดอย่าจีบ,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 5 พี่พร้อมจะโอนเพราะน้องมันโดนใจ,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 6 เมื่อเงินมา งานก็เดิน,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 7 ป.ปลาตากลม กับคนทำความสะอาด,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 8 ฟัดจ์บราวนี่เนื้อนุ่มๆ หรือจะสู้ลุงที่ทำไข่เจียวอุ่นๆ,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 9 วิบากของลูกจิ้งจอก กับหมาป่าจอมกลับกลอก,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 10 OK Goodboy มาทำให้ใจพี่ ม่วนจอยหน่อยได้มั้ย?,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 11 ถ้าอยากกินข้าว อย่าห้าวกับพี่,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 12 ข้อเสนอ ที่ทำให้เผลอใจเต้น ,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 13 อย่าท้าทายพี่ฝรั่ง ถ้ายังไม่รู้จักกันดีพอ,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 14 เจ้าเหยื่อผู้น่าสงสาร กับการหยอกของเหล่าไฮยีน่าขี้เล่น ,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 15 ก๋วยเตี๋ยวแค่ถ้วยเดียว แต่มันเปรี้ยวไปถึงใจ ,พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน-ตอนที่ 16 แผนการล่า ของหมาป่าตัวโต

เนื้อหา

ตอนที่ 9 วิบากของลูกจิ้งจอก กับหมาป่าจอมกลับกลอก

 

 

  บรรยากาศเงียบสงบฉาบทาบ้านเดี่ยวสองชั้นสไตล์ลอฟท์โมเดิร์นในหมู่บ้านจัดสรรโครงการหรูแห่งหนึ่ง 

ภายนอกประดับประดาด้วยต้นไม้ราคาแพง 

ที่ได้รับการดูแลอย่างดีจากโครงการของหมู่บ้านให้ความรู้สึกเป็นระเบียบและหรูหราอย่างมีระดับ 

ภายในบ้านหลังใหญ่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีเอิร์ธโทนที่ให้ความอบอุ่นและสะท้อนถึงรสนิยมของเจ้าของบ้าน

 ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างพิถีพิถัน ผสมผสานความดิบเท่ของสไตล์ลอฟท์เข้ากับความละมุนละไมของโทนสีธรรมชาติ

 ผ้าม่านสีขาวบางพลิ้วไหวตามแรงลมอ่อนๆ ที่ลอดเข้ามาเป็นระยะ ๆ ราวกับพัดพาความรู้สึกให้หวนคิดถึงใครบางคน

ความเงียบสงบโรยตัวอยู่ทั่วห้อง มีเพียงเสียงลมหายใจเบา ๆ ของเจ้าของบ้านหนุ่ม

 ที่ทอดกายนอนอยู่บนโซฟาสีน้ำตาลเข้มสไตล์ลอฟท์

 ดวงตาสีน้ำตาลอำพันจับจ้องหน้าจอโทรศัพท์นิ่งราวกับกำลังรอการแจ้งเตือนจากใครบางคน

 แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านม่านสีขาวเป็นริ้ว 

ตกกระทบเส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่สะท้อนประกายช็อกโกแลตเมื่อต้องแสงธรรมชาติ

ปลายนิ้วเรียวไถหน้าจอเลื่อนดูรายชื่อในแอปไรเดอร์ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังไม่พบชื่อที่กำลังมองหา

"ปกติก็ออนไลน์ไม่ใช่หรือไงนะ... ทำอะไรอยู่นะ เจ้าแมวส้ม?"

เสียงพึมพำดังขึ้นแผ่วเบา คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว 

ความหงุดหงิดเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ

 เมื่ออีกฝ่ายหายไปจากหน้าจออย่างผิดปกติในวันหยุดเช่นนี้

"หรือว่ายุ่งอยู่? หรือว่า..."

ความคิดมากมายไหลวนเข้ามาในหัวโดยไม่ทันตั้งตัว เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอนตัวพิงพนักโซฟา

 สองแขนยกขึ้นกอดอก ขณะที่นิ้วเรียวกระดิกเป็นจังหวะตามสัญชาตญาณของคนที่กำลังรอคอยอะไรบางอย่าง

ปกติเจ้าแมวส้มจะออนไลน์ ยิ่งเป็นวันเสาร์-อาทิตย์แบบนี้ แต่เช้าวันอาทิตย์นี้กลับเงียบสนิท ไม่มีแม้แต่เงา

เออ... เรานี่มันบ้าจริง ๆ นั่นแหละ หลี่เจียหยาง เดี๋ยวนี้แก ถึงขั้นจำตารางงานของอีกฝ่ายได้ขึ้นใจแล้วหรือไงวะ?

ริมฝีปากหยักกระตุกเป็นรอยยิ้มขื่นขำ เขาหัวเราะให้ตัวเองเบา ๆ พลางหลับตาลงชั่วครู่ พยายามสลัดความคิดไร้สาระออกไป

ติ๊ง..ต่อง!!

เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้นแผ่วเบา ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบของบ้านหลังใหญ่ 

หลี่เจียหยางที่กำลังเอนตัวพิงโซฟาอย่างเกียจคร้าน 

ขยับดวงตาสีน้ำตาลอำพันขึ้นมองไปทางหน้าประตูรั้ว ก่อนจะถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

 ยกมือขึ้นเสยผมลวกๆ แล้วลุกขึ้นเดินทอดน่องไปทางประตูอย่างไม่รีบร้อน

เมื่อประตูรั้วถูกเปิดออก เผยให้เห็นเด็กชายตัวเล็กในชุดลำลอง เสื้อยืดสีขาวลายเรียบๆ แมทช์กับกางเกงขาสั้นแบรนด์ดัง 

ผิวขาวอมชมพูสุขภาพดี แบบเด็กที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนรับกับใบหน้ากลมและจมูกโด่งเล็กน้อย

 ให้ความรู้สึกเหมือนตุ๊กตาลูกครึ่งยุโรปที่มีเสน่ห์แบบเอเชียปนอยู่ 

เขามีไอแพดเครื่องหนึ่งในมือ พร้อมกับทำหน้ายู่ยี่ราวกับเพิ่งเจอเรื่องกลุ้มใจมา

"อาเจียยย..." เสียงใสๆ ดังขึ้นอย่างออดอ้อน ดวงตาคู่โตฉายแวววิงวอน

 "ผมทำไม่ได้อ่ะ"

เจียหยางเลิกคิ้วพลางกอดอก จ้องเด็กน้อยตรงหน้าด้วยสายตากึ่งเอ็นดูกึ่งขี้เล่น

“มีอะไร? ไหน? เอาเข้ามาให้ดูก่อน”

น้ำเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มไม่ได้ดุ แต่ก็แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์เล็กๆ เขาสวมเสื้อแขนกุดสีดำ

 เผยให้เห็นลำแขนและกล้ามเนื้อที่ชัดเจนแต่ไม่ล่ำจนเกินไป แมทช์กับกางเกงลำลองสีเทา

 ดูสบายๆ และเข้ากับบรรยากาศของบ้านลอฟท์โมเดิร์นแห่งนี้

เด็กชายหลี่เฉินอวี่ขยับตัวเข้าไปในบ้านโดยไม่รอให้เชิญ 

ดวงตาสีอ่อนของเขากวาดมองรอบห้องรับแขกที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยรสนิยม 

เฟอร์นิเจอร์ไม้สีเอิร์ธโทนขับให้บรรยากาศดูอบอุ่น ตัดกับสไตล์ลอฟท์ที่ดูดิบเท่

 ผ้าม่านสีขาวพลิ้วไหวตามแรงลมอ่อนๆ ที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่าง 

แสงแดดตกกระทบโซฟาหนังสีน้ำตาลเข้ม เผยให้เห็นลวดลายของหนังแท้ที่แฝงความคลาสสิกไว้

เด็กชายเดินตรงไปทรุดตัวลงบนโซฟา หันมองอาหนุ่มของตัวเองที่นั่งลงข้างๆ อย่างรอคอย

“ว่ายังไง?”

เฉินอวี่ทำหน้าหนักใจ ก่อนจะพลิกหน้าจอไอแพดไปมา แล้วส่งให้เจียหยางดู “การบ้านภาษาไทย... ผมอ่านไม่เข้าใจ”

เจียหยางหัวเราะในลำคอ ดวงตาพราวระยับอย่างรู้ทัน

 “แล้วมาหาอาทำไม อาก็ไม่ได้จบครูภาษาไทยนะ”

เด็กชายทำหน้ามุ่ย คิ้วเล็กขมวดนิดๆ อย่างไม่ยอมแพ้ 

“ก็อาใช้ภาษาได้เก่งกว่ามะม๊าไง อย่างน้อยก็ยังพยายามช่วยแปลให้เข้าใจ

 คราวที่แล้วให้มะม๊าสอนผิดหมดเลยอ่ะ ไวยากรณ์สลับกันมั่ว แถมผมโดนตัดคะแนนด้วยอ่ะ”

ชายหนุ่มพยักหน้าเหมือนจะเห็นด้วย แต่ดวงตากลับฉายแววเจ้าเล่ห์ 

“อือ ก็จริง... แต่การช่วยเหลือมันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนนะ” ราวกับเขาคิดแผนการอะไรได้

หลี่เฉินอวี่หลานชายตัวแสบขมวดคิ้ว “อะไรอีกล่ะ?”

เจียหยางยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอนหลังพิงโซฟา มือเรียวล้วงโทรศัพท์ขึ้นมากดอะไรบางอย่าง

 อาไม่ถนัดเรื่องภาษาไทยก็จริง แต่มีคนที่เก่งกว่านี้ และเขาจะเป็นคนช่วยนาย... ถ้าเขายอมรับข้อเสนอน่ะนะ"

เด็กชายเอียงคออย่างสงสัย “ใครอ่ะ?”

เจียหยางยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่ตอบในทันที เพียงแค่กดโทรศัพท์ต่อไป ราวกับกำลังวางแผนบางอย่าง

เฉินอวี่หรี่ตามองอาหนุ่มอย่างจับผิด “อาเจีย...” เด็กชายลากเสียงยาว

 “แปลกแฮะ!! ทำไมอาดูสนุกจังเลยล่ะ? ปกติไม่เห็นอาเป็นแบบนี้นี่”

ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ ยักไหล่เล็กน้อย “หืม? อาก็เป็นแบบนี้ตลอดนะ อาเฉิน”

“โกหก” เฉินอวี่สวนกลับทันที 

“ปกติอาโคตรจะขี้เกียจเลยอ่ะ ไม่ค่อยยุ่งเรื่องคนอื่น แต่ตอนนี้ดูเหมือนอาจะตั้งใจ...”

เจียหยางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยกยิ้มมุมปาก 

“ไม่หรอก อาอาจจะแค่รู้สึกว่ามันน่าสนุกก็ได้นะ รู้มากจริงนะ เจ้านี่!!”

เฉินอวี่ยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ เขากอดอกพลางจ้องหน้าอาของตัวเองอย่างไม่วางตา

 “อาเจียยย...คนที่อาจะให้มาสอนพิเศษผม...เขาเป็นคนพิเศษของอาหรือเปล่า?”

คำถามนั้นทำให้เจียหยางชะงักไปเสี้ยววินาที ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

“จริงดิ!?” เด็กชายตาโตขึ้นมาทันที “อาเจียมีคนที่ชอบด้วยเหรอ!? หรือว่า...”

“เงียบไปเลยเฉินอวี่” ชายหนุ่มยกนิ้วขึ้นจิ้มหน้าผากหลานชายเบาๆ 

“ไม่ใช่แบบนั้น”

เด็กชายขยับตัวอย่างสนุกสนาน ยิ้มเจ้าเล่ห์ 

“ไม่ใช่? งั้นก็หมายความว่าไง อายังมีโอกาสใช่ไหม?” เฉินอวี่เริ่มทำหน้าตากรุ้มกริ่ม

เจียหยางถอนหายใจ ทำท่าจะยีหัวเด็กน้อยตรงหน้าแต่เฉินอวี่เอนตัวหลบได้ทัน

“ก็ได้ๆ ...” เด็กชายทำทีเป็นยอมแพ้ แต่ดวงตาเป็นประกายอย่างมีเลศนัย “แต่ผมก็มีข้อแลกเปลี่ยนนะ”

เจียหยางเลิกคิ้วสูงขึ้น “โอ้โห! ยังจะมีหน้ามาเรียกร้องเพิ่มอีกเรอะ?”

เด็กชายยืดตัวขึ้นนั่ง ยกแขนกอดอกเลียนแบบท่าทางของอาของตัวเอง

 ท่าทางจิ้มลิ้มจนเจียหยางอดหัวเราะไม่ได้ คิดในใจว่าหลานชายคนนี้มันร้ายกว่าที่คิดจริงๆ

"แน่นอนซิฮะ อาให้ผมไปขอให้เขามาสอนพิเศษให้ใช่ไหมล่ะ?

 งั้นผมก็ต้องได้อะไรตอบแทนสิ การแลกเปลี่ยนมันถึงจะต้องคุ้มค่านิ้ดนึง"

เจียหยางหัวเราะเบาๆ 

"ว่ามา... อยากได้อะไร?"

เฉินอวี่ยกนิ้วขึ้นมานับ

 "ข้อแรก ผมอยากกินชาบู.."

"หึหึ ก็ได้" หลี่เจียหลางยิ้มหัวเราะให้หลานชายอย่างเอ็นดู

"ข้อสอง ผมอยากได้หูฟังอันใหม่ อาเคยสัญญาว่าจะซื้อให้ผมเมื่อเดือนก่อน แต่ก็ยังไม่ซื้อให้เลย"

เจียหยางพยักหน้าอย่างอ่อนใจ "โอเคๆ แต่ไม่เอาแพงเว่อร์นะ"

เฉินอวี่ทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะกระตุกยิ้ม

 "ข้อสุดท้าย..."

"ยังไม่หมดอีกเหรอ?" เจียหยางเริ่มรู้สึกว่าเด็กคนนี้ต่อรองเก่งไปแล้ว

"อาต้องช่วยผมทำการบ้านไปจนกว่าเขาจะตอบตกลง"

 เด็กชายยิ้มร้าย "เพราะถ้าเขาไม่ตกลง ไม่ยอมสอน ผมก็ยังต้องให้อาสอนให้ผมอยู่ดี"

เจียหยางชะงักไปนิด ก่อนจะหลุดหัวเราะพรืดออกมา

 "โห!!! ไอ้เด็กแสบ... นี่ต่อรองอาเป็นข้อๆ ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?"

เฉินอวี่ยักไหล่ "เอ๊า!! ก็อาเองก็เจ้าเล่ห์กับผมก่อนนะ"

เจียหยางส่ายหัวอย่างอ่อนใจ พลางยื่นมือไปยีหัวเจ้าหลานชายตัวแสบ "เออๆ ตกลงก็ได้"

เฉินอวี่ยิ้มกว้าง พอได้ในสิ่งที่ต้องการก็ยกไอแพดขึ้นมา 

"โอเค งั้นตอนนี้ ช่วยผมทำการบ้านก่อนเลย อาเจีย! บอกผมหน่อย ว่า ไอ้คำนี้มันอ่านยังไง?"

หลี่เจียหยางถอนหายใจอีกครั้ง

 

++++++

 เช้าวันจันทร์มาเยือนพร้อมกับบรรยากาศในห้องประชุมใหญ่ที่อึมครึมยิ่งกว่าปกติ ทุกคนดูเคร่งเครียดและกดดันกับโปรเจ็กต์สำคัญที่ต้องนำเสนอในวันนี้ พนักงานในแผนกต่าง ๆ ต่างก้มหน้าก้มตาเตรียมความพร้อม จัดเรียงเอกสาร และทวนข้อมูลรอบสุดท้าย เสียงพลิกกระดาษดังเบา ๆ สลับกับเสียงพิมพ์แป้นคีย์บอร์ดที่กดเร็วรัวราวกับสะท้อนความตึงเครียดในห้อง

 ภีมพอจะรู้ตัวล่วงหน้าอยู่แล้วว่าเขาถูกวางตัวเป็นผู้ประสานงานหลักระหว่างบริษัทที่ทำงานกับบริษัทต่างชาติ

 สำหรับการประชุมเปิดโครงการพัฒนาซอฟต์แวร์ในครั้งนี้

 แต่ถึงจะเตรียมใจมาแล้ว ก็ยังอดรู้สึกกังวลไม่ได้

 คิ้วขวาเจ้ากรรมดันกระตุกเป็นจังหวะไม่หยุดเลย มัน...กระตุกรัว ๆ จนเจ้าตัวเริ่มรำคาญเอง 

เขาขยับตัวไปหาพี่ม่อน รุ่นพี่ต่างแผนกที่สนิทกัน พี่ม่อนเป็นสาวผิวเข้ม ตาคม ผมสั้นดูทะมัดทะแมง 

เธอนิสัยเฮฮาและชอบแซวรุ่นน้องเป็นประจำ

 “พี่ม่อน คิ้วผมมันกระตุกไม่เลิกเลยว่ะ!!” ภีมเอามือจับคิ้ว “หรือผมเครียดเกินไปกันว๊ะ?” 

 “เหย!! ไอ้ภีม คิ้วไหนของแกว๊ะ ซ้ายหรือขวา" พี่ม่อนเลิกคิ้วถามอย่างสนใจ พลางหมุนเก้าอี้มาหาเขา

 “ขวาว่ะพี่ เนี่ย! พี่ดูดิ” ภีมเสยผมขึ้น เปิดหน้าผากให้ดูคิ้วขวาที่กระตุกถี่ ๆ อย่างไม่ปรานี คล้ายกับจังหวะเพลง EDM

 “โห! ไอ้ภีม ขวาตาย ซ้ายสลบ! แกเตรียมตัวรับแรงกระแทกเถอะ ชั้นว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ ๆ”

 พี่ม่อนพูดพลางเอานิ้วจิ้มคิ้วภีมขำ ๆ 

“นี่แกไปอาบน้ำมนต์ไหนมาบ้างมั้ยว๊ะเนี่ย?”

 พี่ม่อนมองคิ้วภีมที่ยังกระตุก เอานิ้วจิ้มๆ คิ้วภีมไม่เลิก

 “จะเอาอะไรไปอาบล่ะคร๊าบคุณพี่ ลำพังแค่ค่าน้ำมัน ค่าห้อง ผมก็เกลือแล้ว” ภีมถอนหายใจยาว

 “ช่วงนี้ผมต้องประหยัด ประหยัดสุด ๆ เลยพี่”

 “เออ ๆ เดี๋ยวพี่กลับบ้านต่างจังหวัดไป ถ้าไปไหว้หลวงพ่อที่วัดแถวบ้าน จะขอน้ำมนต์มาให้แกละกัน” พี่ม่อนพูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดู

 “ขอบคุณล่วงหน้าครับพี่” ภีมยิ้มรับคำแซว ก่อนจะเหลือบตาไปมองนาฬิกาบนผนังที่เข็มนาทีเดินใกล้ถึงเวลาประชุม

 “อ่ะ! เหมือนเขาจะมากันแล้ว ผมไปเตรียมตัวก่อนนะ” ภีมสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะลุกขึ้นไปสแตนด์บายด้านหน้าห้องประชุม

 แต่ลางร้าย ก็คือลางร้าย... 

 

 

ประตูกระจกบานใหญ่ของห้องประชุมเลื่อนเปิดออก เผยให้เห็นภายในห้องที่ตกแต่งอย่างเป็นทางการ พื้นไม้ขัดมันสะท้อนแสงจากโคมไฟแชนเดอเลียร์เหนือศีรษะ โต๊ะประชุมตัวยาววางอยู่กลางห้อง รายล้อมด้วยเก้าอี้หนังสีดำบุนวมอย่างดี หน้าจอโปรเจคเตอร์ฉายข้อมูลเกี่ยวกับโปรเจกต์พัฒนาซอฟต์แวร์ของบริษัทไว้เต็มจอ บรรยากาศในห้องประชุมเคร่งขรึมและเป็นทางการ

เหล่าผู้เข้าร่วมประชุมหันไปมองเป็นตาเดียว เมื่อคณะตัวแทนจากบริษัทต่างชาติเดินเข้ามา

เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นดังกังวานในความเงียบขณะที่พวกเขาก้าวเข้าไปหาที่นั่งของตัวเอง

ภีมที่นั่งอยู่ฝั่งหนึ่งของโต๊ะ เขากำลังเตรียมเอกสารอยู่ พอเงยหน้าขึ้นและเห็นตัวแทนบริษัทต่างชาติที่เพิ่งเข้ามา

 เขาก็เผลอสำลักอากาศทันที

"เXยยย" 

เขาสบถในใจ ตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยขณะไล่สายตาไปอ่านชื่อบนหน้าจอโปรเจคเตอร์อีกครั้ง

Mr. Erik Hagen

ฝรั่งร่างสูงใหญ่ ผมสีบรอนซ์ถูกเซ็ตอย่างประณีต โครงหน้าคมสัน ตามแบบฉบับชาวสแกนดิเนเวียแท้ เดินเข้ามาด้วยท่าทีสบายๆ

 ชุดสูทสีกรมท่าถูกตัดเย็บพอดีตัวดูภูมิฐานเกินไปสำหรับคนที่เมื่อวานยังสวมเสื้อยืดตัวโคร่ง ยืนทอดไข่เจียวอยู่ในห้องของตัวเอง!

"Mr. Erik Hagen จากบริษัทพาร์ทเนอร์ของเรา..." หัวหน้าทีมพัฒนากล่าวขึ้นพร้อมยื่นมือไปจับมือทักทาย

เอริคยิ้มบาง ดวงตาสีฟ้าเทาเปล่งประกายความเจ้าเล่ห์บางๆ ขณะเหลือบมองมาทางเจ้าเด็กหน้าเหวี่ยง ส่งสายตาจิกมาให้

"Hello, everyone. It’ s a pleasure to work with you." 

น้ำเสียงของเขาสุภาพ แต่แฝงไว้ด้วยอะไรบางอย่างที่ทำให้ภีมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

ทีเมื่อวานยังพูดไทยคล่องปร๋อเหมือนอยู่เมืองไทยมาหลายปี พอวันนี้มาทำเป็นสุภาพบุรุษต่างชาติเต็มตัวเนี่ยนะ? โอ้โหหหหห

ภีมกัดฟันเล็กน้อย พยายามควบคุมสีหน้าไม่ให้แสดงอาการมากเกินไป แม้ว่าคิ้วขวาจะยังกระตุกอยู่นิดๆ

หัวหน้าทีมหันมาหาเขาก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"ภีม นายรู้แล้วใช่ไหม ว่าเป็นผู้ประสานงานหลักของโปรเจกต์นี้ ไงก็ฝากดูแลทางคุณเอริคให้ดีด้วยนะ"

"ครับ" ภีมตอบเสียงเรียบ แต่ในใจแทบจะกรีดร้องออกมา

โอยยย!!! ทำไมต้องเป็นกรู! ข้างในใจของเขากำลัง โวยวายด่าชะตากรรมตัวเองลั่นในอก

เขาสูดลมหายใจลึกๆ พยายามตั้งสติ เอริคที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเอียงคอเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง

ก่อนพูดออกมาด้วยเสียงเรียบเป็นภาษาอังกฤษ

"Nice to meet you, Pheem. I hope we’ ll get along well."

ภีมเลิกคิ้วเข้ม มองสบตาเขาตรงๆ ก่อนจะจ้องกลับไปด้วยสายตาไม่สบอารมณ์สุดๆ

ไอ้บ้าฝรั่งนี่... นี่แกแกล้งพูดไทยไม่ได้ใช่ไหม?!

แต่ถึงในใจจะเดือดพล่านแค่ไหน เขาก็ยังคงรักษามารยาท ตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิทเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน

"Good morning, Mr. Eric. I'm Pheemawat, the coordinator from our company. Nice to meet you."

เจ้าเด็หหน้าเหวี่ยง กัดฟันฝืนยิ้ม ปรับอารมณ์ให้เป็นมืออาชีพที่สุด แม้ว่าภายในจะอยากเอาหัวโขกโต๊ะประชุมแรงๆ 

ที่เมื่อวานดันไปเล่นใหญ่ใส่ไอ้ฝรั่งตัวโตนี่เข้าให้แล้ว

"Likewise, Eric." เขากล่าวตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

แต่เอริคกลับมองมาด้วยแววตาขบขัน… อย่างกับรู้ทันทุกอย่าง

ระหว่างที่ เอริค และ ภีม จับมือกันตามมารยาท เงื่อนไขของการประชุมครั้งนี้ดูเหมือนจะยังไม่จบแค่การแนะนำตัวธรรมดา

แม้ว่ามือทั้งสองจะสัมผัสกันอย่างสุภาพในช่วงแรก 

แต่กลับค่อยๆ ออกแรงกดแน่นขึ้นเล็กน้อย คล้ายกับเป็นเกมจิตวิทยาเงียบๆ ที่ไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายอ่อนข้อก่อน

เอริคกระตุกยิ้มนิดๆ ก่อนจะหันไปพูดกับทีมงานของภีมด้วยภาษาอังกฤษล้วน

“I hope we can collaborate smoothly on this project.”  (หวังว่าเราจะร่วมงานกันได้อย่างราบรื่นนะครับ) 

ไอ้บ้านี่!! เมื่อวานยังพูดไทยคล่องแถมกวนประสาทได้สบายๆ อยู่เลยแท้ๆ!

ภีม ส่งยิ้มกลับไปอย่างเป็นทางการ แม้ในใจจะอยากถอนหายใจแรงๆ ก็ตาม

“Of course. I’ ll be your main point of contact for this project, so please let me know if there’ s anything you need.” 

 (แน่นอนครับ ผมจะเป็นผู้ประสานงานหลักของคุณในโปรเจกต์นี้ ถ้ามีอะไรต้องการแจ้งให้ผมทราบได้เลย) 

แม้คำพูดจะสุภาพ แต่น้ำเสียงกลับมีความตึงเครียดเจืออยู่เล็กๆ คล้ายกับแทบจะต้องกัดฟันพูด

เอริคเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ราวกับทึ่งที่ภีมสามารถโต้กลับเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างลื่นไหล

“Great. I’ m looking forward to working with you.”  (เยี่ยมเลย ผมตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับคุณ) 

ภีม จ้องหน้าอีกฝ่าย สีหน้าไม่สบอารมณ์สุดๆ

ไอ้ฝรั่งตัวโตนี่ แกล้งพูดไทยไม่ได้แล้วใช่ไหม!?

 

+++

เรื่องมันควรจะจบแค่ในห้องประชุม… แต่เปล่าเลย!

แน่นอนว่าการเป็นผู้ประสานงานโปรเจกต์ระหว่างประเทศ นอกจากการประชุมแล้ว ยังต้องมีการ 

"ทานข้าวร่วมกัน" เพื่อกระชับความสัมพันธ์และให้แขกต่างชาติรู้สึกสะดวกใจ

และแน่นอน ใครต้องไปดูแล?

ก็ภีมน่ะสิ!

——

นาฬิกาบนข้อมือภีม บอกเวลาใกล้เที่ยงแล้ว และเขาก็ยอมรับว่า วันนี้รู้สึกหิวเป็นพิเศษ หรือว่าใช้พลังงานไปเยอะเกินไปกันแน่?

เสียงร้องจากกระเพาะยืนยันว่าเขาควรหาอะไรกินได้แล้ว... รู้สึกเหมือนพลังชีวิตถูกดูดออกไปจนแทบหมดตัว

ร่างโปร่งรีบสาวเท้าออกจากห้องประชุมโดยไว หวังจะหนีไปแอบหาอะไรกินเงียบๆ คนเดียว

แต่ยังไม่ทันก้าวพ้นเขตสำนักงาน—

เสียงทุ้มกวนๆ ก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงที่มายืนข้างๆ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

เอริคสะบัดเสื้อสูทแบบสบายๆ สาวเท้าเข้ามาประชิด ไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธแม้แต่นิดเดียว

ภีมว่าเขาเดินเร็วแล้วนะ ทำไมก้าวเท้าหนีไอ้บ้านี่ไม่ทันเลย!?

“Let’ s go, Pheem. It’ s lunch time.”

“เอ่อ… ผมมีนัดแล้วครับ” เจ้าเด็กหน้าเหวี่ยง รีบปฏิเสธไปทันที ทั้งที่ยังคิดข้ออ้างไม่ออกด้วยซ้ำ

เอริคเลิกคิ้ว เอียงคอเล็กน้อย ยิ้มเจ้าเล่ห์ ราวกับจงใจยั่วอารมณ์

“Oh? With me?”

อะไรนะ!? ภีมนัยน์ตาเบิกกว้างมองกลับแต่ยังไม่วายรีบเดินเร็วๆ ราวกับจะหนีอะไรบางอย่าง

“Because I already told your boss we’ ll have lunch together.”

ไอ้คุณฝรั่งตัวโต! วางแผนไว้แล้วแน่ๆ!

“คุณบอกบอสแล้วเหรอ!?” ภีมมองหน้าเอริค เขารู้สึกเหมือนถูกหลอกขายตรง

“Yes.” เอริคพยักหน้าเต็มปากเต็มคำ แถมยังยิ้มใสซื่อเหมือนไม่ได้ทำอะไรผิด

“So let’ s go.”

กับดักชัดๆ!

“แต่—”

“ไปกันเถอะ”

เอริคตัดบทหน้าตาเฉย แถมยังโบกมือทักทีมงานที่เดินผ่านไปมา อย่างอารมณ์ดี

 ก่อนจะถือวิสาสะ จับไหล่ภีมเบาๆ ดันให้เดินไปข้างหน้า

——

พักเที่ยงแล้ว...

 ชายร่างสูงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มือหนึ่งหมุนโทรศัพท์เล่น ก่อนปลายนิ้วจะแตะปลดล็อกหน้าจอ

 เผยให้เห็นภาพวอลเปเปอร์ที่เขาตั้งไว้เป็นความลับ

"แมวส้ม..." เจียหยางพึมพำในใจ พร้อมกับมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อย

ภาพบนหน้าจอคือใครบางคน—เด็กหนุ่มผิวขาวที่กำลังดึงคอเสื้อกระพือเบาๆ

 ราวกับพยายามคลายความร้อน น่าจะเป็นช่วงเวลาหลังจากกลับออกมาที่เจอเขาโดยบังเอิญ

 ที่ตู้ขายของอัตโนมติ มาและโดนกวนประสาทไม่น้อย ถึงได้ทำหน้ายุ่งแบบนั้น

เขาได้รูปนี้มาจากกลุ่มไลน์ลับ "น้องภีม FC", กลุ่มที่มีสมาชิกระดับแนวหน้าของบริษัทอยู่หลายคน 

 

คอยอัปเดตภาพถ่ายและข้อมูลของภีมอย่างแข็งขัน

หลี่เจียหยางเหลือบตามองเวลา... เที่ยงตรง

แมวส้มจะกินข้าวหรือยังนะ...

ขาเขาก้าวออกจากห้องทำงานแทบจะโดยอัตโนมัติ ก่อนจะรู้ตัวอีกที ก็เดินมาหยุดอยู่แถวโซนห้องประชุมใหญ่ของบริษัทเสียแล้ว

พลันได้ยินเสียงคุ้นเคย—น้ำเสียงที่แม้จะขึ้นจังหวะวีนเล็กๆ แต่ก็ฟังดูไม่จริงจังมากนัก

เขาหยุดเดิน สายตาจับจ้องไปยังภาพตรงหน้า

ชายต่างชาติร่างสูงกำลังก้มลงพูดอะไรบางอย่างกับภีม 

ใบหน้าคมคายของอีกฝ่ายโน้มเข้าไปใกล้จนแทบจะล่วงล้ำเข้าเขตพื้นที่ส่วนตัวของเด็กหนุ่ม

"หึ..." เจียหยางแค่นเสียงเบาๆ ดวงตาเรียวคมฉายแววไม่สบอารมณ์นัก

ฝรั่งตัวโตยังคงหัวเราะเบาๆ อย่างผ่อนคลาย ตรงข้ามกับภีมที่ดูจะหงุดหงิดเต็มที่

 เด็กหนุ่มตอบกลับไปด้วยคำพูดที่ฟังไม่ออก แต่จากสีหน้าและท่าทางแล้ว คงจะกัดอีกฝ่ายแรงไม่เบา

...มันสนุกมากหรือไง ที่ได้แหย่ภีมแบบนี้?

เจียหยางกอดอก มองรถคันหรูที่กำลังเคลื่อนตัวออกไปจากลานจอดของบริษัท ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้...

ริมฝีปากหยักยิ้มมุมปากเล็กน้อย ขณะหมุนตัวเดินไปยังกลุ่มพนักงานที่กำลังทยอยออกไปทานข้าวกันที่โรงอาหาร

"พวกนาย มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับโปรเจกต์นี้บ้าง?"

กลุ่มพนักงานหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเอียงคอถามอย่างสงสัย

"ถามทำไมอะ?"

เจียหยางไหวไหล่นิดๆ รอยยิ้มจางๆ ยังประดับอยู่ที่ริมฝีปาก

"ช่วยฉันหาข้อมูลหน่อย..." เขาพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ แต่แฝงความหมายบางอย่างในนั้น ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยคำที่ทำให้คนฟังหูผึ่ง

"เดี๋ยวมีค่าตอบแทนให้"