"ภีม ชายหนุ่มผู้มุ่งมั่นหาเงินจนลืมหัวใจ แต่เมื่อพรจากพระแม่ลักษมีพ่วงสามหนุ่มสุดป่วนมาด้วย ชีวิตที่เคยแน่วแน่กลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย และคำถามสำคัญ — สิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ คืออะไรกันแน่?
ตลก,รัก,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน,พล็อตสร้างกระแส,วายบันเทิง,คู่กัด,ปากร้าย,ปากแข็ง,ตกหลุมรัก,ตลก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
พระแม่ครับ..พรที่ขอ..ผมขอคืน"ภีม ชายหนุ่มผู้มุ่งมั่นหาเงินจนลืมหัวใจ แต่เมื่อพรจากพระแม่ลักษมีพ่วงสามหนุ่มสุดป่วนมาด้วย ชีวิตที่เคยแน่วแน่กลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย และคำถามสำคัญ — สิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ คืออะไรกันแน่?
##เมื่อชีวิตมันติดบั๊ก##
ภีมวัจน์ เจ้าหนุ่มไรเดอร์สุดแกร่ง x เจียหยาง หนุ่มลูกครึ่งสุดร้าย และหนุ่มๆ รอบตัว ที่ชวนปวดหัวในแต่ละวัน
เอริค ฮาเกน นักธุรกิจหนุ่มสายเนียน และ ฮารุ หนุ่มรุ่นน้อง ตัวดีที่รู้ทันทุกอย่าง!)
"ก็แค่หาเงินเลี้ยงปากท้อง… แต่ทำไมดันไปติดบั๊กหมาป่าเจ้าเล่ห์ เจ้าหมาโกลเด้นจอมปลอมเจ้าแผนการ และเสือที่พร้อมจะขย้ำได้ตลอดเวลา?"
ภีมวัจน์ เจ้าหนุ่มนักสู้ชีวิต สายหาเช้ากินค่ำ ผู้ใช้ชีวิตแบบ "ไม่กินบุญใคร" เช้าเป็นพนักงานบริษัท เย็นขับไรเดอร์หาเงินเสริม อุดมการณ์ชัดเจน "ผมไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร" แต่แล้วชีวิตก็เหมือนโดนโกงเมื่อเจอ หลี่เจียหยาง หนุ่มลูกครึ่งสุดเพอร์เฟกต์ที่ดูเหมือนจะ "มีแต่ให้" ...แต่แปลกที่เจ้าตัวกลับมองเขาด้วยสายตาล้อเลียนทุกครั้ง
???? จากไรเดอร์ส่งอาหาร สู่ของหวาน(?) ของใครบางคน
“คุณไรเดอร์ครับ เหนื่อยมั้ย?”
“...อะไรของนาย?”
??”? บั๊กแรก: เสือร้ายจอมขี้แกล้ง ??”?
เจียหยาง ลูกครึ่งจีน-เยอรมัน หล่อ รวย แถมขี้แกล้งระดับเทพ(?) ชอบหาเรื่องปั่นประสาทภีมทุกครั้งที่เจอ “ฉันอยากเลี้ยงแมวส้ม” เขาพูดเปรยๆ ก่อนจะเหลือบมองภีมที่กำลังทำหน้าเหมือนจะข่วนใส่!
??”? บั๊กสอง: หมาป่าจอมเจ้าเล่ห์ ??”?
เอริค ฮาเกน มหาเศรษฐี/นักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งนอร์เวย์ เจ้าของบริษัทที่ภีมต้องคอนซัลต์งานให้ ดันสนใจหนุ่มไรเดอร์คนนี้เข้าอย่างจัง... “เธอนี่เหมือนลูกจิ้งจอกจริงๆ นะ ระแวงไปหมด” ภีมขมวดคิ้ว เอริคแค่ยิ้มมุมปาก “แต่ฉันชอบจิ้งจอกนะ”
??”? บั๊กสาม: หมาโกลเด้นท์ผู้รู้ทันทุกอย่าง ??”?
ฮารุ เพื่อนสนิทตัวดีของภีมที่ไม่เคยพลาดสังเกตอะไร! ผู้คอยดูแลใส่ใจตลอด แต่แท้จริงแล้วกลับซ่อนความคลั่งรัก และความรักที่ยึดติด “ให้ผมเป็นหมาน้อยของภีมได้มั๊ยครับ? ผมอยากมีภีมเป็นเจ้าของของผมคนเดียว”
??”? แค่พล็อตเบสิค แต่บั๊กเยอะจนคาดไม่ถึง ??”?
✔️ ฮาแตกทุกซีน กับมุกจิกกัดสุดเฉียบของภีมที่รับมือกับพวกตัวร้าย(?)
✔️ เคมีระหว่างคนซื่อตรง vs คนเจ้าเล่ห์ มันคือสงครามประสาทที่ไร้ผู้ชนะ
✔️ หักมุมยิ่งกว่าถนนในเมือง ชีวิตภีมแค่จะหาเงิน แต่ทำไมมันกลายเป็นละครวายไปได้!?
???? เตรียมตัวให้พร้อมกับนิยายวายสุดปั่น! ที่พระเอกสู้ชีวิต…แต่ชีวิตติดบั๊ก!
#หนุ่มไรเดอร์สายลุย #แต่จะดันโดนหมาป่าจับกิน #ปากร้ายจิกกัด #หักมุมตลอดเรื่อง
เสียงแป้นพิมพ์จากคีย์บอรด์ กระทบกันเป็นจังหวะเบา ๆ
แทรกอยู่ท่ามกลางเสียงพูดคุยเบา ๆ ในออฟฟิศที่เริ่มจะเข้าสู่ช่วงพักเที่ยง
แสงแดดจากภายนอกส่องผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามาเป็นลำแสงสีทองอ่อน ๆ
ให้ความรู้สึกอบอุ่นและง่วงเล็กน้อย
ประตูห้องออฟฟิศถูกผลักออก ก่อนที่เสียงทุ้มสดใสจะดังขึ้นกลางออฟฟิศ
"ทุกคนครับ!! ไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านลุงจั๊วกันเถอะ! เที่ยงนี้ผมเลี้ยงเอง!"
หลี่เจียหยางเดินเข้ามาพร้อมประกาศก้อง ทำเอาคนในทีมเฮ!!กันยกใหญ่
บางคนรีบเก็บของ บางคนลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายอย่างกระตือรือร้นทันทีที่ได้ยินคำว่า "เลี้ยง"
ภีมที่กำลังก้มหน้าก้มตาพิมพ์งานชะงัก เขาเงยหน้าขึ้นจากจอ
สายตาที่มองมาของคนหน้าเหวี่ยง พูดกับคนที่เสนอตัวเป็นเจ้ามือ
"ไม่ต้องเลี้ยงผมหรอก เดี๋ยวผมจ่ายเอง"
"โอ๊ย!! แมวส้ม ทำงานหนักแบบนี้ นายสมควรได้รางวัลนะ! ไปเถอะๆ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำเจ้านี้อร่อยนะ ฉันการันตีเลย”
เจียหยางหัวเราะ ก่อนจะเดินมาใกล้ พลางใช้มือใหญ่ดันไหล่ภีมเบา ๆ
พลางส่งสายตาอ้อน ๆ "ไปเถอะน่า~"
ภีมได้แต่ถอนหายใจ แต่ก็ยอมเก็บของลุกตามไปเงียบ ๆ
+++++++++++++++++++
ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวลุงจั๊ว
ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าดังตั้งอยู่ในตึกแถวเก่าแก่ที่มีอายุมากกว่าสองทศวรรษ แม้ภายนอกจะดูธรรมดา แต่ข้างในกลับคึกคักไปด้วยลูกค้าขาประจำที่รู้กันดีว่าที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องน้ำซุปต้มกระดูกหมูที่เคี่ยวจนหอมหวาน
กลิ่นหอมของน้ำซุปคลุ้งไปทั่วร้านผสานกับกลิ่นของกระเทียมเจียวและหมูแดงย่าง
เสียงหม้อลวกเส้นดังเป็นจังหวะ พร้อมกับพนักงานที่ขยับมือกันไวเป็นพิเศษ
เมื่อเห็นกลุ่มพนักงานออฟฟิศเดินเข้ามากันเกือบสิบชีวิต
โต๊ะไม้เก่าในร้าน ถูกจับจองอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงพูดคุยกันจอแจของพนักงานในออฟฟิศที่ทยอยนั่งประจำที่
เจียหยางที่เดินตามหลังภีมมานั่งลงข้าง ๆ กันโดยไม่ต้องขออนุญาต สีหน้าของเขาดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
ไม่นานนัก ก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่ที่อัดแน่นด้วยเส้นนุ่ม ๆ เนื้อตุ๋นชิ้นโต
และน้ำซุปที่มีฟองมันสีทองลอยบาง ๆ ก็ถูกวางลงตรงหน้าทุกคน
ภีมหยิบพริกป่นขึ้นมาตักใส่ชามของตัวเองตามความเคยชิน กลิ่นเผ็ดร้อนของพริกคั่วโชยขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ก่อนที่เขาจะได้ใช้ช้อนคนให้เข้ากัน—
"ขอลองชิมน้ำซุปหน่อยซิ!! ดูท่าน่าจะอร่อย"
ช้อนของภีมถูกคว้าไปแบบหน้าตาเฉย เจียหยางตักน้ำซุปจากชามของภีมขึ้นมาชิมอย่างไม่ลังเล ก่อนจะพยักหน้าอย่างพอใจ
"อืม รสชาติดีแฮะ"
ภีมหยุดชะงัก มองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจและก้มหน้ากินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คนรอบข้างมองกันไปมา บางคนแอบขำเบา ๆ บางคนแอบกระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง แต่เจียหยางดูพอใจกับปฏิกิริยาของภีมที่ไม่ได้โวยวายหรือออกอาการอะไรเลย
"นายไม่รังเกียจเลยเหรอ?"
"หืม? อะไร?" ภีมเหลือบตามอง เจ้าลูกครึ่งฮ่องกงอย่างงง ๆ
"ก็...ใช้ช้อนเดียวกันไง"
ภีมกระพริบตา ก่อนจะยักไหล่ "อ้อ... ฉันไม่ได้ใส่ใจขนาดนั้น"
พูดจบ เขาก็ซดน้ำซุปต่อหน้าตาเฉย
เจียหยางหัวเราะเบา ๆ ค่อย ๆ เอนตัวพิงพนักเก้าอี้
กอดอกพลางมองภีมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก รอยยิ้มมุมปากของเขายิ่งทำให้คนรอบตัวที่แอบฟังอยู่เริ่มจะรู้สึกว่าอากาศในร้านมันแปลก ๆ ขึ้นมา
ภีมที่รู้สึกถึงสายตานั้นเงยหน้าขึ้นจากชามก๋วยเตี๋ยวเล็กน้อย "อะไรของนายอีก?"
"เปล๊า~"
ภีมขมวดคิ้ว "งั้นก็กินไปเงียบ ๆ เลย อย่าเพิ่งกวนประสาทกันได้มั๊ย?"
"อืม ก็ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย แมวส้ม" เจียหยางหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ท่าทางสบายใจอย่างประหลาด
...วันนี้เจียหยางอารมณ์ดีจังแฮะ
เสียงหม้อลวกเส้นดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ กลิ่นน้ำซุปร้อน ๆ คลุกเคล้ากับกลิ่นกระเทียมเจียวลอยฟุ้งไปทั่วร้านก๋วยเตี๋ยวเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยผู้คน โต๊ะไม้เก่าในมุมหนึ่งถูกจับจองโดยกลุ่มพนักงานออฟฟิศชุดใหญ่ เสียงพูดคุยเฮฮาดังแทรกอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่คึกคัก
ท่ามกลางกลุ่มนั้น มีชายหนุ่มสองคนที่โดดเด่นเป็นพิเศษ
หลี่เจียหยาง ชายหนุ่มลูกครึ่งฮ่องกง-เยอรมัน กับความสูง 185 เซนติเมตร เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างสบาย ๆ
ขายาวๆไขว่ห้าง เท้าศอกกับโต๊ะแล้วเท้าคาง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่สะท้อนแสงอำพันในร้านสลัว ๆ ฉายแววขี้เล่นขณะมองคนตรงหน้า
เจ้าคนหน้าเหวี่ยง ขี้วีนที่ ร่างสมส่วนสูง 177 เซนติเมตร กับผิวขาวอมเหลือง
และเรือนผมสีน้ำตาลแดงที่สะท้อนแสงเล็กน้อย
เขานั่งตรงหน้า ในขณะที่ มือก็ขยับตะเกียบคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวขึ้นซดอย่างตั้งใจ
สีหน้าดูอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยความดื้อรั้นบางอย่าง โดยเฉพาะเมื่อสายตาคมเข้มนั้นตวัดขึ้นมองเจียหยาง
“อะไร?” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วใส่ เมื่อรู้ตัวว่าอีกฝ่ายจ้องนานเกินไป
เจียหยางไม่ได้ตอบในทันที เขายกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มจาง ๆ ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบา ๆ
"แล้วเมื่อไหร่แมวส้มของฉันจะยอมให้ฉันเลี้ยงข้าวบ้างล่ะ?"
ภีมที่กำลังซดน้ำซุปชะงักไปแค่เสี้ยววินาที ก่อนจะตวัดสายตาคมกริบขึ้นมองเจียหยาง
ราวกับเป็นแมวที่หูขยับหงึก ๆ เวลาถูกลูบขนผิดจุด
แต่แทนที่จะเขินหรือหลบสายตา เจ้าตัวกลับยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะสวนกลับทันที
"ผมไม่ใช่แมวส้มซักหน่อย" เจ้าตัวพูดชัดถ้อยชัดคำ พร้อมยักคิ้วกวน ๆ ก่อนจะเสริมต่อ
"แล้วก็... ผมโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องเป็นภาระใครให้มาเลี้ยงหรอกนะครับ คุณหลี่"
เจียหยางหัวเราะเบา ๆ ใช้ตะเกียบหมุนลูกชิ้นไปมาในชามตัวเอง ก่อนจะเอนตัวเข้าไปใกล้อีกนิด
"อ้อเหรอ?" เขาเท้าคางกับโต๊ะ รอยยิ้มขี้เล่นยังคงติดอยู่ที่มุมปาก ดูท่าเจ้าตัวจะสนุกกับการแหย่แมวนะ
"แต่ฉันว่าบางทีแมวส้มก็ต้องมีคนดูแล เอาใจใส่ เหมือนกันน๊า โดยเฉพาะเวลาโดนแซว และกำลังโมโหจนขนฟูแบบนี้นี่ไง"
ภีมวางช้อนลงดัง แก๊ง กระดิกนิ้วเรียกเจียหยางให้เข้ามาใกล้ ๆ คล้ายจะกระซิบอะไรบางอย่าง
เจียหยางขยับเข้ามาอย่างเต็มใจ แต่วินาทีที่หน้าเขาอยู่ใกล้กับภีมมากขึ้น...
"ผมไม่ใช่แมวส้ม!! ไอ้เจ้าบ้านี่... ต้องให้บอกกี่ครั้งกันฮ๊ะ!!" เสียงประโยคท้ายดังขึ้นกระแทกหู
เสียงโวยวายของภีมทำเอาคนในร้านหันขวับมามองเป็นแถว พร้อมเสียงหัวเราะเบา ๆ จากเพื่อนร่วมโต๊ะที่เริ่มเมาท์กันสนุก
เจียหยางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้
"ก็ได้ ๆ~ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่" แต่รอยยิ้มขี้เล่นยังไม่หายไปจากใบหน้า
ภีมจ้องอีกฝ่ายเขม็งก่อนจะเบ้ปาก
"ดีมาก เลิกเรียกซักที"
แต่ยังไม่ทันที่ภีมจะยกช้อนขึ้นมาตักน้ำซุปต่อ เจียหยางก็ยักไหล่
ก่อนจะยื่นมือมาคีบหมูในชามภีมเข้าปากหน้าตาเฉย พร้อมพูดเสียงสบาย ๆ
"งั้นฉันเลิกเรียกนายว่าแมวส้ม ก็ได้ แต่จะเรียกนายว่า ‘ที่รัก’ ก็แทนแล้วกัน"
ภีมที่กำลังซดน้ำซุปถึงกับสำลักแทบพ่นออกมา
เจ้าตัวรีบวางช้อนลงแล้วไอค่อกแค่ก หน้าแดงก่ำไม่รู้เพราะเผ็ด หรือเพราะประโยคสุดท้ายของเจียหยางกันแน่
"แค่ก ๆ ๆ!! นาย...พูดบ้าอะไรเนี่ย!" ภีมถลึงตามอง มือควานหาทิชชู่เช็ดปากตัวเองวุ่นวาย
เจียหยางหัวเราะเบา ๆ พลางยื่นขวดน้ำให้ "ใจเย็นสิ แมวส้ม... เอ๊ย ไม่ใช่สิ 'ที่รัก' ของฉัน"
"เจียหยาง!!" ภีมแทบจะกระโดดข้ามโต๊ะไปบีบคออีกฝ่าย ดีที่เพื่อนร่วมโต๊ะห้ามไว้ทัน
"โอ๊ย ๆ พอแล้ว..พอเถอะพวกแก จะกินกันไม่อิ่ม ก็เพราะเขินกันเองแล้วเนี่ย" เพื่อนคนหนึ่งแซวพลางหัวเราะ เพื่อห้ามศึกนี้ลง
ภีมถึงกับกุมขมับ กัดฟันแน่น ก่อนจะกระซิบลอดไรฟันด้วยความหงุดหงิดสุดขีด
"ถ้านายยังไม่หยุดพูดตอนนี้ ฉันจะยัดลูกชิ้นใส่ปากนายจนเคี้ยวไม่ทันเลยคอยดู..."
เจียหยางหัวเราะในลำคอ โน้มตัวเข้ามาใกล้พร้อมกระซิบตอบเบา ๆ
"ถ้าภีมป้อน... ฉันก็ยอมอ้าปากรับนะ"
—เสียง "ปั่ก!" ดังขึ้นทันที เมื่อภีมฟาดตะเกียบลงกลางหน้าผากเจียหยาง—
คนในร้านหันมามองอีกครั้ง ขณะที่ภีมนั่งก้มหน้าก้มตากินก๋วยเตี๋ยวต่ออย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง
ในขณะที่เจียหยางยกมือถูหน้าผากตัวเองเบา ๆ แต่ก็ยังไม่เลิกยิ้ม
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ความเงียบในร้าน ที่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวอย่าสงบไปได้ซักพัก ใหญ่
"หลี่เจียหยาง!! เอาหมูชั้นคืนมาเดี๋ยวนี้!!!"
เสียงโวยวายรอบที่สองดังขึ้น ขณะที่เจียหยางกำลังหัวเราะขำ หยิบตะเกียบคีบลูกชิ้นในชามตัวเองโยนใส่ชามภีมแทน
"แลกกันไง ยุติธรรมดีออก"
ภีมมองลูกชิ้นในชามตัวเองนิ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจียหยางที่ยังนั่งยิ้มหน้าระรื่น
"งั้นเอาไปทั้งชามเลยมั๊ย? ฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลากินแล้ว!"
เจียหยางหัวเราะอีก ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้
"โอ๊ะ แบบนี้ก็ได้เหรอ? อยากป้อนให้ฉันขนาดนั้นเลย?"
ภีมคว้าตะเกียบชี้หน้าเจียหยางทันที "ถ้านายยังจะกวนประสาทฉันอีก ฉันจะเอาตะเกียบจิ้มตานายให้บอดไปซะให้รู้แล้วรอด!"
เจียหยางนั่งตรงข้ามกับกับงภีมมองคนตรงหน้า ด้วยดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายซุกซนอย่างชัดเจน
"โอ้โห ดุขนาดนี้... ถ้าฉันตาบอดจริง ๆ ก็คงเป็นเพราะโดนแมวส้มข่วนซินะ"
ภีมเบี่ยงหน้าหลบพลางขมวดคิ้วแน่น "ใครแมวส้มกันวะ?"
"ก็นายไงล่ะ~" เจียหยางยักคิ้ว ก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วหยิบตะเกียบคีบลูกชิ้นจากชามของตัวเองขึ้นมา
"แต่เอาจริง ๆ ถ้าฉันบอดจริง ๆ นายต้องดูแลฉันทั้งชีวิตนะ?"
ภีมกลอกตา ถอนหายใจยาวเหยียด
"ไม่มีทางอ่ะ ถ้าบดจริๆก็ถือซะว่านายโชคร้ายละกัน ที่กวนประสาทคนตอนกำลังกินก๋วยเตี๋ยว"
เจียหยางหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะเท้าคางมองภีมด้วยแววตาเป็นประกาย
"งั้นถ้าฉันโชคร้ายแบบที่ว่า และต้องพึ่งนายแล้วหล่ะ เพราะถ้านายเป็นคนลงมือล่ะก็...ฉันก็จะยอมโชคร้ายไปทั้งชีวิตเลยก็ได้นะ"
ภีมหยุดมือที่กำลังคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวกลางอากาศ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหลือเชื่อ
“โอ้ย คุณหลี่ครับ!! นี่คุณได้ฟังตัวเองพูดอยู่ไหมเยี่ย? พูดอะไรออกมาไม่อายปากบ้างหรอกเหรอ?"
"แล้วทำไมฉันต้องอายด้วยล่ะ?" เจียหยางยักไหล่ "ก็ฉันแค่พูดความจริง"
ภีมวางตะเกียบลงกับขอบชามอย่างแรง จนเสียงกระทบกันดัง ‘แกร๊ง’
"ถ้านายไม่เลิกพูดอะไรบ้าๆน่าอาย ฉันจะลุกหนีแล้วนะ"
"จะหนีไปไหนล่ะ? ฉันจ่ายก๋วยเตี๋ยวให้นายแล้วน้า อยู่กินให้หมดก่อนซิ" เจียหยางยิ้มกริ่ม รู้ดีว่าภีมไม่ชอบติดหนี้ใคร
ภีมชะงัก แล้วหันขวับไปจ้องหน้าอีกฝ่ายตาเขียวปั๊ด
"บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเลี้ยง!"
"เอ้า!! ทำไงได้ล่ะ ก็เมื่อกี้ฉันลุกไปเข้าห้องน้ำ พี่ร้านเค้าเก็บตังค์ ฉันจะทำไงได้อะ?"
เจียหยางยกมือทำท่าทางยอมจำนน แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับฟ้องหมดว่าเจ้าตัวตั้งใจชัด ๆ
ภีมกัดฟันกรอด ก่อนจะก้มหน้าก้มตากดมือถือเร็วปรื๊ด
"เอาเบอร์วอลเลตนายมาเลย!"
เจียหยางหัวเราะหนักกว่าเดิม โน้มตัวข้ามโต๊ะมากระซิบเบา ๆ
"ถ้าจะโอนให้ฉัน... ขอโอนเพิ่มอีกนิดได้ไหมล่ะ? เผื่อค่าดูแลตอนฉันแก่ด้วยไง"
ภีมแทบจะฟาดหน้าจอโทรศัพท์ใส่หน้าอีกฝ่าย "อยากตายใช่ไหม!"
เจียหยางเอนหลัง หัวเราะจนไหล่สั่น ก่อนจะยักคิ้วส่งท้าย เขาดูจะสนุกกับการแห่..แมวส้ม
"ถ้าจะตายก็ขอตายในอ้อมกอดแมวส้มละกันนะ~"
ภีมเบ้ปาก ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินก๋วยเตี๋ยวต่อ โดยไม่รู้เลยว่าหูของตัวเองแดงจนเจียหยางแทบอดใจแกล้งต่อไม่ไหว
“อะไรอีก?” ภีมขมวดคิ้ว เมื่อรู้ตัวว่าอีกฝ่ายจ้องมองอยู่
เจียหยางไม่ได้ตอบในทันที เขายกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มจาง ๆ ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบา ๆ
“นายเป็นคนจริงจังกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ตลอดเลยเหรอไง?”
ภีมเหลือบตามอง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดการก๋วยเตี๋ยวของตัวเองต่อ “แล้วไง?”
“ฉันก็แค่แปลกใจ ก็แค่นั้น” เจียหยางส่ายหัวน้อย ๆ พลางหัวเราะเบา ๆ
“ก็..เราเพิ่งมากินก๋วยเตี๋ยว ด้วยกันแท้ ๆ แต่ไม่ยอมให้ฉันเลี้ยง ทั้งๆที่ ฉันก็บอกแล้วว่าจะเลี้ยงเอง”
ภีมละสายตาจากชามก๋วยเตี๋ยว เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายตรง ๆ แล้วถอนหายใจยาว
ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดแอปพลิเคชันโอนเงิน
“ไม่เอาอะ ฉันไม่อยากติดหนี้บุญคุณใคร โดยเฉพาะนาย เอาเบอร์วอลเลตนายมาตอนนี้เลย
ไม่งั้น นายก็ไม่ต้องมานี่ และไม่ต้องมาคุยกันอีก”
“เฮ้ย!” เจียหยางหัวเราะเสียงดัง ยกมือขึ้นปราม
“โอเค ๆ ยอมแล้ว ๆ เอาไป ให้ก็ได้” เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาพิมพ์เบอร์ให้อย่างเสียไม่ได้ แต่รอยยิ้มมุมปากกลับไม่จางหาย
ภีมกดยืนยันโอนเงินทันที แล้วเงยหน้ามองเจียหยางด้วยสายตาจริงจัง
“ต่อไป อย่าเลี้ยงอีกนะ มันไม่ใช่เรื่องอะไรขนาดนั้น”
เจียหยางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ “คนอะไร พูดจาห้วนชะมัด”
เขาไม่แน่ใจว่าควรจะหงุดหงิดหรือเอ็นดูดี แต่สิ่งที่เขารู้แน่ ๆ คือความจริงจังของภีมนั้นเป็นเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครเลย
เพราะสำหรับเจียหยาง การเลี้ยงข้าวคนอื่นกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว มันเหมือนความเคยชินที่ติดตัว
เขาชอบซื้อขนมมาแจกทีม ชอบจ่ายค่าเครื่องดื่มเวลาไปกินข้าวกับเพื่อน และไม่เคยสนใจเรื่องเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านั้นสักนิด
อาจเป็นเพราะสำหรับเขา... การเห็นคนรอบข้างมีความสุขมันคุ้มค่ากับเงินทุกบาททุกสตางค์ และอีกอย่างหนึ่ง..มันคือการซื้อใจคน
แต่ภีมกลับไม่เหมือนคนอื่น—เขาไม่ยอมรับน้ำใจง่าย ๆ ไม่ใช่เพราะหยิ่ง แต่เพราะภีมไม่อยากให้ใครต้องรู้สึกว่าเขา ‘ติดหนี้’
“ฉันก็แค่ไม่ชอบติดหนี้ใครก็เท่านั้น นาย...อย่าเข้าใจผิดไปล่ะ ฉันขอรับแค่น้ำใจนายก็พอแล้ว” ภีมพูดซ้ำ ย้ำความตั้งใจแน่วแน่
เจียหยางหัวเราะเบา ๆ “เข้าใจล่ะคร๊าบบ...แมวส้ม”
เขารู้ดีว่าภีมไม่ใช่คนพูดเล่น และยิ่งรู้ว่าการเลี้ยงข้าวเจ้าตัวไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น...
ก็ยิ่งทำให้เจียหยางรู้สึกอยากลองเลี้ยงอีกสักรอบ
เพราะดูเหมือนว่าการแกล้งเปย์ใส่ภีม... จะเป็นอีกหนึ่งความสนุกที่เขาเริ่มจะติดใจกับท่าทางลำบากใจของอีกฝ่าย
บรรยากาศรอบตัวเริ่มสงบลงเล็กน้อยหลังจากทุกคนกินก๋วยเตี๋ยวจนอิ่มแปล้
โต๊ะถูกเก็บเรียบร้อย เสียงพูดคุยยังคงดังเจื้อยแจ้ว
ในร้านยังมีกลิ่นน้ำซุปจาง ๆ ลอยอวลอยู่ ขณะที่ลมเย็นยามค่ำคืนพัดเอื่อย ๆ ผ่านถนนหน้าร้า
เหล่าเพื่อนพนักงานที่มาด้วยกัน กำลังทยอยเดินออกมารวมตัวกันที่ลานจอดรถ
นีน่ากอดอก มองภีมด้วยสายตาเป็นประกายเหมือนเจอของหายาก ก่อนจะยิ้มกริ่มพลางเอียงคอทำท่าอ้อน ๆ
"โอ้โห พี่ภีมของเรา ร้านนะเนี่ย!" เธอแทบจะเอามือทาบอก ทำหน้าตื่นเต้นสุดขีด
"ขอเปลี่ยนข้างมาเชียร์คู่นี้เลยได้มั้ย!?" สามเจ๊ของทีมพยักหน้าพร้อมกัน หัวเราะคิกคักอย่างเมามัน
ภีมที่เดินถือกระเป๋าออกมาจากร้าน ชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อเห็นว่าตัวเองตกเป็นหัวข้อสนทนาอีกแล้ว
เขาเผลอถอนหายใจยาวอย่างปลง ๆ ก่อนจะรีบก้าวฉับ ๆ ไปที่ลานจอดรถ แต่ก็ไม่พ้นเสียงแซวที่ดังตามหลังมา
"โอ๊ย พวกเจ๊! เลิกแซวได้แล้ว!" ภีมจิกเสียงดุ ทำหน้าหงุดหงิดสุดฤทธิ์
แต่..............กลับดูไม่น่ากลัวเลยสักนิด ตรงกันข้าม—มันออกจะน่ารักน่าแกล้งเสียมากกว่า
"อ้าว ทำไมล่ะ?" นีน่าทำหน้าตาใสซื่อ แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์สุด ๆ
"ไม่ต้องมาทำเป็นไร้เดียงสาเลย! ยัยตัวแสบ" ภีมเบ้ปาก กอดอกแน่น ก่อนจะรีบเดินหนีไปที่รถ
แต่ก็ยังไม่เร็วพอจะหนีพ้น—เจียหยาง
อีกฝ่ายเดินตามมาติด ๆ เขาเดินเอามือซุกกระเป๋ากางเกง สายตาเป็นประกายสนุกสนาน
และโน้มตัวเข้าไปกระซิบเบา ๆ ข้างหูภีม เสียงทุ้มต่ำเจือความเจ้าเล่ห์
"ก็ดีนะ..."
ภีมหยุดกึก หันขวับไปมองอีกฝ่ายตาขวาง "อะไรดี?"
เจียหยางยกยิ้มขี้เล่น โน้มตัวลงมาใกล้อีกนิด "ฉันก็เชียร์ตัวเองอยู่เหมือนกัน"
ภีมคิ้วกระตุก ใบหน้าขึ้นสีเล็กน้อยก่อนจะรีบปรับสีหน้ากลับเป็นเหมือนเดิม
"แล้วนายจะมากวนฉันทำไมเนี่ย!?"
เจียหยางหัวเราะเบา ๆ ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ "ก็นายเป็นแมวส้มน่ารักของฉันนี่นา"
"ผมไม่ใช่แมวส้ม! เลิกเรียกซักทีจะได้มั๊ย!"
เสียงโวยวายของภีมดังลั่นจนไปถึงกลุ่มเพื่อนร่วมงานที่กำลังรออยู่ ทำให้เกิดเสียงกรี๊ดกร๊าดอีกระลอก
พวกเจ๊ ๆ หัวเราะกันจนแทบจะลงไปนั่งกุมท้อง
ขณะที่เจียหยางเพียงแค่หัวเราะเบา ๆ เอื้อมมือไปลูบหัวภีมหนึ่งที
ก่อนจะเดินไปที่รถของตัวเองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทิ้งให้ภีมยืนกำหมัดแน่น ขบฟันกรอด …แล้วเจ้าพวกนี้จะเลิกแซวกันเมื่อไหร่กันเนี่ย!?