หลินซือหยู หญิงสาวจากโลกปัจจุบัน ถูกจี้หยกพาดิ่งสู่อดีตอันโหดร้ายของเมืองฉางอานแห่งราชวงศ์ถัง เธอต้องเผชิญกับกบฏ สงคราม ความรัก และโชคชะตาที่ผูกพันกับแม่ทัพจ้าวหย่งเฉิน จี้หยกกลายเป็นทั้งพลังแห่งความหวังและคำสาป เธอจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ หรือยอมสละทุกสิ่งเพื่อคนที่รักได้หรือไม่?
ชาย-หญิง,จีน,เกิดใหม่,ย้อนยุค,ข้ามเวลา,ดราม่า,จีนโบราณ,นิยายจีน ,นิยายจีนโบราณ,ย้อนเวลา,ย้อนยุค,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เงาจันทร์ซ่อนพันฤดูหลินซือหยู หญิงสาวจากโลกปัจจุบัน ถูกจี้หยกพาดิ่งสู่อดีตอันโหดร้ายของเมืองฉางอานแห่งราชวงศ์ถัง เธอต้องเผชิญกับกบฏ สงคราม ความรัก และโชคชะตาที่ผูกพันกับแม่ทัพจ้าวหย่งเฉิน จี้หยกกลายเป็นทั้งพลังแห่งความหวังและคำสาป เธอจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ หรือยอมสละทุกสิ่งเพื่อคนที่รักได้หรือไม่?
หลินซือหยู นักศึกษาประวัติศาสตร์สาวจากยุคปัจจุบัน ถูกจี้หยกโบราณพาดิ่งสู่ราชวงศ์ถังอันรุ่งโรจน์แต่เต็มไปด้วยเงามืด เธอตื่นขึ้นในร่างของ หลินซือเยว่ ลูกสาวขุนนางที่ถูกวางยาพิษ และต้องเอาตัวรอดท่ามกลางแผนกบฏขององค์ชายสามที่หมายโค่นบัลลังก์ ด้วยไหวพริบและความรู้สมัยใหม่ ซือหยูจับมือกับ จ้าวหย่งเฉิน แม่ทัพหนุ่มผู้แบกปมจากตระกูลที่ล่มสลาย เพื่อล้างมลทินและปกป้องเมืองหลวง จากความไม่ลงรอยกลายเป็นความรักที่ลึกซึ้งใต้แสงจันทร์
การผจญภัยข้ามกาลเวลา ความรักที่ท้าทายโชคชะตา และการตัดสินใจที่อาจเปลี่ยนประวัติศาสตร์ คุณพร้อมหรือยังที่จะตามซือหยูไปค้นหาคำตอบใต้เงาจันทร์?
เสียงความวุ่นวายภายนอกสงบลงแล้ว เป็นค่ำคืนที่ทำให้หลินซือหยูจดจำไม่ลืม จากที่เคยร่ำเรียนเพียงแค่ในห้องเรียนเกี่ยวกับสงครามในวิชาประวัติศาสตร์ ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งเธอจะได้มาอยู่ร่วมในเหตุการณ์จริงแบบนี้
ความสงบมาพร้อมกับเช้าวันใหม่ที่มอบความหนาวเย็นลอยเข้ามาสัมผัสผิวกายของเธอที่กำลังหลับไหลอยู่ในเต็นท์ท่ามกลางกลิ่นควันไฟและคราบเลือดแห้งกรังจากเหตุการณ์โจรบุกเมื่อคืน เธอนอนหลับบนเสื่อผ้าที่หย่งเฉินจัดให้ เสียงฝีเท้าของทหารที่เดินไปมานอกเต็นท์ดังเป็นจังหวะประสานกับเสียงลมที่พัดผ่านผ้าใบเต็นท์ เธอรู้สึกตัวแล้วหลังจากที่นอนหลับมาตลอดคืน เปลือกตาเปิดขึ้นอย่างช้า ๆ ร่างกายยังคงหนักอึ้งเพราะความเหนื่อยล้าจากการหนีและการเผชิญหน้ากับอันตรายเมื่อคืนนี้
“ตื่นแล้วหรือ” เสียงทุ้มของจ้าวหย่งเฉินดังขึ้นจากทางเข้าทำให้เธอสะดุ้ง
ซือหยูยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางมองไปเห็นเขายืนอยู่ที่ปากเต็นท์ ชุดเกราะของเขายังเปื้อนคราบเลือดแห้งจากคืนก่อน ใบหน้าคมเข้มของเขาดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย แต่ดวงตายังคงเย็นชาและเฉียบคม
“มอร์นิ่งค่ะ” เธอเอ่ยทัก
“มอ... มอร์นิ่ง? เจ้าพูดอะไรแปลกๆ อีกแล้ว ภาษาของเจ้ามันพิกลนัก ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน มันหมายความว่าอย่างไร”
“ทักทายตอนเช้าค่ะ”
“เอาเถอะ รีบลุกขึ้น เราจะต้องออกเดินทางไปเมืองหลวงทันที” หย่งเฉินพูดโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสพูดอะไรต่อ “ข้าต้องรายงานเหตุการณ์เมื่อคืน และหาคำตอบเกี่ยวกับเจ้าและตระกูลหลิน” เขาโยนเสื้อคลุมสีน้ำตาลให้เธอ “ใส่มันเสีย สภาพเจ้าตอนนี้ดูเหมือนขี้ข้าที่หลงป่า”
ซือหยูมองเสื้อคลุมในมือด้วยความงุนงง “ไปเมืองหลวงเหรอ ทำไมต้องไป...” เธอพูดขณะพยายามลุกขึ้น ชุดผ้าไหมของเธอยังขาดวิ่นจากการหนีเมื่อคืน
“โจรคอยตามล่าเจ้า ถ้าอยู่ที่นี่ เจ้าตายแน่”
“แต่ฉัน... ฉันยังไม่พร้อม”
“ข้าจะใช้เจ้าเป็นเหยื่อล่อเพื่อหาความจริง” เขาตัดบทแล้วเดินออกไป
“เหยื่อล่อ?” เธอพึมพำ หัวใจเต้นแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีทางเลือกสักเท่าไหร่
“ถ้าเจ้าไม่ไป ก็อยู่รอความตายที่นี่” เขาย้ำด้วยน้ำเสียงและท่าทีหนักแน่น
เธอรู้สึกถึงน้ำหนักของคำพูดหย่งเฉินเป็นอย่างดี เขาไม่ได้พูดเล่น แต่เธอก็ยังไม่พร้อมจริง ๆ มันกะทันหันเกินไป
ไปเมืองหลวงเหรอ แล้วฉันจะไปทำไม
หย่งเฉินมองเธอที่ยังนิ่งเฉยด้วยสายตาสงสัยก่อนจะพูดต่อ “เจ้ามีทางเลือกด้วยหรือ ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่ โจรพวกเมื่อคืนอาจกลับมาอีก” เขาพูดก่อนจะเดินออกไปทิ้งเธอให้เปลี่ยนชุด
ซือหยูได้ฟังก็รีบสวมเสื้อคลุมอย่างลนลาน มันกว้างเกินไปสำหรับคนตัวเล็กอย่างเธอ แต่ก็ช่วยปกปิดชุดที่ขาดวิ่นได้ เธอหันไปหยิบจี้หยกที่วางอยู่ข้างเสื่อ มันเย็นลงแล้ว แต่ยังคงมีแสงสีเขียวจาง ๆ เล็ดลอดออกมาเมื่อเธอสัมผัส ก่อนจะเดินออกจากเต็นท์ไปพบหย่งเฉิน เธอมองเห็นเขานั่งอยู่บนม้าสีน้ำตาลเข้ม รอเธออยู่ข้างรถเกวียนที่ทหารเตรียมไว้
“ขึ้นมา” เขาสั่ง
เธอลังเลเล็กน้อยก่อนจะปีนขึ้นเกวียนด้วยความช่วยเหลือจากทหารคนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคงจะทุลักทุเลมากกว่านี้
แสงแดดสาดส่องผ่านต้นไม้ใหญ่ในป่าที่พวกเขาเดินทางผ่าน เสียงม้าก้าวเท้าดังก้องเป็นจังหวะ ซือหยูมองไปรอบ ๆ มันเป็นบรรยากาศในแบบที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยคนในชุดโบราณ พ่อค้าที่ตะโกนขายของ และนักเดินทางที่ขี่ม้าผ่านไปมา เธอหันไปมองหย่งเฉินที่ขี่นำหน้า เขาดูสง่างามแต่ก็ยังคงดูลึกลับในชุดเกราะนั้น ใบหน้าของเขายังคงไร้รอยยิ้มเช่นเคย
“คุณแม่ทัพ” เธอเรียกเขา “ฉันจะช่วยคุณหาความจริงเกี่ยวกับตระกูลหลินได้ยังไง ฉันจำอะไรเกี่ยวกับตระกูลนี้ไม่ได้เลย”
หย่งเฉินหันมามองเธอด้วยสายตาที่สงสัยก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นลูกสาวตระกูลหลิน แต่บอกว่าจำอะไรไม่ได้งั้นหรือ”
“ใช่ ฉันไม่ได้แกล้งนะ แต่ฉันจำไม่ได้จริงๆ”
“หลินซือเยว่ ลูกสาวคนเล็กของตระกูลหลินถูกวางยาพิษเมื่อสามวันก่อน เพราะนางรู้ความลับเกี่ยวกับขบวนการกบฏในเมืองหลวง เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ใช่นาง แต่ทำไมโจรถึงตามล่าเจ้า และทำไมเจ้าถึงได้มีจี้หยกของตระกูลหลิน”
ซือหยูรู้สึกถึงความกดดันจากคำถามนั้น “ฉันบอกแล้วไง ฉันไม่รู้! ฉันไม่ใช่หลินซือเยว่ ฉันชื่อหลินซือหยู” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มหงุดหงิด
หย่งเฉินหยุดม้าของเขา มองเธอด้วยสายตาที่เฉียบคม “ถ้าเจ้าไม่ใช่หลินซือเยว่ แล้วทำไมเจ้าถึงมาอยู่ในร่างของนาง ข้าต้องการคำตอบที่สมเหตุสมผล เพราะใบหน้าของเจ้าเหมือนกับใบหน้าของนางราวกับเป็นคน ๆ เดียวกัน” เขาพูดก่อนจะขี่ต่อไป
ซือหยูเงียบไปชั่วขณะ เธอรู้ว่าเธอไม่สามารถบอกความจริงเกี่ยวกับการที่เธอย้อนเวลามาจากอนาคตได้ มันไม่สมเหตุสมผลอย่างที่เขาต้องการหรอก โดยเฉพาะในยุคสมัยแบบนี้ คงไม่มีใครเชื่อว่าเธอย้อนเวลามาจริง ๆ
เธอตัดสินใจเปลี่ยนคำถาม มันดูเป็นเรื่องง่ายมากกว่าการที่เธอจะต้องมานั่งอธิบายในเรื่องที่ยากจะเชื่อ “แล้วคุณล่ะ ทำไมคุณถึงสนใจตระกูลหลินขนาดนี้”
หย่งเฉินหันมามองเธอ แม้ดวงตาของเขาจะมีความแค้นแต่มันก็มีแววของความโศกเศร้าที่ซ่อนอยู่ “ตระกูลของข้าถูกใส่ร้ายว่าเป็นกบฏเมื่อสิบปีก่อน พ่อและพี่ชายของข้าถูกประหาร ข้าสาบานว่าจะปกป้องราชสำนักและล้างมลทินให้ตระกูลของข้า หากตระกูลหลินเกี่ยวข้องกับกบฏ ข้าจะไม่ปล่อยผ่าน”
“ฉัน... ฉันไม่รู้หรอกนะว่าตระกูลหลินทำอะไร แต่ถ้าฉันช่วยคุณได้ ฉันจะช่วย” เธอพูดโดยไม่แน่ใจว่าเธอจะทำได้จริงหรือไม่
หย่งเฉินมองเธอนิ่ง ๆ ก่อนจะพยักหน้า “ดี ถ้าเจ้าคิดจะเป็นพันธมิตรกับข้าจริง ๆ ข้าจะให้โอกาสเจ้า แต่ถ้าข้าพบว่าเจ้าโกหก คงรู้นะว่าข้าจะทำอย่างไร”
ซือหยูพยักหน้ารับ เธอรู้ดีว่าคำตอบของเขาคงไม่พ้นฆ่าเธอให้ตาย เธอก็ไม่ได้อยากตายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเธอจะไม่ยอมทำอะไรให้ตัวเองเสี่ยงตกอยู่ในอันตรายเด็ดขาด
เธอนั่งเงียบอยู่บนเกวียนไปตลอดทาง แต่ความอยากรู้ของเธอไม่ได้สงบลงเลยแม้แต่น้อย เมื่อเธอเห็นว่าพอจะมีจังหวะให้ได้ซักถามเกี่ยวกับเรื่องราวของตระกูลหลิน เธอจึงแอบลอบถามทหารที่ขี่ม้าอยู่ท้ายขบวน เพราะหากถามหย่งเฉินไปคงจะได้แต่คำตอบแบบเดิม ซึ่งเธอมั่นใจว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น เพียงแต่เขาเลือกที่จะไม่เล่าออกมา
“นี่ ฉันถามอะไรหน่อยสิ”
“อะไรของเจ้า” ทหารที่ขี่ม้าตามหลังกล่าวย้อนด้วยน้ำเสียงออกจะหงุดหงิดอยู่หน่อย ๆ
“ตระกูลหลินเป็นยังไงอะ แล้วทำไมถึงตกเป็นเป้าสงสัยได้ล่ะ”
ทหารคนนั้นเบนสายตาไปมองท่านแม่ทัพจ้าวด้านหน้าเล็กน้อยอย่างเป็นกังวล พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้หันมามองจึงรีบเล่าให้เธอฟังด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนัก “ตระกูลหลินเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ในราชวงศ์ถัง มีฐานะสูงส่งมานับร้อยปี พวกเขาเคยเป็นที่ปรึกษาของจักรพรรดิถังไท่จง แต่เมื่อสองทศวรรษก่อน ตระกูลนี้เริ่มเสื่อมลงเพราะการเมืองในราชสำนัก คุณชายหลินจือเฉิน รับหน้าที่หัวหน้าตระกูล ตอนนี้ถูกจับกุมฐานสมคบกับกบฏ ส่วนคุณหนูหลินซือเยว่ ลูกสาวคนเล็ก อายุยี่สิบสามปี เป็นคนเงียบขรึมแต่ฉลาด มีข่าวลือว่านางรู้ความลับเกี่ยวกับองค์ชายสามผู้วางแผนโค่นบัลลังก์ และนั่นทำให้ตระกูลนี้ตกเป็นเป้าของศัตรูทั้งในและนอกราชสำนัก”
ซือหยูคิดพลางขมวดคิ้วก่อนจะถามต่อ “องค์ชายสามคิดกบฏงั้นเหรอ แล้วพ่อแม่ของหลินซือเยว่ล่ะ”
“พ่อของคุณหนูหลินซือเยว่ก็คือคุณชายหลินจือเฉินนั่นแหละ ตอนนี้ถูกขังในคุกใต้ดินเมืองหลวง ส่วนนายหญิงหลินหลานหยิน สิ้นชีวิตไปเมื่อห้าปีก่อนด้วยโรคประจำตัว เหลือเพียงคุณชายหลินจือเซิง พี่ชายของหลินซือเยว่ ที่ยังบริหารตระกูล แต่เขาก็ถูกจับตามองเป็นพิเศษจากราชสำนัก ภายในตระกูลก็มีข่าวลือว่ามีคนคิดทรยศ อาจเป็นสาเหตุที่คุณหนูหลินซือเยว่ถูกลอบวางยาพิษ”
ตระกูลหลินมีศัตรูเยอะขนาดนี้...
ฉันจะอยู่ในร่างของคนที่ถูกหมายหัวได้ยังไงเนี่ย!
ซือหยูได้ฟังก็รู้สึกถึงความหนักอึ้งในอก พลางยกมือขึ้นมาจับจี้หยกไว้แน่น มันเริ่มร้อนเล็กน้อยเมื่อเธอคิดถึงคำว่า ‘องค์ชายสาม’
มันกำลังต้องเตือนอะไรฉันหรือเปล่านะ
เธอหันไปมองหย่งเฉินที่ขี่ม้านำหน้าพลางคิด
เขาคงรู้เรื่องนี้มากกว่านี้แน่ ๆ
ไม่รู้ว่าเป็นระยะเวลานานเท่าใดแต่หลินซือหยูรู้สึกว่าเธอถูกพานั่งเกวียนมานานมากแล้ว พอไม่มีนาฬิกาก็ทำให้เธอออกจะรู้สึกเบื่ออยู่หน่อยๆ เพราะไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ตอนเรียนวิชาประวัติศาสตร์ก็พอจะมีบอกอยู่ว่าคนสมัยก่อนเขาดูเวลากันยังไง แต่เธอไม่ได้จะใส่ใจฟัง ตอนนี้ก็เลยนึกไม่ออก แต่ในระหว่างนั้นเธอเบนสายตามองออกไปไกล ๆ ก็พบว่าเธอเริ่มมองเห็นหลังคาดินเผาสีแดงอยู่รำไร ทำให้เธอพอจะคาดเดาเอาได้ว่าอีกไม่นานก็คงจะเดินทางถึงเมืองหลวงสักที
หรือจริง ๆ แล้วตระกูลหลินก็ถูกใส่ร้ายเหมือนกับตระกูลของหย่งเฉินสินะ
อยู่ ๆ จี้หยกในมือของเธอก็เริ่มร้อนขึ้นอีกครั้ง เธอคลายมือออกดู พบว่าจี้หยกมันเริ่มส่องแสงสว่างมากขึ้นตามอุณหภูมิที่สูงขึ้น เธอเริ่มรู้โดยสัญชาตญาณว่านี่คือสัญญาณของการแจ้งเตือนว่ากำลังจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น แต่เธอไม่รู้ว่าไอ้ ‘บางอย่าง’ ที่ว่า มันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี เธอเงยหน้ามองไปยังหย่งเฉินที่ขี่ม้านำอยู่ด้านหน้าพลางคิด
เขาจะกลายเป็นความหวังของฉัน หรือจะเป็นอันตรายที่ฉันต้องเจอกันแน่นะ...