หลินซือหยู หญิงสาวจากโลกปัจจุบัน ถูกจี้หยกพาดิ่งสู่อดีตอันโหดร้ายของเมืองฉางอานแห่งราชวงศ์ถัง เธอต้องเผชิญกับกบฏ สงคราม ความรัก และโชคชะตาที่ผูกพันกับแม่ทัพจ้าวหย่งเฉิน จี้หยกกลายเป็นทั้งพลังแห่งความหวังและคำสาป เธอจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ หรือยอมสละทุกสิ่งเพื่อคนที่รักได้หรือไม่?

เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู - ตอนที่ 7 คำพูดจากโลกอนาคต โดย หลูซื่อเต๋อ 卢赐徳 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-หญิง,จีน,เกิดใหม่,ย้อนยุค,ข้ามเวลา,ดราม่า,จีนโบราณ,นิยายจีน ,นิยายจีนโบราณ,ย้อนเวลา,ย้อนยุค,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-หญิง,จีน,เกิดใหม่,ย้อนยุค,ข้ามเวลา

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,จีนโบราณ,นิยายจีน ,นิยายจีนโบราณ,ย้อนเวลา,ย้อนยุค

รายละเอียด

เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู โดย หลูซื่อเต๋อ 卢赐徳 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

หลินซือหยู หญิงสาวจากโลกปัจจุบัน ถูกจี้หยกพาดิ่งสู่อดีตอันโหดร้ายของเมืองฉางอานแห่งราชวงศ์ถัง เธอต้องเผชิญกับกบฏ สงคราม ความรัก และโชคชะตาที่ผูกพันกับแม่ทัพจ้าวหย่งเฉิน จี้หยกกลายเป็นทั้งพลังแห่งความหวังและคำสาป เธอจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ หรือยอมสละทุกสิ่งเพื่อคนที่รักได้หรือไม่?

ผู้แต่ง

หลูซื่อเต๋อ 卢赐徳

เรื่องย่อ

หลินซือหยู นักศึกษาประวัติศาสตร์สาวจากยุคปัจจุบัน ถูกจี้หยกโบราณพาดิ่งสู่ราชวงศ์ถังอันรุ่งโรจน์แต่เต็มไปด้วยเงามืด เธอตื่นขึ้นในร่างของ หลินซือเยว่ ลูกสาวขุนนางที่ถูกวางยาพิษ และต้องเอาตัวรอดท่ามกลางแผนกบฏขององค์ชายสามที่หมายโค่นบัลลังก์ ด้วยไหวพริบและความรู้สมัยใหม่ ซือหยูจับมือกับ จ้าวหย่งเฉิน แม่ทัพหนุ่มผู้แบกปมจากตระกูลที่ล่มสลาย เพื่อล้างมลทินและปกป้องเมืองหลวง จากความไม่ลงรอยกลายเป็นความรักที่ลึกซึ้งใต้แสงจันทร์

การผจญภัยข้ามกาลเวลา ความรักที่ท้าทายโชคชะตา และการตัดสินใจที่อาจเปลี่ยนประวัติศาสตร์ คุณพร้อมหรือยังที่จะตามซือหยูไปค้นหาคำตอบใต้เงาจันทร์?

สารบัญ

เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-บทนำ รอยร้าวแห่งกาลเวลา,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 1 จี้หยกแห่งโชคชะตา,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 2 ร่างใหม่ โลกเก่า,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 3 แม่ทัพผู้เย็นชา,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 4 ความลับในเงามืด,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 5 พันธมิตรจำเป็น,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 6 ปริศนาตระกูลหลิน,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 7 คำพูดจากโลกอนาคต,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 8 เงาขององค์ชาย,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 9 ความทรงจำ,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 10 กลยุทธ์จากอนาคต,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 11 หัวใจที่สั่นไหว,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 12 งานเลี้ยงมรณะ,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 13 คำสารภาพในเงาจันทร์,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 14 จี้หยกสั่นไหว,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 15 ศัตรูใกล้ตัว,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 16 แผนการใหญ่,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 17 การเตรียมตัว,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 18 ค่ำคืนแห่งโชคชะตา,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 19 การเผชิญหน้า,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 20 หัวใจที่ปิดกั้น,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 21 หลักฐานชี้ชัย,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 22 การเปลี่ยนแปลง,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 23 ศึกสุดท้าย,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 24 ราคาของชัยชนะ,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 25 ทางเลือกสุดท้าย,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 26 ชัยชนะของราชสำนัก,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 27 บาดแผลและความหวัง,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 28 บ้านหลังใหม่,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 29 คำสัญญา,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 30 เงาจันทร์นิรันดร์

เนื้อหา

ตอนที่ 7 คำพูดจากโลกอนาคต

แผ่นหลังของหลินซือหยูรู้สึกได้ถึงความเมื่อยล้าขณะที่นั่งบนเกวียนที่เคลื่อนผ่านถนนฝุ่นแดงไปยังเมืองหลวง แสงแดดยามบ่ายสาดส่องผ่านต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง เสียงม้าก้าวเท้าดังก้องเป็นจังหวะประสานกับเสียงล้อเกวียนที่ดังกรอบแกรบ เธอมองไปที่จ้าวหย่งเฉินที่ขี่ม้าสีน้ำตาลเข้มนำหน้า ชุดเกราะของเขายังคงสะท้อนแสงแดดเป็นประกาย แต่ใบหน้าคมเข้มของเขาดูตึงเครียดราวกับแบกรับภาระหนักเอาไว้ตลอดเวลา

“หยุดพักตั้งค่ายข้างหน้า!” หย่งเฉินตะโกนสั่งทหารที่ขี่ตามหลัง เสียงของเขายังคงทุ้มและน่าเกรงขาม ทหารทั้งหมดพยักหน้าและเริ่มตั้งแคมป์ชั่วคราวเมื่อเดินมาถึงบริเวณลำธารเล็ก ๆ ค่ายนี้มีเพียงเต็นท์ผ้าสีเทาสองสามหลัง กองไฟถูกจุดขึ้น กลิ่นควันไฟผสมกับกลิ่นใบไม้แห้งลอยมาแตะจมูกของซือหยู 

“นี่มันเหมือนที่เราเห็นในหนังพีเรียดเลย” เธอพูดกับตัวเอง ขณะที่ลงจากเกวียนด้วยความช่วยเหลือจากทหาร

“เจ้าว่าอะไรนะ” หย่งเฉินเข้ามาถามเธอด้วยสีหน้าสงสัย

ซือหยูสะดุ้งโหยง ไม่คิดว่าอีกคนจะได้ยินที่เธอพึมพำกับตัวเอง “ฉันไม่ได้พูดอะไรนะ” 

“เจ้ากำลังปิดบังข้า” เขาจ้องมองเธอด้วยแววตาสงสัย “เมื่อครู่ข้าได้ยินเจ้ากระซิบอะไรกับตัวเอง”

“ปะ... เปล่า! ไม่มีอะไร ฉันก็แค่... แค่... คิดถึงเรื่องของตระกูลหลินอยู่น่ะ”

หย่งเฉินจ้องมองเธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่งราวกับต้องการจะจับผิด ก่อนจะเอ่ยปากพูดต่อ “ตามข้ามา ข้าจะสอนเจ้าให้รู้จักวิธีป้องกันตัว เผื่อโจรจะกลับมาอีก” เขาคว้าดาบฝึกจากกองอาวุธใกล้ ๆ แล้วโยนดาบให้กับเธอ

“จับไว้!”

“ว้าย!!” ซือหยูกรีดร้องเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว เธอไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะโยนดาบใส่เธอแบบนี้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงดาบไม้ก็ตาม เธอปล่อยให้มันตกลงไปนอนนิ่งอยู่บนพื้น

“หยิบมันขึ้นมา”

ซือหยูย่อตัวลงหยิบดาบไม้อย่างลนลาน มันหนักกว่าที่เธอคิด และไม่มีประสบการณ์ถือดาบมาก่อน ทำให้เธอถือได้ไม่ถนัดนัก “ฉันไม่เคยใช้ดาบมาก่อนนะ”

“ถ้าเจ้าไม่รู้วิธีป้องกันตัว เจ้าก็จะตายก่อนจะถึงเมืองหลวง” เขาเดินวนรอบเธออย่างสังเกต “จับดาบให้แน่น อย่ากลัว” 

“รู้แล้ว ๆ” ซือหยูพยักหน้า แต่เมื่อเธอพยายามยกดาบขึ้น มันลื่นหลุดจากมือ “โอ๊ย! นี่มันหนักเกินไป!” เธอร้องลั่นออกมา

หย่งเฉินถอนหายใจ “เจ้ามีพลังงานในตัว แต่เจ้าแค่ไม่รู้วิธีใช้” เขาคว้าดาบไม้จากพื้นแล้วยื่นคืนให้เธอ “ลองนึกว่าเจ้ากำลังปกป้องตัวเองจากโจร”

ซือหยูหลับตาลงนึกถึงฉากโจรบุกเต็นท์เมื่อคืน เธอจินตนาการว่าดาบในมือเป็นมีดสั้นที่เธอหยิบจากโต๊ะ แต่ภาพที่โจรกำลังง้างดาบเตรียมฟันลงมาที่เธอก็เด่นชัดมากเสียจนเธอมั่นใจว่าเธอไม่มีวันที่จะชนะผู้ชายที่ตัวใหญ่กว่าเธอหลายเท่าได้ด้วยการใช้ดาบอย่างแน่นอน

“ฉันว่าแทนที่จะให้ฉันมาฝึกใช้ดาบแบบนี้ ทางที่ดีเราควรจะวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของศัตรูแบบ SWOT! ก่อนนะ ถ้าอยากจะชนะตลอดในทุก ๆ ครั้ง” เธอพูดออกมาโดยไม่ทันคิด 

หย่งเฉินหยุดชะงัก “SWOT? เจ้ากำลังพูดอะไร” เขาถามด้วยน้ำเสียงงุนงง

ซือหยูตกใจหน้าแดงทันทีเมื่อรู้ว่าตัวเองหลุดพูดคำศัพท์จากยุคของตัวเองออกไป “เอ่อ... ฉันหมายถึง เอ่ออ... กลยุทธ์ลับของฉัน!” เธอรีบแก้ตัวอย่างลนลาน

“แล้วมันคืออะไร”

“มันคือการดูว่าศัตรูมีอะไรดีและอะไรแย่ เพื่อหาทางจัดการได้อยู่หมัด” เธอพูดอย่างตื่นเต้น 

หย่งเฉินฟังเงียบ ๆ ก่อนจะพยักหน้า “น่าสนใจ ต่อไปข้าจะลองใช้ดู คงต้องพึ่งคำแนะนำจากเจ้า แต่เจ้าได้กลยุทธ์นี้มาจากไหน”

“จาก... บ้านเกิดของฉัน” เธอตอบพลางยิ้มกว้าง 

รอยยิ้มที่สดใสนั้นทำเอาแม่ทัพจ้าวเผลอมองนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะหลุดจากภวังค์นั้น ความลึกลับในตัวของซือหยูทำให้เขายังคงไม่ไว้ใจเธอมากนัก แต่เขาก็พยักหน้ารับคำตอบที่เธอบอกแล้วหันไปสั่งทหาร “จัดทีมลาดตระเวนให้ทั่วบริเวณ อย่าให้คลาดสายตา” พอเขาพูดจบก็เดินตามกลุ่มทหารออกไปเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของคำสั่งที่ตนเพิ่งจะพูดออกไป

ซือหยูถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่หย่งเฉินไม่ถามอะไรต่อ แต่เธอก็ตระหนักว่าเธอเผลอพูดคำศัพท์สมัยใหม่ออกไปจริง ๆ โดยไม่ทันได้ระวัง 

“ฉันต้องระวังตัวให้มากกว่านี้แล้ว” เธอพึมพำกับตัวเอง 

ไม่นานหย่งเฉินก็เดินกลับมา “เจ้าดูมีความรู้มากกว่าที่ข้าคิด” เขาพูด “แต่ข้าจะถามอีกครั้ง เจ้ามาจากไหนกันแน่?” 

“ฉันบอกแล้ว ฉันมาจากแดนไกล คุณไม่รู้จักหรอก” ซือหยูเอ่ยตอบ ในอกท่วมท้นไปด้วยความกังวล เพราะหากอีกฝ่ายซักไซ้ถามต่อ เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรเหมือนกัน

หย่งเฉินมองเธอนิ่ง ๆ “แดนไกลที่พูดภาษาแปลก ๆ และรู้กลยุทธ์แปลก ๆ หรือ”

“ใช่ บอกชื่อไป คุณก็ไม่รู้จักหรอก”

“เจ้าช่างประหลาดนัก ข้าจะจับตาดูเจ้า อย่าคิดหักหลัง ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าเจ้า”

เมื่อค่ำคืนเดินทางมาถึงซือหยูออกมานั่งล้อมกองไฟกับทหารบางส่วนในค่ายพัก กลิ่นควันไฟและกลิ่นอาหารลอยมาแตะจมูก เธอจับจี้หยกที่ห้อยคอของเธอแน่นเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจ มันเย็นเงียบในตอนนี้ แต่แสงสีเขียวจาง ๆ ยังเล็ดลอดออกมาจากรอยสลักตัวอักษร 林 (หลิน) ที่ด้านหลัง บ่งบอกว่ามันยังคงมีพลังงานไหลเวียนอยู่ภายใน 

จี้หยกชิ้นนี้ทำจากหยกมรกตคุณภาพสูง รูปทรงหยดน้ำเรียบง่ายแต่มีลายเส้นตามธรรมชาติของหยกสลับซับซ้อนที่ดูเหมือนสัญลักษณ์โบราณบางอย่าง มันหนักราวกับมีพลังซ่อนอยู่ และบางครั้งเมื่อซือหยูจับมัน เธอจะรู้สึกถึงความร้อนราวกับมีพลังบางอย่างกำลังจะพุ่งออกมา มีข่าวลือในตระกูลหลินว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดจากบรรพบุรุษในสมัยถังไท่จง ถูกเชื่อว่าเป็นเครื่องรางที่เชื่อมโยงวิญญาณบรรพบุรุษกับโชคชะตาของตระกูลเอาไว้ แต่หลังจากตระกูลถูกใส่ร้าย มันก็หายไปจนกระทั่งซือหยูพบมันในยุคปัจจุบัน

เปลวไฟที่กลุ่มทหารช่วยกันก่อสร้างความอบอุ่นขึ้นมาบรรเทาความหนาวเย็นในค่ำคืนนี้ได้บ้าง ซือหยูนั่งมองจี้หยกในมือของตัวเอง เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่ามันมีลวดลายเล็ก ๆ สลักอยู่บนนั้นอย่างประณีต เธอรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยปะปนกับความรู้สึกกลัว เมื่อนึกถึงแสงสีเขียวที่นำพาเธอมายังสถานที่แห่งนี้ ข้ามกาลเวลามามากกว่าหนึ่งสหัสวรรษ

มันพาฉันมาที่นี่ได้ยังไงนะ?

ซือหยูคิดในใจระหว่างที่นั่งมองจี้หยก ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนกับว่ามันมีชีวิต

ถ้ามันมาจากตระกูลหลินจริง ๆ ฉันต้องหาความลับของมันให้ได้...

เธอสัมผัสเข้ากับจี้หยกในมือเบา ๆ อีกครั้ง ก่อนจะค่อย ๆ เริ่มรู้สึกถึงความเย็นที่กำลังเปลี่ยนเป็นความร้อนจาง ๆ

วูบบ!

อยู่ ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนภาพตัดก่อนจะเริ่มเห็นภาพในหัวของตัวเอง

‘หญิงสาวในชุดโบราณยื่นจี้หยกให้ชายในชุดเกราะก่อนที่ทั้งสองจะหายไปในควันดำ’

ใบหน้าของหญิงสาวในชุดโบราณนั้นดูละม้ายคล้ายเธอ หรือว่านี่คือหลินซือเยว่ที่ทุกคนพูดถึง ส่วนชายในชุดเกราะนั้นแม้เธอจะเห็นเพียงเสี้ยวหน้า แต่เธอก็มั่นใจว่าต้องเป็นจ้าวหย่งเฉินอย่างแน่นอน  

เฮือก!

เธอไม่รู้ว่าด้วยซ้ำว่าเธอหลับไปตอนไหน สิ่งที่เธอเห็นเป็นเพียงความฝันหรือความจริง เธอเองก็ไม่อาจทราบได้ เธอสะดุ้งตื่นส่วนหนึ่งก็เพราะสิ่งที่เห็น แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะเสียงความวุ่นวายรอบตัวเธอมันดังขึ้นอีกแล้ว 

 “ถังหย่งซานกำลังวางแผนจะโจมตีเมืองหลวงในเร็ว ๆ นี้” หย่งเฉินพูดด้วยน้ำเสียงตึงเครียดกับผู้ช่วยของเขา “เราจะต้องรีบก่อนที่เขาจะเคลื่อนไหว”

“ใครคือถังหย่งซานเหรอ” ซือหยูถามโพล่งออกไปด้วยความอยากรู้

“องค์ชายสาม” หย่งเฉินหันไปตอบด้วยใบหน้านิ่ง “ถังหย่งซานคือชื่อจริงของเขา”

“แล้วตระกูลหลินล่ะท่าน จะทำอย่างไรกับพวกเขาดี” ผู้ช่วยของหย่งเฉินพูดแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าท่านแม่ทัพพูดคุยกับซือหยูเรียบร้อยแล้ว

“คงต้องรอดูท่าทีอีกครั้ง ตอนนี้ข้าให้คนจับตามองอยู่ทุกฝีก้าว” หย่งเฉินย้ำพลางหันไปมองซือหยูที่ยืนนิ่งอยู่ไม่ไกล

“ไม่ต้องมองฉันขนาดนั้น ในสมการนี้ฉันไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยด้วยซ้ำ”

“แต่เจ้าเป็นคนของตระกูลหลิน”

“เอาเป็นว่า ถ้าฉันรู้ความลับของหลินซือเยว่ขึ้นมาจริง ๆ ฉันจะรีบบอกละกัน” เธอพูดพลางจับจี้หยกเอาไว้ มันร้อนขึ้นทันทีราวกับตอบสนองต่อความคิดของเธอ 

หย่งเฉินหันมามองเธอในทันที “หรือถ้าเจ้ารู้บางอย่างเกี่ยวกับองค์ชายสามหรือกบฏ  เจ้าก็ต้องบอกข้า เข้าใจไหม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น 

ซือหยูเงียบไปชั่วขณะ “ฉัน... ฉันจะพยายามนึกดู”

หย่งเฉินมองเธอนิ่ง ๆ ก่อนจะพยักหน้า “ดี ถ้าเจ้าช่วยข้าได้ ข้าจะปกป้องเจ้า”

            ซือหยูรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในน้ำเสียงของเขา มันไม่ใช่คำขู่ แต่เป็นคำสัญญาเล็ก ๆ ที่มันฟังดูอบอุ่นมากกว่าครั้งไหนๆ 

เขาวางใจฉันมากขึ้นแล้วสินะ 

เธอคิดในขณะที่มองเงาของเขาท่ามกลางแสงไฟ 

แต่ฉันจะช่วยเขายังไงดี ในเมื่อฉันเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันด้วยซ้ำ 

เธอยกจี้หยกขึ้นดูอีกครั้งอย่างสงสัย ไม่รู้ว่าเธอจะค้นหาความลับเรื่องนี้ได้จากที่ไหน มันรู้สึกอับจนไปหมดทุกหนทาง เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจี้หยกชิ้นนี้ถึงเลือกจะพาเธอย้อนเวลากลับมา มันต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ต้องเป็นเธอ ไม่ใช่คนอื่น เธอมองจ้องจี้หยกชิ้นนั้นอยู่นานก่อนจะพบว่าแสงสีเขียวจาง ๆ เริ่มเล็ดลอดออกมาราวกับว่ากำลังรับรู้ในความคิดของเธอ เธอเองก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในนั้นเช่นกัน 

ถ้าสิ่งนี้มันเกี่ยวข้องกับตระกูลหลินและองค์ชายสาม

ฉันก็ต้องหาความจริงให้ได้

เธอกำจี้หยกเอาไว้ในมืออีกครั้ง และภาพบางอย่างก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของเธอ

วูบ!! 

‘หญิงสาวในชุดโบราณกำลังร้องไห้ก่อนที่จี้หยกจะส่องแสงและพาหญิงผู้นั้นไปยังที่ที่ไม่รู้จัก’

“หรือว่านี่คือภาพแทนตัวฉันนะ” ซือหยูคิดตามหลังจากภาพในหัวหายไป แต่ก็ยังไม่มั่นใจในคำตอบที่ตัวเองมีมากนัก

ค่ายพักชั่วคราวเงียบลงในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยปริศนา ซือหยูรู้สึกถึงน้ำหนักของจี้หยกที่ห้อยคอที่มันเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เป็นอีกครั้งที่เครื่องรางชิ้นนี้ส่งแสงออกมาทีละน้อย เรียกให้หัวใจของเธอเต้นรัว

มันไม่ใช่แค่เครื่องรางธรรมดา...

มันอาจเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยฉันและหย่งเฉินล้างมลทินให้ตระกูล

อีกอย่างมันอาจช่วยพาฉันกลับบ้านได้...

เธอคิดพลางมองไปที่หย่งเฉินที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากเธอมากนัก ใบหน้าคมของเขาทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายและวางใจขึ้นมาได้บ้าง ไม่ว่าจะต้องเจออีกกี่ปัญหา เธอก็มั่นใจว่าจะต้องผ่านไปได้ด้วยความเก่งกาจของเขา

“ฉันเชื่อใจแกนะ” ซือหยูพูดพึมพำกับจี้หยกในมือ จากที่มันกำลังร้อนก็เริ่มเย็นลงอีกครั้งราวกับยอมรับคำบอกกล่าวของเธอ