หลินซือหยู หญิงสาวจากโลกปัจจุบัน ถูกจี้หยกพาดิ่งสู่อดีตอันโหดร้ายของเมืองฉางอานแห่งราชวงศ์ถัง เธอต้องเผชิญกับกบฏ สงคราม ความรัก และโชคชะตาที่ผูกพันกับแม่ทัพจ้าวหย่งเฉิน จี้หยกกลายเป็นทั้งพลังแห่งความหวังและคำสาป เธอจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ หรือยอมสละทุกสิ่งเพื่อคนที่รักได้หรือไม่?

เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู - ตอนที่ 10 กลยุทธ์จากอนาคต โดย หลูซื่อเต๋อ 卢赐徳 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-หญิง,จีน,เกิดใหม่,ย้อนยุค,ข้ามเวลา,ดราม่า,จีนโบราณ,นิยายจีน ,นิยายจีนโบราณ,ย้อนเวลา,ย้อนยุค,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-หญิง,จีน,เกิดใหม่,ย้อนยุค,ข้ามเวลา

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,จีนโบราณ,นิยายจีน ,นิยายจีนโบราณ,ย้อนเวลา,ย้อนยุค

รายละเอียด

เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู โดย หลูซื่อเต๋อ 卢赐徳 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

หลินซือหยู หญิงสาวจากโลกปัจจุบัน ถูกจี้หยกพาดิ่งสู่อดีตอันโหดร้ายของเมืองฉางอานแห่งราชวงศ์ถัง เธอต้องเผชิญกับกบฏ สงคราม ความรัก และโชคชะตาที่ผูกพันกับแม่ทัพจ้าวหย่งเฉิน จี้หยกกลายเป็นทั้งพลังแห่งความหวังและคำสาป เธอจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ หรือยอมสละทุกสิ่งเพื่อคนที่รักได้หรือไม่?

ผู้แต่ง

หลูซื่อเต๋อ 卢赐徳

เรื่องย่อ

หลินซือหยู นักศึกษาประวัติศาสตร์สาวจากยุคปัจจุบัน ถูกจี้หยกโบราณพาดิ่งสู่ราชวงศ์ถังอันรุ่งโรจน์แต่เต็มไปด้วยเงามืด เธอตื่นขึ้นในร่างของ หลินซือเยว่ ลูกสาวขุนนางที่ถูกวางยาพิษ และต้องเอาตัวรอดท่ามกลางแผนกบฏขององค์ชายสามที่หมายโค่นบัลลังก์ ด้วยไหวพริบและความรู้สมัยใหม่ ซือหยูจับมือกับ จ้าวหย่งเฉิน แม่ทัพหนุ่มผู้แบกปมจากตระกูลที่ล่มสลาย เพื่อล้างมลทินและปกป้องเมืองหลวง จากความไม่ลงรอยกลายเป็นความรักที่ลึกซึ้งใต้แสงจันทร์

การผจญภัยข้ามกาลเวลา ความรักที่ท้าทายโชคชะตา และการตัดสินใจที่อาจเปลี่ยนประวัติศาสตร์ คุณพร้อมหรือยังที่จะตามซือหยูไปค้นหาคำตอบใต้เงาจันทร์?

สารบัญ

เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-บทนำ รอยร้าวแห่งกาลเวลา,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 1 จี้หยกแห่งโชคชะตา,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 2 ร่างใหม่ โลกเก่า,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 3 แม่ทัพผู้เย็นชา,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 4 ความลับในเงามืด,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 5 พันธมิตรจำเป็น,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 6 ปริศนาตระกูลหลิน,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 7 คำพูดจากโลกอนาคต,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 8 เงาขององค์ชาย,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 9 ความทรงจำ,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 10 กลยุทธ์จากอนาคต,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 11 หัวใจที่สั่นไหว,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 12 งานเลี้ยงมรณะ,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 13 คำสารภาพในเงาจันทร์,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 14 จี้หยกสั่นไหว,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 15 ศัตรูใกล้ตัว,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 16 แผนการใหญ่,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 17 การเตรียมตัว,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 18 ค่ำคืนแห่งโชคชะตา,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 19 การเผชิญหน้า,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 20 หัวใจที่ปิดกั้น,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 21 หลักฐานชี้ชัย,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 22 การเปลี่ยนแปลง,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 23 ศึกสุดท้าย,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 24 ราคาของชัยชนะ,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 25 ทางเลือกสุดท้าย,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 26 ชัยชนะของราชสำนัก,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 27 บาดแผลและความหวัง,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 28 บ้านหลังใหม่,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 29 คำสัญญา,เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู-ตอนที่ 30 เงาจันทร์นิรันดร์

เนื้อหา

ตอนที่ 10 กลยุทธ์จากอนาคต

เป็นคืนแรกที่หลินซือหยูได้นอนหลับพักผ่อนอยู่ในห้องนอนจริง ๆ เสียที ถึงแม้ว่าจะไม่ได้นุ่มสบายเหมือนกับห้องนอนของเธอในยุคปัจจุบันแต่มันก็เป็นหลักเป็นแหล่ง และรู้สึกปลอดภัยกว่านอนอยู่ในป่ามากทีเดียว มันเป็นห้องพักที่อยู่ในเรือนของแม่ทัพจ้าวหย่งเฉินในเมืองหลวงฉางอาน เขาพาเธอมาพักผ่อนที่นี่หลังจากที่เสร็จธุระจากเรือนใหญ่ตระกูลหลิน

โดยปกติเขาก็ไม่ค่อยจะได้อยู่ที่เรือนหลังนี้มากนัก เพราะต้องออกเดินทางลาดตระเวนไปทั่วราชอาณาจักร เพื่อดูแลความเรียบร้อยตามคำสั่งของฮ่องเต้ เขาจึงเคยชินกับการนอนในเต็นท์ตามค่ายพักชั่วคราวมากกว่า

แสงตะเกียงสั่นไหวตามลมที่พัดผ่านเข้ามาภายใน ความเงียบทำให้ซือหยูได้ยินเสียงฝีเท้าของทหารยามที่เดินไปมาด้านนอกดังเป็นจังหวะ แต่กลับดูคล้ายเสียงหัวใจของเธอที่เต้นระรัวราวกับกลองศึกที่ใกล้แตกสลาย เธอมองไปที่จดหมายลับบนโต๊ะไม้หยาบ ๆ ตัวอักษรจีนโบราณระบุชื่อ ‘ถังหย่งซาน’ และรายชื่อขุนนางที่สมคบกับเขาด้วยหมึกสีแดงจาง ๆ ราวกับเลือดที่แห้งกรัง 

นี่คือหลักฐานที่หย่งเฉินต้องการ... 

แต่ถ้าองค์ชายสามรู้ว่าฉันมีมันล่ะ 

ความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัวของเธอพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้น ในชั่วขณะนั้นแสงสีเขียวเล็ดลอดออกมาจากรอยสลักบนจี้หยกที่เธอสวมมันไว้กับคออีกแล้ว เธอรีบยกมือขึ้นสัมผัสมันก่อนที่ภาพในหัวจะผุดขึ้นมา

วูบ!

‘ภาพของ หลินเซี่ยงจือ ยืนบนกำแพงเมืองฉางอานในศึกใหญ่ พร้อมกับถือจี้หยกเอาไว้ในมือก่อนจะสั่งการทหาร แต่ทันใดนั้น เงาของชายในชุดดำก็โผล่ออกมาจากควันที่ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ครู่แรกเธอดูไม่ออกว่าเป็นใคร แต่พอหมอกควันจางไป พร้อมกับที่ผ้าปกคลุมใบหน้าเปิดออก เธอจึงได้รู้ว่าชายชุดดำก็คือถังหย่งซานนั่นเอง

“นี่คือจุดจบของตระกูลหลิน” หย่งซานยกดาบขึ้นพร้อมยกยิ้มที่แสนจะเย็นชา’ 

พรึ่บ!

แล้วภาพนั้นก็ตัดหายไปในทันที แม้ว่าในความเป็นจริงมันจะเป็นไปได้ยากที่องค์ชายสามจะเผชิญหน้ากับหลินเซี่ยงจือบรรพบุรุษต้นตระกูลหลิน แต่นี่คงเป็นคำบอกใบ้บางอย่างที่จี้หยกนี้ต้องการมอบให้เธอ แม้ว่าซือหยูจะอยากรู้เรื่องราวมากกว่านี้ แต่ดูเหมือนจี้หยกจะอนุญาตให้เธอได้รับรู้คำบอกใบ้ได้อย่างจำกัด และไม่สามารถเรียกร้องอะไรมากกว่านี้ได้ มือของเธอสั่นเทาเล็กน้อยจากเรื่องราวที่เพิ่งได้เห็นก่อนจะบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “นะ... นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” 

“เจ้ามีเรื่องกังวลใจหรือ” เสียงทุ้มของจ้าวหย่งเฉินดังขึ้นจากทางเข้าทำให้เธอสะดุ้งขึ้นก่อนจะมองไปตามทิศทางที่เสียงดังขึ้น

เธอเห็นเขายืนอยู่ที่ประตูห้อง ชุดเกราะของเขาดูสะอาดขึ้นนิดหน่อย ไม่ได้เปื้อนคราบเลือดแห้งกรังเหมือนกับทุกที แต่ใบหน้าคมเข้มของเขายังดูตึงเครียดเหมือนเดิม วันใดที่เธอได้เห็นรอยยิ้มจากเสือยิ้มยากคนนี้ โลกคงแตกแน่นอน

“ฉัน... ฉันแค่กำลังคิดว่าจะจัดการปัญหานี้ยังไงดี” เธอเอ่ยตอบขณะที่พยายามควบคุมลมหายใจของตัวเองให้เป็นปกติ “จากจดหมายนี้ องค์ชายสามมีกองโจรซุ่มอยู่ในเขตชานเมืองฉางอาน และอาจรู้ว่าฉันมีหลักฐานนี้อยู่ ถ้าเขามาชิงหลักฐานนี้ไปได้ เราคงตายแน่!”

“ถ้าเป็นเช่นนั้น เราคงต้องเริ่มลงมือแล้ว” หย่งเฉินพูดพลางพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ซือหยูลุกเดินตามออกไป

พวกเขาทั้งสองคนออกเดินทางกลับไปยังค่ายหลักที่ตั้งอยู่บริเวณเขตหลัวหยาง เขาควบม้าอย่างเร่งรีบด้วยกลัวว่าจะไม่ทันการ เป็นครั้งแรกที่ซือหยูได้นั่งม้าตัวเดียวกับแม่ทัพจ้าว เธอสวมกอดที่เอวของเขาแน่นเพราะความเร็วของม้าทำให้เธอค่อนข้างกลัวเป็นพิเศษ 

ทันทีที่มาถึงทั้งสองคนก็รีบเดินเข้าไปในเต็นท์ว่าการทันที หย่งเฉินไม่ลืมที่จะเรียกทหารคนสนิทให้ตามเข้าไปด้วย เขาเดินเข้ามานั่งลงที่โต๊ะตรงข้ามกับซือ
หยู ดวงตาอันเย็นชาและเฉียบคมของเขาจ้องเธอนิ่งแต่มันก็แฝงความกังวลเอาไว้อยู่ไม่น้อย

“เราจะช้าไม่ได้อีกแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงตึงเครียด “กองโจรของหย่งซานรู้เส้นทางรอบเมืองฉางอาน ในป่า และเมืองหลัวหยางดี พวกมันเคลื่อนไหวเร็วและซุ่มโจมตีได้แม่นยำ ถ้าเราพลาดเพียงนิด แม้แต่ข้าก็อาจไม่รอด” เขาวางแผนที่เก่าของฉางอานและหลัวหยางบนโต๊ะ ฝ่ามือของเขากดลงบนแผนที่จนกระดาษยับ “เราต้องหาวิธีล่อพวกมันออกมา ก่อนที่หย่งซานจะเคลื่อนไหวในเมืองหลวง”

ซือหยูมองแผนที่อย่างพิจารณาด้วยความตื่นเต้นปนกลัว “ฉันคิดออกแล้ว” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย “เราต้องใช้กลยุทธ์หลอกล่อ!”

หย่งเฉินขมวดคิ้ว “กลยุทธ์หลอกล่อหรือ เจ้าพูดแบบนี้อีกแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างระแวง “เจ้าช่วยอธิบายให้ข้าฟังที แต่ถ้าพลาดขึ้นมา รู้ใช่ไหมว่าพวกเราจะเป็นอย่างไร”

ซือหยูกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ความกังวลก่อตัวขึ้นในใจเธอทันที “กลยุทธ์ของเรา ก็คือ... เราปล่อยข่าวลวงว่าเราจะเดินทางผ่านทางหลักไปฉางอาน แต่จริง ๆ แล้วเราจะแอบเดินทางไปทางเลี่ยงผ่านเขตชานเมืองหลัวหยาง”

หย่งเฉินมองเธอด้วยสายตาที่ประเมิน “ข่าวลวงหรือ พวกมันจะเชื่อได้อย่างไร ถ้าพวกมันมีสายลับ แล้วรู้ทันกลยุทธ์ของเราล่ะ พวกเราทั้งหมดอาจถูกฆ่าตายอยู่ในป่า”

“งั้นพวกเราต้องระวังให้ดี ให้คนไปข่าวลวงในหมู่บ้านละแวกใกล้ ๆ ค่ายด้วย พวกโจรมันต้องได้ยินแน่ ส่วนในค่าย คุณต้องให้คนรู้แผนการนี้น้อยที่สุด เพราะอาจมีสายลับซ่อนอยู่ก็เป็นได้”

“ได้ ข้าจะระวัง เจ้าเล่าแผนของเจ้าต่อเถอะ”

“ระหว่างที่พวกเราเดินทางไปยังเส้นทางเลี่ยงเขตชานเมืองหลัวหยางก็ให้กองกำลังดักซุ่มอยู่ที่นั่น ส่วนเส้นทางหลักให้คุณใช้ทหารบางส่วนแกล้งแพ้แล้วถอยทัพ พวกมันจะคิดว่าเราเสียเปรียบ คิดว่าเราไม่มีทางหนี แล้วพวกมันจะยกพวกตามมาเพื่อกำจัดเราอย่างแน่นอน” เธอหยิบกิ่งไม้จากพื้นวาดแผนที่คร่าว ๆ ลงบนดิน ฝ่ามือของเธอสั่นเล็กน้อย “นี่คือทางหลัก นี่คือทางเลี่ยง ถ้าทหารของคุณแกล้งพ่ายแพ้ที่ทางหลัก แล้วพวกมันติดกับบุกตามมาในเส้นทางเลี่ยงเมืองจริง ก็จะเป็นโชคดีของเรา เราจะสามารถซุ่มโจมตีได้ แต่ถ้าพลาดขึ้นมา เราอาจจะถูกโจมตีจากทุกด้าน”

หย่งเฉินมองภาพที่เธอวาดบนดินนิ่ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกดดันก่อนจะเอ่ยปากพูดออกมา “น่าสนใจ” น้ำเสียงของเขาหนักแน่น “แต่ถ้าพวกมันมีสายลับในค่ายของเรา ข่าวลวงนี้อาจไม่สำเร็จ” 

“คุณพูดถูก” ซือหยูย้ำคำ

เขาหันไปสั่งทหารทันที “จัดทัพไปซ่อนตัวที่เส้นทางลับเขตหลัวหยาง แต่จงระวังให้ดี อย่าให้มีใครพบเห็นพวกเจ้า อีกส่วนนำทัพไปกับข้าที่เส้นทางหลักในป่าหลัวหยางเพื่อมุ่งหน้าไปเมืองฉางอาน จากนั้นให้รอคำสั่งจากข้า ถ้าพลาด ข้าจะตัดคอคนที่รับผิดชอบ” ทหารพยักหน้าและวิ่งออกไปจัดเตรียม ใบหน้าของพวกเขาคลาคล่ำไปด้วยความตึงเครียด

บ่ายวันนั้น หย่งเฉินนำทัพออกจากค่าย เสียงม้าก้าวเท้าดังก้องในป่าบนเส้นทางหลักใกล้เขตชานเมืองหลัวหยาง ซือหยูนั่งบนเกวียน รู้สึกถึงความกดดันที่ระลึกซ้ำในอก 

ฉันหวังว่ากลยุทธ์นี้จะใช้ได้ 

ทันใดนั้นจี้หยกที่ห้อยคอไว้ก็ร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว มันเรืองแสงสีเขียวจาง ๆ เธอรีบสัมผัสมันทันที และส่งภาพที่ทำให้เธอต้องสะดุ้งขึ้น

วูบ!

‘ภาพคล้ายเดิมกับที่เธอเห็นมาก่อนหน้านี้ของหลินเซี่ยงจือยืนบนกำแพงเมือง เพียงแต่ครั้งนี้มันเป็นกำแพงของเมืองหลัวหยาง เซี่ยงจือกำลังสั่งการทหารให้ใช้กลยุทธ์หลอกล่อ แต่ทันใดนั้นถังหย่งซานในชุดโจรสีดำก็โผล่ออกมาจากควัน เขายิ้มเย็นชาและยกดาบขึ้นก่อนจะกล่าวประโยคเดิม “นี่คือจุดจบของตระกูลหลิน”’ 

จากนั้นภาพดังกล่าวก็หายไป ทำให้ซือหยูหน้าเสียในทันที

นี่มัน... เป็นคำเตือนหรือเปล่านะ! 

ฉึก!!

เสียงคุ้นหูดังขึ้นที่ข้างหูเธอ เป็นอีกครั้งที่ลูกธนูเฉียดหลินซือหยูไปนิดเดียวราวกับว่ามีบางสิ่งคอยช่วยเหลือเธอให้รอดพ้นจากความตายครั้งแล้วครั้งเล่า ลูกธนูปักเข้าที่เกวียนด้านซ้าย หัวใจของเธอเต้นแรงจนเหมือนกับว่ามันจะหลุดออกมาจากอก 

“ศัตรูโจมตี!” ทหารคนหนึ่งตะโกนดังก้อง 

หย่งเฉินหยุดม้าในทันที เสียงม้าร้องดังลั่นเพราะถูกดึงบังเหียนให้หยุดอย่างกะทันหัน ใบหน้าของเขาคลาคล่ำไปด้วยความโกรธ ก่อนตะโกนสั่ง “ปกป้องเกวียน!”

ทหารทั้งหมดกระจายตัว จับอาวุธพร้อมเผชิญหน้ากับกองโจรในชุดผ้าดำหยาบจำนวนสิบคนที่โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ ถือดาบและธนู ใบหน้าของพวกมันถูกบังด้วยผ้าคลุม ดวงตาเต็มไปด้วยความดุร้าย 

“หย่งเฉิน! ลงมือเลย!” ซือหยูตะโกนด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

หย่งเฉินดึงดาบยาวจากฝักทันทีแล้วตะโกนสั่ง “ถอยทัพ!” สิ้นเสียงของเขาทหารทั้งหมดแกล้งวิ่งหนีกลับจากทางหลักเพื่อไปยังทางลับอย่างตื่นตระหนก ใบหน้าของพวกเขาคลาคล่ำไปด้วยความกลัวที่ดูสมจริง

โจรทั้งสิบคนหัวเราะเยาะ “พวกมันกลัวแล้ว!” ชายคนหนึ่งตะโกน ขณะที่วิ่งตามทัพของหย่งเฉินไป 

ซือหยูมองตามด้วยความตื่นเต้นปนกลัว 

มันได้ผล... 

หรือเปล่านะ

ทันใดนั้นหางตาของเธอก็เห็นเงาดำเคลื่อนไหวจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว “ระวัง!” เธอตะโกน 

โจรอีกสามคนที่ซ่อนอยู่ในพุ่มไม้พุ่งเข้ามาหาเธอกับหย่งเฉินด้วยความดุร้าย หย่งเฉินกระโจนมาบังหน้าซือหยูเอาไว้ด้วยความรวดเร็ว แล้วยกดาบในมือฟันลงทันที สายลับคนแรกกรีดร้องเมื่อแขนขวาขาดสะบั้น เลือดสาดกระจายไปบนพื้นป่า เขาล้มลงคุกเข่า แต่สายลับคนที่สองพุ่งเข้ามาด้วยดาบยาว หย่งเฉินหมุนตัวหลบอย่างเฉียดฉิว ดาบของสายลับกรีดผ่านเกราะของเขาที่ไหล่ขวา

“อ๊ะ!” เขาเผลอหลุดเสียงร้องออกมา เพราะเขาไม่ทันได้ระวังจึงพลาดท่าจนต้องเจ็บตัว เลือดสีแดงไหลซึมออกมาให้เห็นบนเกราะ เขากัดฟันแน่น หมุนตัวอีกครั้งด้วยความโกรธและฟันตัดคอสายลับคนนั้น เลือดสาดกระจายไปทั่วใบหน้าของเขา แต่สายลับคนที่สามยิงธนูใส่เขาจากระยะใกล้ หย่งเฉินหมุนตัวหลบลูกธนูได้ทัน มันจึงลอยไปปักลงพื้นดินไม่ไกลจากเขามากนัก เขารีบคว้ามีดสั้นจากเอวแล้วขว้างออกไปด้วยความแม่นยำ ปักเข้าที่ลำคอของสายลับก่อนที่มันจะยิงซ้ำ สายลับล้มลงนิ่ง เลือดไหลนองพื้นป่า

ส่วนทหารของหย่งเฉินอีกทัพหนึ่งที่ซุ่มตัวในป่าหลัวหยางก็โผล่ออกมาโจมตีโจรที่วิ่งตามทหารของหย่งเฉินไปทางลับนั้น สายลับทั้งหมดถูกกำจัดในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที 

หย่งเฉินหายใจหอบ ขณะที่เช็ดเลือดจากดาบด้วยปลายแขนเสื้อ “เจ้าแนะนำได้ถูกต้อง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ผสมความประหลาดใจและความกดดัน “เป็นโชคดีของเจ้า หากกลยุทธ์นี้ล้มเหลว ข้าคงไม่ปล่อยให้เจ้ารอด” 

“ก็ฉันบอกแล้วว่ากลยุทธ์นี้จะใช้ได้ดี” ซือหยูตอบพลางยกยิ้มอย่างฝืน ๆ แต่ในใจเธอรู้ว่าเธอใช้ความรู้จากตำราประวัติศาสตร์สมัยใหม่ หาใช่ความเก่งกาจของมันสมองของเธอ  

หย่งเฉินมองเธอด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป “เจ้ามีความสามารถเกินหญิงสามัญ” เขาพูด “แต่ข้าจะถามอีกครั้ง เจ้ามาจากไหนกันแน่ ถ้าข้าพบว่าเจ้าเกี่ยวข้องกับหย่งซาน ข้าจะจัดการเจ้าเอง”

ซือหยูส่ายหน้า “ฉันไม่พูดแล้ว ก็เคยบอกไปแล้วว่าจะพูดครั้งสุดท้าย ฉันมาจากแดนไกล บอกไปคุณก็ไม่รู้จักหรอก” เธอตอบ 

หย่งเฉินพยักหน้า “ได้ ถ้าอย่างนั้น ข้าจะไว้วางใจเจ้าในตอนนี้ แต่ถ้าข้าพบว่าเจ้าโป้ปดกับข้า ข้าจะไม่ยอมปล่อยผ่าน” เขาพูดก่อนจะสั่งทหารเคลียร์ศพและตรวจสอบเส้นทาง ใบหน้าของเขาคลาคล่ำไปด้วยความเคร่งเครียด

อย่างน้อย... เขาวางใจฉันมากขึ้นแล้ว... ใช่ไหมนะ