"เมื่อเจ้านายผู้เป็นดั่งโลกทั้งใบจากไป... เหลือเพียงแมวตัวหนึ่งและต้นฉบับที่ยังไม่จบ!" ไรเตอร์ แมวข้างถนนที่ได้รับการช่วยเหลือจากโจคิน นักเขียนชื่อดัง แต่วันหนึ่งชะตากลับเล่นตลก... เมื่อเจ้านายของมันจากไป ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าและภารกิจสุดท้าย—สานต่อนิยายมหากาพย์ที่ยังไม่จบ! ท่ามกลางสายตาของผู้คนทั้งโลก อุ้งเท้าคู่นี้จะสามารถจรดปลายปากกาแทนมนุษย์ได้หรือไม่? และที่สำคัญ... พินัยกรรมของเจ้านายได้พลิกชีวิตของมันไปตลอดกาล
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ครอบครัว,ไทย,ดราม่า,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,แฟนตาซี,แมว,ความรัก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
อุ้งเท้าและหยดหมึก"เมื่อเจ้านายผู้เป็นดั่งโลกทั้งใบจากไป... เหลือเพียงแมวตัวหนึ่งและต้นฉบับที่ยังไม่จบ!" ไรเตอร์ แมวข้างถนนที่ได้รับการช่วยเหลือจากโจคิน นักเขียนชื่อดัง แต่วันหนึ่งชะตากลับเล่นตลก... เมื่อเจ้านายของมันจากไป ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าและภารกิจสุดท้าย—สานต่อนิยายมหากาพย์ที่ยังไม่จบ! ท่ามกลางสายตาของผู้คนทั้งโลก อุ้งเท้าคู่นี้จะสามารถจรดปลายปากกาแทนมนุษย์ได้หรือไม่? และที่สำคัญ... พินัยกรรมของเจ้านายได้พลิกชีวิตของมันไปตลอดกาล
เมื่อแมวตัวหนึ่ง ต้องสานต่อนิยายระดับโลกที่ยังไม่จบ!
ไรเตอร์ แมวข้างถนนผู้เคยถูกทอดทิ้ง โชคชะตานำพามันมาพบกับ โจคิน นักเขียนชื่อดังที่รับมันมาเลี้ยง วันเวลาผ่านไป แมวส้มตัวจิ๋วกลายเป็นเพื่อนแท้เพียงหนึ่งเดียวของนักเขียนผู้โดดเดี่ยว พวกเขาใช้ชีวิตร่วมกันในห้องทำงานอันเงียบเหงา โดยที่ไรเตอร์เองก็คอยเฝ้าดูเจ้านายของมันสร้างสรรค์เรื่องราวในนิยายแฟนตาซีระดับตำนาน "ตำนานเพลิงอมตะ"
แต่แล้ว... โจคินกลับล้มลงอย่างกะทันหัน เขาจากไปโดยทิ้งนิยายเล่มสุดท้ายไว้เพียงครึ่งเรื่อง
ในขณะที่โลกของนักอ่านกำลังรอคอยบทสรุปของมหากาพย์ที่ไม่มีใครรู้ว่าจบอย่างไร พินัยกรรมของโจคินกลับสร้างความตกตะลึงให้กับทุกคน—ทายาทเพียงผู้เดียวที่จะได้รับมรดกทั้งหมด คือ ไรเตอร์... แมวของเขา!
และเงื่อนไขของพินัยกรรมคือ... นิยายต้องถูกเขียนให้จบ!
แต่ใครกันล่ะ ที่จะสามารถสานต่อผลงานของนักเขียนอัจฉริยะผู้นี้?
หรือว่า...อุ้งเท้าสองข้างของไรเตอร์ จะเป็นผู้หยิบปากกาแล้วเขียนมันขึ้นมาเอง!?
ท่ามกลางแรงกดดันจากทายาทสายเลือดแท้ผู้โลภโมโทสัน และเหล่าแฟนคลับที่เฝ้ารอการปิดฉากตำนานแห่งวรรณกรรม ไรเตอร์จะสามารถเติมเต็มบทสุดท้ายของเรื่องราวนี้ได้หรือไม่?
📖🐾 "อุ้งเท้าและหยดหมึก" เรื่องราวของมิตรภาพ ความฝัน และพันธะสัญญาที่ถูกส่งต่อ...แม้ในวันที่เจ้าของมันจากไป
ทุกคนล้วนมีเส้นบทละครของตัวเองให้ดำเนินต่อโดยไม่มีสคริปต์คอยบอกซึ่งไม่ต่างอะไรจากการเดินไต่บนเชือกเส้นบางผูกขนานกับเสาสูงเสียดฟ้า พร้อมพันธนาการดวงตาสองมือวาดคลำหาเจอเพียงอากาศไร้สิ่งยึดเกาะ บางครั้งเรามักทะเลาะกับตัวเองว่าควรก้าวด้วยขาข้างไหน การตัดสินใจเต็มไปด้วยขวากหนามอุปสรรคนับพันที่ต้องฝ่าฟันผ่านไปให้ได้แรงกายแรงใจมิได้มาจากผู้อื่นกลับต้องสร้างขึ้นด้วยตัวเองท่ามกลางเส้นทางอันเปลี่ยวเหงาดวงดาวพร่างพราวประกายเต็มท้องฟ้ายามราตรีดั่งมิตรสหายชั่วคราวคอยปลอบโยนความหมองหม่นในจิตใจ
วันที่ผมรู้แน่ชัดว่าผู้เป็นนายได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ดวงตาคู่สุกสกาวเปล่งแววประกายด้วยความไร้เดียงสาจับจ้องภาพขาวดำของบุคคลใบหน้าเรียบนิ่งเปรียบดังภาชนะปราศจากวิญญาณ หูสามเหลี่ยมแหลมสีส้มตั้งชันกระดิกไปมาลมหายใจเข้าออกทางรูจมูกสีดำอันเปียกชื้น ผมนั่งนิ่งโดยใช้ขาหน้าคู่ยันตั้งฉากกับพื้นเพื่อทรงตัวสงัดเป็นรูปปั้นมานานเท่าไหร่แล้วมิอาจรู้ได้ดูเหมือนว่าจิ๊กซอว์ชิ้นหนึ่งหลุดกระเด็นหายท่ามกลางพายุ ปลิวไปยังดินแดนปริศนาที่ผมไม่สามารถไขว่คว้า
ปกติเวลานี้ผมควรได้ยินเสียงปลายนิ้วเคาะชามสแตนเลส ดึงดูดเท้าทั้งสี่ปรี่เข้าหาพร้อมหนังท้องเหี่ยวย่นตอนนี้ผมกลับไม่รู้สึกอยากของพวกนั้นแม้แต่น้อย ผมเพียงแค่อยากรู้ว่า
เจ้านายของผมหายไปไหน
ทำไมถึงมีรูปภาพขนาดใหญ่ตั้งอยู่หน้าตู้ไม้สีขาวลวดลาย ฉวัดเฉวียนนอนบนแท่นนิ่งอย่างนั้น? ยังไม่รวมกลุ่มช่อดอกไม้จริงปนปลอมพร้อมเหล่าเศษเกสรลอยเตะจมูกชวนระคายเคือง
“เมี๊ยว!!” (โจคิน…นายอยู่ที่ไหน? เปียกของผมล่ะ?) เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับจากอีกฝ่าย ผมจึงส่งเสียงอีกครั้ง
“ม๊าวว!!” (จะปล่อยให้ผมอดอยู่อย่างนี้เหรอ? เดี๋ยวผมก็ตายหรอก…)
สัญชาตญาณบางอย่างบอกผมมาตั้งแต่วันที่ร่างของเจ้านายเอียงหล่นกระแทกพื้นตามแรงโน้มถ่วงพร้อมเก้าอี้ระเนระนาดคนละทิศละทาง ผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากยืนสี่เท้ามองดูเขากุมหน้าอกดิ้นทุรนทุราย ใบหน้าแดงก่ำเหงื่อไหลอาบท่วม กลิ่นมรณาโชยเตะจมูกทันที บ่งบอกให้รู้ว่าเขาคงมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน
ลมหายใจนักเขียนชรารวยรินดวงตาจ้องมองผมเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมหยดน้ำใสอาบแก้มรวมถึงรอยยิ้มก่อนเงามรณะกลืนกินวิญญาณจนหมดสิ้น
ผมรู้อยู่แล้วว่าเขาจะไม่มีวันฟื้นคืน
วันแรกและวันสุดท้ายดันกลายเป็นวันเดียวกัน
วันนี้เมื่อห้าปีก่อน หยาดพิรุณกระหน่ำจากท้องนภานับอนันต์ เสียงหยดฝนกระทบดังบาดแก้วหูความหนาวเย็นรอบข้างรวมถึงขนกายเปียกปอนฉุดดึงอุณหภูมิร่างกายลดลงสั่นสะท้านดังสัญญาณวิกฤต อีกไม่นานผมอาจเหลือเพียงภาชนะว่างเปล่าไร้ผู้ใดเหลียวแล จากนั้นกายละเอียดคงลอยไปไกลสู่พิภพอื่น ประเทศไทยมักเป็นแบบนี้เสมอ ตอนกลางวันร้อนแต่กลางคืนกลับหนาวเหน็บจับใจ
อุ้งเท้าของผมชาแทบไม่เหลือประสาทสัมผัส ความหิวคือหนึ่งในศัตรูจ้องฉีกจิตวิญญาณให้ขาดสะบั้นประทังด้วยน้ำฝนต่อชีวิตไปได้อีกหน่อย ผมหยุดนิ่งเงยหน้ามองท้องฟ้าไร้ซึ่งจันทรายามราตรี ทันใดนั้นเสียงสวรรค์คำรามดังกระหึ่มขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาหัวใจตกไปอยู่ตาตุ่มขวัญกระเจิง
ผมขดตัวสั่นระริกไปด้วยความหนาวและความหวาดกลัว คิดเพียงแค่ว่าจะเอาชีวิตรอดในวินาทีนี้อย่างไรดี
ก้ำกึ่งระหว่างความเป็นความตายหากไม่ได้เสียงของใครบางคนฉุดรั้งเอาไว้ ผมคงตกลงสู่ห้วงมรณะแห่งอนันตกาล
“แกมาอยู่ตรงนี้ตัวเดียว เดี๋ยวก็ได้ตายจริง ๆ หรอก” จากนั้นมือหยาบเหี่ยวช้อนร่างเล็กขึ้น ความอบอุ่นแผ่ซ่านทั่วร่าง ผมเบิกตาโตมองกลับไปยังบุคคลช่วยชีวิต แสงไฟสาดเกิดเงาดำบดบังจนไม่อาจสังเกตใบหน้าอีกฝ่ายได้ ความหวาดผวาของเสียงคำรามจากนภาทมิฬยังไม่ได้บรรเทากลับร้องคำรามอีกครั้งกระชากขวัญกระเจิงเผลอกระโดดลงจากมือหยาบใหญ่
ในวินาทีนั้นหากเขาไม่รับไว้ทันคงไม่รอด
“ไม่ต้องกลัวนะเจ้าตัวเล็ก” เสียงทุ้มต่ำแต่อ่อนนุ่มไร้ซึ่งความกลัวรู้สึกถึงความปลอดภัยภายใต้อุ้งมืออุ่น จากร่างกายสั่นสะท้านกลับนิ่งสนิทอย่างน่าประหลาด กลิ่นหอมบางอย่างชวนให้หลับสับปงกตัดการรับรู้หลังจากต้องเผชิญโลกกว้างแสนโหดร้าย ก่อนสติจะหลุดลอย เสียงของชายชราดั่งทูตสวรรค์กล่าวขึ้น “ฉันจะเป็นคนดูแลแกเอง”
……………………..
ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน บางอย่างบอกว่าผมไม่ได้หลับสนิทลึกสุดห้วงอย่างนี้มานาน กำลังวังชาฟื้นคืนกลับมาทีละนิด ผิวสัมผัสถึงบางอย่างคลุมร่างมอบความอบอุ่น ศีรษะแนบหมอนขนเป็ดอ่อนนุ่มเบาสบายผ่อนคลาย ความเงียบปลอบโยนจิตใจให้สงบลง จมูกรับกลิ่นหอมของยาและสมุนไพรบางชนิดสร้างพลังบวกทางกายให้สามารถยันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่หูกลับตั้งหันเหเหมือนเรดาร์ไปทางเสียง ครืด! ปริศนา ดังเข้ามาในโสตประสาทอย่างต่อเนื่อง
ด้วยสัญชาตญาณแห่งความใคร่รู้จึงประโจนออกมาจากกล่องลูกฟูกทรงเตี้ย พลางเงี่ยหูฟังทิศทางต้นเสียง พื้นกระเบื้องเย็นเฉียบยามเมื่ออุ้งเท้าสัมผัสชวนขนลุกไม่มาก แต่จะพยายามปรับตัวให้ชินก่อนค่อย ๆ ย่องอย่างเงียบเชียบ เห็นแผ่นหลังใครบางคนสวมเสื้อสีขาวลายทางสีฟ้านั่งบนเก้าอี้ไม้กำลังง่วนอยู่กับอะไรบางอย่าง เสียงของแข็งไถลบนพื้นวัสดุปริศนาดังขึ้นยิ่งจุดประกายความอยากรู้อยากเห็น
แผ่นหลังนั่นช่างดูเล็กเก้งก้างแลดูอ่อนแอกลับแฝงไปด้วยพลังใจเปี่ยมล้น ช่างเป็นมนุษย์ที่น่าเคารพศรัทธาสมควรรับการแต่งตั้งเป็นทาสของผมนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป
และอีกอย่าง… เขาช่วยต่อชีวิตให้ บุญคุณนี้ ผมจะไม่มีวันลืม
“มิ๊ว!!” ผมเปล่งเสียงร้องออกไป ชายชราชะงักก่อนเหลียวหลังมามอง ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นตามอายุ ดวงตาประกายดั่งอัญมณีจับจ้องกลับมาผสานสายตาเชื่อมจิตสองรวมเป็นหนึ่ง
“มีแรงแล้วเหรอเจ้าตัวเล็ก” รอยยิ้มอันเป็นมิตรแตกต่างจากมนุษย์ที่ผมเคยเจอฉีกออกพร้อมโน้มตัวลงมาหมายต้องการสัมผัสตัว แต่เดี๋ยวก่อน! เราแทบไม่ได้รู้จักกัน ผมไม่ได้ง่ายถึงขั้นให้มนุษย์แปลกหน้าไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาสัมผัสหรอก
ก่อนมือคู่นั้นเข้ามาสัมผัส ผมจึงดีดตัวพุ่งขึ้นไปในอากาศตราบเท่าแรงขา เมื่ออุ้งเท้าแตะแขนจึงกางกรงเล็บอันแหลมคมจิกผิวหนังอีกฝ่ายแล้วดีดตัวเองเคลื่อนที่ไปด้านหน้าจากนั้นกระโดดข้ามไหล่ลอยคว้างกลางอากาศ
วินาทีนั้นผมรู้ได้ทันทีว่าตัดสินใจผิดพลาด บนโต๊ะไม้เต็มไปด้วยกระดาษและขวดสีดำปริศนา แต่ไม่สามารถหยุดเวลาเพื่อแก้ไข ร่างผมกระแทกโต๊ะส่งผลให้กระดาษปลิวกระจายรวมถึงขวดสีดำล้มระเนระนาดน้ำหมึกดำไหลอาบเปียกอุ้งเท้า ผมสะดุ้งสุดตัวดีดเกาะใบหน้าชายชรา
“ฮะ… เฮ้ย! อยู่เฉย ๆ สิเจ้านี่!” ชายชราโวยวายเสียงดังอู้อี้เพราะใบหน้าถูกฝังอยู่บริเวณหน้าท้องแล้วพยายามดึงผมออกมา ไม่นานผมอยู่ในสภาพถูกอุ้มประคองใต้ขาหน้า แม้จะดิ้นสักเท่าไหร่ก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงมากพอ “ตัวแค่นี้แต่แรงเยอะจริงนะ… อา… เจ้านี่ดันทำนิยายของฉันเปื้อนหมึกหมดเลย อืม… มีบางส่วนที่ยังอ่านออกแถมยังมีรอยอุ้งเท้าเปื้อนหมึกอยู่ด้วย แบบนี้บ.ก.ต้นกล้าไม่ชอบแน่ เขียนใหม่น่าจะดีกว่า”
ผมไม่รู้ว่าเขาพูดถึงอะไร ฟังดูแล้วกระดาษเลอะของเหลวสีดำนี่คงสำคัญกับเขามาก การที่ผมอาละวาดเมื่อกี้มันส่งผลทำให้ผู้มีพระคุณเศร้าใจอาจไม่ใช่เรื่องควรทำ
“มิ๊ว!” (ผมขอโทษ)
“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้เอง” ชายชราวางผมไว้บนตัก อุ้งเท้านุ่มน้อยเหยียบต้นขา พร้อมลูบศีรษะอย่างอ่อนโยน รอยยิ้มแสนอบอุ่นเหมือนกับอัสดงยามเย็น “แกคงไม่มีเจ้าของหรือว่าไม่มีที่ไปสินะ งั้นก็มาอยู่กับฉันเป็นไง”
“แง๊ว!!” (น่าสนใจ งั้นขอแต่งตั้งแกเป็นทาสของผม ณ บัดนี้!!)
………………..
“ไรเตอร์…” เสียงของชายชราดังขึ้นอย่างแผ่วเบามาจากห้องทำงาน ใช่ ‘ไรเตอร์’ คือชื่อของผม นับตั้งแต่ผมรับ ‘โจคิน’ นักเขียนนิยายชื่อดังผู้ใช้เวลาในการร้อยเรียงเรื่องราวส่งชายวัยกลางคนที่ชื่อ ‘บ.ก.ต้นกล้า’ มาเป็นทาสนับว่าผ่านมาได้ห้าปี เขาปฏิบัติตัวต่อผมด้วยความเคารพไม่ต่างจากผู้ติดตามศาสดา
“ถ้าเรื่องนี้ได้กลายเป็นซีรีส์เมื่อไหร่ผมจะไปปิดเซเว่นแก้บนเลย” ชายวัยกลางคนร่างท่วมหัวเราะร่าเมื่อได้อ่านต้นฉบับนิยายมหากาพย์แฟนตาซีเรื่อง ‘ตำนานเพลิงอมตะ’ ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองเล่มต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ ลิขสิทธิ์ถูกขายไปทุกประเทศทั่วโลกทำให้พลิกชีวิตนามปากกา เจ.โจคิน จากยาจกกลายเป็นมหาเศรษฐีระดับโลก แต่กลับอาศัยอยู่ในอะพาร์ทตเม้นต์สวนทางด้านฐานะอย่างเห็นได้ชัด เขาเสียภรรยาไปด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย อีกทั้งไม่มีเงินรักษาจึงต้องยอมปล่อยเลยตามเลย ลูกชายคนเดียวดันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย โจคินผู้ไม่เหลืออะไรจึงตัดสินใจเขียนความรู้สึกของตัวเองออกมาก่อนโพสต์มันลงบัญชีออนไลน์ก่อนแขวนคอเพื่อจบชีวิต กลับกลายเป็นว่ามีบัญชีแปลกหน้านับหมื่นต่างชื่นชมในสำนวนการเขียนจึงได้รับแรงบันดาลใจต่อยอดความสามารถไปเป็นนักเขียนนิยายและเรียนรู้พื้นฐานให้แน่นที่สุด
‘ตำนานเพลิงอมตะ’ เล่มแรกถือกำเนิด แต่กว่าจะผ่านด่านโหดหินของบ.ก. ต้นกล้าได้นับว่าไม่ง่าย โจคินผู้ไม่ยอมแพ้จึงได้แก้ไขปรับปรุงฝ่าฟันจนตีพิมพ์ออกวางขายตามร้านหนังสือชั้นนำ ไม่กี่เดือนต่อมายอดขายกลับทะลุจนขาดตลาด สำนักพิมพ์จึงตัดสินใจพิมพ์เพิ่มออกมาเรื่อย ๆ จากนั้นเล่มสอง เล่มสาม ออกตามมาแบบปีต่อปีกระทั่งถึงเล่มหก
ระยะทางระหว่างเล่มหกและเล่มเจ็ดซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของนิยายมหากาพย์ ‘ตำนานเพลิงอมตะ’ ห่างกันถึงห้าปี แฟนคลับทั่วโลกต่างให้ความรอคอยเล่มจบอย่างใจจดใจจ่อจนยอมแพ้ไปมากมาย
เหตุผลข้อนี้ไม่มีใครรู้ แม้แต่บ.ก.ต้นกล้านอกจากผม
ทุกครั้งที่เขาเหนื่อยล้ากับการเค้นจินตนาการจากสมองลงมาข้อมือผ่านปลายปากกาสู่ตัวอักษรแต่ละตัวอักษรนั้น ช่างยากเย็น โจคินมักจะปล่อยมันทิ้งไว้เปลี่ยนเก้าอี้ไม้เป็นโซฟาเพื่อผ่อนคลายโดยมีผมนอนหมอบอยู่บนตักนิ่ง ๆ เขามักจะลูบหัว ลูบหลัง ลูบหาง เกาคาง เกาใบหูและจุมพิตกลางศีรษะ จากนั้นค่อยเริ่มสาธยายเล่าเนื้อเรื่องที่ยังไม่ได้เขียนให้ผมฟังเสมอ เชื่อเถอะว่าเรื่องราวมันน่าตื่นเต้นเร้าใจ แม้แต่แมวอย่างผมยังลุ้นว่าตัวเอกจะตัดสินใจอย่างไรต่อ ผมฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจำได้ขึ้นใจ แม้ในหัวจะมีแต่อาหารเปียกก็ตาม
วันนั้นผมร้องเรียกหาเจ้าทาสโจคินได้เวลาให้อาหารเปียกแล้วยืนรอที่ชามสแตนเลสว่างเปล่า แต่กลับช้าจนผิดสังเกต ผมจึงสาวสี่ขาไปหากลับกลายเป็นว่าสวนกับทาสเสียอย่างนั้น โชคดีที่เขาไม่เป็นอะไรจึงเลี้ยวหันกลับไปรอที่ชามอาหารตามปกติ เขาหยิบซองอาหารเปียกรสโปรด ฉีกซองด้วยท่าทางทุลักทุเล ผมนั่งเฝ้ามองท่าทีอีกฝ่ายตาไม่กระพริบจนกระทั่งเนื้อปลาผสมเนื้อไก่ส่งกลิ่นหอมเกินห้ามใจเปียกเทใส่ชามจนหมดซองเป็นดั่งสัญญาณให้เริ่มกินได้
ท่ามกลางความสุขแห่งอาหารเปียกแสนโอชะ กลับมีหนึ่งชีวิตที่ใกล้ดับสูญ
มองดูสัตว์เลี้ยงแสนรักสวาปามมูมมามพร้อมรอยยิ้มริมฝีปากซีดเซียวอิดโรย เขากุมอกซ้ายขยุมเสื้อยืดสีขาวจนยับ พลางกัดฟันแน่นไร้เสียงเล็ดลอด
“ไรเตอร์… แกจงมีชีวิตอยู่ต่อไป… โดยที่ไม่มีฉันนะ…” เขาเรียกชื่อผมก่อนร่างกายผอมบางเอนล้มบนกับพื้น ชายชราตัวสั่นเทิ้มได้ไม่กี่อึดใจก่อนแน่นิ่งในเวลาต่อมา
รู้ตัวอีกที… เจ้าทาสที่รักของผมก็จากไปเสียแล้ว…
……………………
“โจคิน ไวเปอร์ นามปากกา เจ.โจคิน เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน น่าจะเกิดจากภาวะความเครียดสะสม อีกทั้งประวัติการรักษาของผู้ตายพบลิ่มเลือดในหลอดเลือดหัวใจ มีไขมันสะสมอยู่หลายจุด หากวิเคราะห์จากอาชีพการงานของเขาที่ต้องนั่งโต๊ะทำงานในท่าเดิมเป็นเวลานานและกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ แถมในบันทึกระบุไว้ว่าเขามีความดันสูงจนน่าใจหาย”
หมอกวีกล่าวให้กับเจ้าหน้าที่สืบสวนแอนเดอร์สันฟังด้วยน้ำเสียงต่ำเข้ม ทั้งสองสนิทชิดเชื้อกับโจคินในฐานะประชาชนเมืองเดียวกันและแฟนคลับนิยายตัวยง เมื่อพวกเขารับรู้ถึงการเสียชีวิตของศิลปินในดวงใจแทบทำใจเอาไว้ไม่ไหว พวกเขาจึงอาสาจัดการเคสนี้อย่างสมัครใจ
หมอหนุ่มร่างสูงสวมเสื้อกาวน์ยาวถึงเข่าสวมแว่นตาเลนส์ใสคลุมดวงตาเฉี่ยวคมเรียบนิ่ง กรอบกรามชัดเจนห่อหุ้มด้วยผิวหนังขาวสว่างยิ่งกว่าสตรีกลับซีดเผือกราวศพเดินได้ ส่วนเจ้าหน้าที่แอนเดอร์สันครอบครองความสูงไล่เลี่ยกัน แต่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อกำยำกว่า เส้นเลือดปูดโปนตามท่อนแขนแข็งแกร่งขาวเต็มไปด้วยรอยแผลดั่งสัญลักษณ์แห่งประสบการณ์อันโชกโชน ดวงตาสีฟ้าครามน้ำทะเลประกายจับจ้องไปยังร่างเปลือยเปล่าไร้วิญญาณของศิลปินผู้พร้อมถวายดวงใจด้วยความอาลัยอาวรณ์
หมอกวีถอนใจยาวหลังจากเย็บแผลชันสูตรให้มีสภาพเดิม ไม่คิดมาก่อนว่าจะได้มาผ่าร่างนักเขียนชื่อดังตามสื่อออนไลน์ หน้าหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์มาก่อน นั่นทำให้มือไม้อดสั่นไม่ได้ แต่นั่นคือว่าดีที่สุดสำหรับแฟนคลับที่อ่านนิยายมหากาพย์จากปลายปากกาถึงเล่มล่าสุดและรอคอยเล่มสุดท้ายอย่างใจจดใจจ่อ เขาจับมืออันไร้เรี่ยวแรงของนักเขียนชราผู้ล่วงลับพลางมองด้วยสายตาเรียบนิ่งเงียบงัน
“สุดท้าย… นิยายเรื่องตำนานเพลิงอมตะก็ไม่มีตอนจบ” เขากล่าวอย่างเลื่อนลอยพลางถอนหายใจยาว
“สมชื่ออมตะจริง ๆ สมาคมนักเขียนควรให้นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายอมตะเสียทีนะ คดีนี้ไม่มีฆาตกรจึงปิดสรุปเพียงว่าโรคประจำตัวของผู้ตายกำเริบถึงแก่ความตาย เป็นการปิดคดีที่ง่าย แต่ทำใจได้ยากยิ่ง” เจ้าหน้าที่สืบสวนแอนเดอร์สันกล่าวก่อนหันหลังไปหยิบวิสกี้เทใส่แก้วทั้งสองจากนั้นยื่นให้อีกฝ่าย หมอกวีถอดถุงมือยางเปื้อนน้ำเลือดน้ำเหลืองทิ้งถังขยะก่อนรับแก้ววิสกี้มาพร้อมประสานสายตากับอีกฝ่าย
ทั้งสองชูแก้วของเหลวสีทองสะท้อนไฟเพดานเกิดประกายแวววาวราวน้ำอมฤต
“แด่เจ.โจคิน ผู้ล่วงลับ” ทั้งสองกล่าวพร้อมกันก่อนกระดกยกดื่มรวดเดียวจนหมดก่อนแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน
………………………………………
ขนบนศีรษะของผมหันเหชี้เด่ไปเส้นละทิศละทางเพราะฝ่ามือและปลายนิ้วของเหล่าแฟนคลับเจ้าทาสผู้ล่วงลับมาแสดงความเสียใจด้วยการลูบศีรษะและเกาคาง แม้ว่ามันทำให้รู้สึกดีในระยะหนึ่ง แต่ไม่ได้เยียวยาระยะยาวสักนิด สายตาของพวกเขาต่างเอ็นดูและอาวรณ์ ทำไมกันนะ… ความตายนั้นเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอ? สุดท้ายร่างกายก็กลับคืนสู่ธรรมชาติ มีแต่จิตวิญญาณเท่านั้นแหละที่ยังคงอยู่
หลังจากกลุ่มคนโกนศีรษะโล้นพร้อมเครื่องนุ่งห่มสีส้มเหมือนแครอทกล่าววาจาภาษาแปลกประหลาดกว่าครึ่งชั่วโมงชวนให้หมอบดิ่งหนังตาหนักอึ้งกระทั่งสู่ห้วงนิทรา ตื่นมาอีกทีก็รู้สึกถึงปลายนิ้วเย็น ๆ สัมผัสศีรษะลูบไล้ไปมาด้วยความเอ็นดูพร้อมคำพูดเดิมวนซ้ำไปมาาจนน่ารำคาญ
“เสียใจด้วยนะ ไรเตอร์ เจ้านายแกจากไปอย่างนี้สมาคมนักเขียนของเราก็อยากจะดูแลแกแทน แต่ค่าใช้จ่ายดันไม่พอนี่สิ” ประธานสมาคมนักเขียนกล่าวด้วยความอาลัย
“เสียใจด้วยนะ ไรเตอร์ สุดท้ายนิยายที่ฉันดูแลก็ไปไม่ถึงตอนจบเสียนี่…” บ.ก.ต้นกล้า ผู้ดูแลนิยาย ‘ตำนานเพลิงอมตะ’ กล่าวทั้งน้ำตา ฝ่ามืออุ่นเปียกลูบหัวผมขนแฉะไปหมดก่อนหันหลังซบหน้าลงบนแขนแล้วปล่อยโฮเสียงดัง
หลังจากนั้นผมจำไม่ได้แล้วว่ามีใครมาลูบหัวผมและแสดงความเสียใจต่อบ้าง
“เสียใจด้วยนะ”
“เสียใจด้วยนะ”
“เสียใจด้วยนะ”
…
อืม… เข้าใจแล้ว… แต่ตอนนี้ผมหิวเปียก…
“นั่น…!? ‘มาร์คัส’ ใช่หรือเปล่า?” เสียงหนึ่งดังเข้ามาในหู ตามด้วยเสียงซุบซิบอีกนับไม่ถ้วนจนหันเหความสนใจของผมไปยังชายร่างสูงในชุดสูทลำลองสีดำ ใบหน้าคล้ายคลึงกับโจคินสมัยหนุ่มแต่ไว้หนวดเคราดูสกปรก แววตาคู่นั้นเลื่อนลอยด้านสนิทไร้แวว กลิ่นความชั่วร้ายโชยเตะจมูกส่งผลให้ขนลุกชันฟูพอง เล็บแหลมกางเผยคมแวววาว นัยน์ตาแคบดั่งเสือสมิงขู่ตามสัญชาตญาณ
“ฟ่ออออ!!!” ผมแยกเขี้ยวร้องคำรามโดยอัตโนมัติ แต่ดูเหมือนว่าชายปริศนาคนนั้นกลับไม่สะทกสะท้าน ดวงตาสีนิลเลื่อนมองผมอย่างเหยียดหยามรำคาญ
เสียงซุบซิบเหล่านั้นยังคงลอยมาตามลม
“หรือว่านั่นคือมาร์คัสลูกชายคนเดียวของโจคิน”
“ใช่! ไม่ผิดแน่ เขานั่นแหละ เขาคือทายาทคนเดียวแห่งเจ.โจคิน!!”
_________________________________
To Be Continue CHAPTER 2