หลันฮวามีร่างกายอ่อนแอ จึงไม่อนุญาตให้เขาออกนอกห้องและยังคอยย้ำเตือนว่าข้างนอกอันตรายเพียงใด ชีวิตประจำวันของหลันฮวาคงดำเนินไปอย่างสงบสุขหากว่าไม่มีผู้ใดต้องการเห็นเขาเสียน้ำตา
ดราม่า,ชาย-ชาย,4P,นายเอกอ่อนแอ,จิ้งจอกปีศาจ,จีนโบราณ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้หลันฮวามีร่างกายอ่อนแอ จึงไม่อนุญาตให้เขาออกนอกห้องและยังคอยย้ำเตือนว่าข้างนอกอันตรายเพียงใด ชีวิตประจำวันของหลันฮวาคงดำเนินไปอย่างสงบสุขหากว่าไม่มีผู้ใดต้องการเห็นเขาเสียน้ำตา
อันเนื่องมาจากวันนี้เป็นวันทำงาน ทว่า เยว่เทียน กลับหยุดงานกะทันหัน โดยผู้อนุญาตก็คือตัวเขาเอง โชคดีที่ยังพอมีจิตสำนึกอยู่บ้าง ถึงได้มานั่งทำงานที่โต๊ะ ปล่อยให้หลันฮวานอนเล่นอยู่เพียงลำพัง ถือว่าเป็นโชคดีอีกต่อหนึ่ง เพราะคนตัวเล็กนั้นเป็นจิ้งจอกที่ว่านอนสอนง่าย จึงไม่มารบกวนเวลาทำงานของเขา
บางครั้งเยว่เทียนก็อดสงสัยไม่ได้ เหตุใดหลันฮวาผู้ที่ไม่เคยออกไปใช้ชีวิตในโลกภายนอก จึงรู้ได้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรทำ จะว่าตัวเขาเป็นผู้สั่งสอนก็มิใช่ เพราะสิ่งที่เยว่เทียนสอนล้วนเป็นเพียงสิ่งที่เขาชอบเท่านั้น หากหลันฮวาอยากทำสิ่งใดที่อยู่ภายในห้องและไม่ก่อให้เกิดอันตราย เยว่เทียนก็พร้อมจะตามใจทุกอย่าง หากหลันฮวาขอให้เขาหยุดงานไปสิบปี เขาก็ยินดีจะทำให้ได้
“อือ.. ท่านพี่—ไปไหน”
ครั้นได้ยินเสียงพึมพำแผ่วเบาจากคนตัวเล็ก เยว่เทียนที่รู้ดีถึงนิสัยของร่างบางว่าจะไม่มีทางงอแงหรือตีโพยตีพายโดยไร้เหตุผล จึงรีบลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปเปิดม่านกั้นเตียงออกทันที
“ท่านพี่เยว่…”
ภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏคือใบหน้าที่แดงซ่านไปจนถึงลำคอของหลันฮวา พร้อมเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายตามหน้าผาก
“อาหลัน!” ดูเหมือนจิ้งจอกน้อยจะป่วยเข้าเสียแล้ว
.
.
.
ทางด้านฝั่งเขตแดนมนุษย์
ในจวนตระกูลใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ติดกับป่าเขา บริเวณรอบ ๆ มีเพียงแม่น้ำใสและดอกไม้บานสะพรั่ง หากทอดสายตามองไปไกลสุดขอบฟ้า จะเห็นไร่นากับบ้านเรือนไม่กี่หลังแทรกตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบ เสมือนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่ถูกร้อยรัดเอาไว้อย่างกลมกลืน
บุรุษผมสีทองคล้ายผ้าไหมชั้นดีนั่งอยู่ในห้องรับแขก พลางจิบชาอย่างเพลิดเพลิน สายตาของเขาล่องลอยไปยังสวนดอกไม้ที่เบื้องหน้าท่ามกลางความสงบ ร่างกายแช่มชื่นในบรรยากาศรอบข้าง ทันใดนั้น สายตากลับสะดุดกับนกตัวหนึ่งที่บินตรงเข้ามาหา เขายื่นมือออกไปโดยไม่ลังเลเพื่อเชื้อเชิญให้มันบินมาเกาะบนฝ่ามืออย่างแผ่วเบา
หากมองด้วยตาเปล่าคงเห็นเป็นเพียงนกตัวเล็กธรรมดา ทว่าแท้จริงแล้วมันกลับเป็นยันต์พิเศษที่ยิ่งเจ้าของยันต์มีพลังที่แกร่งมากเพียงใด ก็ยิ่งมองออกได้ยากมากขึ้น
“จากลูกศิษย์ของข้าสินะ” บุรุษหนุ่มพึมพำเบา ๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเข้าใจในสิ่งที่ซ่อนอยู่
บ่อยครั้งที่ลูกศิษย์มีปัญหาก็มักจะส่งจดหมายผ่านนกกระดาษมาเช่นนี้ เฟยหรงจับนกกระดาษมาคลี่ออก ก่อนไล่สายตาอ่านทุกตัวอักษรจนจบ เขามิได้แปลกใจต่อเนื้อหามากนัก เนื่องจากมันเป็นคำขอเดิม ๆ ที่ศิษย์คนนี้มักจะขออยู่เสมอ — มือเรียวฉีกกระดาษออกเป็นสองส่วน ครั้นเมื่อนกน้อยขาดออกจากกัน มันก็สลายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
“ท่านเซียนหยาง ข้าเตรียมของเสร็จแล้วขอรับ” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังแทรกขึ้นมา ครั้นหันไปมองตามต้นเสียงก็พบว่าเป็นคุณชายเล็กของตระกูล
เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนเปล่งประกาย ใบหน้าหวานละมุนดั่งพระจันทร์ ครอบครองคุณสมบัติแห่งความงามที่เหลือคณานับ บนศีรษะของคุณชายน้อยมีเขากวางสีไข่ที่ดูอ่อนช้อยและใบหูเล็กปรากฏให้เห็น ภายนอกมองดูเหมือนจะอายุไม่เกินยี่สิบปี แม้เป็นเพียงบุตรบุญธรรมในตระกูลใหญ่ แต่กลับได้รับความรักและความเอ็นดูจากทุกคนในจวนอย่างล้นหลาม
“รบกวนเจ้าแล้ว” เฟยหรงกล่าวด้วยความนอบน้อม ขณะมองดูเจ้าของจวนที่ยังคงสงบเสงี่ยม
“เทียบมิได้กับตอนที่ท่านเซียนช่วยชีวิตข้าเมื่อสมัยยังเด็กเลยขอรับ ตอนนั้นข้านึกว่าจะต้องกล่าวคำลาท่านพ่อ พี่ใหญ่ แล้วก็ทุกคนในจวนเสียแล้ว อ๊ะ— ขออภัยที่พูดไร้สาระนะขอรับ”
คนงามกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ก่อนจะก้าวเข้ามานั่งที่โต๊ะไม้ข้าง ๆ เฟยหรง และยื่นกล่องไม้ขนาดเท่าฝ่ามือให้แขกผู้มีเกียรติ สายตาของเฟยหรงเต็มไปด้วยความนิ่งสงบขณะฟังเรื่องราวในอดีตที่เจ้าของจวนเล่าออกมา เขามิได้พูดสิ่งใด เพียงแค่ยิ้มรับอย่างอบอุ่น ราวกับเข้าใจในความรู้สึกของคนตรงหน้า
เฟยหรงเปิดกล่องไม้ขึ้น ดวงตาของเขาสอดส่องไปในกล่องอย่างพิจารณา รอยยิ้มที่เคยอบอุ่นกลับแฝงไปด้วยความลึกซึ้ง ขณะนั้นเอง ความเงียบสงบก็แผ่ขยายไปทั่วห้อง
“ข้าสอนเจ้าครั้งเดียวก็ทำออกมาได้ดีขนาดนี้ เจ้าช่างมีพรสวรรค์นัก ทั้งขยันขันแข็ง ตั้งใจเรียนรู้เพิ่มเติมจากสิ่งที่ข้าสอนทิ้งเอาไว้ ข้าก็หวังอยากให้ลูกศิษย์ทั้งสองเอาเจ้าเป็นเยี่ยงอย่างบ้าง”
เมื่อได้คำชมจากเซียนผู้ยิ่งใหญ่ คุณชายน้อยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอายจนทำตัวไม่ถูก รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าขณะที่ดวงตาสีอ่อนหลุบลงเล็กน้อยเพื่อซ่อนความขัดเขิน ทว่าภายใต้ความเขินอายนั้น กลับมีความสงสัยที่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงัน
โดยปกติเซียนมักรับลูกศิษย์ได้ราวสิบคน แต่ท่านเซียนหยางกลับเลือกที่จะรับเพียงแค่สองคนเท่านั้น นั่นย่อมมิใช่เรื่องบังเอิญ เด็กหนุ่มนึกสงสัยมิได้ว่าลูกศิษย์ที่ท่านเซียนหยางกล่าวถึงจะเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่งเพียงใด ถึงทำให้ท่านเซียนหยาง ผู้ที่ว่างเว้นจากการรับศิษย์มาหลายร้อยปี ยอมเปิดประตูรับศิษย์ใหม่อีกครั้ง และความอยากรู้อยากเห็นก็เริ่มคุกรุ่นในใจอย่างเงียบเชียบ ราวกับเปลวไฟที่ถูกจุดขึ้นในคืนอันสงัด
“แมวดำ? ” เสียงของเฟยหรงดังขึ้นเมื่อเขาสังเกตเห็นแมวดำตัวหนึ่งมายืนมองอยู่ที่หน้าประตู
คนงามที่เผลอจมอยู่ในภวังค์ได้สติเมื่อเฟยหรงเอ่ยทัก — “แมวตัวนี้ข้าเพิ่งเจอเมื่อวานใกล้แม่น้ำขอรับ เห็นมันบาดเจ็บ จะทำใจปล่อยผ่านก็มิได้” คุณชายน้อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาสีอ่อนทอประกายแห่งความเมตตายามมองเจ้าแมวดำตัวเล็กที่กำลังคลอเคลียขอบประตู
ต่างจากเฟยหรงที่ยังคงจดจ้องแมวดำตัวนั้นอย่างไม่วางตา แววตาลึกล้ำของเขาเหมือนกำลังพยายามมองทะลุผ่านบางสิ่งในตัวมัน ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือสิ่งใดกันแน่ แมวดำที่รู้สึกถึงสายตานั้นก็รีบหลบหน้าด้วยท่าทีระแวง ก่อนกระโจนเข้าไปหาคุณชายน้อยอย่างไม่ลังเล
ครั้นโดนแมวตัวน้อยกระโดดขึ้นตัก คนงามก็ยกยิ้มอย่างอ่อนโยน มือเรียวลูบขนมันเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู
“เจ้าช่างขี้อ้อนนักนะ” เสียงหวานกระซิบเบา ๆ สัมผัสอ่อนโยนของเขาทำให้แมวดำซุกตัวเข้าหา ออดอ้อนราวกับต้องการความอบอุ่น เฟยหรงมองภาพนั้นด้วยแววตานิ่งสงบ ทว่ายากจะคาดเดาว่าในใจของเซียนใหญ่ผู้นี้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่
“ทั้งคนทั้งสัตว์ เจ้าก็ยังช่วยโดยมิหวังผลตอบแทนใด ๆ ไม่แน่ว่าวันข้างหน้า เจ้าอาจมีโอกาสช่วยปีศาจก็เป็นได้” เฟยหรงกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง ราวกับกำลังหยอกเย้า แต่แฝงไว้ด้วยนัยบางอย่างที่ยากจะคาดเดา
คุณชายน้อยที่ได้ฟังกลับเข้าใจว่าเป็นเพียงคำชม จึงเพียงยิ้มรับโดยมิได้ติดใจสงสัยใด ๆ ดวงตาสีอ่อนเป็นประกายใสซื่อ รอยยิ้มบนริมฝีปากงามนั้นเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไร้ซึ่งความหวาดระแวงในถ้อยคำของเฟยหรงโดยสิ้นเชิง แตกต่างกับสิ่งมีชีวิตสีดำที่ยังคงซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของคุณชายน้อย แต่ปลายหางกลับแกว่งเบา ๆ แล้วจ้องผู้เป็นแขกไม่วางตา
.
.
.
ณ จวนตระกูลเสวี่ย
ภายในจวนที่เงียบสงบอยู่แล้วยิ่งเงียบสงัดขึ้นไปอีก จนบรรยากาศรอบข้างชวนให้อึดอัด บ่าวรับใช้ต่างพากันเสูดอากาศหายใจให้เบาบางที่สุด มิกล้าส่งเสียงใด ๆ ด้วยความเกรงกลัว บ่าวทุกคนต่างรู้ดีว่าบุคคลปริศนาที่นายท่านคอยดูแลอย่างใกล้ชิดกำลังล้มป่วย แม้เรือนพักของเขาจะอยู่ห่างไกลจากจวนหลักก็ตาม แต่ความเงียบงันที่แผ่กระจายออกมานั้นกลับทำให้ทั่วทั้งอาณาบริเวณถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศหนักอึ้ง
เยว่เทียนนั่งอยู่ข้างเตียง ผ้าขนหนูชุบน้ำถูกบิดหมาดอย่างเบามือ ก่อนจะค่อย ๆ เช็ดตามร่างกายของผู้ที่นอนหมดสติอย่างทะนุถนอม ราวกับเกรงว่าหากออกแรงเพียงนิดเดียว ร่างตรงหน้าอาจแตกสลายได้ในพริบตา ดวงตาของเขาทอดมองใบหน้าซีดเซียวของหลันฮวาอย่างเป็นห่วง
ระหว่างกำลังจดจ่อกับสิ่งที่ทำ เสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง เยว่เทียนมิได้หันไปมอง เขารู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นใคร
ผู้มาใหม่เมื่อเห็นลูกศิษย์เมินเฉยก็มิได้ถือสา สำหรับเฟยหรงแล้ว การสอนให้เยว่เทียนเคารพผู้อื่นคงยากกว่าการบังคับให้หงส์ถอนขนหรือให้มังกรหักเขาของตนเองเสียอีก จึงเพียงแค่ยกยิ้มบางแล้วเอ่ยพูด
“ข้าเดาว่าที่น้องเจ้าป่วยเช่นนี้ สาเหตุคงมาจากเจ้าเอง”
เยว่เทียนยังคงเงียบงัน ดวงตาสีเข้มไม่ไหวติง ขณะมือเรียวกำผ้าขนหนูในมือแน่นขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากหยักเม้มเข้าหากันโดยไม่เอ่ยคำใด จนกระทั่งเฟยหรงก้าวเข้ามาใกล้อีกนิด สายตาคมกริบทอดมองร่างที่นอนนิ่งบนเตียง ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงแววเตือนลึก ๆ
“อย่าลืมสิ ตอนนี้เด็กน้อยของเจ้าเหลือแค่สองหางแล้ว ร่างกายย่อมอ่อนแอกว่าปกติ”
คำพูดของเฟยหรงดั่งเข็มที่ทิ่มแทงเข้าในอก เยว่เทียนกัดฟันแน่น ขณะที่ปลายนิ้วเย็นเฉียบลูบไล้แผ่วเบาบนหน้าผากของผู้ที่นอนหมดสติ ใบหน้าที่นอนซมของหลันฮวาทำให้ดวงตาของเยว่เทียนขุ่นมัวไปชั่วขณะ
“ข้ารู้ดี” เขาเอ่ยเสียงเบา ราวกับลมกระซิบ
โดยปกติแล้วเผ่าจิ้งจอกปีศาจจะแบ่งลำดับชั้นตามจำนวนหางที่ครอบครอง เพราะจำนวนหางคือสัญลักษณ์แห่งพลังและสถานะในเผ่า ยิ่งมีหางมาก ยิ่งแข็งแกร่งและมีอำนาจมากขึ้น
ผู้ที่มี สามหาง นั้นถือเป็นชั้นต่ำสุดของเผ่า ถูกจัดให้อยู่ในฐานะ ทาส ที่ไร้ซึ่งเกียรติและอำนาจ ถูกใช้งานเยี่ยงสิ่งของ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเงยหน้ามองนายเหนือหัวโดยตรง ส่วน ผู้ที่มีสี่ถึงหกหาง จะอยู่ในสถานะของชาวบ้านธรรมดา แม้จะมีสิทธิ์ในฐานะประชากรของเผ่า แต่ก็มิได้มีพลังมากพอที่จะปกป้องตนเองได้อย่างแท้จริง
จิ้งจอกเจ็ดถึงแปดหาง นั้นถือเป็นชนชั้นสูง ได้รับยศศักดิ์ในระดับขุนนาง มีทั้งอำนาจและความเคารพจากผู้อื่น แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่า ก็คือ จิ้งจอกเก้าหาง อันเป็นผู้นำสูงสุด ผู้ครอบครองพลังอันล้นเหลือและมีอำนาจเหนือทุกชีวิตในเผ่าอย่างแท้จริง — ในโลกภายนอกที่แม้แต่จิ้งจอกสามหางยังเป็นเพียงทาสไร้ค่า หลันฮวาที่มีเพียง สองหาง จะอยู่รอดได้เพียงลำพังได้อย่างไรกัน
เยว่เทียนรู้ดีถึงความจริงอันโหดร้ายนี้ นั่นจึงทำให้เขามิอาจปล่อยมือจากหลันฮวาได้ แม้จะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม เขาจะไม่มีวันปล่อยให้เด็กน้อยของตนต้องพบเจอกับความเดียวดายและความทุกข์ทรมานในโลกอันโหดร้ายนี้เป็นอันขาด
“ครั้งนี้ต้องการสิ่งใด”
เสียงของเยว่เทียนดังขึ้น เย็นชาและเรียบนิ่งตามอุปนิสัย ราวกับน้ำแข็งที่ไม่สะทกสะท้านแม้ต้องเผชิญกับพายุร้าย ดวงตาสีเข้มวาววับไร้อารมณ์ จับจ้องไปยังเฟยหรงที่ยืนอยู่ตรงหน้า สายตานั้นคล้ายจะมองทะลุไปถึงก้นบึ้งในจิตใจของอีกฝ่ายอย่างไร้ความลังเล
เฟยหรงยกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ สายตาคู่นั้นจับจ้องเยว่เทียนอย่างพินิจ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแฝงแววเย้ยหยันและหยอกเย้า — “เจ้าไม่เปลี่ยนไปเลยนะ เยว่เทียน”
ทุกครั้งที่หลันฮวาป่วยหนัก เยว่เทียนก็มักจะเรียกให้เฟยหรงมารักษา แม้ว่าจะมิได้เต็มใจนักที่ต้องให้ผู้อื่นมาแตะต้องหลันฮวา แต่การปล่อยให้อีกฝ่ายฟื้นตัวเองนั้นเสี่ยงเกินไป อาจถึงขั้นสูญเสียชีวิตได้เลยทีเดียว
เพื่อป้องกันมิให้หลันฮวาจดจำใบหน้าของผู้ใดได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งเช่นเฟยหรง เยว่เทียนจึงกำชับให้เฟยหรงมารักษาในยามที่หลันฮวากำลังหลับสนิท และต้องรีบจากไปก่อนที่หลันฮวาจะฟื้นขึ้นมา แม้จะเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่เฟยหรงก็ยินยอมทำตามข้อตกลงนี้เสมอ
ด้วยความบ่อยครั้งจนกลายเป็นความเคยชิน ทั้งสองจึงมี ข้อแลกเปลี่ยนที่แน่นอน — หากเฟยหรงรักษาหลันฮวาจนหายดี เยว่เทียนจะต้องตอบแทนด้วยการทำภารกิจตามที่เฟยหรงร้องขอ โดยไม่มีข้อแม้
“หากเร็วกว่านี้ ข้าคงขอให้เจ้าตามหาปีศาจตนหนึ่งมาให้ เพราะเจ้านั่นบังเอิญรู้ว่าข้าเป็นอาจารย์ของพวกเจ้า” ท่ามกลางความเงียบ เฟยหรงก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียว ในขณะที่กำลังรักษา มือเรียวแตะเบา ๆ ตามแนวเส้นชีพจรของหลันฮวา แสงสีทองอ่อนเรืองรองจากปลายนิ้ว
“ข้าสั่งให้มู่เซียวไปตามหาแล้ว น่าเสียดายที่ล้มเหลว”
เยว่เทียนเงยหน้าขึ้นพลางขมวดคิ้ว ไม่บ่อยนักที่เขาจะได้ยินว่ามู่เซียวล้มเหลวในภารกิจ ตัวเขาอาจจะเกลียดมู่เซียวมากก็จริง แต่ก็มิอาจปฏิเสธถึงฝีมือของอีกฝ่ายได้
สายตาเย็นเยียบตวัดมองเฟยหรงด้วยความแคลงใจ — “ยังหาไม่เจอ? ”
“เจอแล้ว. .” เฟยหรงยิ้มบาง ดวงตาทอแสงพราวระยับ “แต่เจ้านั่นเลือกโดดหน้าผาลงแม่น้ำไปก่อน”
เซียนใหญ่หัวเราะเบา ๆ น้ำเสียงแฝงแววขบขัน ต่างจากดวงตาสีเข้มของเยว่เทียนที่วาววาบขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนจะกลับเป็นนิ่งสงบเช่นเดิม
มู่เซียวนั้นเป็นมังกรเพลิง เหตุที่ไม่ได้ตามต่อใช่ว่าจะกลัวน้ำ แต่เป็นเพราะว่ากันว่า มังกรวารีสามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ผ่านน้ำได้อย่างง่ายดาย หากน้ำนั้นเชื่อมต่อกับจุดที่ใช้พลัง หากโชคร้ายก็อาจเป็นพิษเป็นภัยต่อผู้ที่เจ้าของพลังต้องการฆ่า
ในอดีตเปลวเพลิงแดงฉานแผ่ขยายไปทั่วขอบฟ้า ควันดำพวยพุ่งปกคลุมทั่วทั้งเมือง เสียงร้องไห้และเสียงกรีดร้องของชาวบ้านดังก้องสะท้อนไปทั่ว เปลวไฟจากมังกรเพลิงแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า พื้นดินแตกระแหง ต้นไม้กลายเป็นเถ้าถ่าน น้ำในแม่น้ำและบ่อน้ำแห้งเหือดในพริบตา
เปลวเพลิงสีแดงเพลิงลุกโชติช่วงราวกับต้องการเผาผลาญโลกให้มอดไหม้ มู่เซียวในร่างมังกรเพลิงตัวยักษ์คำรามลั่น ก่อสงครามเพียงเพราะอยากทดสอบพลังของตน ปีกสีแดงกางกว้างปกคลุมทั่วท้องฟ้า ดวงตาสีเพลิงฉายแววคึกคะนอง พลังที่ไหลเวียนอยู่ในกายเดือดพล่านยิ่งกว่าลาวา
ชาวบ้านพากันหวาดกลัว หลายคนรวมตัวกันคุกเข่าต่อหน้าแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ เอ่ยวอนขอให้มังกรวารีช่วยเหลือ สายน้ำในแม่น้ำที่เคยสงบนิ่งเริ่มสั่นไหว กระแสน้ำไหลเชี่ยวกรากราวกับตอบรับเสียงร้องขอแห่งความสิ้นหวัง ร่างของมังกรวารีปรากฏขึ้นเหนือผิวน้ำ เกล็ดสีฟ้าครามเปล่งประกายภายใต้แสงจันทร์ ดวงตาสีเงินวาววับจ้องมองเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำอยู่ไกลออกไป ลำตัวเรียวยาวพริ้วไหวไปตามกระแสน้ำ แม้ไม่เต็มใจ แต่เสียงร้องขอที่ดังสะท้อนในสายน้ำก็ทำให้เขาต้องตอบสนอง
เป็นเหตุให้หลังจากนั้นมังกรวารีต้องพักฟื้นฟูพลังของตนเองอยู่หลายปี และข่าวลือก็แพร่สะพัดไปทั่วว่า หากเอ่ยถึงมังกรเพลิงต่อหน้ามังกรวารี ก็อาจถูกลากลงสู่ก้นแม่น้ำได้
บรรยากาศในห้องอึดอัดราวกับมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุม กลิ่นยาสมุนไพรจาง ๆ คละคลุ้งในอากาศ เยว่เทียนขยับตัวเล็กน้อย ดวงตาทอดมองใบหน้าซีดเซียวของหลันฮวาด้วยสายตานิ่งสงบ มือแกร่งยกขึ้นลูบกลุ่มผมสีเงินที่แนบอยู่บนหมอนอย่างแผ่วเบา ราวกับต้องการปลอบโยนแม้ว่าจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางรับรู้
“ก็นะ มู่เซียวมิได้ถูกกับมังกรตนอื่นนัก หากมังกรสองตนปะทะกัน ผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าคนรังเกียจทั่วยุทธภพอย่างเขาคงโดนรุมโจมตี”
“เป็นศัตรูกับหัวหน้าเผ่างูยังไม่พอหรืออย่างไร แล้วเจ้าคนที่โดดหนีลงแม่น้ำไปเล่า” เยว่เทียนใคร่รู้
“ข้าหาเจอแล้วล่ะ แม้จะเป็นเรื่องบังเอิญก็ตาม” เฟยหรงถอยออกเมื่อรักษาเสร็จ
“จริงสินะ ภารกิจที่ข้าจะให้ทำคือ. .”
บุรุษงามยืนกอดอกพลางทอดสายตามองเยว่เทียนที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ข้างเตียง เอ่ยบอกความต้องการออกไปตามสายลม แววตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ เส้นผมสีทองสว่างสะท้อนแสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างไม้เข้ามา กระทบลงบนพรมเนื้อดีใต้ฝ่าเท้า เสียงลมพัดแผ่วเบาจากนอกหน้าต่าง ผ้าม่านสีอ่อนพลิ้วไหวไปตามจังหวะลมที่พัดผ่าน บุรุษร่างสูงหันกลับไปมองร่างเล็กบนเตียงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะค่อย ๆ หันหลังเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน
ยามรุ่งอรุณของวันใหม่ หลังจากหลันฮวาเริ่มฟื้นตัวจากอาการป่วยก็กลับมาร่าเริงสดใสอีกครั้ง แม้จะยังมีอาการมึนศีรษะเล็กน้อยตามประสาคนที่ร่างกายอ่อนแอ ครั้นเห็นเยว่เทียนกำลังหยิบเสื้อคลุมขึ้นสวม ร่างเล็กจึงรีบสาวเท้าเข้าไปสวมกอดคนตัวสูงจนใบหน้าจมอยู่กับแผงอกกว้าง ดวงตากลมใสทอแววเว้าวอน ขยับริมฝีปากเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“น้องอยากเดินไปส่งท่านพี่”
คำขอนี้หากเป็นช่วงเวลาปกติ เยว่เทียนคงตอบรับโดยไม่ลังเล ทว่าในยามนี้เขาอยากให้คนตัวเล็กได้พักผ่อนมากกว่า เพราะสำหรับห้องที่กว้างขวางเช่นนี้ กว่าจะเดินไปถึงหน้าประตูและเดินกลับมาถึงเตียง เกรงว่าระหว่างทาง หลันฮวาอาจมึนศีรษะจนพลาดพลั้งล้มเอาได้
“ไม่ง่วงหรือ พื้นมันเย็นนะ วันนี้นอนพักเถิด รอให้พี่แน่ใจว่าเจ้าหายดีแล้วค่อยว่ากัน” เยว่เทียนว่าพลางโน้มตัวลงช้อนร่างบางขึ้นอย่างคุ้นชิน ก่อนจะพากลับไปที่เตียงนอน
“ขอรับ น้องจะเชื่อฟัง”
หลันฮวามิได้ขัดขืน เพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะซุกใบหน้าลงกับลาดไหล่กว้าง หวังซึมซับไออุ่นและกลิ่นอายที่แสนคุ้นเคย ในเสียงลมหายใจแผ่วเบานั้น ริมฝีปากอิ่มเอ่ยถ้อยคำแผ่วพร่าราวกระซิบ
“ท่านพี่… จูบน้องได้หรือไม่”
ฝีเท้ายาวของเยว่เทียนหยุดชะงักเมื่อได้ยินคำวอนขอนั้น ดวงตาคมกริบฉายแววอ่อนโยน ก่อนมือหนาจะประคองศีรษะเล็กอย่างแผ่วเบา ก้มหน้าลงจรดริมฝีปากประทับจูบอ่อนหวาน ส่งผ่านสัมผัสแผ่วเบาที่เต็มไปด้วยความถนอม ก่อนสองขายาวจะก้าวเดินต่ออย่างมั่นคงจนมาถึงข้างเตียง
“อื้อ.. ท่านพี่เยว่”
หลันฮวาครางเสียงแผ่วในลำคอ เมื่อถูกรุกล้ำในโพรงปากจนแทบไม่อาจหายใจได้ถนัด การประท้วงเล็ก ๆ นั้น ราวกับเป็นเชื้อไฟที่จุดสัญชาตญาณบางอย่างในกายชายหนุ่ม เยว่เทียนละริมฝีปากออกเพียงครู่ ก่อนน้ำเสียงทุ้มจะเอ่ยถามอย่างห่วงใย — “ไหวหรือไม่”
คำถามนั้นสร้างความงุนงงแก่จิ้งจอกน้อยพอควร แต่เมื่อครุ่นคิดได้ว่าที่ท่านพี่เอ่ยถามเช่นนี้ เพราะเป็นห่วง กลัวว่าตนจะกลับมาป่วยอีกครั้ง หลันฮวาที่มิอยากให้คนตรงหน้าเป็นกังวล จึงตอบกลับไปอย่างไร้เดียงสา
“ไหวขอรับ”
เมื่อสิ้นสุดคำตอบ เยว่เทียนยกมือขึ้นปลดสายคาดเอวของตนออก ก่อนจะควักบางสิ่งออกมา ในขณะที่หลันฮวานั่งอยู่บนเตียง ส่วนเยว่เทียนยืนอยู่ตรงหน้า สิ่งนั้นจึงอยู่ในระดับสายตาของร่างบางพอดี
การกระทำที่รวดเร็วนั้นสร้างความตกตะลึงแก่หลันฮวาไม่น้อย ดวงตากลมโตกะพริบปริบ ๆ อย่างสับสน ก่อนที่ความตกใจจะยิ่งทวีคูณ เมื่อเสียงทุ้มของบุรุษตรงหน้าดังขึ้นอย่างชัดเจน
“เลียมันสิ”
หลันฮวาเกิดอาการสับสน เนื่องจากที่ผ่านมาเมื่อเห็นเยว่เทียนนำสิ่งนี้ออกมา ก็มักจะวางไว้ระหว่างขาของตน ทว่าครั้งนี้กลับบอกให้เลียเสียอย่างนั้น ดวงหน้างามเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าอย่างลังเล ก่อนจะเอ่ยถามเสียงแผ่วเบาด้วยความไม่เข้าใจ
“เลียงั้นหรือ… ต้องทำอย่างไร น้องไม่เข้าใจ”
แน่นอนว่าหากนี่เป็นความต้องการของท่านพี่ เขาย่อมพร้อมจะทำให้โดยไม่มีข้อแม้ ทว่าการจะให้ลงมือทำในทันทีนั้นกลับทำให้รู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อย สิ่งนี้ใหญ่ถึงเพียงนี้ เทียบกับลิ้นเล็ก ๆ ของเขาแล้ว คงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำได้หมดในคราวเดียว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่หลันฮวาต้องเอ่ยถามวิธีจากอีกฝ่าย
“ตรงนี้” เยว่เทียนไม่พูดเปล่า ยกแท่งเนื้อที่กระตุกจนสั่นไหวเล็กน้อยขึ้น ก่อนจะจ่อไปตรงริมฝีปากบางของหลันฮวา ดวงตาคมจ้องมองอีกฝ่ายนิ่ง รอคอยการตอบสนองจากคนตรงหน้าอย่างใจเย็น
จิ้งจอกน้อยทำตามอย่างว่าง่าย แม้จะแอบกลัวแท่งหยกตรงหน้า แต่ก็พยายามเล็มเลียให้ได้มากที่สุดสำหรับเรียวลิ้นนี้ ยิ่งสัมผัสลิ้นแตะมากเท่าไหร่ คนตรงหน้าก็ยิ่งกระตุก รูส่วนหัวเริ่มมีน้ำสีใสซึมออกมาเป็นระยะ ด้วยความไม่ประสาของคนตัวเล็กจึงทำให้มีน้ำบางส่วนเลอะบริเวณริมฝีปาก ดูยั่วยวนโดยไม่ตั้งใจ
“อื้อ..”
“ใช้มือจับมันไว้ แล้วทำแบบนี้”
เยว่เทียนเริ่มสอนวิธีอื่นให้หลันฮวา เขาประคองมือเรียวบางทั้งสองขึ้นเพื่อนำมาจับแท่งเนื้อของตน พร้อมสอนให้ชักขึ้นลงไปเรื่อย ๆ พร้อมกับการใช้ลิ้น ไม่รู้ว่าเพราะมือของหลันฮวาเล็กหรือสิ่งนั้นมันใหญ่ ยามที่มืองามกอบกุมจึงกุมไม่สุดนิ้ว
หลังจากปลดปล่อย หลันฮวาก็หลับใหลไปในทันที เยว่เทียนที่รู้ตัวว่าตนทำงานสายกว่ากำหนด แต่ก็มิได้แยแสอันใด เพียงแค่ค่อย ๆ เช็ดเนื้อตัวและใบหน้าของคนที่หลับสนิทอย่างเบามือ ท่าทางอ่อนโยนนั้นเปี่ยมด้วยความห่วงใย
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ก่อนออกจากห้อง เขามิได้ลืมตรวจสอบยันต์คุ้มกันขั้นสูง ความสามารถของยันต์นี้คือหากมีผู้บุกรุกเขาจะสามารถรับรู้ได้ในทันที ครั้นเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี เยว่เทียนจึงเดินออกจากห้องไปอย่างวางใจ
ภายในห้องที่เงียบสงบ มีเพียงสายลมอ่อนพัดผ่าน ครู่หนึ่ง หน้าต่างค่อย ๆ เปิดออกอย่างเชื่องช้า
เงาร่างหนึ่งก้าวเข้ามาอย่างเงียบงัน ก่อนจะเดินมานั่งลงที่ข้างเตียง ดวงตาคมกริบจ้องมองร่างจิ้งจอกน้อยที่กำลังหลับใหล
“เยว่เทียนนี่ช่างประมาทเสียจริง… ยันต์ป้องกันจะเก่งกาจเพียงใด ก็ยังแพ้แก่ผู้สร้างอยู่ดี”
เสียงทุ้มต่ำแฝงแววเย้ยหยันดังขึ้นแผ่วเบา รอยยิ้มมุมปากเผยขึ้นอย่างมีเลศนัย ก่อนที่เงาร่างนั้นจะเอื้อมมือไปแตะเส้นผมนุ่มของจิ้งจอกน้อยเบา ๆ ดวงตาประกายแวววาวยามมองร่างที่กำลังหลับใหลอยู่ตรงหน้า