หลันฮวามีร่างกายอ่อนแอ จึงไม่อนุญาตให้เขาออกนอกห้องและยังคอยย้ำเตือนว่าข้างนอกอันตรายเพียงใด ชีวิตประจำวันของหลันฮวาคงดำเนินไปอย่างสงบสุขหากว่าไม่มีผู้ใดต้องการเห็นเขาเสียน้ำตา
ดราม่า,ชาย-ชาย,4P,นายเอกอ่อนแอ,จิ้งจอกปีศาจ,จีนโบราณ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้หลันฮวามีร่างกายอ่อนแอ จึงไม่อนุญาตให้เขาออกนอกห้องและยังคอยย้ำเตือนว่าข้างนอกอันตรายเพียงใด ชีวิตประจำวันของหลันฮวาคงดำเนินไปอย่างสงบสุขหากว่าไม่มีผู้ใดต้องการเห็นเขาเสียน้ำตา
หลันฮวาสะดุ้งตื่นในช่วงเย็นของวัน แสงแดดจากฟากฟ้าสาดลอดผ่านม่านบางที่พลิ้วไหวตามแรงลม ดวงตากลมโตสั่นไหวเล็กน้อยยามปรือตาขึ้น ม่านตาสีฟ้าใสสะท้อนแสงยามกวาดมองไปรอบห้องอย่างหวาดระแวง ราวกับหวั่นเกรงว่าบุรุษแปลกหน้าผู้นั้นจะยังคงอยู่ที่ใดสักมุมหนึ่ง ทว่าภายในห้องกลับว่างเปล่า นอกจากตัวเขาเองแล้วก็ไม่มีใครอื่น
“ คนผู้นั้น มิอยู่แล้วหรือ ? ”
ขณะพยายามขยับตัว หลันฮวาก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บแปลบที่แล่นขึ้นจากช่วงล่าง ความจุกหน่วงยังคงฝังลึกในความทรงจำ ทว่าสิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่ากลับเป็นการที่ร่างกายไร้ซึ่งร่องรอยบาดแผลหรือรอยช้ำจากการถูกมัด แม้แต่โลหิตที่เคยไหลซึมก็พลันเหือดหายไปอย่างไร้ที่มา ราวกับทุกสิ่งเป็นเพียงภาพมายาอันเลือนรางในห้วงฝันแสนขมขื่น
ความหวาดกลัวและสับสนถาโถมเข้าใส่ จิ้งจอกน้อยรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมกายจนมิด ราวกับหวังให้มันเป็นเกราะกำบังแทนการขาดหายไปของเยว่เทียน ภายในใจพร่ำภาวนาให้เรื่องร้ายที่ผ่านมาเป็นเพียงฝันร้าย ทว่าทันทีที่นึกถึงคำกล่าวของคนผู้นั้น คำที่บอกว่าจะทำให้ท่านพี่ของเขาหายไป หัวใจดวงน้อยก็สั่นสะท้าน ความกังวลแผ่ซ่าน ตรึงแน่นในอกจนแทบหายใจไม่ออก
“ อาหลัน ? ” เส้นเสียงทุ้มนุ่มคุ้นเคยดังขึ้นแทรกกลางความเงียบ บุคคลที่หลันฮวาต้องการมากที่สุด
เยว่เทียนก้าวเข้ามาด้วยสีหน้ากังวล พอเห็นท่าทางสั่นเทาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนของคนบนเตียง ร่างสูงรีบทรุดตัวลงตรงหน้า เอื้อมมือไปแตะใบหน้างามด้วยสัมผัสอ่อนโยน
“ ท่านพี่เยว่.. ” หลันฮวาพึมพำเสียงสั่น ดวงตาคลอไปด้วยหยาดน้ำใส คล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“ เจ้าเป็นอะไรไป หรือว่าป่วยไข้อีกรอบ ”
น้ำเสียงร้อนรนเปี่ยมด้วยความห่วงใย ดวงตาคมไหวระริกด้วยความกังวล มือหนาคว้าเอาผ้าห่มที่คลุมตัวอยู่ออกก็พบหลันฮวาที่น้ำตาเปื้อนไปทั่วแก้ม เนื้อตัวสั่นเทาไม่หยุด เยว่เทียนจึงประคองใบหน้าอ่อนเยาว์ให้เงยขึ้น ช่วยเกลี่ยหยาดน้ำตาที่ร่วงหล่นอย่างแผ่วเบา แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักในสิ่งที่เกิดขึ้น
ความอบอุ่นจากสัมผัสนั้นทำให้ร่างน้อยสั่นสะท้านยิ่งกว่าเดิม ราวกับความกลัวที่เก็บกดไว้มันทะลักออกมาเต็มที่ หลันฮวาเมื่อได้พบที่พึ่งทางจิตใจ จึงพยายามซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเยว่เทียนให้ได้มากที่สุด ก่อนจะส่ายศีรษะไปมา พร่ำบอกเพียงแค่ว่าตนเองนั้นกลัวซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น
จากประสบการณ์ที่เยว่เทียนดูแลหลันฮวามานาน เขารู้ดีว่าอาการเช่นนี้เกิดขึ้นเมื่อจิ้งจอกน้อยมีฝันร้ายตามหลอกหลอน บุรุษหนุ่มโน้มตัวเข้าไปใกล้เพื่อปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ มิต้องกลัว เจ้าเพียงแค่ฝันไปเท่านั้น ” คำพูดเหล่านั้นราวกับสายลมที่พัดผ่านความกังวลในใจของหลันฮวาให้สงบลงและยอมเงยหน้าขึ้นได้ในที่สุด ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเริ่มคลายลงบ้าง
“ เช่นนั้นท่านพี่.. จูบน้องที ” ใบหน้างามที่ยังเปียกชื้นจ้องมองไปยังเยว่เทียน เสียงหวานสั่นพร่าแต่แฝงไปด้วยความต้องการในใจ ความเงียบในห้องแผ่ซ่านไปสักพัก
เยว่เทียนทีแรกครั้นจะเอ่ยถามจำต้องเลือกกลืนคำพูดลงไป ยอมทำตามความต้องการของหลันฮวาในทันที เขาคิดว่าในช่วงเวลานี้มิควรเอ่ยถามอันใดให้มากความ การกอดหรือจูบดูจะเป็นผลดีเสียมากกว่า เพราะตอนนี้ไม่รู้ว่าคนตัวเล็กฝันเห็นสิ่งใดมา จะบอกว่ามีผู้บุกรุกก็คงมิใช่ เพราะยันต์คุ้มกันยังอยู่ดีทุกแผ่น
“ ท่านพี่เยว่... หากคนข้างนอก— ” เมื่อถอนจูบออก หลันฮวาก็เอ่ยขึ้นด้วยความลังเล
“ หลันฮวา ” เยว่เทียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง แม้จะฟังดูเหมือนน้ำเสียงปกติของเขา ทว่ากับคนฟังคงอดรู้สึกกดดันมิได้ “ ข้าเคยบอกเจ้าไว้ว่าอย่างไร ”
“ คนข้างนอกอันตรายทั้งสิ้นขอรับ ”
“ เช่นนั้นก็อย่าได้พูดถึงอีก เข้าใจหรือไม่ ”
หลันฮวาพยักหน้ารับ เยว่เทียนที่เห็นหูจิ้งจอกยังคงลู่ลงก็จับร่างบางนอนลงอย่างอ่อนโยน พร้อมกับดึงตัวเข้ามากอด นั่นทำให้อีกคนรู้สึกถึงความปลอดภัย ใบหน้าหวานซุกลงบนอกแกร่ง สูดดมกลิ่นอายที่คุ้นเคยก่อนจะถูไถศีรษะตนกับแผ่นอกกว้างอย่างออดอ้อน ไม่นานก็สงบนิ่งไปในที่สุด
เยว่เทียนก้มลงมองร่างน้อยในอ้อมแขน พลางใช้ปลายนิ้วลูบไล้เรือนผมนุ่มเบาๆ ดวงตาคมแฝงแววอ่อนโยนผสมความห่วงใย —“ หลับเสียเถิด อาหลัน ข้าอยู่ตรงนี้ ”
คืนราตรีผ่านพ้นจนเข้าสู่เช้าวันใหม่ แสงแดดลอดผ่านผ้าม่านเนื้อบางเข้ามาในห้อง บรรยากาศยามเช้าสงบเงียบ มีเพียงเสียงนกร้องเป็นฉากหลัง
กิจวัตรประจำวันยังคงเหมือนเช่นเคย สิ่งแรกที่เยว่เทียนเลือกทำเป็นอันดับแรกคือการเปลี่ยนดอกไม้ที่เหี่ยวเฉามาเป็นดอกไม้บานสะพรั่ง เนื่องจากหลันฮวานั้นชื่นชอบพวกมันเป็นมาก ดอกไม้หลากสีบานรับแสงอาทิตย์ มอบกลิ่นหอมอ่อนๆที่ช่วยให้บรรยากาศในห้องนุ่มนวลและผ่อนคลาย
เยว่เทียนเดินออกจากห้องไปเพียงครู่เดียวก็กลับมาพร้อมถาดไม้ที่บนนั้นมีอ่างน้ำ ผ้าเช็ดหน้า และถ้วยโจ๊กชามเล็ก เขาวางของพวกนั้นลงบนโต๊ะอย่างเบามือ ก่อนเดินเข้ามาแหวกม่านออก เผยให้เห็นร่างกายขาวบางของจิ้งจอกน้อยที่กำลังนอนกอดหางของตนเองแน่น
ใบหน้าน่ารักซุกอยู่ในพู่หางนุ่มฟู ดวงตาปิดสนิทอย่างไร้เดียงสา เยว่เทียนทอดมองภาพนั้นพลางระบายยิ้มบางเบา แม้จะนึกเสียดายที่ไม่อาจปล่อยให้หลันฮวานอนต่อได้ เพราะวันนี้เขามีภารกิจของเฟยหรงที่ต้องไปทำต่อให้เสร็จ จะหยุดอยู่กับคนตัวเล็กนานกว่านี้คงมิได้
“ อาหลัน เจ้าตื่นได้แล้วนะ ” เยว่เทียนนั่งลงบนที่นอนด้านข้าง ก่อนใช้ปลายนิ้วไล้เส้นผมหิมะอย่างแผ่วเบา เสียงทุ้มนุ่มเปล่งออกมาชิดริมหู
“ อื้อ..”
เสียงครางในลำคอของหลันฮวาดังขึ้นเบาๆ จิ้งจอกขาวบิดตัวเล็กน้อยก่อนจะขยุกขยิกขยับตัวขึ้นนั่ง ทว่าความง่วงงุนยังคงไม่จางหาย ร่างบางจึงเซไปข้างหน้า เยว่เทียนไม่รอช้ารีบใช้วงแขนโอบประคองร่างเล็ก
“ น้องง่วง.. ” หลันฮวาพึมพำก่อนซุกใบหน้าลงบนแผ่นอกกว้าง
“ อย่าเพิ่งหลับต่อ เจ้าอยากให้ข้าป้อนโจ๊กหรือไม่ ” บุรุษร่างสูงเอ่ยถามเสียงอ่อน พลางประคองแก้มเนียนให้เงยขึ้น ดวงตาคมกริบสบกับดวงตาหวานฉ่ำที่ยังปรือปรอยด้วยความง่วง
หลันฮวาพยักหน้าเชื่องช้าก่อนกล่าวเสียงอู้อี้ “ ท่านพี่ป้อนข้าด้วยนะ ”
เยว่เทียนระบายยิ้มเอี้ยวตัวไปคว้าถ้วยโจ๊กที่วางไว้ข้างเตียงมาถือไว้ เขาตักโจ๊กขึ้นเป่าเพื่อไล่ความร้อน ก่อนจรดช้อนลงที่ริมฝีปากสีอ่อน หลันฮวาอ้าปากรับอย่างว่าง่าย เคี้ยวและกลืนลงคอช้าๆ เมื่อโจ๊กคำแรกผ่านลงไป เยว่เทียนก็ยื่นช้อนคำต่อไปให้
“ อร่อยหรือไม่ ”
“ อร่อยขอรับ ท่านพี่ ” หลันฮวายิ้มบาง หลังจากทานอาหารและเช็ดตัวเสร็จ คนตัวเล็กก็เอนตัวลงซุกอ้อมแขนอีกครั้ง หางฟูนุ่มสะบัดไปมาอย่างเป็นสุข
มือหนาลูบเส้นผมสีเงินนุ่มอย่างเบามือ ความอบอุ่นที่เกิดขึ้นในห้องทำให้เขาไม่อยากลุกไปไหนเลยแม้แต่น้อย ทว่าสุดท้ายเยว่เทียนก็ต้องจำใจปล่อยหลันฮวาให้นอนต่ออย่างอ้อยอิ่ง
“ ข้าต้องไปทำภารกิจแล้ว เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ เข้าใจหรือไม่ ” เยว่เทียนกระซิบข้างหู ดวงตาคมมองลงไปยังคนในอ้อมแขนที่หลับตาพริ้ม ก่อนโน้มตัวลงกดจูบแผ่วเบาบนหน้าผากเนียน
“ อย่าไปนานนะขอรับ ” เสียงนั้นงึมงำในลำคอทั้งที่เปลือกตายังปิดอยู่
“ ข้าจะรีบกลับมา ” เยว่เทียนจูบหน้าผากอีกครั้ง เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายอบอุ่นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในห้อง
ณ วังหลวงของจักรพรรดิปีศาจ
ภายในห้องโถงกว้างขวางอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นควันของยาสูบ แม้จะตกแต่งด้วยของล้ำค่ามากมาย ทว่ากลับมีเพียงบุรุษสองคนอยู่ภายในเท่านั้น
ผู้หนึ่งคือขันทีในอาภรณ์สีดำสนิทราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเงามืดรอบกาย เส้นผมสีน้ำหมึกยาวถึงกลางหลังแทรกด้วยขนกาดำมะเมื่อม ใบหน้าถูกบดบังด้วยหน้ากากสีเดียวกัน แต้มตรงกลางด้วยดวงตาแดงฉานราวโลหิตจับตัวเป็นก้อน ตัดกับผิวขาวซีดที่โผล่พ้นชายแขนเสื้อ บรรยากาศรอบตัวโดยรวมแล้วดูเข้าถึงยาก คล้ายมิอยากสุงสิงกับผู้ใด และไม่ต้องการให้ใครมายุ่งเกี่ยว
สงบนิ่ง ดุดัน และลึกลับเกินหยั่งถึง — ดั่งภาพมายาในม่านรัตติกาล ที่ไม่อาจมีผู้ใดเข้าถึงได้อย่างแท้จริง
แตกต่างจากผู้เป็นนายโดยสิ้นเชิง มู่เซียว มังกรเพลิง ผู้ครองบัลลังก์จักรพรรดิปีศาจ
บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ ผิวสีแทนเข้ม ใบหูเรียวแหลมกว่าเผ่ามนุษย์ ประดับด้วยต่างหูสีแดง เส้นผมสีแดงเข้มถูกรวบไว้ลวกๆเผยให้เห็นต้นคอแกร่งอย่างชัดเจน อาภรณ์ชั้นนอกเป็นเสื้อคลุมสีเข้มปักลวดลายมังกรงดงาม ทว่าด้านในแหวกเปิดจนเผยให้เห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เรียงตัวสวยงาม ทุกสิ่งที่อยู่บนร่างของเขาล้วนบ่งบอกถึงสถานะสูงศักดิ์
“ วันนี้เจิ้นตั้งใจจะจัดงานเลี้ยง แต่เยว่เทียนกลับปฏิเสธการเข้าร่วมงั้นรึ ? ” มู่เซียวว่าพลางยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แววตาฉายแววขบขัน
“ มิใช่ว่าอาศัยช่วงเวลานี้ไปนอนกกกับบุคคลในข่าวลือหรอกหรือ ”
“ ทูลฝ่าบาท ” ขันทีอีกาตอบเสียงเรียบ
“ ดูเหมือนว่าใต้เท้าเสวี่ยจะออกไปทำภารกิจให้ท่านผู้นั้นพ่ะย่ะค่ะ ”
ดวงตาสีแดงเลือดภายใต้เส้นผมสีแดงเข้มของมู่เซียวหรี่ลงทันทีที่ได้ฟังคำตอบ แน่นอนว่าอาจารย์ในนามของเขาย่อมมีแผนการบางอย่าง และเป็นไปได้สูงว่าไม่ใช่เรื่องดีอันใด
ช่วงที่ผ่านมา มู่เซียวมัวแต่คุมเชิงกับพวกมังกรตนอื่น กว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ทำเอาเขาลืมเรื่องอื่นไปเสียสนิท ข่าวลือต่างๆที่ลอยมาตามสายลมล้วนไร้สาระเกินกว่าจะใส่ใจ ยกเว้นเพียงข่าวเดียว ข่าวลือเกี่ยวกับบุคคลปริศนาของเยว่เทียน
บ้างก็ว่าเขางดงามจนมิอาจเปิดเผยโฉมหน้า บ้างก็ว่าอัปลักษณ์เสียจนไม่อาจให้ใครได้เห็น หากแต่ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนเชื่อในอย่างหลัง
มู่เซียวเอนกายพิงขอบหน้าต่าง ก่อนจรดยาสูบในมือขึ้นสูดลึก รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉายวาบบนมุมปาก ในใจเริ่มนึกสนุกกับความลึกลับที่แฝงอยู่ในข่าวลือนี้ ขณะกำลังครุ่นคิดว่าจะชวนสหายมานั่งดื่มหรือหาเรื่องเที่ยวเล่นดี ก็คล้ายว่าในหัวมีเป้าหมายใหม่ให้สนใจเสียแล้ว
ขันทีอีกายังคงยืนนิ่งเงียบ มิได้เอ่ยถามอันใดเมื่อเห็นผู้เป็นนายขยับกายลุกขึ้น ก่อนที่มู่เซียวจะก้าวพรวดไปยังประตู เขาหันใบหน้ากลับมามองเล็กน้อย ดวงตาสีแดงวาวโรจน์ฉายแววอันตราย ก่อนริมฝีปากจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย
“ ฝากเจ้าดูแลวังหลวงด้วย ” มู่เซียวเอ่ยเสียงแผ่วต่ำ “ เจิ้นว่าจะออกไปเดินเล่นสักพัก ”
ช่วงสายของวันหลังเยว่เทียนออกไปทำงาน หลันฮวาก็นั่งเล่นอยู่ที่โต๊ะเตี้ยกลางห้อง รอบด้านมีเบาะนั่งจัดไว้อย่างประณีต บนโต๊ะมีเพียงกระจกบานเล็กกับแจกันลวดลายงดงาม ภายในปักด้วยดอกไม้สีชมพูบานสะพรั่ง ตัดกับบรรยากาศสงบเงียบของห้องได้อย่างลงตัว
สำหรับเขตแดนปีศาจ อากาศช่วงกลางวันมักอบอุ่น ตรงข้ามกับยามราตรีที่เย็นยะเยือกกว่าดินแดนมนุษย์หลายส่วน อาภรณ์ของหลันฮวาในวันนี้เป็นสีชมพูอ่อน ปักลวดลายดอกโบตั๋นงดงาม เส้นผมหิมะถูกรวบครึ่งศีรษะ ประดับด้วยปิ่นหยกแกะสลักอย่างประณีตและดอกไม้ชนิดเดียวกันกับลวดลายบนชุด มองดูโดยรวมแล้วช่างงดงามเกินบรรยาย ทว่าภาพนั้นกลับขัดแย้งกับโซ่ตรวนที่ล่ามข้อเท้าเรียวบางไว้
หลันฮวานั่งลูบเส้นผมของตนไปพลางใช้ความคิดไปด้วย ภายในใจยังคงหวาดกลัว ทว่ามิอาจทำสิ่งใดได้ นอกจากนั่งรอคอยการกลับมาของเยว่เทียน
ยิ่งคิด จิตใจก็ยิ่งหนักอึ้ง ร่างบางเผลอคิดไปว่า หากเขาบอกเรื่องที่เกิดขึ้น ท่านพี่จะหายไปจริงๆ หรือไม่...
“ ไม่สิ ทั้งหมดก็แค่ฝันร้ายเท่านั้น ”
“ อะไรกัน ฝันร้ายอย่างนั้นหรือ ? ”
ภายในห้องที่ควรมีเพียงหลันฮวา กลับมีเสียงปริศนาดังขึ้นจากทางด้านหลัง ดวงหน้างามหันขวับตามเสียง เมื่อสบเข้ากับบุรุษแปลกหน้าผู้มีเส้นผมสีแดงเข้มดั่งโลหิต นอกจากส่วนสูงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาดูตรงกันข้ามกับเยว่เทียนอย่างสิ้นเชิง
ขณะนั้นมู่เซียวรู้สึกเหมือนร่างกายถูกหยุดนิ่ง เมื่อได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคนในข่าวลือ ใบหน้าอ่อนหวาน เส้นผมหิมะยาวสลวยจรดถึงเข่า ดวงตาสีฟ้าใสเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา ร่างกายเล็กบางกำลังสั่นเทา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกระตุ้นสัญชาตญาณดิบเถื่อนของเขาได้ดียิ่ง
มู่เซียวย่อตัวลงตรงหน้าหลันฮวา ยกแขนขวาเท้ากับโต๊ะไว้ ขวางไม่ให้คนงามหลบหนี ยิ่งได้มองอย่างใกล้ชิดก็ยิ่งหลงใหลมากขึ้นไปอีก ต่างจากคนตัวเล็กที่หัวใจสั่นระรัวเมื่อผู้บุกรุกเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของอีกฝ่าย ครั้นทนไม่ไหวจึงหลับตาก้มหน้าลง ยกแขนทั้งสองขึ้นหวังเป็นที่กำบัง
มังกรเพลิงเห็นดังนั้นก็จับข้อมือเรียวบางออก เผยให้เห็นดวงหน้าที่งดงามอีกครั้ง ทว่าทันใดนั้นกลับมียันต์แผ่นหนึ่งถูกเผาจนสลายหายไปอย่างรวดเร็ว มู่เซียวสบถในใจ เพราะรู้ว่ายันต์นั่นคงเป็นสัญญาณเตือนที่ส่งไปถึงเยว่เทียน ทีแรกก็อุตส่าห์ระวังตัวแล้วเชียว แค่เผลอหลงใหลจิ้งจอกหิมะเพียงครู่เดียวเท่านั้นเอง
“ กลัวข้าขนาดนั้นเลยหรือ ? ”
มู่เซียวกล่าวพลางลูบไล้ปลายหูของหลันฮวาเล่น รู้ดีว่าการสัมผัสหูหรือหางของปีศาจตนอื่นถือเป็นเรื่องเสียมารยาท เนื่องจากเป็นจุดอ่อนไหวโดยธรรมชาติ แต่เดิมเขาก็ไม่เคยเชื่อในเรื่องนี้นัก ทว่าตอนนี้กลับเริ่มเชื่อขึ้นมาบ้าง เพราะแค่ปลายนิ้วแตะต้องเบาๆ ร่างเล็กในอ้อมแขนก็ดิ้นหนี พร้อมเสียงครางแผ่วเบาที่พยายามกลั้นจนใบหน้าแดงก่ำ
ฝ่ามือหนาเปลี่ยนจากลูบไล้ปลายหู เลื่อนลงมาประคองใบหน้าคนงาม ก่อนใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้
“ ข้าสงสัยจริงๆ ว่าเจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับเยว่เทียน ”
หลันฮวานิ่งงัน งุนงงกับคำถามนั้น ยิ่งคำว่า ‘ความสัมพันธ์’ ก็ยิ่งไม่เข้าใจนัก สำหรับร่างบาง เยว่เทียนก็คือเยว่เทียน เป็นท่านพี่เพียงเท่านั้น
ครั้นเห็นหลันฮวานิ่งเงียบไม่ยอมมองหน้า มู่เซียวจึงตั้งใจใช้มือเชยคางจิ้งจอกขี้กลัวขึ้น ทว่าใครจะไปคิดว่าจิ้งจอกที่ดูขี้ขลาดยิ่งกว่ามนุษย์ กลับอ้าปากแล้วใช้คมเขี้ยวขาวสะอาดกัดเข้าที่มือของเขา แน่นอนว่าแทบไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย
มู่เซียวมองรอยกัดที่มือก่อนหัวเราะขบขัน มิได้โกรธหรือด่าว่าอันใด ช่วงเวลานี้มีเพียงความรู้สึกที่อยากหยอกล้อคนงามเสียมากกว่า
“ จิ้งจอกน้อย เจ้าแรงน้อยเกินไปแล้ว ของจริงต้องเป็นแบบนี้ ”
กึด !
“ อ๊ะ ! ”
หลันฮวาร้องเสียงหลง เมื่อมู่เซียวก้มลงกัดเข้าที่ลำคอของเขาจนเกิดรอยแดงช้ำ ความเจ็บปวดที่แล่นผ่านผิวเนื้อทำให้ร่างบางสั่นสะท้าน ดวงตาสีฟ้าใสเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา ภาพนั้นยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ดิบเถื่อนในตัวบุรุษผมแดงได้เป็นอย่างดี
เมื่อเห็นจิ้งจอกน้อยร้องไห้จากความเจ็บปวด ส่วนนั้นของมู่เซียวก็ปวดหนึบขึ้นมาทันที เขาอยากเห็นน้ำตาที่ไหลผ่านดวงตาสีฟ้าใส อยากเห็นร่างเล็กที่ดิ้นพล่านเพราะแรงกระแทกและเสียงร้องครางจากความเจ็บปวด — แค่คิดก็ทำให้เผลอยิ้มพร้อมใบหน้าแดงซ่าน
“ เห็นทีข้าคงต้องแก้ข่าวลือที่ว่าเจ้ามีโฉมหน้าอัปลักษณ์เสียแล้ว ”
มู่เซียวหยัดกายยืนขึ้นก่อนถอดเสื้อคลุมลายมังกรออกแล้วนำมาคลุมร่างจิ้งจอกน้อยจนมิดศีรษะ พร้อมกับช้อนอุ้มร่างเล็กแนบอกแน่น หลันฮวาดิ้นขัดขืนสุดแรง แต่เมื่อความเจ็บแล่นริ้วขึ้นจากบาดแผล ร่างบางจึงอ่อนแรงและหยุดดิ้นในที่สุด
“ ใจจริงข้าอยากรังแกเจ้าต่อ ” เสียงทุ้มแหบพร่ากระซิบแนบใบหูขาวสะอาด มู่เซียวไล้นิ้วผ่านกรอบหน้าของคนในอ้อมแขน ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มเหยียด
“ แต่ถ้าข้าทำต่อ เยว่เทียนคงได้ตามมาถึงที่แน่ มาเถอะ... ได้เวลาเปิดหูเปิดตาแล้วนะ จิ้งจอกน้อย”