หลันฮวามีร่างกายอ่อนแอ จึงไม่อนุญาตให้เขาออกนอกห้องและยังคอยย้ำเตือนว่าข้างนอกอันตรายเพียงใด ชีวิตประจำวันของหลันฮวาคงดำเนินไปอย่างสงบสุขหากว่าไม่มีผู้ใดต้องการเห็นเขาเสียน้ำตา

เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้ - ตอนที่ 5 TW โดย yuki yuki @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ดราม่า,ชาย-ชาย,4P,นายเอกอ่อนแอ,จิ้งจอกปีศาจ,จีนโบราณ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,ชาย-ชาย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

4P,นายเอกอ่อนแอ,จิ้งจอกปีศาจ,จีนโบราณ

รายละเอียด

เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้ โดย yuki yuki @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

หลันฮวามีร่างกายอ่อนแอ จึงไม่อนุญาตให้เขาออกนอกห้องและยังคอยย้ำเตือนว่าข้างนอกอันตรายเพียงใด ชีวิตประจำวันของหลันฮวาคงดำเนินไปอย่างสงบสุขหากว่าไม่มีผู้ใดต้องการเห็นเขาเสียน้ำตา

ผู้แต่ง

yuki yuki

เรื่องย่อ

สารบัญ

เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้-Trigger warning โปรดอ่านก่อน,เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้-ตอนที่1 [TW],เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้-ตอนที่2 [TW],เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้-ตอนที่3 [TW],เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้-ตอนที่ 4 TW,เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้-ตอนที่ 5 TW,เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้-ตอนที่ 6 TW,เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้-ตอนที่ 7 TW

เนื้อหา

ตอนที่ 5 TW

วังหลวงยามราตรีรื่นรมย์ไปด้วยเสียงบรรเลงของพิณและขลุ่ย บทเพลงแผ่วหวานแว่วก้องกังวาลทั่วท้องพระโรง ที่นั่งถูกจัดเรียงตามลำดับอำนาจ โต๊ะอาหารล้วนแล้วมีแต่เครื่องเสวยหายากถูกจัดวางอย่างวิจิตรบรรจง ตรงกลางโถงกว้างมีสตรีในอาภรณ์อ่อนช้อยขยับกายพริ้วไหว เสมือนสายลมพัดผ่านทุ่งบุปผา


ค่ำคืนที่ควรค่าแก่การดื่มด่ำศิลป์และรสสุรา กลับไม่มีผู้ใดเหลียวแลการแสดง ทุกสายตากลับจับจ้องไปยังร่างของมู่เซียว ผู้ประทับเหนือบัลลังก์สูงสุด หรือกล่าวให้ถูกต้อง พวกเขากำลังมองผู้ที่อยู่บนตักของจักรพรรดิปีศาจเสียมากกว่า


ตั้งแต่เริ่มงาน มังกรเพลิงไม่เพียงแค่มาสาย ซ้ำยังนำพาแขกผู้มิได้รับเชิญมาด้วย ทว่าผู้ใดเล่าจะกล้าท้วงถามได้อย่างตรงไปตรงมา เกรงว่าหากกล่าวสิ่งใดออกไปอาจกลายเป็นการล่วงเกินอำนาจสูงส่งในใต้หล้า ทำได้เพียงเฝ้ามองฝ่าบาทโอบอุ้มแขกปริศนาไว้แนบกาย มิยอมปล่อยห่างให้คลาดสายตา


มู่เซียวทอดมองปฏิกิริยาของเหล่าขุนนางด้วยรอยยิ้มขบขัน มือหนากระชับเสื้อคลุมปักลายมังกรให้แน่นขึ้น ปกปิดร่างของหลันฮวาไว้ในอ้อมอก เผยให้เห็นเพียงปลายนิ้วที่กำจิกผ้าผืนหนาไว้แน่น กับรองเท้าส้นสูงสีชาดอันเด่นสะดุดตา


ในอ้อมแขนนั้น จิ้งจอกหิมะตัวน้อยสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น คนงามซุกซ่อนใบหน้ากับอกแกร่ง คล้ายต้องการเลี่ยงทุกสายตาที่กำลังจับจ้องมาแม้น้ำตาจะร่วงพรูไม่หยุด ร่างกายสั่นเทาสะท้อนชัดเจนถึงฝ่ามือของมู่เซียวที่โอบรอบช่วงเอว


มังกรเพลิงอดไม่ได้ที่จะหาเรื่องหยอกเย้าคนในอ้อมแขน ฝ่ามือยกขึ้นหมายจะดึงผ้าคลุมศีรษะของจิ้งจอกน้อยออก ทว่าผู้ถูกกระทำย่อมมิยอมง่าย ๆ มือเรียวบางยื้อฉุดกับบุรุษตรงหน้าด้วยแรงทั้งหมดที่มี การยื้อแย่งของทั้งสองกลายเป็นภาพชวนหัวเราะ ขับเน้นความแตกต่างระหว่างอำนาจของจักรพรรดิผู้สูงศักดิ์และร่างน้อยที่ตัวสั่นอยู่ในอ้อมกอด


ท่ามกลางเสียงบรรเลงอันอ่อนหวาน บรรยากาศภายในท้องพระโรงพลันระอุขึ้นอีกครั้ง สายตาของเหล่าขุนนางจับจ้องมายังร่างบนตักมู่เซียวด้วยความสนใจ บ้างก็เฝ้ารออย่างตื่นเต้น หวังจะได้เห็นโฉมหน้าของแขกปริศนา บ้างก็กระซิบกระซาบวาดภาพไปไกลว่านี่อาจเป็นสัญญาณของการแต่งตั้งสนม


ทว่ามู่เซียวมิได้ใส่ใจสายตาหรือเสียงซุบซิบใด เขาเพียงพึงใจในตัวจิ้งจอกน้อยเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้ยินข่าวลือว่าหลันฮวาอัปลักษณ์อย่างนั้น หน้าตาดูไม่ได้อย่างนี้ ยิ่งทำให้อยากเผยโฉมคนงามต่อหน้าทุกคน ให้พวกเขาได้ประจักษ์กับตาตนเอง


“ไหน ๆ ก็ออกมาแล้ว เจ้าน่าจะถือโอกาสเปิดหูเปิดตาบ้าง”


สุรเสียงทุ้มต่ำเปล่งออกมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาสะท้อนภาพของบุรุษตัวน้อยที่พยายามเบือนหน้าหนี หลันฮวาส่ายศีรษะอย่างรุนแรง แต่สิ่งนั้นกลับไร้ประโยชน์ ฝ่ามือหนาจับปลายคางมนบังคับให้เงยหน้าขึ้นสบสายตากับแขกคนอื่น


และก่อนที่หลันฮวาจะทันได้ต่อต้าน เสื้อคลุมหนาก็ถูกกระตุกออก เผยให้เห็นอาภรณ์สีชาดตัดขลิบทอง ปิ่นเงินสลักลายซับซ้อนปักประดับบนเส้นผมสีขาวบริสุทธิ์ แสงไฟระยิบสะท้อนลงบนหยกตรามังกรที่ห้อยอยู่ข้างเอว ชายกระโปรงแหวกสูงขึ้นจนเกือบถึงสะโพก เปลือยผิวขาวนวลเนียนของเรียวขาอ่อนที่ถูกรัดไว้ด้วยแพรพรรณสีดำ


ในห้วงเวลานั้นท้องพระโรงเงียบสงัด ราวกับทุกสรรพเสียงถูกกลืนหายไปในอาภรณ์แดงเพลิงที่สะท้อนสายตาทุกคู่ให้หลงละเมอ


“ขอแนะนำให้ทุกท่านรู้จัก” เส้นเสียงทรงอำนาจของมู่เซียวดังก้องไปทั่วท้องพระโรง


“นี่คือผู้ที่อยู่เคียงข้างเยว่เทียน ส่วนนามนั้น เห็นทีคงต้องให้จิ้งจอกน้อยเป็นผู้บอกเอง”


แขกในงานต่างพากันฮือฮาทันทีเมื่อมู่เซียวกล่าวจบ สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังร่างที่ซุกซ่อนอยู่ในอ้อมกอดของจักรพรรดิปีศาจ เสียงสะอื้นแผ่วเบาดังขึ้นในลำคอก่อนที่เสียงหวานจะเปล่งถ้อยคำออกมาตะกุกตะกัก


“นะ..น้อง..”


เพียงเท่านั้น ความเงียบในท้องพระโรงก็ถูกทำลายโดยเสียงอุทานของเหล่าขุนนาง ความตกตะลึงก่อตัวขึ้นในแววตาของทุกคน ทั้งอึ้งในโฉมหน้าบุคคลปริศนาและตื่นตะลึงเมื่อพบว่าเขาคือจิ้งจอกขาวสองหาง


เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ทำเอาหลันฮวาสะดุ้งเฮือก แรงกดดันจากสายตาแปลกหน้าถาโถมเข้ามาเหมือนคลื่นทะเลซัดเข้าหาฝั่ง เขาตัวสั่นระริก อยากหนีไปให้พ้นแต่ขยับกายมิได้เพราะพันธนาการจากฝ่ามือแกร่ง


ความอึดอัดท่วมท้นในอก ลมหายใจติดขัด ความหวาดหวั่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เลือดในกายเย็นเฉียบ ใบหน้าซีดเผือดจนแทบไร้สีเลือด เมื่อรู้ว่ามิอาจดิ้นรนหนีได้ หลันฮวาทำได้เพียงสิ่งเดียว—ปล่อยน้ำตาให้ร่วงหล่น


“จิ้งจอกน้อย”


มู่เซียวสัมผัสถึงความเปียกชื้นบนปลายนิ้วจึงโน้มศีรษะลงมอง และสิ่งที่เห็นก็มิได้ต่างจากที่คาดไว้ จิ้งจอกน้อยของเขากำลังร้องไห้จนตัวโยน ทำเอาบุรุษสูงศักดิ์หลุดหัวเราะ มิได้โกรธเคืองแม้แต่น้อย มีแต่ความขบขันกับความไร้เดียงสาที่หาได้ยากยิ่งในโลกนี้ ช่างน่าขันจริง ๆ ที่โลกใบนี้ยังมีผู้ที่ใจบริสุทธิ์ถึงเพียงนี้


“ข้าก็อยู่ตรงนี้ มีอะไรให้เจ้าหวาดกลัวกันเล่า? ”


“ฮือ.. ท่าน” เสียงสะอื้นดังขึ้นระหว่างประโยค หลันฮวาเงยหน้าขึ้นมองเขาทั้งน้ำตา


มู่เซียวหัวเราะเบา ๆ อีกครา สีหน้าเจือรอยพึงพอใจ อย่างไรเสียคงต้องยกความดีความชอบให้เยว่เทียนที่เลี้ยงจิ้งจอกตัวนี้มาได้ไร้เดียงสาถึงเพียงนี้


แขกเหรื่อในงานต่างนิ่งค้างเป็นทิวแถวหลังจากได้เห็นใบหน้างามล่มเมืองของจิ้งจอกน้อย แม้แต่เหล่าสตรีที่กำลังร่ายรำอวดโฉมยังเผลอหยุดหายใจไปชั่วขณะ


มังกรเพลิงเลิกคิ้ว เขาตั้งใจให้หลันฮวาได้ชมการร่ายรำของเหล่านางระบำ แต่เมื่อนางเหล่านั้นพากันยืนนิ่งค้างอย่างลืมตัว ความหงุดหงิดก็เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ ขันทีอีกาเห็นดังนั้นจึงกระซิบสั่งให้เหล่านางรำแสดงต่อ


ครั้นทุกอย่างกลับคืนสู่ความเรียบร้อย มู่เซียวจึงชี้ไปยังการแสดงตรงหน้าเป็นเชิงชักชวน หลันฮวาเผลอหันตามไปโดยไม่รู้ตัว ครั้งนี้มิใช่การบังคับ เขาจึงได้เห็นภาพการแสดงของเหล่าสตรีเป็นครั้งแรก


“งดงามยิ่งนัก ราวกับดอกไม้ผลิบานเลยขอรับ”


เสียงหวานเอ่ยออกมาด้วยความชื่นชม ดวงตากลมโตเปล่งประกายระยับ ความตื่นเต้นฉายชัดบนใบหน้าของจิ้งจอกหิมะ แม้ว่าจะมิรู้ความหมายของการร่ายรำนี้เลยก็ตาม


บรรดาแขกที่ได้ยลโฉมหลันฮวาต่างก็เกิดความอยากครอบครองขึ้นมา บางคนพยายามเก็บซ่อนความรู้สึก ทว่าก็มิอาจซ่อนแววตาที่เร่าร้อน มีไม่น้อยที่แสดงความต้องการออกมาอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งจนมือไม้สั่น


มู่เซียวเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งมิสบอารมณ์ ทีแรกเขาต้องการอวดโฉมจิ้งจอกน้อย แต่เมื่อเห็นสายตาของแขกที่จับจ้องราวกับจะแย่งชิง ความขุ่นเคืองก็ก่อตัวขึ้น จนอยากจะควักดวงตาทุกคนเสียให้รู้แล้วรู้รอด


“เอาม่านลง” เสียงสั่งการก้องกังวานทั่วทั้งโถง


“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีอีกาขานรับก่อนเร่งทำตามคำสั่ง ม่านสีแดงฉานผืนใหญ่ถูกปลดลง กั้นสายตาของทุกผู้คนในท้องพระโรง เหลือไว้เพียงภาพลาง ๆ ที่มิอาจเห็นได้ชัดเจน


หลันฮวาสะดุ้งเล็กน้อยยามม่านถูกปลดลงปิดกั้นสายตา โดยไม่รู้ตัว เขาเผลอร่างกายไปจนแผ่นหลังบางชนเข้ากับแผง่นอกกว้าง ทำเอามู่เซียวก้มลงมอง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ระบายอยู่บนริมฝีปาก ดวงตาคมลึกสะท้อนแววขบขัน เขายกมือขึ้นวางเบา ๆ บนศีรษะของจิ้งจอกน้อย


“ข้าเข้าใจความรู้สึกของเยว่เทียนที่มิอยากให้ผู้ใดได้เห็นเจ้าแล้ว”


หลันฮวาเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตากะพริบปริบ นัยน์ตาคู่งามเจือด้วยความฉงน


“ท่านพี่รู้จักกับท่านพี่เยว่เทียนด้วยหรือขอรับ”


คนตัวเล็กถามด้วยความสงสัย มู่เซียวเองก็ชะงักกับคำเรียกของอีกฝ่าย เพราะการจะเรียกว่าท่านพี่ได้ก็ต่อเมื่อเป็นสามีภรรยาเท่านั้น แสดงว่าเยว่เทียนคงสอนให้ใช้แต่มิได้บอกความหมาย ฝั่งหลันฮวาเองก็คิดว่าเป็นคำเรียกแทนทั่วไป


“รู้จักดีสิ เยว่เทียนเป็นศิษย์น้องของข้าเอง”


“ศิษย์น้อง— อ๊ะ!”


มู่เซียวกล่าวพลางยิ้มบาง ขำกับความสับสนของคนงาม สายตาคมกริบจับจ้องไปยังหลันฮวาด้วยความสนุกสนาน แต่อย่างไรก็ไม่ลืมที่จะยื่นมือไปแตะที่ริมฝีปากบาง


“ข้อแลกเปลี่ยนสำหรับคำถาม” เสียงทุ้มต่ำที่แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง ทำให้จิ้งจอกน้อยรู้สึกถึงความตึงเครียดภายในอกที่เต้นแรงขึ้น ก่อนที่ริมฝีปากจะถูกฉกชิมความหวานอย่างรวดเร็ว


มือหนึ่งดึงอาภรณ์คนงามลงพร้อมลูบไล้แผ่นอกเรียบเนียนจนไปโดนตุ่มไต อีกมือก็ล้วงเข้าใต้กระโปรงจับคลึงแท่งหยกอ่อนนิ่มไปมา ร่างบางที่ได้รับการกระตุ้นทุกส่วนอ่อนไหว ยากนักที่จะหักห้ามมิให้จุดสงวนชูชัน เพียงแค่ถูกสัมผัสไม่นานก็เหมือนมีน้ำซึมออกมาจากส่วนปลายแล้ว


“อื้อ!”


เสียงหวานประท้วงในลำคอ มู่เซียวจึงยอมถอนจูบแต่โดยดี ครั้นเมื่อหลันฮวาได้โอกาสก็รีบปรับลมหายใจเข้าออกทันที ทว่าหายใจเข้าไม่ทันจะหายใจออก ร่างบางก็ถูกจับนอนหงายลงบนโต๊ะอาหาร ก่อนสะดุ้งเฮือกเมื่อร่างสูงใหญ่ใช้สองนิ้วแหวกช่องทางคับแคบจนเผยให้เห็นความชมพูอ่อนที่อยู่ด้านใน


“มะ.. ไม่นะขอรับ”


“หากคนอื่นได้ยินเสียงเจ้าร้อง คนพวกนั้นจะเข้ามาใกล้เพื่อดูว่าเจ้าเป็นอะไร”


คำพูดนั้นทำให้สองมือเล็กรีบยกขึ้นปิดปากตนเองทันที ด้วยความหวาดกลัว ภายในลึก ๆ เขาพยายามอธิษฐานให้ไม่มีใครได้ยินเสียงอันแผ่วเบาของตน


มู่เซียวหัวเราะในลำคอ เขาสนุกสนามไม่หยอกที่ได้แกล้งจิ้งจอกน้อยไปมาตลอดวัน หมายจะใช้นิ้วสอดใส่เพื่อเบิกช่องทาง แต่หากทำเช่นนั้นเล็บของเขาคงสร้างแผลให้ มังกรเพลิงจึงเปลี่ยนมาใช้ลิ้นร้อนสอดแทรกสำรวจช่องทางรักแทน ด้วยลักษณะพิเศษของเผ่ามังกร ความยาวของลิ้นจึงมากพอที่จะทำให้ถูกจุดอ่อนไหว ยิ่งตวัดลิ้นไปมา ร่างกายบางก็ยิ่งสั่นระริกด้วยความเสียวซ่าน


จิ้งจอกคนงามใช้มือปิดปากตัวเองอย่างสุดความสามารถ ส่วนอีกมือก็พยายามดันศีรษะมู่เซียวออกด้วยแรงทั้งหมดที่มี แน่นอนว่ามันไม่เป็นผลเลยสักนิด ความอับอายแผ่กระจายทั่วร่างจนใบหน้าแดงซ่าน


เสียงครวญครางเล็ดรอดออกมาเป็นบางช่วง ยิ่งจังหวะตวัดลิ้นดันสอดแทรกก็ยิ่งทำให้ร่างกายบอบบางสั่นสะท้าน เรียวขาพยายามหุบเพื่อป้องกันการรุกล้ำด้านหลัง แต่ไม่ว่าจะใช้แรงแค่ไหน หลันฮวาก็ไม่เคยต่อต้านบุรุษตัวใหญ่ผู้นี้ได้เลยสักครั้ง


ความรู้สึกอับอายและเสียวซ่านผสมบนเปจนหลันฮวาสับสน ที่สำคัญคือแท่งหยกของเขายังคล้ายกับอยากปลดปล่อยบางอย่างออกมาตลอดเวลา รู้สึกดีไม่ต่างจากสัมผัสที่เยว่เทียนมอบให้


“ฮือ ได้โปรดหยุดก่อน”


ชั่วขณะที่ใกล้ถึงปลายทาง มู่เซียวกลับหยุดการกระทำลงฉับพลัน เงยหน้ามองผลงานชิ้นโบว์แดงที่ได้แกล้งจิ้งจอกน้อยสำเร็จ ซึ่งนั่นสร้างความทรมานแก่คนงามมิน้อย


หลันฮวาแม้ร่างกายจะต้องการมู่เซียวอย่างหนัก แต่ร่างน้อยก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ พลันในใจกลับนึกถึงเยว่เทียนขึ้นมาเป็นคนแรก หวังเพียงให้ท่านพี่มาอุ้มพากลับไปยังห้องของตน ทว่าในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อความหวังเริ่มหมดลง หลันฮวาก็อดที่จะระเบิดความรู้สึกออกมาไม่ได้


“ฮือ น้องอยากเจอท่านพี่เยว่.. ฮึก ข้างนอกมันน่ากลัว”


เมื่อเห็นจิ้งจอกน้อยน้ำตาไหลหนัก เขาจึงรีบอุ้มร่างบางมานั่งตักพลางลูบหลังปลอบโยน ทว่าเสียงสะอื้นของหลันฮวากลับยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม


“ข้ายอมแล้ว ๆ ไม่ต้องร้อง เดี๋ยวคนก็หาว่าข้ารังแกเข้าพอดี” มู่เซียวเอ่ยเสียงอ่อน


“ข้าจะพาเจ้ากลับห้องเอง” เป็นใหญ่มาจากไหนก็แพ้ให้กับความไร้เสียงดานี้จนอยู่หมัด


“เอ๊ะ... ท่านพี่พูดจริงนะขอรับ? ”


หลันฮวาถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและเคลือบแคลงใจไม่น้อย


“ข้าพูดจริง แต่ต้องเรียกข้าว่าท่านพี่มู่ก่อน” ริมฝีปากหยักเผยรอยยิ้มบาง


“ท่านพี่.. มู่” คนงามเอ่ยชื่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง


เมื่อมู่เซียวได้ยินคำเรียกนั้น ใบหน้าก็แต้มแววพึงใจอย่างหนัก ไม่ได้แค่บ่งบอกถึงความพอใจในคำเรียก แต่ยังสะท้อนถึงความภาคภูมิใจที่หลันฮวายอมรับเขา จึงก้มไปหยิบเสื้อตัวเดิมที่ใส่มาทีแรกคลุมให้หลันฮวาจนมิด พร้อมทั้งอุ้มร่างบางเดินผ่านฝูงชนที่อยู่ในงานไป ท่ามกลางสายตาสงสัยที่ไม่รู้ว่าทั้งสองจะไปที่ใด



 



 



 


ห้องบรรทมของผู้เป็นจักรพรรดิปีศาจนั้นกว้างขวางและโอ่อ่ากว่าห้องที่หลันฮวาเคยอยู่มาก เพราะนอกจากตั่งนอนแล้ว ภายในห้องยังมีเหมือนสวนดอกบัวประดับอยู่ด้วย ดอกบัวสีสะอาดตากระจายอยู่ในน้ำใสชวนให้บรรยากาศสงบเงียบ แต่กลับแฝงไปด้วยความยิ่งใหญ่ ม่านทั้งห้องเป็นสีแดงเข้มเดียวกันกับเส้นผมเจ้าของตำหนัก เสาทุกต้นสลักเป็นรูปมังกรที่โค้งไปมาด้วยท่าทางอันสง่างาม ราวกับสะท้อนถึงพลังอำนาจที่แฝงอยู่ในตัวเจ้าของสถานที่นี้


“คิดว่าข้าจะพากลับห้องเจ้ารึ? ” เสียงมู่เซียวดังขึ้น ทำให้หลันฮวาหลุดจากความคิดที่พัวพันอยู่ในใจ


“จิ้งจอกน้อยหันมาคุยกับข้าก่อน”


ตั้งแต่มังกรเพลิงพาจิ้งจอกน้อยมานั่งอยู่บนตั่งนอน ร่างบางก็แอบซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอย่างเงียบเชียบ มีเพียงแค่หางทั้งสองที่โผล่ออกมาให้เห็นอย่างน่าสงสาร มู่เซียวที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการเอาใจผู้อื่น เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงพยายามใช้วิธีที่เขาเคยเห็นพวกมนุษย์ทำกันแทนที่จะใช้กำลังบังคับ


หากจะใช้กำลังก็ย่อมได้ สะดวกสบายและง่ายสมกับเป็นเขา แต่ทำแบบนั้นคงหมดสนุกกันพอดี


ร่างสูงล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ รู้สึกได้ถึงสิ่งของที่เขาซ่อนไว้ รอยยิ้มของมู่เซียวค่อยๆ ปรากฏขึ้นเมื่อหยิบลูกกวาดขึ้นมา แล้วยื่นมันไปใกล้จมูกของจิ้งจอกน้อยที่ยังคงซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม


“สนใจนี่หรือไม่? ” มู่เซียวถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่มุมปากกลับแฝงด้วยความเจ้าเล่ห์


หลันฮวาเงยหน้าขึ้นจากผ้าห่ม สายตาของเขากลับมีความสนใจมากขึ้นเล็กน้อยเมื่อลอบมองลูกกวาดที่มู่เซียวยื่นให้ พลางทำท่าทางมอง ๆ ดม ๆ อย่างสงสัย ราวกับต้องการรู้ว่ามันคือสิ่งที่น่าสนใจจริงหรือไม่


“ลองชิมดูสิ หากเจ้าปฏิเสธ ข้าจะพากลับเข้าไปในงานเลี้ยงอีกครั้ง” มู่เซียวกล่าวเสียงเบา ริมฝีปากหยักกระตุกขึ้นเล็กน้อย เขายื่นมือไปข้างหน้า


หลันฮวาได้ยินก็ยอมทำตามอย่างรวดเร็ว แม้ในทีแรกจะมีท่าทีลังเลอยู่บ้าง แต่เมื่อได้สัมผัสรสหวานของลูกกวาดไปสองสามครั้ง เขาก็เริ่มคุ้นชินกับมันมากขึ้นและเล็มมันไปโดยไม่ต้องมีคำขู่ใด ๆ อีก


มู่เซียวเห็นแผนของตนได้ผลก็ไม่ละความสนุก มือที่ถืออยู่ค่อย ๆ เอียงไปทางซ้าย หลันฮวาก็ขยับตามไปอย่างว่าง่าย เมื่อเขาขยับมือไปทางขวา ใบหน้าหวานก็เอียงตามไปอีก นั่นทำให้มู่เซียวอดยิ้มไม่ได้


สำหรับหลันฮวา นี่เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสรสชาติของสิ่งนี้ เพราะที่ผ่านมาเยว่เทียนมักจะให้เขากินแต่โจ๊กและน้ำชาเท่านั้น


เมื่อเลียไปเลื่อย ๆ ขนาดของลูกกวาดก็เล็กลงจนแทบหายไปจากมือ หลันฮวารู้สึกหดหู่เล็กน้อยเมื่อมันหมดไป แต่ยังคงรับรู้ถึงกลิ่นหอมหวานที่ติดอยู่ที่ปลายนิ้ว ไม่ทันรู้ตัวเลยว่ากำลังกอบกุมมือของมู่เซียวไว้แน่น พร้อมกับเลียปลายนิ้วนั้นอย่างอ้อยอิ่ง


บุรุษร่างสูงเกิดอาการนิ่งค้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนหลันฮวาสัมผัสได้ ใบหน้างามจึงเอียงคอด้วยความสงสัย พลันเลื่อนสายตาลงไปก็เจอเข้ากับบางสิ่งที่นูนเด่นชัดภายใต้กางเกงมู่เซียว


คนงามที่รับรู้ได้ถึงความอันตรายก็ค่อย ๆ เว้นระยะห่าง ทว่ามันสายไปเสียแล้ว เพราะทันทีที่เขาเคลื่อนตัวหนี ฝ่ามือหนาก็ยึดร่างเล็กเข้าไปในอ้อมแขน พร้อมรอยยิ้มที่ไม่ว่ามู่เซียวจะพยายามปิดซ่อนแค่ไหน ก็ไม่อาจปกปิดความหมายที่แฝงอยู่ภายในนั้นได้แม้แต่น้อย


“จิ้งจอกน้อย เจ้ากำลังทำข้าเป็นบ้า”