หลันฮวามีร่างกายอ่อนแอ จึงไม่อนุญาตให้เขาออกนอกห้องและยังคอยย้ำเตือนว่าข้างนอกอันตรายเพียงใด ชีวิตประจำวันของหลันฮวาคงดำเนินไปอย่างสงบสุขหากว่าไม่มีผู้ใดต้องการเห็นเขาเสียน้ำตา
ดราม่า,ชาย-ชาย,4P,นายเอกอ่อนแอ,จิ้งจอกปีศาจ,จีนโบราณ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เหตุใดพวกท่านจึงชอบเห็นข้ายามร้องไห้หลันฮวามีร่างกายอ่อนแอ จึงไม่อนุญาตให้เขาออกนอกห้องและยังคอยย้ำเตือนว่าข้างนอกอันตรายเพียงใด ชีวิตประจำวันของหลันฮวาคงดำเนินไปอย่างสงบสุขหากว่าไม่มีผู้ใดต้องการเห็นเขาเสียน้ำตา
หลันฮวาตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะเมื่อได้ยินวาจาหยอกล้อจากริมฝีปากหยัก กายบางสั่นสะท้านพลางร่นถอยตามสัญชาตญาณ ยิ่งอีกฝ่ายโน้มกายเข้าใกล้ จิตใจก็ยิ่งตื่นตระหนก สองมือเผลอดันคนตรงหน้าออกโดยมิได้ตั้งใจ คล้ายเป็นกลไกป้องกันตัวอัตโนมัติ
มู่เซียวถูกผลักทีเผลอก็จริง ทว่าแรงเพียงเท่านี้หาได้ทำให้เขาไหวเอน ที่ยอมหลบเพราะอยากเห็นมากกว่าว่าบุรุษที่อ่อนต่อโลกเช่นนี้ จะเอาตัวรอดอย่างไรในสถานการณ์ที่ตนเองเป็นรอง
ครั้นเห็นจังหวะเปิด หลันฮวารีบลุกจากตั่งนอน ราวกับกลัวว่าหากชักช้าเพียงครึ่งลมหายใจ ทางรอดนั้นจะหลุดมือ จิ้งจอกน้อยเร่งฝีเท้ามุ่งตรงไปยังบานประตูทางออกโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ ทว่าเส้นทางเบื้องหน้าหาได้ราบรื่นไร้สิ่งขวางกั้น รองเท้าส้นสูงของสตรีก็ทำให้ลำบากเป็นอย่างยิ่งในการทรงตัว แต่ละก้าวราวกับจะล้มได้ทุกเมื่อ ไหนจะยังต้องมาคอยเลี่ยงสระบัวที่กระจายอยู่ทั่วทุกอาณาบริเวณอีก
ระหว่างทาง ส้นสูงสะดุดเข้ากับขอบสระโดยไม่ตั้งใจ ร่างบางล้มกระแทกลงกับพื้นหินเสียงดัง เลือดสีแดงจางปรากฏบนหัวเข่าทั้งสอง แต่หลันฮวาหาได้ใส่ใจ ไม่แม้แต่จะก้มมองบาดแผลเหล่านั้นด้วยซ้ำ เพียงกัดฟันฝืนกายลุกขึ้น ก่อนจะวิ่งต่อไปจนถึงทางออก
เมื่อบานประตูถูกผลักออก สิ่งที่ปรากฎตรงหน้ามิใช่เส้นทางหลบหนี แต่เป็นบุคลปริศนาที่เหมือนเคยเห็นจากไหนมาก่อนยืนขวางอยู่
การเผชิญหน้ากับผู้อื่นในระยะประชิดเช่นนี้ ทำให้หลันฮวารู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ติดขัดในลำคอของตน สัญชาตญาณนำพาร่างบางให้ก้าวถอยหลังไปทีละก้าว แต่ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อแผ่นหลังปะทะเข้ากับอกกว้างของคนที่ตนคิดหนีในคราแรก
“ดื้ออีกแล้วนะ” มู่เซียวกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติของตน สองมือจับไหล่เล็กเบาๆ
“ฮึก..” เสียงสะอื้นหลุดออกมาจากลำคอของจิ้งจอกน้อยราวกับไม่อาจเก็บกลั้นได้อีกต่อไป
“เจ้ากลัวขันทีข้าขนาดนี้เลยรึ ก็แค่คนตาย .. จะมีสิ่งใดให้น่าหวาดหวั่นกันเล่า”
น้ำเสียงขบขันของมู่เซียวมิได้ทำให้หลันฮวารู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย กลับกันมันยิ่งทำให้ร่างบางตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายมีอำนาจมากเพียงใด ต่อให้เขาวิ่งไปไกลกว่านี้ก็คงถูกมังกรเพลิงจับกลับมาได้โดยง่าย ความรู้สึกนั้นเหมือนถูกกำหนดชะตาไว้ในฝ่ามือของผู้หนึ่งโดยไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะดิ้นรน
“ปิดประตู หากเจิ้นไม่ออกไปเอง ใครหน้าไหนก็ห้ามเข้ามาขัด”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีอีกากล่าวด้วยเสียงเรียบเย็น พลางก้มศีรษะคำนับอย่างนอบน้อมตามธรรมเนียบ
หลันฮวาที่ได้ยินบทสนทนาระหว่างคนทั้งสองก็พลันรู้สึกงุนงงขึ้นมาในใจ โดยเฉพาะกับถ้อยคำประหลาดอย่างเจิ้นและพ่ะย่ะค่ะ แล้วทำไมบุรุษน่ากลัวผู้นั้นกลับไม่เคยใช้ถ้อยคำเช่นนั้นกับเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“คิดอันใดอยู่หรือ”
“อ๊ะ!” เพราะมัวแต่ตกอยู่ในภวังค์
ยามมู่เซียวโน้มกายเข้ามาใกล้ หลันฮวาจึงสะดุ้งแล้วถอยหลบไปด้านข้างเพื่อไม่ให้ชนเข้ากับบานประตู แต่โชคร้ายที่ด้านข้างทั้งสองฝั่งเป็นสระบัว ยิ่งมิต้องพูดถึงการทรงตัวด้วยรองเท้าส้นสูงเลย
“ระวัง!”
ตู้ม
สิ้นเสียงเตือนก็ตามมาด้วยเสียงน้ำกระเซ็นดังสนั่น พื้นโดยรอบสระบัวเปียกแฉะในพริบตา ในใจของหลันฮวาคิดว่าศีรษะของตนคงกระแทกเข้ากับขอบสระเป็นแน่ ทว่ากลับมิได้เป็นอย่างที่คิด เพราะมู่เซียวเข้ามารับร่างไว้ได้ทันเสียก่อน บัดนี้จิ้งจอกน้อยจึงเอนกายทับอยู่บนเรือนกายแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ความตกใจส่งผลให้ลืมนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาไปชั่วขณะ ในหัวกลับนึกถึงคำสอนของท่านพี่เยว่ขึ้นมาแทน
“ขะ...ขอบคุณที่น้องช่วยนะขอรับ”
เพราะหากมิใช่คนตรงหน้าข่วยเอาไว้ ร่างกายแสนอ่อนแอนี้คงไม่แคล้วต้องบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่ ด้านมู่เซียวเองก็ไม่ได้คาดคิดว่าเจ้าจิ้งจอกขี้ตื่นจะเอ่ยคำขอบคุณกับเขา
ก็นั่นน่ะสิ—เหตุทั้งหมดที่ทำให้ร่างบางต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนห็มาจากเขาทั้งสิ้น
“มิคิดโทษข้าหรือ? ”
ร่างสูงเอ่ยพลางคลี่ยิ้ม ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นประคองใบหน้างามที่เปียกชื้น เส้นผมขาวราวหิมะเกาะอยู่ประปรายรอบกรอบหน้า ยิ่งขับให้ดวงหน้าอ่อนละมุนแลดูงดงามยิ่งขึ้น
“ขอรับ? ” แน่นอนว่าคนตัวเล็กไม่เข้าใจความหมายของคำถาม ใบหน้าหยกงามเอียงเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
“ไร้เดียงสานัก คงต้องโทษโชคชะตาแล้ว ที่ทำให้เจ้าได้มาพบกับข้า”
มู่เซียวเอ่ยเสียงแผ่ว ราวกับพูดกับตนเอง ต่างจากหลันฮวาที่สะดุ้งเฮือกเมื่อมือหนาค่อยๆ ลูบไล้ขึ้นมาตามต้นขาอ่อน ปลายนิ้วหยาบสัมผัสวนตรงช่วงสายรัดขา จงใจเกี่ยวมันออกจากผิวแล้วปล่อยให้สายรัดดีดกลับเข้าหาผิวเนื้อบอบบางอีกครั้ง แม้จะไม่ได้เจ็บมาก แต่ก็สร้างความหวาดหวั่นในจิตใจได้ไม่น้อย
มู่เซียวทอดสายตามองคนงามตรงหน้าด้วยแววตาเอ็นดู แม้ว่าการกระทำของเขาจะดูคล้ายการกลั่นแกล้งก็ตาม ลำแขนแกร่งตวัดโอบรอบเอวของจิ้งจอกขี้กลัวเอาไว้แน่นหนา ไม่เปิดโอกาสให้ดิ้นหลบหนีได้ง่ายๆ
ยิ่งปลายนิ้วเริ่มขยับเข้ามาใกล้ช่องทางรัก ร่างกายก็ยิ่งสั่นกลัว นัยน์ตาสีฟ้าคลอหน่วยไปด้วยหยาดสีใส นึกอยากจะหลบหนีก็ทำมิได้ ขัดขืนไปก็ไร้ผล จึงซุกซ่อนความกลัวด้วยการมุดหน้าแนบลงกับอกแกร่ง มือทั้งสองกำอาภรณ์มังกรเพลิงไว้แนบใบหน้า ไม่ว่าจะมองดูอย่างไรก็เหมือนลูกแมวมากกว่าจิ้งจอกเสียอีก
“ทำในน้ำก็น่าสนใจนะ เจ้าคิดเหมือนข้าหรือไม่” แน่นอนว่ามู่เซียวไม่ได้อยากรู้คำตอบของหวันฮวาหรอก
มือหนาจับท่อนเนื้อสีเข้มออกมาถูไถตรงปากทางเข้า ประหนึ่งต้องการสำรวจความพร้อม
จิ้งจอกน้อยที่มีเรื่องฝังใจจากการถูกทรมานช่องทางมาก่อนหน้านี้ก็พลันมีสีหน้าซีดเผือด เนื้อตัวสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ มิใช่จากความเย็นของน้ำในสระ แต่เป็นจิตใจดวงน้อยที่เต้นรัวอยู่ในอก
“มะ..ไม่เอานะขอรับ น้องทนไม่ไหวแน่ๆ ”
“ข้าจะทำช้าๆ ”
ถ้อยคำที่ฟังดูจริงใจเป็นเพียงม่านควันแห่งการลวงหลอก เพราะมู่เซียวหาได้เบามือลงเลยแม้แต่น้อย บางสิ่งในใจเขาต้องการให้จิ้งจอกงามผู้นี้ได้ลิ้มรสความเจ็บปวด เพื่อจารึกตนไว้ในความทรงจำของอีกฝ่าย แม้จะเป็นในรูปแบบอันบิดเบี้ยวก็ตาม ยิ่งเห็นน้ำตาคลอในนัยน์ตาสีฟ้าใส เสียงในใจก็ยิ่งเร่งเร้าอยากให้หลันฮวาจดจำมังกรเพลิงผู้นี้เอาไว้ ไม่ว่าจะด้วยความหวาดหวั่นหรือฝังใจ
เมื่อคิดดังนั้น มู่เซียวเริ่มลงมือกดส่วนหัวสอดเข้าไป เป็นผลให้จิ้งจอกน้อยหดตัวเกร็งทันที แต่เพราะอยู่ในน้ำ จึงไม่เห็นว่าช่องทางด้านหลังมีสภาพเช่นไร ถ้าหากให้เดาก็คงไม่มิพ้นได้แผลฉีกขาดจนเลือดซึม
“อื้อ น้ำมัน.. เข้ามา”
เสียงของหลันฮวาสั่นเครือแทบกลืนหายไปกับลมหายใจ แม้น้ำเสียงนั้นจะเต็มไปด้วยความเวทนาและอ้อนวอน แต่ก็ไม่อาจหยุดการกระทำของผู้ที่อยู่เหนือตนได้ ในทางกลับกัน เหมือนเชื้อไฟจะยิ่งปะทุหนักในตอนที่ส่วนหัวเข้ามาได้จนหมด เพราะจิ้งจอกน้อยเอาแต่ครวญครางเสียงหวาน มู่เซียวจึงอยากแกล้ง
สิ่งแปลกปลอมขนาดใหญ่ที่สอดแทรกเข้ามา ทำให้หวันฮวาหายใจติดขัด ต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อรับเอาอากาศเข้าทางปากร่วมด้วย วิธีนี้ทำให้น้ำสีใสไหลตรงมุมปาก มังกรหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็ไม่รีรอที่จะก้มหน้าลงไปเลียมันออกอย่างไม่นึกรังเกียจ
คนงามเห็นคนตรงหน้าก้มมา นึกว่าจะโดนกัดจึงรีบหดคอหนี ดวงตาน้ำงามปิดสนิทพร้อมใบหูลู่ลง แต่หลังจากรู้ว่ามิได้โดนกัดก็เผลอเปิดเปลือกตาขึ้นสบใบหน้าคม
“มองข้าด้วยสีหน้าเช่นนี้ ต้องการให้ข้ากัดรึ”
มู่เซียวกล่าวด้วยความขบขัน แต่ก็ไม่ลืมดันสิ่งแข็งขืนเข้าไปอีก จนกระทั่งได้ครึ่งทาง
“อ๊ะ! ท่านพี่..ใจร้าย ฮึก ท่านพี่เยว่ยังมิเคยทำกับน้องเช่นนี้เลยสักครั้ง”
คนตัวเล็กยังคงพร่ำเพ้อถึงท่านพี่เยว่ของตนไม่หยุด ทั้งดิ้น ทั้งส่งเสียงสะอื้นเรียกชื่อของบุรุษที่มังกรหนุ่มไม่ชอบขี้หน้ายิ่งนัก นามนั้นดังแทรกเข้ามาราวกับเข็มแหลมแทงซ้ำลงในใจของผู้ฟัง
คราแรกมู่เซียวก็ยังตั้งใจจะอ่อนโยนอยู่บ้าง อย่างน้อยก็พอมีเยื่อใยให้ร่างบางไม่ต้องหวาดกลัวจนหมดสติ ทว่าในยามนี้ ความคิดนั้นพลันเลือนหายไปตามห้วงอารมณ์ แม้ไม่ถึงกับโกรธ แต่ความรู้สึกหงุดหงิดกลับตีขึ้นเต็มอก แววตาคมสว่างพลัน แฝงความเงียบงันอันเยียบเย็นคล้ายสัตว์ร้ายที่เริ่มสูญเสียความอดทน
“ที่เจ้ามิเคยโดน เพราะท่านพี่ที่เจ้ารักนักรักหนามันอ่อนหัดอย่างไรเล่า”
“ท่านพี่จะทำอะไร!” เสียงหวานเอ่ยถามขึ้นด้วยความตกใจ
เมื่อวงแขนแข็งแรงสอดเข้าคล้องใต้ข้อพับเข่าทั้งสองข้างของเขา ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงในคราเดียวจนร่างบางลอยเหนือผิวน้ำ ส่งผลให้สิ่งนั้นเข้ามาลึกกว่าเดิม แม้จะมิได้จับเอวบางกดลงก็ตาม
หลันฮวาสะดุ้งเฮือกเมื่อส่วนนั้นขยับโดนจุดอ่อนไหวในช่องทางรัก ถึงแม้ว่าที่ทำกันอยู่จะทรมาน แต่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ามีความเสียวซ่านปะปนเข้ามาด้วย และมันก็พิสูจน์ได้จากการที่มีน้ำขาวขุ่นไหลเยิ้มบริเวณแท่งหยกสีหวานของคนงาม
“เรียกข้าอย่างที่เคยสอนมาหน่อยเร็ว บางทีข้าอาจจะยอมพากลับก็ได้”
“อ๊ะ! ท่านพี่..มู่”
“เจ้าว่าอะไรนะ ข้ามิค่อยได้ยินเลย”
นอกจากจะใช้ถ้อยคำลวงหลอกให้คนตัวเล็กหลงเชื่อ มู่เซียวยังจงใจคลายแรงที่แขนลง ปล่อยให้ร่างบอบบางร่นต่ำลงอย่างเชื่องช้า จนท่อนเนื้อสีเข้มเติมเต็มช่องทางอ่อนหวานนั่นจนสุด
“ท่านพี่ ฮึก ใจร้าย”
“ไม่มีคำด่าอื่นบ้างหรือ ไหนลองด่าข้าด้วยคำพูดแรงๆ หน่อยเร็ว”
มู่เซียวเอ่ยวาจาท้าทายคนงามตรงหน้าอย่างนึกสนุก ตั้งแต่เริ่มกลั่นแกล้ง ร่างเล็กก็เอาแต่กล่าวหาว่าเขาใจร้ายอยู่ร่ำไป หากแต่สำหรับมังกรเพลิงผู้เคยร่วมฝึกอยู่เคียงข้างเยว่เทียนมาก่อน จะไม่รู้เชียวหรือว่าแท้จริงแล้วท่านพี่ผู้สูงศักดิ์ของจิ้งจอกน้อยนั้นมีความป่าเถื่อนซ่อนไว้มากเพียงใด
ทั้งถ้อยคำและการกระทำของอีกฝ่าย หาได้สูงส่งหรือสะอาดงดงามดุจเซียนบนหาวไม่ ในสายตาของมังกรหนุ่ม เยว่เทียนก็ไม่ต่างจากเจ้าเซียนโสมมนั่นเลยสักนิด
“ท่าน..”
“? ” มู่เซียวเฝ้ารอคำด่าของหลันฮวาอย่างคาดหวังว่าจะได้รับอะไรที่มันรุนแรงกว่าเดิม
“ท่านพี่..ใจร้ายที่สุด”
“…”
“…”
เมื่อได้ยินคำพูดซ้ำเดิมที่ไม่เคยเปลี่ยน มู่เซียวก็อดกลั้นไม่ไหว หัวเราะลั่นออกมาทันที ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีใครในโลกนี้ อายุคร่ำคร่าหลายร้อยปี แต่กลับไม่รู้จักคำด่าหยาบโลนแม้แต่เพียงคำเดียว
ด้านหลันฮวาที่เห็นสีหน้าเรียบนิ่งของอีกฝ่ายแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะดังก้องทั่วห้องถึงกับสะดุ้งตกใจ ร่างบางรีบขยับดิ้น หวังหลุดรอดจากพันธนาการ แต่จะให้รอดง่ายๆ ได้อย่างไร มู่เซียวรู้ทันทุกจังหวะของอีกฝ่าย แขนแกร่งจึงกดลงอีกครั้ง เป็นการลงโทษสำหรับความคิดดื้อดึงที่กล้าจะหลีกหนีจากเขา
“อ๊ะ มันลึกเกินไป”
ถึงแม้มู่เซียวจะเป็นฝ่ายจับกดหวังสร้างความเจ็บปวดให้คนงาม แต่การดันแท่งเนื้อใส่ช่องทางคับแคบที่ไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนก็สร้างความทรมานให้เขาเช่นกัน
หลันฮวารีบยกมือขึ้นจิกปลายนิ้วลงบนอาภรณ์ของมู่เซียวแน่น ราวกับหวังเกาะยึดบางสิ่งไว้ไม่ให้ร่างกายของตนร่วงหล่นไปมากกว่านี้ เสียงหวานยังคงเปล่งออกด้วยความเวทนาคล้ายเด็กน้อยที่เอ่ยอ้อนขอความเมตตา หวังเพียงว่ามังกรหนุ่มผู้นี้จะปล่อยตนให้เป็นอิสระเสียที
“เท่านี้…คงพอแล้ว”
ร่างสูงใหญ่คล้ายกล่าวกับตนเอง ทำเอาจิ้งจอกน้อยเกิดความงุนงง แต่แล้วก็ได้คำตอบเมื่อถูกอีกคนยกลำตัวเขาขึ้นสูงจนสิ่งนั้นเกือบหลุดออกมาจากรูกลับ แล้วจับกระแทกลงมาจนสุดลำ
“อ๊า!” เป็นอีกครั้งที่น้ำขาวขุ่นไหลเยิ้มออกจากแท่งหยกสีอ่อนมากกว่าเดิม
มังกรเพลิงรับรู้ได้ทันทีว่าช่องทางที่ตนสอดใส่ท่อนเนื้อเข้าไปนั้นกำลังหลั่งเลือดออกมามากเพียงใด
ทว่าเขามิได้คิดจะหยุดการกระทำเอาไว้แค่นี้ ตรงกันข้าม เมื่อเห็นใบหน้างามแดงเรื่อควบคู่กับหยดน้ำตาจำนวนมากก็ยิ่งชอบใจ เรียวขาขาวที่สั่นไหวจากความจุกบริเวณท้องน้อยยิ่งทำให้มังกรหนุ่มพึงพอใจ
ร่างหนากระแทกกระทั้นช่องทางอ่อนหวานจนน้ำวนสระบัวกระเพื่อมไปตามจังหวะเข้าออกของแก่นกายสีเข้ม แน่นอนว่าร่างกายคนงามก็สั่นไหวตามไปด้วย
หลันฮวาทำได้เพียงยอมจำนนต่ออำนาจที่มิอาจต้านทาน ร่างกายนี้บอบช้ำเกินกว่าจะขัดขืนมู่เซียวแล้ว
.
.
ช่วงเวลาเนิ่นนานเกือบสองชั่วยาม อุณหภูมิร้อนระอุจากเรือนร่างทั้งสองที่เคยอยู่ในสระบัว บัดนี้กลับย้ายมาอยู่บนตั่งนอนกลางห้อง ตามร่างกายบอบบางมีร่องรอยสีแดงมากมายปรากฏอยู่
ทั้งรอยฟันกัด รอยดูดเม้ม อาภรณ์หลุดลุ่ย ผมเผ้ายุ่งเหยิง ริมฝีปากนุ่มบวมแดงพอๆกับดวงตา หยาดใสไหลรินเงียบๆ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน
หลันฮวาที่ฟื้นสติมารอบที่สาม เริ่มมีอาการมึนเบลอ เสียงเฉอะแฉะยังคงดังเป็นระยะ เนื่องจากก่อนหน้านี้มู่เซียวปลดปล่อยน้ำรักไว้ข้างใน กลายเป็นว่านอกจากจะมีเลือดแล้วยังมีหยาดน้ำสีขาวอยู่ในช่องทางด้วย
สวบ สวบ สวบ
แม้จะผ่านมานาน แต่แรงคนด้านบนแทบไม่มีตก ยิ่งรู้ว่าจุดอ่อนไหวคนงามอยู่ตรงไหนก็ยิ่งตั้งใจเน้นเป็นพิเศษ
“หากเยว่เทียนรู้เรื่องนี้คงพยายามฝ่าฝืนพันธสัญญาเพื่อฆ่าข้าก็ได้”
หลังมังกรหนุ่มพูดจบ หลันฮวาก็ชะงักเล็กน้อย สายตาเหลือบไปเห็นบางสิ่งที่ไม่ควรจะมี รอยสัญลักษณ์สีดำทมิฬผุดขึ้นจางๆ บริเวณช่วงลำคอของมู่เซียว ลวดลายคดโค้งนั้นดูไม่ธรรมดา ราวกับบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในเงามืดเพิ่งเผยตัวออกมาให้เห็นเป็นครั้งแรก
พันธะ…สัญญา?
“สลบไปแล้วงั้นรึ”
แต่ถึงกระนั้นมังกรหนุ่มก็มิได้สนใจ ร่างสูงใหญ่กระแทกท่อนเนื้อให้ลึกกว่าเดิม ทำซ้ำไปมา ไม่นานกายแกร่งก็เริ่มกระตุกปลดปล่อยน้ำรักออกมาเป็นจำนวนมาก ทว่าก่อนหน้านี้เคยปล่อยใส่รูเล็กไปแล้ว การที่ทำใส่อีกรอบจึงทำให้ของเหลวส่วนหนึ่งไหลย้อนออกมา
เมื่อถอนกายออกจากช่องทางสีหวาน มู่เซียวจึงได้มีโอกาสพินิจร่างในอ้อมแขนอย่างถี่ถ้วนอีกรอบ ก่อนจะพบว่าผิวกายของจิ้งจอกน้อยร้อนผิดปกติ ราวกับมีไอร้อนแผ่กระจายจากภายใน
ในห้วงแรกเขาคิดจะเรียกขันทีอีกาให้รีบไปตามหมอหลวงมาดูอาการ แต่เพียงแค่ความคิดนั้นผุดขึ้นในใจ มังกรหนุ่มก็ต้องชะงัก ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว ไม่ใช่ความกังวล หากเป็นความหึงหวง
เขาไม่ต้องการให้ผู้ใดได้เห็นร่างเปลือยเปล่านี้ โดยเฉพาะพวกชายอ่อนแอที่แม้เพียงเห็นผิวขาวใต้แสงเทียนก็คงมิอาจควบคุมจิตใจตนได้
จิ้งจอกน้อยผู้นี้ เป็นของเขาเท่านั้น
“สงสัยข้าคงต้องพาเจ้าไปให้เฟยหรงดูอาการก่อน แต่ว่า..ทำอีกรอบคงจะไม่เป็นไร”