จากอนาคตแสนไกลย้อนคืนเป็นโลกใบใหม่ ดินแดนที่ความจริงสูญหายและสิ่งลี้ลับหวนคืน บาร์ตัน แบล็คฮาร์ท เด็กชายอายุเพียงสิบเอ็ดพลันต้องเรียนรู้โลกใหม่เพื่อเอาชีวิตรอด
แฟนตาซี,ไซไฟ,พารานอมอล,ผจญภัย,แฟนตาซี,ผจญภัย,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำจากอนาคตแสนไกลย้อนคืนเป็นโลกใบใหม่ ดินแดนที่ความจริงสูญหายและสิ่งลี้ลับหวนคืน บาร์ตัน แบล็คฮาร์ท เด็กชายอายุเพียงสิบเอ็ดพลันต้องเรียนรู้โลกใหม่เพื่อเอาชีวิตรอด
“พวกมันหิว พวกมันกระหาย ความสิ้นหวังของมนุษย์คืออาหารที่มันปรารถนาเจียนตาย และเมื่อมันเสพสมจนพอใจ... มันก็ทำให้ความฝันอันโหดร้ายหลั่งเลือดออกมาเป็นความจริง” - ทหารโดมิเนี่ยน, กล่าวถึงพาเรลในแดนมืด
นิยายแนวผจญภัย - ไซไฟ ผสมแฟนตาซี (และสตีมพังค์)
“…หิว กระหาย
จากดวงดาราสู่ดวงดารา
จากอีกพิภพ สู่อีกภพจักรวาล
ราวกับฝูงมฤตยูแห่งหายนะ ไม่เคยมีสิ่งใดที่หยุดยั้งพวกเราได้…
ยกเว้นพวกมัน… สิ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้พวกเราต้องหวาดหวั่น หัวหด และต้องหลบซ่อนในเงามืด…
…หมาป่า อีกา ราชา และมังกร…"
- อินดราคินร์, พาเรลระดับเจเนซิส
Astral Break องค์ที่หนึ่ง: ‘หมาป่า’
Begin….
ตอนที่ 1 เด็กใต้ขยะ
‘ตื่น…’
‘บาร์ตัน…’
‘ตื่น…’
‘พวกมันกำลังมา’
‘นางกำลังมา’
‘ตื่นเดี่ยวนี้!’
“ฮึ๊ก!?” เสียงไซเรนฉุกเฉินดังไปทั่วยานอวกาศ เด็กชายร่างเล็กผอมผิวซีดที่มีผมสีดำยาวยุ่งเหยิงถึงกับสะดุ้งตื่น ลุกพรวด ก่อนศีรษะจะโขกกับขอบโลหะของชั้นวางของจนเกิดเสียงดังลั่นห้อง
เก้ง~!!
“อั๊ค-!”
“บาร์ตัน! ระวังหน่อยสิ! เดี่ยวพวกผู้ตรวจการก็ได้ยินหรอก!” เด็กหญิงผมน้ำตาลรุ่นราวคราวเดียวกันดุเสียงเงียบ เธอพยายามลุกขึ้นมาจากกองผ้าห่มดำเขรอะที่ราวกับผ้าขี้ริ้ว เป็นจังหวะเดียวกับที่เด็กชายผิวน้ำผึ้งคนหนึ่งก็ลุกขึ้นมาด้วยสภาพงัวเงียจากอีกฝาก
“เกิดอะไรขึ้น? บาร์ตฝันร้ายอีกแล้วเหรอ?”
“ฉัน- ไม่ได้ฝันร้าย” เด็กชายผมดำร่างผอมส่ายหน้า เด็กหญิงเองขมวดคิ้วย่น จะต่อว่าอะไรสักอย่าง ทว่าใบหน้าผอมซีดเซียวของคนเป็นเพื่อนก็หันควับกลับมา แก้มที่ซูบผอมกับดวงตาที่มืดสนิทนั้นทำเอาเธอสะดุ้งตกใจ
“ชู่… ฟังสิ เธอไม่ได้ยินรึไง ”
“ได้ยินอะไร?” เด็กหญิงขมวดคิ้ว ทว่าเด็กชายผมดำก็ทำท่าให้ทั้งสองเงียบลง เด็กชายอีกคนที่ร่างใหญ่กว่าก็พลันขมวดคิ้ว หลับตา ก่อนจะพลันได้ยินเสียงแว่วๆจากภายนอกห้องเก็บของ
[เตือนภัย]
[ตรวจพบพาเรล ซิกเนเจอร์ ระดับสี่]
มันคือเสียงไซเรน และคำประกาศเตือนบางอย่าง
เบามาก…. ทว่าก็สามารถรับรู้ได้ทันทีมันคือสัญญาณเตือนภัยฉุกเฉิน
“ฉันได้ยิน มีประกาศแจ้งเตือนว่าตรวจพบพาเรลระดับสี่ เราต้องหนี เราอยู่ที่นี้ไม่ได้”
“ว่าไงนะ…?” ทั้งสองถึงกับโพล่งออกมา แม้ทั้งคู่จะจับใจความของเสียงนั้นไม่ได้สักอย่าง ทว่าเพื่อนทั้งสองก็ไม่มีความแปลกใจเลยแม้แต่น้อย
บาร์ตัน… ถึงแม้คนทั่วไปจะมองเขาเป็นเด็กกำพร้าสติไม่ดี ทว่าพวกเธอที่เอาชีวิตรอดด้วยกันมานานรู้ดีว่าเซนส์พิสดารต่างๆของเพื่อนตนเองนั้นเชื่อใจได้เสมอ
“ระดับสี่? บ้าน่า… ถ้าเรายังอยู่ในยานนี้ มีหวัง…” ชายร่างใหญ่กล่าว ก่อนจะรีบขยับตัว ทว่าก็เร็วเกินไปจนหัวโขกเข้ากับท่อนเหล็กไม่ต่างจากบาร์ตัน
ก็นะ… ใครใช้ให้พวกเขาลักลอบขึ้นยานพาหนะอย่างผิดกฏหมาย แล้วมาแอบอยู่ใต้ชั้นเก็บของกันล่ะ
“บาร์ต! กฤษณะ! ถ้าพวกเราถูกจับตัวได้ล่ะก็ พวกหน่วยตรวจตราปล่อยเราออกแอร์ล็อคไปตายในสุญญากาศแน่!”
“แต่ก็ดีกว่าถูกพาเรลแทะทั้งเป็นไม่ใช่รึไง อาเนียร์?”
บาร์ตัน เด็กชายผมดำคนแรกกล่าว เขาลุกขึ้นมาจากที่นอนผ้าขี้ริ้วจนเห็นร่างที่ผอมแห้งภายใต้เสื้อกล้าม เด็กชายเองเก็บผ้าห่มใส่กระเป๋าหลังมอซอของตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะสวมเสื้อโค๊ตสั้นสีดำคลุมตัว มันปรากฏลายปักเก่าๆรูปหัวกระโหลกทรงเหลี่ยมที่อกด้านซ้าย
เด็กชายหันกลับมา เห็นอาเนียร์ที่ปากสั่นเครือทว่าเก็บของจนเสร็จ กับกฤษณะที่สะพายกระเป๋าพร้อมยกท่อนเหล็กดามใบมีดต่างขวานก็พยักหน้า
ทั้งสามค่อยๆย่องไปที่ประตู เลื่อนเปิดออกช้าๆโดยไม่ให้เกิดเสียง พลันความโกลาหลข้างนอกก็ปรากฏเข้ามาในสายตา
แสงไฟสีแดงกระพริบวูบวาบ มันย้อมโลหะสีเทาตามผนังจนเป็นสีเลือด เสียของเอไอไร้ชีวิตชีวาเองดังเป็นจังหวะ มันพูดย้ำไปมาเพื่อให้สัญญาณทุกคนอพยพไปยังกระสวยหลบภัย
ทว่า… พวกเขากำลังลอยอยู่ในห้วงอวกาศ ห่างจากดาวที่ใกล้ที่สุดไปเกือบหมื่นล้านกิโลเมตร… จะให้อพยพไปอยู่ที่ไหนกันได้ล่ะ?
“ทำไมถึงเป็บแบบนี้ ฉันไม่เห็นเคยได้ยินเลย ว่าพวกพาเรลปรากฏตัวในยานอวกาศได้?” อาเนียร์กล่าวเสียงกระซิบ ส่วนบาร์ตันส่ายหน้า
“ไม่น่าเป็นไปได้… ฉันเชื่อว่ามีพาเรลหลุดเข้ามาตั้งแต่แรก ไม่ก็มีใครบางคนลักลอบมันเข้ามา”
“ลักลอบพาเรล? ใครมันบ้าวอนตายทำเรื่องแบบนั้น” กฤษณะกัดฟันกรอด โกรธจนมือสั่น ทว่าตัวเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่ากำลังโกรธหรือกลัวกันแน่
บาร์ตันหันกลับมาเล็กน้อย จ้องมองเพื่อนทั้ง พลันดวงตาก็แอบสั่นระริก กัดริมฝีปากของตนเองโดยสันชาตญาณ ความกลัวจับใจบางอย่างกำลังเกาะกินจนเริ่มก้าวขาไม่ออก
‘หรือว่ามันคือความผิดพลาด… ความผิดพลาดที่ฉันพาพวกเขามาที่นี้?’
เด็กชายร่างผอมซูบตอกย้ำตัวเองในใจ พลันภาพความทรงจำทั้งหลายในช่วงชีวิตก็ปรากฏขึ้นมาในโสตประสาท
บาร์ตัน แบล็คฮาร์ท นั้นก็คือชื่อและสิ่งเดียวที่เด็กชายจดจำได้ก่อนจะเสียความทรงจำ เขาไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่ามันคือชื่อจริงของเขาใหม่ รู้แค่ว่าตนเองเป็นเด็กกำพร้า เกิดในดวงดาวอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งของสหพันธ์โลก ทว่าไม่มีใครเหลียวแล ถูกทิ้งเอาไว้กับกองขยะด้วยความทรงจำที่เลือนลาง
ศีรษะได้รับบาดเจ็บตั้งแต่อายุไม่ถึงเจ็ดขวบ และควรจะตายท่ามกลางกองขยะพร้อมถูกสัตว์ท้องถิ่นแทะจนตายไปนานแล้ว…. หากไม่ใช่เพื่อนของเขาทั้งสองคนช่วยเอาไว้
กฤษนะ เด็กชายที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่ม กับอาเนียร์ เด็กหญิงแสนฉลาดทว่าแสนขี้กลัว ทั้งคู่ล้วนเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้งเช่นกัน และก็เป็นทั้งสองคนที่บังเอิญเจอกับบาร์ตันท่ามกลางกองขยะระหว่างกำลังหาของมีค่าไปขาย
เด็กชายที่เสียเลือดมากตอนนั้นไม่มีอะไรสักอย่าง นอกจากเสื้อผ้าสีขาวเปื้อนเลือดที่ราวกับชุดผู้ป่วย กับเสื้อโค้ทสีดำตัวใหญ่เกินตัว ที่มีรอยปักตราหัวกระโหลกตรงอกด้านซ้าย
ตอนนั้น…หากเด็กสองคนนั้นจะปล่อยเขาให้ตาย แล้วเอาเสื้อโค้ทที่ดูดีหน่อยของเขาไปขายหาเงินประทังท้องก็ยังได้เลยด้วยซ้ำ
ทว่า พวกเขาไม่ทำ กฤษณะที่ตอนนั้นก็ไม่ได้ตัวใหญ่มาก แบกร่างเขาที่ใกล้ตายด้วยขาที่ม่วงช้ำปวดระบมไปทั้งน่อง และอาเนียร์ ซึ่งเป็นคนลงมือเย็บและทำความสะอาดแผลให้เขาเองทั้งที่เด็กทั่วไปไม่น่าจะทำได้
และมันทำให้บาร์ตันที่ควรจะตาย… มีชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้
‘พวกเราเด็กใต้ขยะต้องช่วยเหลือกัน เพราะถ้าพวกเราไม่ดูแลกันเอง งั้นโลกนี้ก็ไม่ใครใยดีต่อพวกเราแล้ว’
นั้นคือคำพูดที่ออกมาจากปากกฤษณะ เด็กชายที่ตอนนั้นอายุไม่ถึงสิบขวบ และจะพูดว่าเขาคือเหตุผลที่ทำให้อาเนียร์และบาร์ตันอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ก็ว่าได้
และ ‘เด็กใต้ขยะ’ นั้นคือคำเรียกที่พวกคนจากเมืองด้านบนมักจะเรียกเด็กกำพร้าอย่างพวกเขาทั้งสาม กล่าวถึงเด็กกำพร้าทั้งหลายที่พ่อแม่ไม่ต้องการ ถูกทิ้งลงมาสู่เบื้องล่าง ลึกยิ่งกว่าใต้จุดสูญรวมขยะ ราวกับว่าอยากให้พวกเขาถูกลืมเลือนไปซะไม่ให้ใครได้พบเห็น
นั้นแหละ… คือกฏเกณฑ์ของอาณานิคม ‘ทอทูรัส’ ดวงดาวที่หากถูกประเมินว่าไร้ค่า พวกเขาก็จะโยนพวกคุณลงมารวมกับกองขยะอย่างไม่แยแส
และพวก ‘เด็กใต้ขยะ’ ก็ถือเป็นหนึ่งในขยะเหล่านั้น เป็นตัวตนที่พวกรัฐบาลมองไม่ต่างกับหนูท่อที่ต้องถูกกำจัดหากพบเห็น
บาร์ตันไม่รู้ว่าดาวดวงอื่นจะเป็นแบบนี้หรือไม่ เขารู้จักแต่ดาวดวงนี้ และก็พยายามใช้ชีวิตเรื่อยมา เอาชีวิตรอดพร้อมกับกฤษณะและอาเนียร์ให้ได้แบบวันต่อวัน
ตั้งแต่เช้ามืดพวกเขาจะต้องตื่นนอน ออกจากที่ซ่อนเพ่ื่อไปคุ้ยขยะหาของมีค่าก่อนพวก ‘ใต้ขยะ’ กลุ่มอื่นๆจะแย่งไปเสียก่อน และเพราะว่าอาณานิคมแห่งนี้เป็นดาวอุตสาหกรรม ชิ้นส่วนอะไหล่หลายอย่างที่พวกคนข้างบนไม่เห็นค่าจึงร่วงหล่นลงมาให้พวกเขาเก็บเกี่ยวอยู่บ่อยครั้ง
แต่อย่าคาดฝันเลยว่าวันไหนจะเจออาหารเหลือ เพราะดาวดวงนี้ไม่ใช่ดวงดาวที่อุดมสมบูรณ์นัก ข้าวและน้ำนั้นแพงยิ่งกว่าทองคำ พวกข้างบนเลยมักเก็บอาหารเอาไว้ให้ตัวเองเสมอ แบบไม่ให้เหลือแม้แต่เศษขี้เล็บก่อนจะนำมาทิ้ง
มันจึงเป็นไปได้ยากมากที่จะพบอาหารเหลือในกองขยะ กว่าเก้าในสิบนั้นล้วนเป็นเศษอะไหล่และโลหะเหลือทิ้งที่พวกข้างบนไม่ต้องการ และมันก็เป็นพวกเด็กใต้ขยะอย่างพวกเขานี้แหละที่จะคอยคุ้ยตามซากโลหะเหล่านี้ไปขาย
ตามหาอะไหล่ที่พอใช้ได้ รวมกันใส่ถุงกระสอบพลาสติกเก่าๆใบหนึ่ง แล้วค่อยลากมันไปขายยัง ‘ร้านใต้ขยะ’ เพื่อแลกกับอาหารแท่งอันน้อยนิดพอจะประทังชีวิตพวกเขาได้
และถูกต้อง มันมี ‘ร้านใต้ขยะ’ และแท้จริงแล้วดินแดนใต้ขยะนี้ก็มีสังคมเป็นของตนเอง เป็นจุดรวมของผู้คนที่โลกด้านบนไม่ต้องการ และทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอดไปวันๆ
ซึ่งเจ้า ‘ร้านใต้ขยะ’ นี้ก็เป็นดั่งหัวใจสำคัญของโลกใต้ขยะ บาร์ตันในตอนนั้นได้รู้จากอาเนียร์ว่าแท้จริงแล้วเจ้าของร้านนั้นคือคนหัวหมอจากสังคมเบื้องบน ที่ลงมาแลกเปลี่ยนอาหารราคาถูกกับเศษอะไหล่คุณภาพดี ซึ่งช่วงแรกๆนั้นพวกเธอโดนกดราคาจนแทบหาอาหารได้ไม่พอยาไส้
กฤษณะเองแม้โตที่สุดก็ไม่อาจทำอะไรได้ เพราะถึงแม้เขาจะเป็นเหมือนหัวหอกของกลุ่ม เก่งตบตีตั้งแต่เด็กและช่วยอาเนียร์กับบาร์ตันเอาไว้เสมอจากพวกเด็กโตกว่าที่คิดจะมาแย่งอะไหล่ แต่เขาในตอนนั้นไม่อาจใช้กำลังกับร้านใต้ขยะได้ เพราะร้านแห่งนั้นเป็นปากท้องเดียวที่จะช่วยให้ทุกคนไม่หิวตาย
ทว่า… แม้อาเนียร์จะไม่เก่งตบตีเหมือนกฤษณะ แต่เธอเป็นเด็กช่างสังเกตุ พอนานเข้าเด็กหญิงก็เริ่มจับทริคได้ เธอเริ่มเฝ้ามองคนอื่นๆที่มาซื่อขาย เรียนรู้คุณค่าของอะไหล่ต่างๆ และไม่นานก็เริ่มที่จะต่อรองราคาเป็น
แรกเริ่มนั้นก็ไม่ได้ผลเท่าไหร่ ทว่าเมื่ออาเนียร์รู้จักอุบอิบ ‘สินค้า’ เอาไว้บ้าง ทั้งยังคำนวนราคาทั้งหมดที่ควรจะเป็นได้อย่างแม่นยำ เจ้าของร้านใต้ขยะซึ่งเป็นคนไม่แยแสอะไรก็พลันเริ่มสนใจ เขาตกลงซื้อขาย รวมถึงสั่งให้เอาอะไหล่มีค่าที่อาเนียเก็บซ่อนเอาไว้ทยอยส่งมาแลกกับอาหารคุณภาพดี มันจึงทำให้พวกเขาหาอาหารได้มากพอก่อนจะหิวตายกันไปเสียก่อน
ทั้งสามใช้ชีวิตกันเช่นนั้นเรื่อยมา บาร์ตันที่อยู่กับทุกคนมาหลายปีเองก็เริ่มเรียนรู้ที่จะช่วยงานต่างๆ และมันโชคดีที่เด็กชายได้พบกับขยะที่มีค่ายิ่งกว่าอะไหล่กองไหนๆ
มันคือหนังสือ สิ่งที่คนสมัยนี้ควรจะเลิกใช้กันไปหลายศตวรรษ ทว่ามันก็อยู่ต่อหน้าเขา เป็นหนังสือตำราพื้นฐานวิศวกรรมศาสตร์ของยุคสมัยใหม่ ซึ่งเป็นของที่เด็กเจ็ดขวบที่ต้องอยู่ใต้ขยะมาตั้งแต่แรกไม่ควรจะอ่านมันออกได้
ทว่า… บาร์ตันในวัยเจ็ดขวบตอนนั้น ค้นพบว่าตนเองสามารถอ่านมันได้
ไม่ใช้แค่ภาษา แต่ยังรวมถึงใจความรู้ทุกอย่าง แม้จะยากจนเลือดตาแทบกระเด็น แต่บาร์ตันก็สามารถทำความเข้าใจได้อยู่ในระดับหนึ่ง ซึ่งมันทำให้ทั้งกฤษณะและอาเนียเริ่มเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับตัวตนของเด็กชาย
นั้นคือบาร์ตัน อ่านออกเขียนได้มาตั้งแต่แรก ตั้งแต่ก่อนที่จะสูญเสียความทรงจำ แม้จะเป็นเพียงเด็กห้าขวบใกล้ตายในกองขยะตอนนั้นก็ตามที
พวกเขาทึ่งที่ค้นพบความสามารถของบาร์ตัน ทว่าแท้จริงแล้วมันคือจุดเริ่มต้นของข่าวลือที่จะทำให้ชีวิตของเด็กชายนั้นอยู่ยากขึ้นไปอีกเป็นร้อยเท่า
‘เสียง…. เสียงมันดังมาก…’
บาร์ตัน ตั้งแต่ที่รอดตายตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ เด็กชายเริ่มรับรู้มาได้สักพักว่าเขามีบางอย่างที่ผิดปกติ
เขา… มักจะได้ยินเสียง เสียงที่คนทั่วไปไม่อาจได้ยิน
เสียงเหล่านั้นมักจะก้องเบาๆในหัวสมองราวกับเสียงกระซิบ ทว่ามันมักจะดังขึ้นมากเมื่อเด็กชายเพ่งความสนใจกับบางสิ่งบางอย่าง… เฉกเช่นหนังสือที่เขาอ่าน
มันบอกเขาว่าต้องทำยังไง ราวกับพรายกระซิบของภูติผีที่ไม่อาจเข้าใจได้
แรกเริ่มบาร์ตันนั้นหวาดกลัว ทว่านานวันเข้าเขาก็เริ่มคุ้นชิน และเริ่มที่จะรับฟังมัน
และเขาก็ได้ค้นพบว่าเสียงเหล่านั้นแท้จริงแล้วมีความหมาย และความหมายของมันนั้นหลากหลายขึ้นอยู่กับสถานการณ์
บางครั้งมันจะเป็นเสียงกระซิบเตือนภัย ทำให้บาร์ตันรับรู้อันตรายจากพวกแกงค์คุ้ยขยะกลุ่มอื่นที่กำลังสวนทางมาใกล้ๆ ทำให้เขาสามารถเตือนเพื่อนๆ แล้วซ่อนตัวได้ทันก่อนจะเผชิญหน้ากับกลุ่มอันตรายแล้วถูกปล้นของมีค่าไป
หรือบางครั้ง เสียงเหล่านั้นก็จะเหมือนเวลาที่เขาอ่านหนังสือ มันราวกับเป็นเสียงกระซิบชี้นำสั่งสอน ทว่ามันเป็นอะไรที่ตีความยากกว่าเสียงกระซิบเตือนภัยมาก เพราะบาร์ตันค้นพบว่าเสียงเหล่านั้นมักจะชอบพูดห้วนๆ สั้นๆ บางครั้งเป็นประโยคที่ไม่อาจเข้าใจได้ราวกับคำพูดลอยๆ ทำให้การทำความเข้าใจเสียงขณะอ่านหนังสือนั้นเป็นไปได้ช้ามากเมื่อเทียบกับสถานการณ์อื่นๆ
สุดท้าย เขาเลยมุ่งเน้นการทำความเข้าใจหนังสือเหล่านั้นด้วยตัวเองมากกว่า
และด้วยเวลาเพียงหนึ่งปี… บาร์ตันที่ลองผิดลองถูกจากการเอาอะไหร่ต่างๆมาประกอบกันก็สร้างเครื่องมือแรกได้สำเร็จ
มันคือวิทยุ
มันทำให้เด็กชายสามารถดักจับสัญญาณจากโลกเบื้องบนได้ ทำให้ทั้งเขาและอีกสองคนเริ่มที่จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกภายนอก
บาร์ตันดีใจมาก และเขาเริ่มที่จะมีความสุขกับการประกอบสิ่งต่างๆ เขาเริ่มสรรค์สร้างเครื่องใช้มากมายเพื่อให้กลุ่มเด็กใต้ขยะด้วยกันเองได้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มตนเองหรือกลุ่มอื่นที่มีความสัมพันธ์ที่ดีด้วย
แรกเริ่มมันก็เป็นของใช้ธรรมดา ทว่านานวันเข้าบาร์ตันก็เริ่มช้ำชอง พอเขาอายุเก้าขวบเด็กขายก็เริ่มสร้างเครื่องฉายภาพได้ ดักจับสัญญาณจากเบื้องบนจนทำให้เห็นรายการต่างๆ เริ่มที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับโลกภายนอกมากขึ้น และนอกจากนั้นแล้วเขายังทำอุปกรณ์ดีๆจากอะไหล่ตามกองขยะและนำไปขายในราคาที่สูงขึ้นได้ด้วยอีกตั้งหาก
วันเวลาผ่านไป ชีวิตของพวกเขาที่ดูจะไร้อนาคตก็เริ่มที่จะมีรูปร่าง กฤษณะนั้นนอกจากคอยเก็บขยะแล้ว ยังเป็นหัวหอกและปราการสำคัญที่จะช่วยปกป้องพวกเขาเสมอเมื่อเจอกับพวกแกงค์หัวขโมยหรือผู้ใหญ่เลวทราม และถึงแม้จะยังเด็ก ในช่วงสิบขวบนั้นกฤษณะก็เคยตบตีชนะเด็กวัยรุ่นมาก่อนด้วยซ้ำ
จะพูดว่าเขาคือผู้พิทักษ์ของกลุ่มก็ไม่ผิดนัก
“???” ประตูเลื่อนห้องถัดไปถูกเปิดออก ทั้งกลุ่มชะโงกหน้ามองออกสู่ภายนอกห้องเก็บของ ก่อนจะพบความมืดสลัวที่ไร้ผู้คน มีเพียงแค่เสียงไซเรนดังระงมรอบตัวยานเท่านั้น
ทั้งสามมองหน้า สื่อสารด้วยสายตาและภาษามือ ใช้เสียงให้น้อยที่สุดราวกับทำมาแล้วนับครั้งไปถ้วน ก่อนจะเคลื่อนตัวไปโถงทางเดินโลหะที่ขึ้นสนิม
‘กลิ่นนี้มัน…’
ทั้งสามหน้าซีด การใช้ชีวิตในโลกใต้ขยะอันแสนโหดร้ายนั้นทำให้รู้จักกลิ่นเลือดเป็นอย่างดี แต่เมื่อไม่มีทางให้ถอย ทั้งสามก็ปัดมือผ่านประตูขนาดใหญ่แล้วเดินต่อไปอย่างไม่มีทางเลือก
“!?” บาร์ตันตะลึง อีกสองคนก็หน้าซีดเผือก เมื่อห้องตรงหน้าพวกเขานั้นเต็มไปด้วยซากศพมนุษย์และเครื่องใน โลหิตและกลิ่นคาวเลือดนั้นลอยคละคลุ้งจนแทบอยากอาเจียน
กฤษณะกลืนน้ำลายเอื้อก ความกลัวครอบงำแต่ก็สามารถตั้งสติ เด็กชายผิวสีน้ำผึ้งย่างก้าวเดินไปเบื้องหน้า ก่อนจะหยิบวัตถุโลหะสีดำเงาขึ้นมาจากซากศพที่ดูเหมือนชุดทหาร
“!?” บาร์ตันเบิกตากว้าง ก่อนจะมองเหมือนจะถามว่า ‘นายใช้มันเป็นด้วยเหรอ..?’
กฤษณะส่ายหน้า ทว่าก็ทำภาษามือกลับก่อนจะเอานิ้วไปเกี่ยวตรงไก ‘แค่เล็งแล้วเหนี่ยวไก ฉันเคยเห็นมาก่อน ไม่น่าจะยาก’
“….” บาร์ตันหมดคำพูด ทว่ามีอาวุธก็ดีกว่าไม่มี ทั้งสองพลันพยักหน้าให้กันก่อนจะเดินหน้าต่อไปยังห้องถัดไป
ไม่ว่าพาเรลมันจะอยู่ตรงไหนในยาน ตราบใดที่พวกเขาเดินหาไปกระสวยฉุกเฉินแล้วหนีออกมาได้ล่ะก็… พวกเขาก็จะปลอดภัย
พาเรล… บาร์ตันจดจำได้ว่าชื่อนี้ปรากฏขึ้นครั่งแรกเมื่อหลายเดือนก่อน จากข่าวสารที่เขาลักลอบดักสัญญาณในดินแดนใต้ขยะได้
พาเรล… พวกมันคือสิ่งมีชีวิตประหลาดจาก ‘ต่างมิติ’ ไม่ทราบที่มา บุกจู่โจมมนุษยชาติแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย อาณานิคมและดวงดาวมากมายสูญเสียให้กับพวกมันในพริบตา และ ‘ทอทูรัส’ ดาวที่อาจเรียกว่าเป็นบ้านของเขาเองก็ถูกโจมตีอย่างหนักเมื่อสองเดือนที่แล้ว
พวกมัน… บาร์ตันอธิบายได้คำเดียวว่าคือสัตว์ประหลาด มีเลือดเนื้อแต่ก็ไม่เหมือนสิ่งมีชีวิต มันกัดกินมนุษย์ทุกคนที่ขวางหน้า และยิ่งพวกมันกลืนกินมนุษย์มากเท่าไหร่ พวกมันก็ยิ่งวิวัฒนาการและอันตรายมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
บาร์ตันจำได้ว่าพวกเขาต้องกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดเมื่อฝูงพาเรลมหาศาลบุกถล่มทอทูรัสราวกับฝูงห่านรก ทั้งสิ้นหวังและหมดทางเลือก ทว่าถึงเช่นนั้นก็ไม่ยอมแพ้ เขาใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมของตัวเองให้เป็นประโยชน์ ลักลอบผ่านเข้าตู้คาร์โก้เก็บของ แล้วลอบผ่านท่อขนย้ายเข้ามาอยู่ในยานอพยพลำนี้ได้ในที่สุด..
แต่ใครจะคิดล่ะ… ว่ายานอพยพลำนี้อาจกลายเป็นหลุมฝังศพของใครหลายคนเสียเอง
‘ระวัง’
‘บาร์ตัน’
‘ด้านหน้า’
“ชู่~” เด็กชายที่ได้ยินเสียงในหัวคว้าแขนกฤษณะ อีกฝ่ายเองก็หันขวับ พลันบาร์ตันก็ส่งสัญญาณบอกว่าให้ระวัง ก่อนจะเดินนำ คิดจะไปตรวจสอบข้างหน้าด้วยตัวเอง
ฉึกกก--!
แขวะ--!
เสียงเหมือนสัตว์บางอย่างกำลังแทะเนื้อดังอยู่ไม่ไกล บาร์ตันพลันขยับตัวแนบพื้น ก่อนจะชะเง้อหน้าผ่านประตู พลันเห็นห้องผู้โดยสารที่เละเทะไม่มีชิ้นดี
และท่ามกลางกองศพมากมายเหล่านั้น สิ่งมีชีวิตประหลาดตัวหนึ่งกำลังนั่งแทะซากศพโดยไม่สนใจอะไร
‘พ-พาเรล…?’