จากอนาคตแสนไกลย้อนคืนเป็นโลกใบใหม่ ดินแดนที่ความจริงสูญหายและสิ่งลี้ลับหวนคืน บาร์ตัน แบล็คฮาร์ท เด็กชายอายุเพียงสิบเอ็ดพลันต้องเรียนรู้โลกใหม่เพื่อเอาชีวิตรอด
แฟนตาซี,ไซไฟ,พารานอมอล,ผจญภัย,แฟนตาซี,ผจญภัย,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Astral Break มิติมนตรา ราชาสีดำจากอนาคตแสนไกลย้อนคืนเป็นโลกใบใหม่ ดินแดนที่ความจริงสูญหายและสิ่งลี้ลับหวนคืน บาร์ตัน แบล็คฮาร์ท เด็กชายอายุเพียงสิบเอ็ดพลันต้องเรียนรู้โลกใหม่เพื่อเอาชีวิตรอด
“พวกมันหิว พวกมันกระหาย ความสิ้นหวังของมนุษย์คืออาหารที่มันปรารถนาเจียนตาย และเมื่อมันเสพสมจนพอใจ... มันก็ทำให้ความฝันอันโหดร้ายหลั่งเลือดออกมาเป็นความจริง” - ทหารโดมิเนี่ยน, กล่าวถึงพาเรลในแดนมืด
นิยายแนวผจญภัย - ไซไฟ ผสมแฟนตาซี (และสตีมพังค์)
[เตือนภัย]
[เตือนภัย]
[แรงโน้มถ่วง - หนึ่งจุดหนึ่งจี]
“อึก…” บาร์ตันค่อยๆได้สติ ร่างกายด้านชาจนแทบไม่รู้สึกอะไร ทว่าก็ยังรู้สึกถึงเลือดอุ่นๆจากหน้าผาก และต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการขยับแม้แต่ปลายนิ้ว
แต่เขารู้สึกได้ แรงสั่นสะเทือน กับเสียงหวีดแหลมเหมือนกับเสียงสายลมกระโชก
สายลม…?
“!?” เด็กชายเบิกตาโพลง มองรอบข้าง ก่อนจะเริ่มเข้าใจสถานการณ์ ภายนอกกระจกของกระสวยฉุกเฉินที่กำลังสั่นไหวปรากฏประกายไฟ และไม่นานสะเก็ดไฟนั้นก็หยุดลง กลายเป็นเมฆหมอกสีเทาที่พุ่งผ่านหน้ากระจก
กระสวยพึ่งฝ่าชั้นบรรยากาศลงมา…
“ต้อง… ขยับ…” เด็กชายพยายามขยับตัวท่ามกลางกระสวยที่กำลังสั่นไหว เกาะสายนิรภัย แล้วดึงตัวเองไปหน้าแผงจอมอนิเตอร์ด้านข้าง
เหลือห้านาทีก่อนปะทะผิวดาว
เด็กชายหน้าซีด นิ้วมือที่สั่นเครือกดเข้าระบบ พอเห็นร่มชูชีพขนาดยักษ์ก็รีบกดทันทีโดยไม่ต้องคิด
[ขัดข้อง]
[ขัดข้อง]
[กรุณาดีดตัวฉุกเฉิน]
เด็กชายเค้นเสียงในลำคอ คิดอยู่แล้วว่ามันต้องมีเหตุผลที่ระบบอัตโนมัติไม่ทำงาน เขาพลันรีบดึงตัวเองไปตามจุดต่างๆของกระสวย
อย่างแรกต้องใช้ชุดอวกาศ จากนั้นก็เสบียงกับวิทยุ
เด็กชายค้นหาของ ทว่าไม่นานก็พบกับชุดอวกาศสีเทาขนาดพอดีตัวสำหรับคนอายุเท่าเขา ทว่าก็ต้องกัดฟันกรอดเมื่อพบว่ากระจกหมวกมันแตกร้าว
แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้งานได้… ขอแค่ไม่ให้มีแรงดันมากเหมือนใต้สมุทรก็คงไม่เป็นอะไร
เด็กชายใส่อย่างรวดเร็ว ล็อคทุกอย่างมิดชิด ติดปลอกแขนขนาดใหญ่สีดำตรงแขนซ้าย มันหนักจนต้องใช้แรงมากในการยกขึ้นมา ก่อนจะสวมหมวก ล็อคจนสนิท หน้าจอมอนิเตอร์ที่ปลอกแขนด้านซ้ายก็ทำงานทันที
[ยินดีต้อนรับ - อาร์คคอร์เปอเรชั่น]
[มอบอำนาจการใช้งานตามกฏหมายดวงดาว หมายเลข A7-074HK772 - ผู้รอดชีวิตจากเหตุวิกฤตมีสิทธิเข้าถึงระดับการใช้งานได้ทั้งหมด]
[สำเร็จ!]
[ระบบพยุงชีพ: ทำงาน]
[ระบบนำทาง: ล้มเหลว]
[ระดับอ็อกซิเจน: เจ็ดชั่วโมงสามสิบนาที]
“เจ็ดชั่วโมงเองเหรอ…” เด็กชายสบถ แต่ก็เลิกใส่ใจ เด็กชายหันซ้าย แลขวา ก่อนจะรีบมุ่งหน้าไปยังจุดดีดตัว มันเป็นที่นอนเบาะนวมแบบล็อคตัวอัตโนมัติ ด้านข้างเองคือช่องใส่ของสำหรับเอาชีวิตรอด
เขาเลื่อนมันเปิดออก หยิบมีดทหารที่ติดมาสอดเข้าไป ปิดจนสนิท ก่อนจะถีบตัวไปทางเบาะนอน ดึงตัวเข้าไป ทุบแผงคอนโซล สายรัดพลันล็อคตัวเขาอัตโนมัติ ก่อนจะปิดเกราะนอกลง กลายเป็นตู้แคปซูลโลหะที่เหลือช่องกระจกตรงหน้าขนาดเล็กๆ
ราวกับโลงศพ… มันถึงกับทำเอาเด็กชายหัวเราะไม่ออก
[ดีดตัวฉุกเฉิน]
บาร์ตันดึงคันโยก แคปซูลพลันดีดตัวพุ่งทะยานออกมาจากกระสวยฉุกเฉิน เด็กชายพลันเห็นกระสวยลำเก่าคล้ายยานขนาดเล็กที่กำลังลุกเป็นไฟพุ่งหายไปกับหมู่เมฆ
แคปซูลของเขาเองดิ่งลงไปตามแรงโน้มถ่วงช้าๆ พลันไม่นานไอพ่นช่วงล่างจะถูกยิงออก ชะลอความเร็วฉุกเฉินจนเกิดการสั่นสะเทือนรุนแรง มันทำให้บาร์ตันที่พึ่งได้สติคลื่นไส้จนแทบอ้วก ก่อนตัวของเขาจะกระตุกรุนแรงเมื่อร่มฉุกเฉินถูกกางออก
เด็กชายหลับตา มันไม่มีอะไรที่เขาทำได้อีกต่อไป ได้แต่หวังภาวนาว่าเจ้าโลงศพโลหะจะชะลอความเร็วได้ทันก่อนจะโหม่งดาวก็เท่านั้น
เกิดการกระแทกรุนแรง ดูเหมือนแม้จะมีไอพ่นฉุกเฉินแต่ก็ยังชะลอตัวไม่ทัน บาร์ตันได้แต่หลับตาและภาวนาว่ามันจะหยุดลง
และไม่นาน หลังจากเด้งไปมาหลายตลบ ทุกอย่างก็หยุดลงในที่สุด แสงภายแคปซูลดีดตัวเอง จากแสงไฟสีแดงก็กลายเป็นสีเขียว มันบ่งบอกว่าตอนนี่ปลอดภัยแล้ว
บาร์ตันหอบหายใจแรง นอนนิ่งควบคุมสติอยู่นานหลายนาที ก่อนไม่นานร่างกายที่เกร็งมาตลอดผ่อนคลายลงในที่สุด
“โอเค…. โอเค… ที่นี่ต้องตรวจสอบว่าเราอยู่ที่ไหน”
บาร์ตันมองซ้ายมองขวา ไม่นานก็พบกับจอมอนิเตอร์ด้านข้างหัว ต้องขยับมือภายในที่แคบๆพอสมควรก่อนจะสัมผัสมันได้ ทว่าก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นว่าภาพสะท้อนของตนเองนั้นมีอะไรบางอย่างที่แปลกไป
ผมของเขาที่ปกติเป็นสีดำ… มันกลับมีผมสีขาวแซมอยู่เป็นหย่อมๆ
แถมดวงตาของเขา ยังสะท้อนวงแหวนรอบตาดำเป็นสีน้ำเงินอีกต่างหาก
เด็กชายสับสน ทว่าครู่ต่อมาก็ต้องสะบัดหัว
“นี่ไม่ใช่เวลาสำหรับเรื่องนั้น” ว่าแล้วบาร์ตันก็กดสัมผัสกับจอมอนิเตอร์ทันที
[ระบบนำทางล้มเหลว]
“ไม่แปลกใจเลยสักนิด…” เด็กชายถอนหายใจ ก่อนจะปรับขยายคลื่นความถี่ พยายามหาสัญญาณเพื่อทำความเข้าใจดาวดวงนี้
หากดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นของมนุษยชาติ เช่นนั้นมันควรจะมีเครือข่ายส่วนกลางที่เขาเข้าระบบได้
และไม่นานเด็กชายก็พบสิ่งที่ตามหา
[ค้นพบสถานีรีเลย์ - หนึ่งพันสี่ร้อยหกสิบกิโลเมตร, ทิศตะวันตกเฉียงใต้]
“เข้าระบบ แล้ววิเคราะห์ตำแหน่งดาวจากรีเลย์” เด็กชายปล่อยมือตัวเอง สั่งการด้วยเสียง เอไอก็เชื่อมต่อเข้ากับรีเลย์ และไม่นานก็ได้ข้อมูลของดาวดวงนี้ทันที
[ระบุตำแหน่งสำเร็จ]
[ระบบดาวนอกสำรวจ]
[โคลด์ฮาร์เบอร์]
“!?” ดวงตาของเด็กชายเบิกกว้าง “โคลด์ฮาร์เบอร์…?”
ความสงสัยปรากฏขึ้นในสายตา และความสับสนที่มียิ่งกว่า
ไม่มีใครที่ไม่รู้จักโคลด์ฮาร์เบอร์ แม้แต่เด็กใต้ขยะอย่างเขาที่ดักสัญญาณจากอาณานิคมคอยฟังอยู่ตลอดก็ยังรู้
มนุษยชาติ แม้จะสร้างอาณานิคมไว้หลายแห่ง แต่ก็ยังนับว่ายังเป็นน้องใหม่ในหมู่ดาว ยังอยู่แค่ในจุดเริ่มต้นของยุคสำรวจอวกาศเท่านั้น
และโคลด์ฮาร์เบอร์ คือดวงดาวล่าสุดที่มนุษย์สำรวจเจอในเขตนอกสำรวจอันห่างไกล เป็นดวงดาวที่ควรจะใช้เวลานับยี่สิบปีจากอาณานิคมของเขากว่าจะมาถึงที่นี่ได้…
แต่กระสวยฉุกเฉินของเขามาโผล่ที่นี่ได้ยังไงกัน?
เด็กชายครุ่นคิด จำได้ว่าครั้งล่าสุด เขาถูกดึงเข้าไปในรอยแยกมิติประหลาดนั้น
ด้วยเหตุผลบางอย่าง… ดูเหมือนว่ามันจะส่งเขามาที่นี่? ห่างไกลจากบ้านเกิดหลายร้อยปีแสง?
“ข้อมูลน้อยเกินไป…” เด็กชายรู้สึกปวดหัวตุบๆ ก่อนจะคิดเรื่องอื่น ดึงความทรงจำในหัวว่าดาวดวงนี้มีความสำคัญยังไงบ้าง
แรกเริ่มมันเป็นดาวที่นักสำรวจพบเจอแล้วใช้เป็นดาวท่าจอดยาน เป็น ‘ฮาร์เบอร์’ หรือท่าเรือ เพื่อเติมทรัพยากรก่อนจะออกไปสำรวจต่อในอวกาศอันห่างไกล มันเป็นดาวท่าที่ห่างไกลจากสหพันธ์โลกมาก และช่วงเดือนแรกๆ พวกเขาไม่คิดว่ามันจะมีอะไรในดาวดวงนี่นอกจากน้ำแข็งและความหนาวเหน็บ
ทว่าโดยหารู้ไม่… ไม่กี่ปีให้หลัง เหล่านักสำรวจก็ได้พบความจริงเกี่ยวกับดาวดวงนี้เข้าให้
นั้นคือซากอารยธรรมโบราณ!
เขาจดจำได้ ในข่าวที่นั่งดูเมื่อปีก่อน หลังนักสำรวจและนักวิทยาศาสตร์เปิดเผยข้อมูล มนุษยชาติได้ค้นพบว่าโคลด์ฮาร์เบอร์เคยเป็นดาวเคราะห์ที่มีอารยธรรมโบราณมาก่อน
ขนาดใหญ่กว่าดาวโลกประมาณยี่สิบเปอร์เซ็น เป็นดาวเคราะห์หนาวเหน็บที่เต็มไปด้วยหิมะและทะเลน้ำแข็ง ทว่าใต้ซากน้ำแข็งเหล่านั้น ซุกซ่อนจากเซนเซอร์ทุกประเภท นักธรณีวิทยาที่ออกสำรวจก็ได้ค้นพบสิ่งก่อสร้างโบราณโดยบังเอิญ เชื่อว่ายืนหยัดมานานหลายแสนปี และมีทั้งสถาปัตยกรรมและวิทยาการการก่อสร้างที่ล้ำสมัยกว่ามนุษยชาติมาก
มันเป็นเรื่องที่โด่งดังไปทั้งสหพันธ์ แม้รัฐบาลจะพยายามปิดข่าวสารแค่ไหน ทว่าข้อเท็จจริงที่ว่ามนุษยชาตินั้นค้นพบร่องรอยของเอเลี่ยนก็ยังทำให้ทุกคนตื่นเต้นจนนั่งไม่ติด
ทว่า… ไม่ทันที่จะได้อัพเดตอะไรเพิ่มเติมกับทีมสำรวจ มนุษยชาติก็ถูกรุกรานโดยพวกสัตว์ประหลาดจากต่างมิติเสียก่อน
และโคลด์ฮาร์เบอร์ก็ถูกลืมเลือนไป แทนที่ด้วยการดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด
“แต่ทำไมกัน… ทำไมอีกฝากของรอยแยกนั้นคือที่นี่?” เด็กชายขมวดคิ้วย่น
หรือมันเกี่ยวข้องกัน?
รอยแยกมิติ… พาเรล… กับดาวเคราะห์ดวงนี้?
เด็กชายกัดฟัน ก่อนจะสะบัดหัวไปมา
“นั้นยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ… สำหรับตอนนี่…” เด็กชายปัดมือกับจอมอนิเตอร์ พยายามให้ระบบสำรวจสภาพอากาศภายนอก หากเขาไม่ระวังล่ะก็ ต่อให้มีชุดอวกาศแต่ก็อาจแข็งตายได้ในเสี้ยววินาที
ทว่า…
“มีอ็อกซิเจนหายใจได้? แถมยัง…” เด็กชายมองอย่างไม่อยากจะเชื่อ “…อุณหภูมิที่หกองศา?”
หกองศา?
โคลด์ฮาร์เบอร์เนี่ยนะ?
มันควรต้องติดลบเป็นร้อยไม่ใช่เหรอ?
“…” เด็กชายครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจ เข้าระบบแล้วเปิดเจ้าโลงศพโลหะของตนเองทันที
สายลมอ่อนพัดผ่าน บรรยากาศภายนอกนั้นมืดสลัว เป็นช่วงเวลากลางคืนทว่าก็ยังส่องสว่างไปด้วยแสงดาว
เด็กชายลุกขึ้นช้าๆ เหยียดตัว ก้าวเท้าออกมาจากกระสวย แล้วมองไปรอบข้างด้วยตาที่เบิกกว้าง
ไม่มีน้ำแข็ง แต่เป็นพื้นที่รกร้างทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เป็นพื้นดินสีดำ ท้องฟ้าเองไม่ได้เต็มไปด้วยพายุหิมะอย่างที่คิด แต่มันปลอดโปร่ง ปรากฏแสงดวงดาราส่องสว่าง และเสาแสงออโรร่าสีฟ้ามรกตเป็นประกายสวยงาม
“…” เด็กชายหมดคำพูดกับสิ่งที่เห็น
เขาทำได้เพียงแค่ยืนนิ่ง แล้วเฝ้ามองความงดงามรอบกายเท่านั้น
*****
กว่าสองวันแล้วที่บาร์ตันเดินทางลงใต้
หลังได้สติ เด็กชายพยายามเชื่อมต่อกับสถานีรีเลย์ของดาวดวงนี้ ค้นพบว่ามันอยู่ห่างจากเขาไปทางทิศใต้กว่าหนึ่งพันสี่ร้อยหกสิบกิโลเมตร ซึ่งมันไม่ใช่ระยะทางสั้นๆเลยสำหรับการเดินทางด้วยเท้า โดยเฉพาะเด็กที่ยังโตไม่เต็มวัยแบบเขา
เขาเตรียมเสบียงสำรอง พบกระเป๋า อาหารแท่ง และน้ำสะอาด เก็บมันใส่กระเป๋าทั้งหมด ใช้ผ้านาโนเช็ดเลือดจากตัวเพื่อไม่ให้เสี่ยงติดเชื้อโรค มุ่งหน้าไปทางจุดตกของกระสวย และพอพบว่ามันไม่เหลืออะไรให้เขาเก็บกู้ได้ เด็กชายก็ทำได้แค่กัดฟันกรอด ก่อนจะรีบมุ่งหน้าต่อไปทางสถานีรีเลย์เท่านั้น
เวลาคือปัญหาใหญ่หลวงที่สุดของเขาในตอนนี่
และอาหารเองก็ร่อยหรอลงไปตามกาลเวลา
เขามีอาหารมากพอแค่สามสี่วันเท่านั้น จัดสรรดีๆอาจจะอยู่ได้นานกว่านั้นอีกสักหนึ่งสัปดาห์กว่าๆ
แต่เขาไม่คิดว่าตัวเองจะเดินทางถึงที่หมายด้วยเวลาแค่นั้น…
ขอให้อย่างน้อย ได้แต่หวังว่าขอเจอแหล่งน้ำก็ยังดี…
*****
วันเวลาผ่านไป บาร์ตันเดินทาง พักนอน เดินทาง พักนอน สลับไปมา ก่อนจะเดินทางใหม่ จนในที่สุดเสบียงก็หมด นานวันเข้าความหิวโหยก็เริ่มกัดกินเข้ามา ทว่าเด็กชายก็ยังไม่หยุดที่จะเดินต่อไปเบื้องหน้า
เขาถอดขุดอวกาศทิ้งไปนานแล้ว มันหนักเกินไป ถ่วงความเร็วและพลังงาน เหลือไว้เพียงแค่ปลอกแขนโลหะสีดำที่แขนซ้าย มันมีจอมอนิเตอร์ ระบบเอไอช่วยเหลือ และเชื่อมสัญญาณวิทยุได้
ตอนนี้แม้แต่กระเป๋า เขาก็โยนทิ้งไปแล้วด้วยซ้ำ
ทั้งตัวเหลือเพียงกระเป๋าคาดเอว กระป๋องน้ำตรงเอวที่ไม่เหลือน้ำสักหยด เสื้อผ้าตัวเก่า กับมีดเล่มเดียวเท่านั้น
ปากซีดเซียว แก้มตอบ ผมยาวสีดำแซมขาวปรกดวงตา ร่างกายเริ่มซูบผอม สติเลอะเลือน ความหิวโหยนั้นกัดกินจนขึ้นสมอง
ทว่าเด็กชายก็ยังประคองสติตัวเองไว้ได้ และยังก้าวเดินต่อแม้ฝีเท้าจะเริ่มไม่มั่นคง
ความหิวโหย… สำหรับเด็กใต้ขยะเช่นบาร์ตัน มันก็แค่เพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนานเท่านั้น
“?” ดวงตาที่หมองหม่นเงยขึ้น ตอนนี้สภาพแวดล้อมเริ่มปรากฏเนินหินเป็นลูกๆ มันยิ่งเพิ่มความยากในการเดินทางเข้าไปใหญ่
ทว่า… ในจุดหนึ่งของซอกหินไกลๆ เด็กชายเห็นบางสิ่ง
เป็นสัตว์ขนาดเล็ก ขนาดเท่าหมาจิ้งจอก จะพูดไปแล้วมันก็มีหน้าตาเหมือนสุนัขจิ้งจอก ทว่าไร้ขน ตัวเลื่อมๆ มีหกขา และกำลังขุดดินอยู่ด้านล่างเนินราวกับกำลังหาอาหาร
คล้ายพาเรล… แต่ก็ไม่ใช่พาเรล
สิ่งมีชีวิตตัวแรกที่เด็กชายพบเจอในดาวดวงนี้
ทั้งอากาศที่เริ่มอบอุ่นขึ้น และระดับความชื้นที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม มันเป็นไปได้สูงที่บาร์ตันเริ่มจะเข้าใกล้เขตแดนที่อุดมสมบูรณ์มากขึ้น
ดี…
ถ้ามีสัตว์… บางทีอาจจะมีแหล่งน้ำอยู่ใกล้ๆ
แต่สำหรับตอนนี้…
เด็กชายย่อตัวต่ำ ชักมีด แม้ร่างกายจะไร้เรี่ยวแรง แต่ก็ยังก้าวต่อไปได้ด้วยแรงใจ ฝีเท้าของเด็กชายนั้นเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน และเสียงหวีดแหลมของกระแสลมเย็นนั้นก็กลบเสียงของเขาไปได้มาก
ประสบการณ์ย่องเบาในแดนใต้ขยะของเด็กชายหวนกลับคืนมา วันเวลาที่ต้องซ่อนตัวเพื่อเอาชีวิตรอดนั้นหล่อหลอมจนฝังรากเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ถ้าเทียบกับสมัยที่ต้องย่องเบาในแดนใต้ขยะ ที่หากไม่ระวังก็อาจเผลอทำเสียงเท้าก้องไปทั่วอาคาร… การย่องเบาในวันลมกระโชกแรงแบบนี่มันง่ายกว่านัก
เด็กชายขยับ เคลื่อนตัวเข้าใกล้ช้าๆ อย่างเงียบงัน เจ้าจิ้งจอกหกขาก็หาได้รับรู้สิ่งใด มันเพียงแค่ขุดดินต่อไปเพื่อหาอาหารเท่านั้น
ในช่วงขณะที่ได้ระยะ ฝีเท้าเบาของบาร์ตันก็ถีบตัว ตาเบิกกว้าง จ้องเขม็งราวกับนักล่าที่ไม่ยอมคลาดสายตาจากเหยื่อ เจ้าตัวเล็กเองชะโงกหน้าขึ้นมาอย่างตกใจ คิดจะวิ่งหนี
ทว่าช้าเกินไป
ฉึก----!!!!!
กี๊ซซซซซซซซซ-!! กี๊ซซซซซซซซซซ---!!!
เลือดสีแดงส้มสาดกระเซ็น บาร์ตันใช้มืออีกข้างจับล็อค มืออีกข้างแทงมีดเข้าไปลึก ไม่ยอมปล่อยแม้มันจะดิ้นอย่างสิ้นหวังเพียงใด
ขอโทษ…
เด็กชายกัดฟันกรอด ริมฝีปากสั่นไหว
ฉันขอโทษ…
แคว่ก!!
เขาบิดมีดก่อนจะสะบัด เลือดสีส้มแดงสาดกระเซ็น เจ้าจิ้งจอกหกขาตัวกระตุก เลือดไหลทะลัก ก่อนไม่นานจะแน่นิ่งไปในที่สุด
บาร์ตันหอบหายใจแรง ใบหน้าที่ซีดเซียวจับจ้องไปยังสัตว์ตรงหน้า
ในอาณานิคมที่เขาเติบโตมาไม่มีสัตว์ท้องถิ่นมากนัก
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา… นี่คือสิ่งมีชีวิตแรกที่เขาได้ลงมือฆ่าด้วยมือตัวเอง
ถ้าไม่กินก็ต้องตาย และถ้าไม่กิน… ก็ต้องถูกกิน เขาได้เรียนรู้เรื่องนั้นมานานแล้วในอาณานิคมทอร์ทูรัส
“ขอโทษด้วย เจ้าตัวน้อย… แต่ฉัน-”
“(#$@#@$…?)”
“!?” เสียงใครบางคนดังมาจากด้านข้าง มันเป็นภาษาที่เขาไม่รู้จัก บาร์ตันหันขวับพร้อมกับยกมีดขึ้นมา ก่อนจะเบิกตากว้างกับบุคคลที่ยืนอยู่บนเนินไม่ไกล
มนุษย์… ในชุดเกราะประหลาดตา บาร์ตันที่เห็นก็เบิกตากว้าง เขาไม่คิดเลยว่าจะเจอมนุษย์ที่นี่
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวยิ่งกว่านั้น…
‘ฉัน… ไม่ได้ยินเสียงเขาเดินเข้ามาใกล้เลยสักนิด!’