กุหลาบงามย่อมมีหนามคม สตรีงามย่อมมีพิษสงเช่นกัน

อสรพิษเรือนบุปผา - ตอนที่ 5 หอสุราสราญใจ โดย มู่จิ่น 木槿 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

จีน,รัก,ชาย-หญิง,เกิดใหม่,ครอบครัว,อสรพิษน้อยผิงผิง,นิยายรักจีนโบราณ,ครอบครัว,เกิดใหม่,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

อสรพิษเรือนบุปผา

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

จีน,รัก,ชาย-หญิง,เกิดใหม่,ครอบครัว

แท็คที่เกี่ยวข้อง

อสรพิษน้อยผิงผิง,นิยายรักจีนโบราณ,ครอบครัว,เกิดใหม่

รายละเอียด

อสรพิษเรือนบุปผา โดย มู่จิ่น 木槿 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

กุหลาบงามย่อมมีหนามคม สตรีงามย่อมมีพิษสงเช่นกัน

ผู้แต่ง

มู่จิ่น 木槿

เรื่องย่อ

การเกิดใหม่โดยที่มีความทรงจำในชาติก่อนๆ ติดตัวมาจะว่าเป็นเรื่องดีมันก็ดีจะว่าไม่ดีมันก็ไม่ดีแต่เหรินเซียนน้อยอย่างถานผิงอันจะเลือกอะไรได้เมื่อเหตุผลที่ตัวนางต้องถูกส่งให้มาเวียนว่ายตายเกิดบนโลกมนุษย์นั้นเป็นการบำเพ็ญเพียรให้ผ่านด่านเคราะห์ตามบัญชาของสวรรค์

เมื่อเหรินเซียนน้อยรู้อยู่แก่ใจดีเช่นนี้แล้วนางจึงตั้งใจบำเพ็ญเพียรและสั่งสมความดีด้วยการช่วยเหลือผู้คนไปตามความสามารถที่ตนเองมีแต่ทำไมชาตินี้นอกจากจะเกิดแต่กับผิงผิงแล้วยังต้องมาเป็นตัวอันตรายในสายตาผู้คนแถมมีมารผจญโผล่มาในรูปแบบของว่าที่สามีอีกด้วย

 

หมายเหตุ นิยายเรื่องนี้ไม่อิงประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะ สถานที่ เหตุการณ์ หรือตัวบุคคลในเรื่องล้วนเกิดจากจินตนาการของผู้เขียนทั้งสิ้นค่ะ

 

กติกาการลงนิยาย

ลงเนื้อหาให้อ่านฟรีทั้งหมด 10 ตอนหลังจากนั้นจะติดเหรียญล่วงหน้า รายละเอียดดังนี้

1. ติดเหรียญล่วงหน้า 1 สัปดาห์

2. ปลดเหรียญอ่านฟรี 1สัปดาห์

3. หลังจากนั้นจะติดเหรียญถาวรราคาเต็มไปจนถึงตอนจบค่ะ

สารบัญ

อสรพิษเรือนบุปผา-ตอนที่ 1 เก้าแก่เนี้ยคนงามแห่งร้านมวลบุปผา,อสรพิษเรือนบุปผา-ตอนที่ 2 กระพรวนหอมอันเลื่องชื่อ,อสรพิษเรือนบุปผา-ตอนที่ 3 เติมคลังสมุนไพร,อสรพิษเรือนบุปผา-ตอนที่ 4 แต้มชาด,อสรพิษเรือนบุปผา-ตอนที่ 5 หอสุราสราญใจ,อสรพิษเรือนบุปผา-ตอนที่ 6 ว่าด้วยเรื่องของสุรามงคล,อสรพิษเรือนบุปผา-ตอนที่ 7 เจรจาการค้า,อสรพิษเรือนบุปผา-ตอนที่ 8 กินง่ายอยู่ง่าย,อสรพิษเรือนบุปผา-ตอนที่ 9 ไม่ชอบหน้า,อสรพิษเรือนบุปผา-ตอนที่ 10 หาเรื่องใส่ตัว,อสรพิษเรือนบุปผา-ตอนที่ 11 การมาถึงของท่านยาย ปลดเหรียญอ่านฟรี 13 เมษายน 68 ติดเหรียญถาวร 20 เมษายน 68,อสรพิษเรือนบุปผา-ตอนที่ 12 พิษกลืนวิญญาณ ปลดเหรียญอ่านฟรี 15 เมษายน 68 ติดเหรียญถาวร 22 เมษายน 68,อสรพิษเรือนบุปผา-ตอนที่ 13 พักฟื้นร่างกาย ปลดเหรียญอ่านฟรี 16 เมษายน 68 ติดเหรียญถาวร 23 เมษายน 68,อสรพิษเรือนบุปผา-ตอนที่ 14 พันแข้งพันขาเหมือนหมาตัวใหญ่ ปลดเหรียญอ่านฟรี 17 เมษายน 68 ติดเหรียญถาวร 24 เมษายน 68

เนื้อหา

ตอนที่ 5 หอสุราสราญใจ

ในวันที่คุณหนูถานบังเอิญพบเจอคุณชายหม่าในป่านั้นตัวนางกลับออกมาได้ทันก่อนที่ดวงตะวันจะลาแสงส่วนทางด้านหม่าจื่อลู่นั้นกลับต้องนอนค้างอ้างแรมในป่าใหญ่ถึงสองคืนเนื่องจากสมุนไพรที่ตนเองต้องการนั้นอยู่ในป่าลึกกว่าบริเวณที่เขาพบกับแม่นางน้อยมากนัก

อันที่จริงการเข้าป่ามาหาสมุนไพรนั้นหม่าจื่อลู่ไม่จำเป็นต้องมาทำด้วยตนเองก็ได้แต่เพราะเขานั้นเป็นคนค่อนข้างจะขี้เบื่อการทำงานอยู่แต่ในหอสุราหรือว่าโรงบ่มโรงกลั่นสุราของบิดานั้นมันจำเจเกินไปจึงต้องออกมาผจญภัยหาความตื่นเต้นให้กับชีวิตเสียบ้าง

สกุลหม่านั้นดำเนินกิจการบ่มและกลั่นสุรามาตั้งแต่บรรพบุรุษจนมาถึงนายท่านหม่าเจี้ยนหนิงบิดาของหม่าจื่อลู่ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันโรงงานผลิตสุราประจำตระกูลก็ขยายขนาดจนกลายเป็นกิจการที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในแคว้นแต่ก็เป็นเขาเองที่คิดอยากแตกแขนงกิจการลำพังการค้าส่งค้าปลีกธรรมดามันดูแล้วน่าจะไม่พอและผู้คนก็ไม่สามารถเข้าถึงสุราดีๆ ได้ง่ายนักดังนั้นคุณชายหม่าจึงปรึกษาบิดาขอเปิดหอสุราสราญใจขึ้นตั้งแต่ตัวเองมีอายุได้เพียงไม่กี่หนาว

มาปัจจุบันนี้ทั่วแคว้นต่างมีหอสุราสราญใจเปิดบริการอยู่ทั่วไปชาวบ้านร้านตลาดสามารถลิ้มรสลิ้มลองสุราดีมีราคาได้แม้มีเงินซื้อแค่เพียงหนึ่งจอกอีกทั้งหม่าจื่อลู่ยังขยันคิดค้นสูตรการหมักบ่มสุราใหม่ๆ ออกมาวางจำหน่ายอยู่เสมอนี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เข้าต้องเข้าป่ามาหาสมุนไพรอยู่เรื่อยๆ

ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรหรือว่าดอกไม้ สัตว์เล็กสัตว์น้อย เขาสัตว์ไปจนถึงกระดูกสัตว์ต่างๆ สามารถนำมาเป็นส่วนผสมในการหมักสุราได้ทั้งสิ้นแต่กระนั้นก็ต้องระมัดระวังในการใส่ส่วนผสมเพราะสมุนไพรบางชนิดนั้นมีฤทธิ์ทั้งต้านกัน เข้ากันดีหรือแม้แต่ส่งเสริมพิษของกันและกันดังนั้นจึงต้องศึกษาหาความรู้ให้แตกฉานรวมถึงใช้เวลาให้ตัวยาทำงานอย่างเต็มที่มิเช่นนั้นอาจจะเกิดอันตรายถึงชีวิตได้แทนที่จะดื่มเข้าไปแล้วได้สรรพคุณทางยา

แต่วันนี้โชคดียิ่งนักที่เข้าป่ามาได้ไม่เท่าไหร่ก็มาพบกับกล้วยไม้สีเลือดที่หายากอีกทั้งยังได้พบเถ้าแก่เนี้ยคนงามแห่งร้านมวลบุปผาโดยบังเอิญก็เรียกได้ว่าคุ้มค่าแล้ว

“เดินทางกันต่อได้แล้ว” หม่าจื่อลู่บอกกับคนสนิทที่ติดตามเป็นเงาของตัวเองซึ่งนอกจากเซี่ยเหวินจิวที่เป็นดั่งสหายที่ตายแทนกันได้แล้วก็ยังมีผู้ติดตามลับๆ อีกกลุ่มหนึ่งคอยอารักขาเรื่องความปลอดภัยด้วยสกุลหม่านั้นแม้จะทำการค้าอย่างสุจริตโปร่งใสแต่ก็ยังมีศัตรูอยู่รอบด้านที่ต้องการสูตรสุราอันมีค่าไปเป็นของตนเอง

ผลประกอบการหลังจากเข้าป่ามาเป็นเวลาสามวันสองคืนนั้นเรียกว่าน่าพึงพอใจแม้จะไม่พบสมุนไพรอะไรที่มีค่ามากไปกว่ากล้วยไม้สีเลือดแต่สมุนไพรสำคัญๆ ที่ต้องการก็นับว่าได้มาครบถ้วนหลังจากนี้หม่าจื่อลู่ก็จะเก็บตัวอยู่ที่โรงบ่มสุราอีกหลายวันเนื่องจากต้องการจัดการกับสมุนไพรต่างๆ ที่หามาได้ด้วยตนเอง

ยามค่ำคืนบรรยากาศภายในหอสุราสราญใจยังคงคลาคล่ำไปด้วยลูกค้าที่ออกมาหาความสำราญจากการดื่มกินเพราะนอกจากที่นี่จะมีสุรารสเลิศจำหน่ายแล้วอาหารก็ยังติดอันดับร้านที่อร่อยที่สุดในเมืองหลวงอีกทั้งยังมีการแสดงศิลปะและดนตรีมากมายให้ลูกค้าได้เพลิดเพลินใจนับว่ามาที่หอสุราสราญใจเพียงที่เดียวก็อิ่มทั้งใจ อิ่มทั้งท้อง

“เถ้าแก่หม่า” เพียงก้าวขาเข้ามาภายในหอสุราสราญใจคนงานทั้งหลายก็ยืนทำความเคารพหม่าจื่อลู่ด้วยความนอบน้อมซึ่งมันไม่ใช่ว่าเพราะเขาเป็นเจ้าของที่นี่แต่เพราะคุณชายหม่าเองก็ดูแลปกครองทั้งร้านทั้งคนอย่างเอาใจใส่ไม่ว่าใครที่ได้เข้ามาเป็นคนงานของทางร้านแล้วย่อมไม่อยากจะออกไปไหนจึงพยายามตั้งใจทำตามหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดแต่กระนั้นก็มีอยู่บ้างพวกที่เข้ามาทำงานเพราะมีจุดประสงค์แอบแฝงแต่สุดท้ายก็แพ้ภัยตัวเองไปเสียทุกราย

“งานยุ่งหรือไม่ วันนี้ที่ร้านเป็นอย่างไรบ้าง” หม่าจื่อลู่แวะพูดคุยกับคนงานทักทายเขาด้วยความเป็นมิตรไม่ได้วางท่าว่าตัวเองเป็นเจ้าของแต่อย่างใด

“เหมือนทุกวันขอรับแต่วันนี้ที่ร้านคึกคักมากหน่อยเพราะวันนี้มีการแสดงขับร้องของแม่นางฉือ”

“อ้อ จริงสิข้าก็ลืมวันลืมคืนไปเลยอย่างไรแล้วข้าฝากเจ้าไปตามหลงจู๊ไปพบข้าที่ห้องทำงานด้วยนะ” หม่าจื่อลู่พยักหน้าว่ารับรู้หลังจากฝากความไปกับคนคนงานแล้วก็สะบัดชายเสื้อคลุมหมุนกายเดินขึ้นไปยังชั้นสองของร้านที่เป็นห้องทำงานส่วนตัวของตนเอง

แม่นางฉือที่มาทำการแสดงในวันนี้คือแม่นางฉือไป่เย่วอี้จีอันดับหนึ่งแห่งตรอกคณิกาที่แม้ว่าค่าตัวของนางจะแพงระยับแต่ทว่าหม่าจื่อลู่ยอมควักกระเป๋าจ่ายเงินเพื่อจ้างนางเดือนละหนึ่งครั้งเพื่อมาทำการแสดงเป็นเวลาสองชั่วยามโดยนางจะขับร้อง เล่นดนตรีหรือฟ้อนรำเขาก็ไม่เกี่ยงอนุญาตให้นางทำได้ตามใจของตนเอง

สำหรับหอสุราหรือเหลาอาหารทั่วไปนั้นการจ้างคณิกาไม่ว่าจะเป็นเซ่อจี (คณิกาที่ขายบริการ) หรืออี้จีอาจจะมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรแต่สำหรับคุณชายหม่านั้นคิดต่างออกไปโดยเขามองว่าพวกนางเป็นสตรีที่มีความสามารถเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินเชื่อเสียงในเรื่องศิลปะการแสดงแม้ว่าจะเป็นคนที่มาจากหอคณิกาใดเขาก็เต็มใจที่จะเดินเข้าไปเจรจาติดต่อหรือว่าจ้างงานพวกนางในทันที

แต่ก่อนจะว่าจ้างเขาก็ได้จัดการจ้างพวกนางมาทำการแสดงส่วนตัวให้ชมเพื่อเป็นการประเมินความสามารถว่าดีจริงตามเสียงลือเสียงเล่าอ้างหรือไม่ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ชาวบ้านกินแตงจะเล่าลือกันสนุกปากว่าความคุณชายหม่าผู้นี้เป็นคนเสเพลเจ้าสำราญเทียวเข้าเทียวออกหอคณิกาเป็นว่าเล่นเขาไปจริงแต่ก็ไปเพียงเพื่อชมพวกนางทำการแสดงศิลปะเพียงเท่านั้นหาได้มีเรื่องราวของกามราคะมาปะปน

ระหว่างที่รอหลงจู๊ของหอสุราสราญใจเข้ามาพบหม่าจื่อลู่ก็นั่งตรวจบัญชีร้านคร่าวๆ เพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อหลงจู๊วัยกลางคนที่มีศักดิ์เป็นญาติทางฝั่งของมารดาก็เข้ามาพูดคุยหลังจากรายงานเรื่องสำคัญๆ ที่เถ้าแก่หม่าควรทราบเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ

“ขอบคุณท่านลุงมากขอรับที่คอยดูแลทุกอย่างให้ข้าเป็นอย่างดีเสมอมา”

“พูดเหมือนกับพวกเราเป็นคนอื่นคนไกลเจ้าเองก็เข้ามาที่หอสุราบ่อยๆ จะหายไปก็แค่ช่วงที่ไปตรวจร้านสาขาและหาสมุนไพรก็เท่านั้นอีกอย่างงานพวกนี้ก็เป็นหน้าที่ของข้าด้วยเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าจะรักษาผลประโยชน์และทำกำไรให้เจ้าอย่างแน่นอน” อี้เทียนหยุนพูดกับหลานชายเช่นนี้เสมอในเมื่อหม่าจื่อลู่เป็นคนจ้างเขามาทำงานเขาก็ย่อมรักษาประโยชน์ให้หลานชายอย่างเต็มกำลังแน่นอนอยู่แล้ว

ส่วนหนึ่งที่ทำให้อี้เทียนหยุนทำงานให้หม่าจื่อลู่ชนิดที่เรียกได้ว่ายอมตายถวายหัวให้นั้นส่วนหนึ่งเพราะเขาอยากตอบแทนบุญคุณท่านยายและมารดาของชายหนุ่มด้วยเดิมทีแล้วนั้นเขาเป็นเพียงบุตรนอกสมรสคนหนึ่งของนายท่านอี้ท่านตาแท้ๆ ของหม่าจื่อลู่ชีวิตภายในเรือนสกุลอี้ตอนนั้นก็ไม่นับว่าดีเด่อะไรเพราะมารดาเป็นเพียงบ่าวตัวเล็กๆ ในเรือน

แต่เมื่อมารดาของตนเองสิ้นบุญไปเขาก็ได้ฮูหยินผู้เฒ่าอี้เข้ามาอุปการะเลี้ยงดูโดยไม่รังเกียจนางเลี้ยงดูอี้เทียนหยุนไม่ต่างจากบุตรชายแท้ๆ ให้ทั้งการศึกษาให้ทั้งที่อยู่อาศัยหรือแม้กระทั่งเงินทองจนกระทั่งถึงยามที่มารดาของหม่าจื่อลู่ออกเรือนจึงได้ขอติดตามนางมาสกุลหม่าด้วยในฐานะผู้คุ้มกันและท้ายที่สุดแล้วเมื่อหลานชายคนโตของเขาอยากเปิดหอสุราทั้งน้องเขยซึ่งก็คือนายท่านหม่าคนปัจจุบันและน้องสาวจึงมาขอคำปรึกษาทำให้เขาได้เป็นหลงจู๊ดูแลหอสุราสราญใจมาตั้งแต่แรกเริ่ม

“เถ้าแก่หม่ายินดีที่ได้พบท่านนะเจ้าคะ” หลังจากทำการแสดงขับร้องในช่วงสุดท้ายจบแล้วฉือไป่เย่วพบว่าคุณชายหม่าเองก็มานั่งชมการแสดงนางจึงเข้ามาทักทายตามประสาคนรู้จักกันแต่มิได้มีความสัมพันธ์อะไรเกินเลย

“ยินดีที่ได้พบแม่นางฉือเช่นเดียวกันอย่างไรแล้วมานั่งดื่มน้ำชาสักนิดก่อนเถิด” น้ำชารสเยี่ยมถูกรินให้สตรีตรงหน้าด้วยความระมัดระวังและนางก็รับไปดื่มด้วยความเต็มใจใบหน้าที่งดงามเย้ายวนเกินสตรีผู้ไหนในเมืองหลวงแย้มยิ้มบางเบาทำเอาชายหนุ่มในหอสุราสราญใจถึงกับเกิดอาการเคลิ้มลอยไปตามๆ กันเพราะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่จะได้มีโอกาสพบฉือไป่เย่วนอกหอคณิกาเช่นนี้

แต่แม้สตรีตรงหน้าจะงดงามแต่ความฉูดฉาดจัดจ้านของนางก็ไม่อาจทำให้หม่าจื่อลู่หวั่นไหวได้เพราะสตรีเพียงผู้เดียวที่เขาทั้งชื่นชมในความงดงามของนางคือเถ้าแก่เนี้ยถานผิงอันแห่งร้านมวลบุปผาแต่เพียงผู้เดียวแม้ว่าหลายปีมานี้นางจะยังคงเฉยชากับเขาอยู่มากก็ตาม

เพียงรินน้ำชาให้สตรีหนึ่งจอกผู้คนก็นำไปเล่าลือใส่สีตีไข่กันอย่างสนุกปากแต่ไม่ว่าจะมีเรื่องราวของตัวเองเล่าลือไปไกลมากแค่ไหนหม่าจื่อลู่ก็ไม่เคยคิดจะแก้ไขหรือแก้ข่าวเลยสักครั้งด้วยเขาคิดว่ามันออกจะเสียเวลาทำมาหากินสู้เอาเวลาในการแก้ต่างไปคิดค้นสูตรหมักบ่มสุราใหม่ๆ เสียยังจะดีกว่าสิ่งนั้นแม้จะเสียเวลาแต่ก็ยังได้ค่าตอบแทนเป็นตัวเงิน

หลังจากส่งแม่นางฉือขึ้นรถม้าด้วยตัวเองแล้วหม่าจื่อลู่จึงเดินทางไปทำงานต่อที่โรงบ่มสุราซึ่งที่นั่นเขามีห้องทำงานส่วนตัวซึ่งทั้งห้องนั้นเต็มไปด้วยสมุนไพรนับร้อยนับพันมีทั้งที่หาง่ายและหายากปะปนกันไป

กว่าจะคิดต้นสูตรหมักสุราได้แต่ละสูตรหม่าจื่อลู่ใช้ทั้งเวลาและวัตถุดิบแสนเลอค่าไปไม่ใช่น้อยที่ได้ผลออกมาดีก็มีส่วนหนึ่งแต่ที่ผลออกมาแย่กว่าที่คิดก็มีมากทุกอย่างทำอยู่ภายใต้สภาวะที่ยากเกินจะควบคุมจึงได้แต่รอเวลาเท่านั้นเองมิสามารถจะไปเร่งรัดเอาแต่ใจตนเองได้

ภายในห้องทำงานส่วนตัวของหม่าจื่อลู่ในโรงบ่มสุราสกุลหม่าที่ผนังด้านหนึ่งมีตู้เก็บสุราสูงเท่ากับกำแพงเป็นตู้ทึบที่ทำจากไม้เนื้อดีเพื่อป้องกันแสงเพื่อเอาไว้เก็บสุราที่หมักได้ที่แล้วแต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งที่ถูกเก็บเอาไว้ในห้องใต้ดินใต้เท้าของเขาเองซึ่งสุราเหล่านั้นมักจะเป็นสุราที่ยังหมักบ่มไม่ครบเวลา

“ดีเท่าไหร่แล้วที่พวกเราไม่เป็นคนติดสุราไปเสียก่อนหมักไปเท่าไหร่ก็ต้องชิมเข้าไปเท่านั้น” คุณชายหม่าสนทนากับสหายที่ตอนนี้กำลังช่วยกันเตรียมสุราออกมาชิมโดยสุราที่หมักเอาไว้นั้นส่วนมากจะเป็นสุราขาวที่ผ่านการกลั่นแล้วนำมาหมักกับส่วนผสมต่างๆ ที่มีทั้งสมุนไพรรวมไปถึงผลไม้ต่างๆ มีส่วนน้อยที่จะเป็นสมุนไพรหมักกับข้าวหรือผลไม้อื่นๆ เป็นตัวตั้งต้น

“ชิมครั้งละจอกสองจอกจะติดก็แปลกแล้วล่ะหากพวกเราชิมกันคนละไหข้าว่าไม่แน่ป่านนี้คงต้องไปขอสมุนไพรบำรุงตับจากร้านขายยาสมุนไพรมาต้มดื่มกันแน่ๆ สุราในไหนี้รสดียิ่งนักขอรับมีกลิ่นของผลไม้เจืออยู่มากกว่ากลิ่นเหล้าดื่มง่ายสตรีน่าจะชอบ” สุราในจอกเบื้องหน้าของเซี่ยเหวินจิวมีสีอำพันเหลือบๆ ไปทางแดงที่เกิดจากการส่วนผสมหลักคือผลทับทิมที่มีเนื้อสีแดงสดเมื่อหมักไประยะหนึ่งสีของผลไม้ก็จะแทรกซึมออกมาผสมอยู่กับน้ำสุราขาวและที่ไม่เป็นสีแดงจัดก็เพราะว่าไม่ได้ใช้วิธีการบี้เนื้อของเมล็ดทับทิมให้แตกออกอีกทั้งยังมีสมุนไพรชนิดอื่นผสมอยู่ด้วยไม่น้อย

“ข้าตั้งใจน่ะ สุราดั้งเดิมของเราส่วนมากจะมีรสเข้มจัดเหมาะสำหรับบุรุษข้าจึงอยากปรับปรุงให้สตรีดื่มได้บ้างอย่างไรแล้วสุราดื่มน้อยๆ ก็เป็นยาช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี” ใช่ว่าจะมีแต่บุรุษเท่านั้นที่มีกำลังซื้อบรรดาฮูหยินและคุณหนูในห้องหอจำนวนไม่น้อยที่มีกำลังจ่ายดังนั้นหม่าจื่อลู่จึงต้องการจะเจาะตลาดกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่เพิ่มขึ้นจากเดิมอยากให้หอสุราสราญใจเป็นที่พบปะของทั้งบุรุษและสตรีพอๆ กับโรงน้ำชาที่คนทุกเพศต่างเข้าไปใช้บริการ