“ซือเหยา” เป็นขันทีผู้จงรักภักดีต่อฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าหลิง เขาเติบโตมาในวังหลวง ถูกฝึกฝนให้เป็นเงาไร้ตัวตน คอยปกป้องราชบัลลังก์จากภัยร้ายต่างๆ แต่โชคชะตากลับเล่นตลก เมื่อฮ่องเต้ถูกลอบปลงพระชนม์ อำนาจเปลี่ยนมือภายในคืนเดียว และซือเหยาถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ เขาถูกทรมานจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่กลับได้รับความช่วยเหลือจากคนที่เขาไม่คาดคิด—“เหวินจิ้ง” แม่ทัพผู้สง่างาม ผู้ที่สงสัยว่าเขาดูไม่เหมือนขันที
ชาย-ชาย,ย้อนยุค,จีน,ผจญภัย,แฟนตาซี,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
[BL] ลำนำบุปผาในม่านมายา“ซือเหยา” เป็นขันทีผู้จงรักภักดีต่อฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าหลิง เขาเติบโตมาในวังหลวง ถูกฝึกฝนให้เป็นเงาไร้ตัวตน คอยปกป้องราชบัลลังก์จากภัยร้ายต่างๆ แต่โชคชะตากลับเล่นตลก เมื่อฮ่องเต้ถูกลอบปลงพระชนม์ อำนาจเปลี่ยนมือภายในคืนเดียว และซือเหยาถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ เขาถูกทรมานจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่กลับได้รับความช่วยเหลือจากคนที่เขาไม่คาดคิด—“เหวินจิ้ง” แม่ทัพผู้สง่างาม ผู้ที่สงสัยว่าเขาดูไม่เหมือนขันที
“ซือเหยา” เป็นขันทีผู้จงรักภักดีต่อฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าหลิง เขาเติบโตมาในวังหลวง ถูกฝึกฝนให้เป็นเงาไร้ตัวตน คอยปกป้องราชบัลลังก์จากภัยร้ายต่างๆ แต่แท้จริงแล้ว—เขาไม่ใช่ขันที เขาถูกบังคับให้ต้องใช้ชีวิตภายใต้ฐานะที่มิใช่ตัวเอง เพียงเพื่อรับใช้และแลกเปลี่ยนกับความปลอดภัยของครอบครัว
วันหนึ่ง “เหวินจิ้ง” แม่ทัพหนุ่มผู้มีดวงตาดั่งเหยี่ยวจับจ้องมายังเขาด้วยสายตาสงสัย “เจ้าดูไม่เหมือนขันที” เหวินจิ้งกล่าว พลางเดินเข้าใกล้เขาอย่างเชื่องช้า ซือเหยาหลบสายตานั้น แต่มือกลับกำดาบแน่น—หากความลับของเขาถูกเปิดเผย ก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่
ทว่าโชคชะตากลับเล่นตลก เมื่อฮ่องเต้ถูกลอบปลงพระชนม์ วังหลวงลุกเป็นไฟ อำนาจเปลี่ยนมือภายในคืนเดียว และซือเหยาถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ เขาถูกทรมานจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่กลับได้รับความช่วยเหลือจากคนที่เขาไม่คาดคิด—เหวินจิ้ง แม่ทัพผู้สง่างาม ผู้ที่เคยบอกว่า “เจ้าดูไม่เหมือนขันที”
ซือเหยาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเหวินจิ้งจึงยอมเสี่ยงช่วยเขา แต่ทั้งสองจำต้องหลบหนีออกจากวัง และเริ่มต้นการเดินทางสู่ดินแดนลึกลับที่เต็มไปด้วยอาคมและตำนานโบราณ เพื่อค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการล่มสลายของราชวงศ์
ระหว่างการเดินทาง ทั้งคู่เริ่มมองเห็นกันในมุมที่แตกต่างออกไป จากที่เคยเป็นเพียงเงากับสายตาที่คอยจับผิด กลับกลายเป็นสายสัมพันธ์ที่ถักทอขึ้นอย่างช้าๆ ในม่านหมอกแห่งความลวงและอันตราย
แต่…ซือเหยาจะสามารถมีชีวิตรอดในโลกที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลนี้ได้หรือไม่? และเหวินจิ้งจะยอมรับความรู้สึกที่เขามีให้กับชายผู้เป็น “ขันทีปลอม” ได้หรือเปล่า?
รุ่งอรุณของวันที่สามในป่าลึกมาถึงพร้อมหมอกหนาแน่นกว่าทุกวัน แสงอาทิตย์แทบไม่อาจส่องทะลุม่านขาวหม่นที่คลอเคลียอยู่เหนือพื้นดิน ซือเหยาเงยหน้ามองไปรอบตัวด้วยความรู้สึกไม่แน่ใจ ราวกับทุกสิ่งเปลี่ยนไปโดยไม่มีคำเตือน
เขาลุกขึ้นเดินไปหยุดยืนตรงขอบแนวต้นไม้ที่พวกเขาใช้เป็นที่พักพิง หยดน้ำจากหมอกเกาะอยู่บนปลายผมและขนตา แต่ที่น่าประหลาดคือ—เสียงทุกอย่างเงียบสนิท
ไม่มีเสียงนกร้อง
ไม่มีเสียงใบไม้ไหว
ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจของป่า
ซือเหยาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวเยือกในใจ
“หมอกนี้… เหมือนมันมีชีวิต” เขาพึมพำกับตนเอง
ทันใดนั้น เสียงกิ่งไม้แห้งใต้เท้าดังกรอบแกรบจากเบื้องหลัง เขาหันขวับกลับไป ก็เห็นเหวินจิ้งเดินออกมาจากเงาไม้ช้าๆ แม้ยังดูอ่อนแรง แต่ก็ยืนด้วยตัวเองได้อย่างมั่นคง
“ข้าตื่นเพราะกลิ่นของหมอกนี่แหละ” เหวินจิ้งพูดเบาๆ ขณะยกมือขึ้นแตะม่านหมอกที่ไหลเอื่อยราวกับมีชีวิต “เจ้ารู้สึกหรือไม่ ว่ามัน…เหมือนกำลังพยายามจะดึงเราเข้าไป”
หลังจากเตรียมตัวเล็กน้อย พวกเขาก็เริ่มเดินทางลึกเข้าไปในหมอกหลอนด้วยความระมัดระวัง เส้นทางเต็มไปด้วยเถาวัลย์พันเกี่ยว ต้นไม้สูงตระหง่านราวกับผู้เฝ้ายามโบราณ และกลิ่นลึกลับที่ลอยอวลอยู่ในอากาศ
ทุกย่างก้าวเหมือนฝ่าเข้าไปในโลกที่ไม่ควรมีอยู่จริง
ในขณะที่พวกเขาเดิน ซือเหยาสังเกตเห็นสิ่งหนึ่ง—ผืนผนังหินขนาดใหญ่ซึ่งมีอักษรโบราณสลักไว้จางๆ เขาก้มมองแล้วลูบไปบนอักษรเหล่านั้นอย่างเบามือ ก่อนจะอ่านออกเสียง
“เมื่อดวงใจไร้เจ้าของข้ามผ่านม่านมายา
จงรู้ไว้ว่า บาปในใจจะเป็นเครื่องเซ่น
และสิ่งที่รออยู่ มิใช่เพียงความจริง—แต่เป็นการเลือกที่ไม่มีวันย้อนกลับ”
เสียงของเขาสะท้อนก้องในหมอกอย่างน่าขนลุก เหวินจิ้งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงต่ำ
“เหมือนมันรู้ว่าเราจะมา”
“หรือนี่คือกับดักของผู้สร้างดินแดนนี้” ซือเหยาตอบ ดวงตาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด
แต่ไม่มีเวลาสำหรับลังเล พวกเขาต้องเข้าไปข้างใน เพราะความลับของราชวงศ์และการทรยศทั้งหมดอาจเริ่มต้นจากสถานที่แห่งนี้
หลังเดินทางผ่านโขดหินสูงและลำธารน้ำสีเงิน พวกเขาก็มาถึงพื้นที่เปิดโล่งเล็กๆ ซึ่งมีอาคารทรุดโทรมตั้งตระหง่านอยู่กลางหมอก วิหารหินเก่าหลังหนึ่ง แทบจะกลืนหายไปกับสีเทาหม่นของสายหมอก หน้าวิหารมีรูปปั้นหญิงสาวผู้สวมผ้าคลุมปิดหน้า มือข้างหนึ่งยื่นออกมาอย่างอ่อนโยน ขณะที่อีกข้างถือดอกไม้ซึ่งร่วงโรยแล้ว
เมื่อซือเหยาเดินเข้าไปใกล้ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัวทันที—เสียงที่มิได้ออกมาจากปากของใครคนใด
‘เจ้าผู้ก้าวเข้ามาด้วยหัวใจที่มีรอยแผล—จงเลือก
ระหว่างความจริงที่ทำลายทุกสิ่ง หรือคำลวงที่ปลอดภัย
หากเจ้าจะรู้ความลับของราชบัลลังก์ เจ้าต้องแลก…’
ซือเหยาทรุดเข่าลงอย่างแรง มือกุมขมับแน่น ราวกับมีใครกำลังกระซิบคำสาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าในโสตประสาท เหวินจิ้งรีบเข้ามาประคองเขาไว้
“ซือเหยา! ได้ยินข้าไหม?”
ซือเหยาเงยหน้าขึ้น ดวงตาสั่นไหวเหมือนเพิ่งรอดพ้นจากความมืดมน “มีบางอย่าง… พูดกับข้า มันพูดถึง—ความจริงของราชวงศ์ มันบอกให้ข้าเลือก…!”
ในคืนนั้น พวกเขานั่งอยู่หน้าเปลวไฟที่แทบไม่อาจส่องผ่านหมอกได้ ไฟเต้นระริกในดวงตาของเหวินจิ้งที่ยังจับจ้องซือเหยาอย่างเงียบงัน
“เจ้ากลัวหรือไม่” เขาถาม
ซือเหยาพยักหน้า “กลัวสิ ไม่ใช่เพราะข้ากลัวความลับนั่น… แต่ข้ากลัวว่า หากรู้มันแล้ว—ข้าอาจไม่ใช่คนเดิม”
เหวินจิ้งเงียบไป ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้จนระยะห่างระหว่างกันมีเพียงเงา
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร… ข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า”
หัวใจของซือเหยาสะดุดอย่างแรง ริมฝีปากอยากจะเอ่ยคำบางอย่างตอบ แต่สุดท้ายก็เงียบไว้
เพราะในโลกของหมอกที่ซ่อนความจริงไว้มากมาย—แม้แต่หัวใจก็ไม่กล้าเผยออกมาทั้งหมด